แสบนักไม่ให้รักยังไงไหว
อหังการ์ หนุ่มหล่อเจ้าของไร่ ที่ดั๊นไปจับตัวคนที่ทำร้ายน้องชายเขามาผิดตัวแต่กลับไม่รู้ แต่ไอ้ที่จับมาน่ะ ไม่ได้จะมาทำทารุณกรรมเหมือนนิยายจำพวกแก้แค้นแสนรักทั้งหลาย ก็แค่อยากจะสั่งสอนให้เจ้าหล่อนได้รู้ซะบ้างว่าการหารายได้พิเศษประเภทนอนสบายได้เงินเยอะน่ะ มันผิด แต่กลับกลายเป็นว่าแม่เจ้าประคุณดันแสบซะจนเขาแทบดิ้น และก็ต้องตกใจที่ความแสบนั้นมันทำให้เขาถอนรักจากเธอไม่ได้
Tags: หวานแหววจนแสบซ่า
ตอน: 2.เนี่ยนะนางเอก
ตอนที่ 2
เนี่ยนะนางเอก
“ไอ้ลูกหนู นั่งหน้าบูดเป็นตูดลิงเลยนะแก” ธีรภพหนุ่มโย่ง แซวเพื่อนตัวน้อยแสนสวย แต่สุดแสบของเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“แกเคยเห็นมันหน้าตาดี ๆ กับเค้าบ้างหรือเปล่าล่ะไอ้ภพ” ธงชาติหันมากัดเพื่อนอีกคน
“พวกแกก็พูดไปไอ้ลูกหนูน่ะมันสวยจะตาย เสียอย่างเดียวปากหมาว่ะ” พานุงับธารใสติด ๆ เป็นคนที่สาม
“หนอยไอ้พวกปากหมาทั้งหลาย ก็มันมีเพื่อนเป็นหมานี่หว่าจะให้เหมือนคนได้ไงวะ ขืนทำแบบนั้นก็คบพวกแกไม่ได้พอดี” ธารใสว่าเพื่อนเข้าบ้าง ซึ่งสามหนุ่มก็ได้แต่หัวเราะ เพราะพูดกันแบบนี้ประจำ หญิงสาวกับเพื่อนทั้งสามเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด แม่ของเธอเป็นแม่ค้าขายของอยู่ในตลาดคลองเตย ทำให้หญิงสาวที่ไปช่วยแม่ขายของเป็นประจำได้ปากตลาดอย่างที่ทุกคนชอบชมมาจากแม่ด้วย แถมยังไม่พอเพื่อน ๆ ของเธออีกสามคนที่คบกันมาตั้งแต่อนุบาลยันจบมัธยมปลาย ก็ดันมาเจอกันได้ทุกครั้งแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนห้องกี่ครั้งก็ตาม สามหนุ่มเองก็ใช่ย่อยปากคอเลาะร้ายพอกัน เพราะแม่ของทั้งสามก็ขายของในตลาดเดียวกับแม่เธอนั่นแหละ
“พวกแกนี่น้า ตอนขึ้นมอหนึ่งใหม่ ๆ ฉันคิดว่ามันคงจะเป็นกรรมที่ทำให้ฉันจับฉลากได้มาเรียนห้องเดียวกับพวกแก เหม็นเบื่อหน้าเป็นบ้าเจอหน้ากันตั้งแต่อนุบาลยันจบปอหก แต่ฉันก็ไม่นึกเลยว่าพอตอนมอสี่ จับฉลากอีกทีพวกแกก็ยังเสร่อมาอยู่ห้องเดียวกับฉันได้ แบบนี้เขาเรียกว่ากรรมซ้ำกรรมซ้อนชัด ๆ”
“นี่ไอ้ลูกหนู พวกฉันมันผู้ชายนะโว้ยปากร้ายมันไม่เท่าไหร่ แต่แกนี่สิปากแบบนี้สงสัยจะหาผัวไม่ได้” ธีรภพหนุ่มหน้าตาดีที่สุดในบรรดาคนทั้งสามเอ่ยขึ้น
“หาไม่ได้ฉันก็เอาพวกแกคนใดคนหนึ่งนี่แหละว่ะเป็นผัว”
“เฮ้ยแกอย่าพูดอะไรน่ากลัวแบบนั้นสิวะ ไอ้ลูกหนู” พานุโวยวาย
“ทำไมฉันมันไม่ดีตรงไหน” ธารใสเลิกคิ้วถาม
“ก็ไม่ดีตรงปากแกนี่แหล่ะว่ะ ฉันว่านะแทนที่จะได้เมีย กลับจะได้แม่ซะมากกว่า แค่คิดก็สยอง” ธงชาติหนุ่มตัวเล็กแต่ขี้เล่นทำท่าสยดสยองประกอบคำพูด
“หรือแกอยากจะเป็นผัวมันวะ ไอ้ภพ” พานุถามขึ้นมาบ้าง
“เฮ้ยไอ้พวกนี้นี่โยนมันมาให้ฉันได้ไงวะ ทีพวกแกยังไม่เอา แล้วฉันจะเอามาทำซากอะไร ฉันแต่งงานก็เพราะอยากมีเมีย ไม่ได้อยากมีแม่นี่หว่า” ธีรภพปฏิเสธเสียงดัง
“แหมพวกแกนี่ไม่รู้จักซะแล้ว ฉันไปทำงานน่ะ พวกหนุ่ม ๆ มาจีบเยอะแยะ พูดแล้วจะหาว่าคุย”
“เพราะมันยังไม่เห็นธาตุแท้ของแกนะสิวะ” พานุหนุ่มหน้าตาดีแต่ผิวคล้ำนิ่วหน้า
“แต่วันนี้พวกมันคงจะเห็นกันแล้วล่ะ เพราะฉันต่อยเมียมันปากแตก โทษฐานที่บังอาจมาว่าคนอย่างยัยลูกหนูไปแย่งผัวมัน น้ำหน้าอย่างฉันน่ะเหรอจะแย่งผัวใคร สวยเลือกได้ขนาดนี้”
“เฮ้ยจริงหรือวะไอ้ลูกหนู”
“ก็จริงน่ะสิวะ แล้วฉันก็เลยโดนไล่ออกแล้วเรียบร้อย ข้อหาก่อความวุ่นวายเพราะความสวยเป็นเหตุ” ธารใสไม่ได้พูดเกินจริง เพราะตั้งแต่วันแรกที่เธอเหยียบย่างเข้าไปทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่งย่านรังสิต ก็มีหนุ่ม ๆ มากหน้าหลายตาเข้ามากะลิ้มกะเหลี่ย แต่หญิงสาวก็ไม่ได้เล่นด้วย เพราะหนุ่มในฝันของเธอที่เจ้าตัวเคยฝันไว้ ต้องหล่อโครต ๆ โดนใจเท่านั้น ซึ่งเธอก็ไม่สามารถหาคำจำกัดความว่าไอ้หล่อโครต ๆ นี่มันต้องมีหน้าตาแบบไหน เพราะพระเอกหนังที่เห็นมาไม่ว่าจะไทยหรือเทศ ไม่เห็นมีใครหล่อโครต ๆ โดนใจซักคน แล้ววันแรกในการทำงานของเธอก็ต้องถูกบรรดาสาว ๆ ในโรงงานต่อต้าน เพราะว่าธารใสกวาดชายหนุ่มที่ทำงานในนั้นไปกินจนเรียบ ทั้งที่ไม่ได้อยากกวาดเลยซักนิด ก็พวกนั้นเล่นมานั่งเฝ้าเธอทั้งเช้าทั้งเย็นก่อนทำงานและหลังเลิกงาน จะพูดยังไงด่าแบบไหนก็ไม่มีใครสะเทือน จนเกิดเรื่องราวกันหลายครั้ง กับความหึงหวงของสาว ๆ และในวันนี้ก็เป็นครั้งที่เท่าไหร่เธอเองก็ลืมนับ หัวหน้างานเลยเชิญเธอไปหาแล้วยื่นซองขาวให้ เชิญเธอออกจากที่ทำงานโดยบอกเหตุผลว่าเธอสวยเกินไปจนทำให้มีแต่เรื่อง
“มันมีแบบนี้ด้วยหรือวะไอ้ลูกหนู ข้อหาบ้าบออะไร” พานุพูดพร้อมกับจ้องหน้าสวยของเพื่อนเขม็ง
“ก็มีสิวะ ฉันเคยโกหกพวกแกหรือไง”
“ถือว่าเป็นความซวยก็แล้วกันว่ะ แล้วทีนี้แกจะทำยังไงต่อวะ”
“ไม่รู้ดิ หางานทำใหม่”
“งานสมัยนี้มันไม่ได้หาง่าย ๆ นะโว้ย แล้วตัวแกก็กะเปี้ยกเดียว สูงแค่ร้อยห้าสิบสี่ จะห้าก็ไม่เสือกห้า หางานยากชิบเป๋ง” ธงชัยบ่นแบบไม่จริงจัง แต่ก็แฝงด้วยความเป็นห่วง เพราะโรงงานแต่ละแห่งจะรับพนักงานผู้หญิงที่สูงร้อยห้าสิบห้าขึ้นไปเท่านั้น ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมีกฎเกณท์บ้าบออะไรแบบนั้นด้วย แต่บังเอิญตอนธารใสเข้าไปทำงานที่โรงงานที่ตอนนี้กลายเป็นอดีตที่ทำงานไปแล้วนั้น คนกำลังขาดเขาเลยจำใจต้องรับ
“หาไม่ได้ก็ต้องหาว่ะ” หญิงสาวยักไหล่
“ทำไมแกไม่กลับไปช่วยแม่ขายของวะ” ธีรภพถาม
“แกจะให้ฉันกลับไปให้แม่จับฉันประเคนให้ไอ้บ้าตาตี่นั่นหรือไง” พอพูดถึงเรื่องนี้สาวสวยก็มีอารมณ์เดือด เธอกำพร้าพ่อมาตั้งแต่เด็กอยู่กับแม่ที่เป็นแม่ค้ามาสองคนเท่านั้น ร้านค้าของแม่ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก ขายวันหนึ่ง ๆ หักต้นทุนแล้วก็เหลือกำไรสองสามร้อย แต่ก็ต้องจ่ายค่าเช่าห้อง ค่าเช่าแผงในตลาด และค่าอะไรอีกจิปาถะ จนไม่มีเงินเก็บ ทำให้เธอและเพื่อน ๆ ต้องเรียนจบกันเพียงแค่มัธยมปลายเท่านั้น และผู้ชายที่เธอพูดถึงมีชื่อว่าสุพจน์เป็นลูกชายร้านขายของชำขนาดกลางภายในตลาด ที่มักจะเอาของกำนัลมาฝากแม่เธอเสมอ จนแม่ถึงกับออกปากยกเธอให้เขา เมื่อชายหนุ่มพูดขอ
“ทำไมแกไม่ชอบวะ ฉันว่าพี่พจน์เขาหล่อดีนะ หน้าเหมือนพระเอกเกาหลีเลย” ธงชาติพูดออกไปตามความเป็นจริง เพราะสุพจน์หน้าตาค่อนข้างดี สูงเพรียว และมีผิวขาว
“บังเอิญฉันไม่ค่อยชอบว่ะ ฉันมันพวกอนุรักษ์นิยม ฉันก็เลยชอบพวกหล่อแบบไทยเป็นที่สุด หล่อแบบอื่นไอ้ลูกหนูไม่เอา” ธารใสคิดแบบนั้นจริง ๆ เธอเบื่อพวกผู้หญิงที่วัน ๆ เอาแต่กรี้ดพวกดาราเกาหลี ญี่ปุ่น ที่ตัวผอมสูง ผิวก็ขาวจนหาความเป็นผู้ชายไม่เจอ แถมตาก็เล็กตี่ซะจนบางทีเธอก็นึกสงสัยว่ากลางคืนพวกนี้จะมองถนนหนทางเห็นหรือเปล่า มันต้องหนุ่มไทยที่สูง หล่อ ผิวคมเข้มแบบนั้นแหละน่าซบอกเป็นที่สุด
“ฉันเห็นแกพูดแบบนี้มาตั้งแต่มอหนึ่ง จนถึงมอหกแล้วนะ แกก็ไม่เห็นสนใจใครซักคน ทั้งที่คนที่แกพูดถึงก็มาจีบเยอะแยะ” พานุแย้งเพื่อนคนสวย
“มันก็ใช่แบบที่ฉันพูดก็จริง แต่มันไม่โดนนี่หว่า เออพวกแกเงียบเถอะ เดี๋ยวถ้าฉันหาผัวแบบนั้นได้เมื่อไหร่ฉันจะพามาอวดพวกแกทันที”
“แล้วที่แกมาหาพวกฉันนี่มีอะไรวะ” พานุถามเพราะตอนนี้มันก็สี่ทุ่มเข้าไปแล้วพวกเขาเลิกจากการทำงานที่วันนี้พ่วงโอทีด้วย กลับมาที่ห้องพักก็พบเพื่อนสาวคนสวยนั่งรออยู่หน้าห้องพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรัง สามหนุ่มทำงานที่โรงงานเดียวกันตั้งแต่จบมัธยมปลายใหม่ ๆ จนตอนนี้ครบสามปีแล้ว แต่หญิงสาวต้องอยู่ช่วยแม่ขายของที่ตลาดจนกระทั่งเมื่อสามเดือนที่แล้ว ธารใสก็วิ่งแจ้นมาหาพวกเขาที่นี่บอกให้ช่วยฝากงานให้หน่อย เพราะแม่บังคับให้แต่งงานกับสุพจน์ แต่จนแล้วจนรอดสามหนุ่มอ้อนวอนหัวหน้างานยังไงเขาไม่รับเพราะส่วนสูงไม่ถึงมาตรฐาน ธารใสเลยต้องไปหางานทำอีกที่หนึ่ง
“มาทำไม ถามได้นะไอ้นุ ก็หมาตัวไหนวะ โทรสั่งให้ฉันซื้อของมาให้เนี่ย”
“จริงดิ ลืมไปเลยว่ะ ว่าแต่ทั้งหมดนี่เท่าไหร่ล่ะ” พานุพูดเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ เขามักจะโทรให้เพื่อนรักซื้อของใช้ของจำเป็นเช่นผงซักฟอก สบู่ ยาสีฟัน ฯลฯ มาให้อยู่เสมอ และครั้งนี้ก็ฝากจ่ายค่าโทรศัพท์ด้วย
“ทั้งหมดก็หนึ่งพันเจ็ดร้อยหกสิบห้าบาท ค่าเสียเวลาด้วยรวมแล้วก็สองพันจ่ายมาซะดี ๆ”
“เอ้า เอาไปแหมแค่นี้ก็ต้องคิดด้วย” พานุบ่นแต่ก็ยอมควักให้แต่โดยดี เพราะเห็นใจเพื่อนที่ตัวเล็กนิดเดียวแต่ต้องเที่ยวหิ้วของมาให้เขาแบบนี้ แถมต้องโหนรถเมล์มาส่งให้ถึงที่ เพราะที่พักของเขาอยู่สำโรง แต่ธารใสอยู่ที่บางนา
“เฮ้ย” หลังจากที่รับเงินจากเพื่อนมาแล้วก็ตั้งใจว่าจะเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ของตัวเอง แต่หายังไงก็ไม่เจอก็ชักใจเสีย
“อะไรของแกวะไอ้ลูกหนู ตกใจหมด” ธงชาติถามขึ้นเมื่อได้ยินเพื่อนรักร้องเสียงดังจนตกใจ
“กระเป๋าตังค์ฉันหายว่ะ”
“บ้าน่า แกเอาไว้ที่ไหนล่ะ"
“ก็เอาไว้ที่กระเป๋าด้านหน้านี่ไง”
“แล้วมันจะไม่หายได้ยังไงวะ ก็แกลืมรูดซิป ถามจริงเถอะลูกหนู เมื่อไหร่แกจะเลิกนิสัยขี้ลืมซักทีวะ” ธีรภพมองดูกระเป๋าสะพายลายทหารของธารใสที่ซิปไม่ได้รูด ซึ่งเป็นนิสัยประจำตัวที่แก้ไม่เคยได้ของหญิงสาว ไม่ว่าจะเป็นการที่เปิดประตูแล้วเอากุญแจเสียบคาลูกบิดไว้ ส่วนเจ้าตัวก็เดินเข้าห้องจนบางทีตอนเช้าจะออกจากห้องนั่นแหละถึงจะรู้ว่าเสียบกุญแจคาห้องไว้ ทั้งการลืมรูดซิปกระเป๋า ลืมล็อคห้อง และอะไรอีกสารพัดที่จะลืม และเพราะไอ้ความขี้ลืมของเธอนี่แหละทำให้ธารใสต้องไปพบเจอกับเหตุการณ์ที่สุดแสนจะน่ากลัว(มั้ง) ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
“ก็มันลืมนี่หว่าจะให้ทำยังไงล่ะ พวกแกนี่ก้อ จะปลอบใจซักนิดก็ไม่มี แล้วฉันจะทำยังไงดีเนี่ย สิ้นเดือนก็ต้องจ่ายค่าห้อง ต้องเอาสำรองไว้หางานอีก ช่วยคิดหน่อยสิวะ”
“ไม่ต้องคิดหรอก อีกอาทิตย์กว่าจะสิ้นเดือน แกก็รีบหางานก่อน ส่วนค่าห้องเดี๋ยวเงินออกฉันจะให้ยืม” ธีรภพว่า เพราะถึงยังไงพวกเขาก็รักหญิงสาวคนนี้เพราะถือว่าเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุด เพราะคบกันมาตั้งแต่เด็ก
“ส่วนค่าใช้จ่ายน่ะ ฉันกับไอ้ชาติจะช่วยเอง นึกว่าเห็นแก่ลูกหมาตาดำ ๆ ว่ะ” พานุพูดขึ้นบ้าง ทำเอาธารใสถึงกับมองค้อนกับคำเปรียบเปรยของเพื่อน
“และตอนนี้มันก็ดึกแล้วฉันว่าแกควรจะกลับได้แล้วนะ” ธีรภพเอ่ยเตือน
“ไปก็ได้ว่ะ ฉันต้องรีบไปนอนพรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้าไปหางานทำ”
“ใกล้จะถึงหรือยังน้าเดช” อหังการ์หันไปถามคมเดชด้วยความร้อนใจ
“ใกล้แล้วครับคุณเชิด แยกหน้านี่แหละครับเลี้ยวเลย” จบคำพูดของคมเดช อหังการ์ก็หักพวงมาลัยเลี้ยวไปตามทางที่บอก ซึ่งสองข้างทางมีแต่พงหญ้าขึ้นเต็มไปหมด ไม่มีแสงไฟ เพราะเป็นพื้นที่รกร้าง ตาคมดุกวาดหาร่างของสะท้านกรุง จนกระทั่งเข้ามาเกือบสามร้อยเมตรก็ยังไม่เห็น
“ผิดซอยหรือเปล่าน้า”
“ไม่ผิดหรอกครับ ซอยนี้เมื่อก่อนจะมีป้ายตั้งอยู่ แต่ตอนนี้ไม่รู้หายไปไหน ผมผ่านแถวนี้บ่อยครับ จำได้ นั่นไงครับ ใช่แน่ ๆ เลยคุณเชิด” ขณะที่กำลังพูดกับอหังการ์อยู่นั้นสายตาของคมเดชก็ปะทะกับร่างของคนที่มองเห็นได้จากไฟหน้ารถว่าร่างนั้นอยู่ในชุดนักศึกษามีเลือดเปื้อนเต็มเสื้อจนเสื้อขาวกลายเป็นสีแดงคล้ำ อหังการ์นำรถเข้าไปจอดด้านหน้าร่างนั้น แล้วรีบวิ่งลงไปดู มือใหญ่เอื้อมไปจับร่างที่จมกองเลือดที่กำลังฟุบหน้าให้หงายขึ้น ก็เห็นว่าเป็นน้องชายเขาที่กำลังหายใจรวยรินชายหนุ่มถึงกับกัดฟันกรอดด้วยความแค้น
“แค่ผู้หญิงหน้าด้านคนเดียวถึงกับต้องทำกันขนาดนี้เลยหรือ” อหังการ์พูดด้วยความเดือดดาล
“ตายแล้วตาจิ๊บ โอ้ยจะเป็นลม” ดาริกาที่วิ่งตามหลานชายมาเมื่อเห็นสภาพของลูกชายก็ถึงกับเป็นลมล้มฟุบ ดีที่เจตน์ที่วิ่งตามเจ้านายหนุ่มมีรับไว้ได้ทัน
“เจตน์แกพาอาดาไปที่รถ น้าเดชครับเรียกรถพยาบาลหน่อยเถอะ สภาพแบบนี้ผมกลัวว่าถ้าเราเคลื่อนย้ายกันไม่ถูกจิ๊บอาจจะแย่” อหังการ์สั่งการ เพราะความที่เขาต้องคุมคนงานและรับงานใหญ่คนเดียวมาตั้งแต่บิดาเสียชีวิต และใช้สติปัญญาความสามารถในการแก้ไขปัญหาทุกอย่าง ทำให้ชายหนุ่มเป็นคนที่มีความรอบคอบ
“ทางนี้ครับทางนี้” เจตน์โบกมือให้กับรถพยาบาลที่เข้ามารับให้มาจอดยังด้านหน้าที่มีร่างบาดเจ็บของสะท้านกรุงนอนอยู่ บุรุษพยาบาลยกคนบาดเจ็บขึ้นรถด้วยความชำนาญ แต่ในขณะที่ร่างของสะท้านกรุงกำลังถูกเข็ญขึ้นไปบนรถพยาบาลนั้น ร่างสูงของอหังการ์ก็ตามไปด้วยติด ๆ คิ้วหนาขมวดกันจนยุ่งเพราะเท้าใหญ่เหยียบโดนอะไรซักอย่างอหังการ์จึงรีบยกเท้าขึ้น ตาคมจึงก้มดูสิ่งที่อยู่ใต้รองเท้าเมื่อครู่ กระเป๋าสตางค์สีชมพูลายการ์ตูนน่ารัก หรือจะเป็นของผู้หญิงคนนั้น มือใหญ่หยิบกระเป๋าใบนั้นขึ้นมาก่อนที่จะยัดลงไปยังกระเป๋ากางเกงยีนส์ด้านหลัง
หลังจากที่เรียกรถพยาบาลมารับตัวสะท้านกรุงแล้ว ทั้งหมดก็พากันขึ้นรถตามมาที่โรงพยาบาล คุณหมอที่ดูอาการของคนไข้ที่ค่อนข้างสาหัส กระดูกแขนร้าว ซี่โครงหักสองซี่ แถมศีรษะแตกเป็นแผลฉกรรจ์เลยพาคนไข้เข้าห้องผ่าตัดด่วน อหังการ์แค้นจนจุก เขากับสะท้านกรุงนั้น ถึงจะมีอายุห่างกันหลายปี แต่ก็สนิทสนมกันมาก เพราะน้องชายมักจะขึ้นไปหาเขาที่ไร่เสมอในช่วงปิดเทอมทุกปีตั้งแต่เด็กจนโต มาปีนี้เท่านั้นที่สะท้านกรุงหายไป พอเขาโทรมาถามก็บอกว่าไม่ว่างเพราะมีแฟนต้องคอยเอาใจ แต่พอเขาถามก็ไม่ได้เล่าอะไรมากกว่านั้น มีแต่หัวเราะด้วยความเป็นสุข ชายหนุ่มก็คิดว่าน้องชายคงได้ผู้หญิงดี ๆ มาเป็นแฟน แต่ที่ไหนได้กลายเป็นผู้หญิงน่ารังเกียจ หน้าเงิน และไร้หัวใจเป็นที่สุด
“อาดาครับ ผมว่าจิ๊บต้องไม่เป็นอะไร อาดาไม่ต้องเป็นห่วง” อหังการ์ปลอบอาสะใภ้ที่ตอนนี้กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น ทำใจไม่ได้กับสภาพบาดเจ็บของลูกชาย
“จิ๊บโธ่จิ๊บ ทำไมนะเชิด ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงได้ใจร้ายแบบนี้ มีแฟนแล้วมาหลอกตาจิ๊บอีกทำไม แถมยังให้แฟนมาทำร้ายกันปางตายซะขนาดนี้”
“ทำไมอาดาถึงคิดว่าเป็นผู้หญิงคนนั้นครับ”
“ก็จะมีใครอีกล่ะเชิด ผู้หญิงที่ตาจิ๊บชอบก็มีคนเดียว แล้วที่หนีไปนี่ก็เพราะไปหาแม่นั่นนั่นแหละ ไม่เชื่อก็ถามเดชดูสิ” ดาริกาบอกกับหลานชาย
“จริง ๆ ครับคุณเชิด ผมได้ยินเพื่อน ๆ คุณจิ๊บบอกว่าเด็กสาวคนนี้สวยมาก และก็ชอบหาผู้ชายกระเป๋าหนัก ๆ ไว้ปรนเปรอความสุขให้ตัวเอง รุ่นพี่คุณจิ๊บก็โดนหลอกมาแล้วหลายคน แต่คุณจิ๊บไม่ยอมฟังครับ” คำยืนยันของทั้งสองทำให้อหังการ์ยิ้มเหยียด
“ผมขอตัวออกไปข้างนอกซักครู่นะครับ” อหังการ์รีบเดินออกมายังด้านนอกโรงพยาบาล เพื่อหาซื้อน้ำดื่มไปให้คนทั้งหมด แต่ขณะที่กำลังจะล้วงเงินในกระเป๋าที่ล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกงเมื่อครู่ ก็พบว่าเป็นกระเป๋าที่เขาเก็บได้เมื่อครู่ ชายหนุ่มยัดกระเป๋าใบนั้นลงไปที่เดิม แล้วนำเงินในกระเป๋าของตัวเองขึ้นไปจ่าย จากนั้นก็เดินออกมาจากร้านขายของเปิดดูกระเป๋าที่เก็บได้เมื่อครู่
คิ้วหนาขมวดเมื่อเห็นรูปหญิงสาวที่สอดอยู่ในพลาสติก หน้าสวยใสตากลมโต จมูกโด่งเล็กละม้ายพวกแขก คิ้วหนาถึงกับขมวดหรือจะเป็นของผู้หญิงคนนั้นต้องใช่ผู้หญิงแพศยาคนนั้นแน่ ๆ คงทำตกไว้ในขณะยืนมองคู่ขาคนใหม่ของตัวเองกำลังจัดการกับน้องชายของเขา ชายหนุ่มถึงกับกัดฟันกรอดด้วยความแค้นที่สุมแน่นเต็มอก มือใหญ่ค้นดูตามช่องลับต่าง ๆ ดึงบัตรประชาชนออกมาดู ‘นางสาวธารใส พุ่มสุข’ อ้อเธอนี่เอง หน้าตาสวยดีนี่ แต่คงเป็นประเภทข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรงซะมากกว่า อหังการ์ยัดกระเป๋าสีชมพูใบนั้นใส่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ของตัวเองอีกครั้ง
“น้าเดชครับ น้าเดชรู้หรือเปล่าครับว่าผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ไหน ” เมื่อเข้ามาในโรงพยาบาลแล้ว อหังการ์ก็ยื่นน้ำดื่มให้ทุกคน แล้วก็เอ่ยถามข้อมูลของผู้หญิงแพศยาคนนั้นทันที
“ผมไม่รู้หรอกครับ เห็นแต่เพื่อนคุณจิ๊บบอกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่เคยให้ใครรู้ที่พักของตัวเอง มีแต่จะพากันไปนอนค้างตามโรงแรมเท่านั้น แต่คลับคล้ายคลับว่าจะได้ยินว่าอยู่แถวไหนน๊า ใช่แล้วครับรู้สึกว่าจะพักอยู่แถวบางนา เคยทำงานเป็นสาวเชียร์เบียร์อยู่ที่ร้าน ลีโอคาราโอเกะหรืออะไรซักอย่างนี่แหละครับ ผมก็จำไม่ค่อยได้”
“อาดาไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะต้องให้ผู้หญิงคนนั้นมาขอโทษจิ๊บให้ได้” อหังการ์พูดเสียงต่ำ ดวงตาวาวโรจน์
เนี่ยนะนางเอก
“ไอ้ลูกหนู นั่งหน้าบูดเป็นตูดลิงเลยนะแก” ธีรภพหนุ่มโย่ง แซวเพื่อนตัวน้อยแสนสวย แต่สุดแสบของเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“แกเคยเห็นมันหน้าตาดี ๆ กับเค้าบ้างหรือเปล่าล่ะไอ้ภพ” ธงชาติหันมากัดเพื่อนอีกคน
“พวกแกก็พูดไปไอ้ลูกหนูน่ะมันสวยจะตาย เสียอย่างเดียวปากหมาว่ะ” พานุงับธารใสติด ๆ เป็นคนที่สาม
“หนอยไอ้พวกปากหมาทั้งหลาย ก็มันมีเพื่อนเป็นหมานี่หว่าจะให้เหมือนคนได้ไงวะ ขืนทำแบบนั้นก็คบพวกแกไม่ได้พอดี” ธารใสว่าเพื่อนเข้าบ้าง ซึ่งสามหนุ่มก็ได้แต่หัวเราะ เพราะพูดกันแบบนี้ประจำ หญิงสาวกับเพื่อนทั้งสามเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด แม่ของเธอเป็นแม่ค้าขายของอยู่ในตลาดคลองเตย ทำให้หญิงสาวที่ไปช่วยแม่ขายของเป็นประจำได้ปากตลาดอย่างที่ทุกคนชอบชมมาจากแม่ด้วย แถมยังไม่พอเพื่อน ๆ ของเธออีกสามคนที่คบกันมาตั้งแต่อนุบาลยันจบมัธยมปลาย ก็ดันมาเจอกันได้ทุกครั้งแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนห้องกี่ครั้งก็ตาม สามหนุ่มเองก็ใช่ย่อยปากคอเลาะร้ายพอกัน เพราะแม่ของทั้งสามก็ขายของในตลาดเดียวกับแม่เธอนั่นแหละ
“พวกแกนี่น้า ตอนขึ้นมอหนึ่งใหม่ ๆ ฉันคิดว่ามันคงจะเป็นกรรมที่ทำให้ฉันจับฉลากได้มาเรียนห้องเดียวกับพวกแก เหม็นเบื่อหน้าเป็นบ้าเจอหน้ากันตั้งแต่อนุบาลยันจบปอหก แต่ฉันก็ไม่นึกเลยว่าพอตอนมอสี่ จับฉลากอีกทีพวกแกก็ยังเสร่อมาอยู่ห้องเดียวกับฉันได้ แบบนี้เขาเรียกว่ากรรมซ้ำกรรมซ้อนชัด ๆ”
“นี่ไอ้ลูกหนู พวกฉันมันผู้ชายนะโว้ยปากร้ายมันไม่เท่าไหร่ แต่แกนี่สิปากแบบนี้สงสัยจะหาผัวไม่ได้” ธีรภพหนุ่มหน้าตาดีที่สุดในบรรดาคนทั้งสามเอ่ยขึ้น
“หาไม่ได้ฉันก็เอาพวกแกคนใดคนหนึ่งนี่แหละว่ะเป็นผัว”
“เฮ้ยแกอย่าพูดอะไรน่ากลัวแบบนั้นสิวะ ไอ้ลูกหนู” พานุโวยวาย
“ทำไมฉันมันไม่ดีตรงไหน” ธารใสเลิกคิ้วถาม
“ก็ไม่ดีตรงปากแกนี่แหล่ะว่ะ ฉันว่านะแทนที่จะได้เมีย กลับจะได้แม่ซะมากกว่า แค่คิดก็สยอง” ธงชาติหนุ่มตัวเล็กแต่ขี้เล่นทำท่าสยดสยองประกอบคำพูด
“หรือแกอยากจะเป็นผัวมันวะ ไอ้ภพ” พานุถามขึ้นมาบ้าง
“เฮ้ยไอ้พวกนี้นี่โยนมันมาให้ฉันได้ไงวะ ทีพวกแกยังไม่เอา แล้วฉันจะเอามาทำซากอะไร ฉันแต่งงานก็เพราะอยากมีเมีย ไม่ได้อยากมีแม่นี่หว่า” ธีรภพปฏิเสธเสียงดัง
“แหมพวกแกนี่ไม่รู้จักซะแล้ว ฉันไปทำงานน่ะ พวกหนุ่ม ๆ มาจีบเยอะแยะ พูดแล้วจะหาว่าคุย”
“เพราะมันยังไม่เห็นธาตุแท้ของแกนะสิวะ” พานุหนุ่มหน้าตาดีแต่ผิวคล้ำนิ่วหน้า
“แต่วันนี้พวกมันคงจะเห็นกันแล้วล่ะ เพราะฉันต่อยเมียมันปากแตก โทษฐานที่บังอาจมาว่าคนอย่างยัยลูกหนูไปแย่งผัวมัน น้ำหน้าอย่างฉันน่ะเหรอจะแย่งผัวใคร สวยเลือกได้ขนาดนี้”
“เฮ้ยจริงหรือวะไอ้ลูกหนู”
“ก็จริงน่ะสิวะ แล้วฉันก็เลยโดนไล่ออกแล้วเรียบร้อย ข้อหาก่อความวุ่นวายเพราะความสวยเป็นเหตุ” ธารใสไม่ได้พูดเกินจริง เพราะตั้งแต่วันแรกที่เธอเหยียบย่างเข้าไปทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่งย่านรังสิต ก็มีหนุ่ม ๆ มากหน้าหลายตาเข้ามากะลิ้มกะเหลี่ย แต่หญิงสาวก็ไม่ได้เล่นด้วย เพราะหนุ่มในฝันของเธอที่เจ้าตัวเคยฝันไว้ ต้องหล่อโครต ๆ โดนใจเท่านั้น ซึ่งเธอก็ไม่สามารถหาคำจำกัดความว่าไอ้หล่อโครต ๆ นี่มันต้องมีหน้าตาแบบไหน เพราะพระเอกหนังที่เห็นมาไม่ว่าจะไทยหรือเทศ ไม่เห็นมีใครหล่อโครต ๆ โดนใจซักคน แล้ววันแรกในการทำงานของเธอก็ต้องถูกบรรดาสาว ๆ ในโรงงานต่อต้าน เพราะว่าธารใสกวาดชายหนุ่มที่ทำงานในนั้นไปกินจนเรียบ ทั้งที่ไม่ได้อยากกวาดเลยซักนิด ก็พวกนั้นเล่นมานั่งเฝ้าเธอทั้งเช้าทั้งเย็นก่อนทำงานและหลังเลิกงาน จะพูดยังไงด่าแบบไหนก็ไม่มีใครสะเทือน จนเกิดเรื่องราวกันหลายครั้ง กับความหึงหวงของสาว ๆ และในวันนี้ก็เป็นครั้งที่เท่าไหร่เธอเองก็ลืมนับ หัวหน้างานเลยเชิญเธอไปหาแล้วยื่นซองขาวให้ เชิญเธอออกจากที่ทำงานโดยบอกเหตุผลว่าเธอสวยเกินไปจนทำให้มีแต่เรื่อง
“มันมีแบบนี้ด้วยหรือวะไอ้ลูกหนู ข้อหาบ้าบออะไร” พานุพูดพร้อมกับจ้องหน้าสวยของเพื่อนเขม็ง
“ก็มีสิวะ ฉันเคยโกหกพวกแกหรือไง”
“ถือว่าเป็นความซวยก็แล้วกันว่ะ แล้วทีนี้แกจะทำยังไงต่อวะ”
“ไม่รู้ดิ หางานทำใหม่”
“งานสมัยนี้มันไม่ได้หาง่าย ๆ นะโว้ย แล้วตัวแกก็กะเปี้ยกเดียว สูงแค่ร้อยห้าสิบสี่ จะห้าก็ไม่เสือกห้า หางานยากชิบเป๋ง” ธงชัยบ่นแบบไม่จริงจัง แต่ก็แฝงด้วยความเป็นห่วง เพราะโรงงานแต่ละแห่งจะรับพนักงานผู้หญิงที่สูงร้อยห้าสิบห้าขึ้นไปเท่านั้น ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมีกฎเกณท์บ้าบออะไรแบบนั้นด้วย แต่บังเอิญตอนธารใสเข้าไปทำงานที่โรงงานที่ตอนนี้กลายเป็นอดีตที่ทำงานไปแล้วนั้น คนกำลังขาดเขาเลยจำใจต้องรับ
“หาไม่ได้ก็ต้องหาว่ะ” หญิงสาวยักไหล่
“ทำไมแกไม่กลับไปช่วยแม่ขายของวะ” ธีรภพถาม
“แกจะให้ฉันกลับไปให้แม่จับฉันประเคนให้ไอ้บ้าตาตี่นั่นหรือไง” พอพูดถึงเรื่องนี้สาวสวยก็มีอารมณ์เดือด เธอกำพร้าพ่อมาตั้งแต่เด็กอยู่กับแม่ที่เป็นแม่ค้ามาสองคนเท่านั้น ร้านค้าของแม่ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก ขายวันหนึ่ง ๆ หักต้นทุนแล้วก็เหลือกำไรสองสามร้อย แต่ก็ต้องจ่ายค่าเช่าห้อง ค่าเช่าแผงในตลาด และค่าอะไรอีกจิปาถะ จนไม่มีเงินเก็บ ทำให้เธอและเพื่อน ๆ ต้องเรียนจบกันเพียงแค่มัธยมปลายเท่านั้น และผู้ชายที่เธอพูดถึงมีชื่อว่าสุพจน์เป็นลูกชายร้านขายของชำขนาดกลางภายในตลาด ที่มักจะเอาของกำนัลมาฝากแม่เธอเสมอ จนแม่ถึงกับออกปากยกเธอให้เขา เมื่อชายหนุ่มพูดขอ
“ทำไมแกไม่ชอบวะ ฉันว่าพี่พจน์เขาหล่อดีนะ หน้าเหมือนพระเอกเกาหลีเลย” ธงชาติพูดออกไปตามความเป็นจริง เพราะสุพจน์หน้าตาค่อนข้างดี สูงเพรียว และมีผิวขาว
“บังเอิญฉันไม่ค่อยชอบว่ะ ฉันมันพวกอนุรักษ์นิยม ฉันก็เลยชอบพวกหล่อแบบไทยเป็นที่สุด หล่อแบบอื่นไอ้ลูกหนูไม่เอา” ธารใสคิดแบบนั้นจริง ๆ เธอเบื่อพวกผู้หญิงที่วัน ๆ เอาแต่กรี้ดพวกดาราเกาหลี ญี่ปุ่น ที่ตัวผอมสูง ผิวก็ขาวจนหาความเป็นผู้ชายไม่เจอ แถมตาก็เล็กตี่ซะจนบางทีเธอก็นึกสงสัยว่ากลางคืนพวกนี้จะมองถนนหนทางเห็นหรือเปล่า มันต้องหนุ่มไทยที่สูง หล่อ ผิวคมเข้มแบบนั้นแหละน่าซบอกเป็นที่สุด
“ฉันเห็นแกพูดแบบนี้มาตั้งแต่มอหนึ่ง จนถึงมอหกแล้วนะ แกก็ไม่เห็นสนใจใครซักคน ทั้งที่คนที่แกพูดถึงก็มาจีบเยอะแยะ” พานุแย้งเพื่อนคนสวย
“มันก็ใช่แบบที่ฉันพูดก็จริง แต่มันไม่โดนนี่หว่า เออพวกแกเงียบเถอะ เดี๋ยวถ้าฉันหาผัวแบบนั้นได้เมื่อไหร่ฉันจะพามาอวดพวกแกทันที”
“แล้วที่แกมาหาพวกฉันนี่มีอะไรวะ” พานุถามเพราะตอนนี้มันก็สี่ทุ่มเข้าไปแล้วพวกเขาเลิกจากการทำงานที่วันนี้พ่วงโอทีด้วย กลับมาที่ห้องพักก็พบเพื่อนสาวคนสวยนั่งรออยู่หน้าห้องพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรัง สามหนุ่มทำงานที่โรงงานเดียวกันตั้งแต่จบมัธยมปลายใหม่ ๆ จนตอนนี้ครบสามปีแล้ว แต่หญิงสาวต้องอยู่ช่วยแม่ขายของที่ตลาดจนกระทั่งเมื่อสามเดือนที่แล้ว ธารใสก็วิ่งแจ้นมาหาพวกเขาที่นี่บอกให้ช่วยฝากงานให้หน่อย เพราะแม่บังคับให้แต่งงานกับสุพจน์ แต่จนแล้วจนรอดสามหนุ่มอ้อนวอนหัวหน้างานยังไงเขาไม่รับเพราะส่วนสูงไม่ถึงมาตรฐาน ธารใสเลยต้องไปหางานทำอีกที่หนึ่ง
“มาทำไม ถามได้นะไอ้นุ ก็หมาตัวไหนวะ โทรสั่งให้ฉันซื้อของมาให้เนี่ย”
“จริงดิ ลืมไปเลยว่ะ ว่าแต่ทั้งหมดนี่เท่าไหร่ล่ะ” พานุพูดเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ เขามักจะโทรให้เพื่อนรักซื้อของใช้ของจำเป็นเช่นผงซักฟอก สบู่ ยาสีฟัน ฯลฯ มาให้อยู่เสมอ และครั้งนี้ก็ฝากจ่ายค่าโทรศัพท์ด้วย
“ทั้งหมดก็หนึ่งพันเจ็ดร้อยหกสิบห้าบาท ค่าเสียเวลาด้วยรวมแล้วก็สองพันจ่ายมาซะดี ๆ”
“เอ้า เอาไปแหมแค่นี้ก็ต้องคิดด้วย” พานุบ่นแต่ก็ยอมควักให้แต่โดยดี เพราะเห็นใจเพื่อนที่ตัวเล็กนิดเดียวแต่ต้องเที่ยวหิ้วของมาให้เขาแบบนี้ แถมต้องโหนรถเมล์มาส่งให้ถึงที่ เพราะที่พักของเขาอยู่สำโรง แต่ธารใสอยู่ที่บางนา
“เฮ้ย” หลังจากที่รับเงินจากเพื่อนมาแล้วก็ตั้งใจว่าจะเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ของตัวเอง แต่หายังไงก็ไม่เจอก็ชักใจเสีย
“อะไรของแกวะไอ้ลูกหนู ตกใจหมด” ธงชาติถามขึ้นเมื่อได้ยินเพื่อนรักร้องเสียงดังจนตกใจ
“กระเป๋าตังค์ฉันหายว่ะ”
“บ้าน่า แกเอาไว้ที่ไหนล่ะ"
“ก็เอาไว้ที่กระเป๋าด้านหน้านี่ไง”
“แล้วมันจะไม่หายได้ยังไงวะ ก็แกลืมรูดซิป ถามจริงเถอะลูกหนู เมื่อไหร่แกจะเลิกนิสัยขี้ลืมซักทีวะ” ธีรภพมองดูกระเป๋าสะพายลายทหารของธารใสที่ซิปไม่ได้รูด ซึ่งเป็นนิสัยประจำตัวที่แก้ไม่เคยได้ของหญิงสาว ไม่ว่าจะเป็นการที่เปิดประตูแล้วเอากุญแจเสียบคาลูกบิดไว้ ส่วนเจ้าตัวก็เดินเข้าห้องจนบางทีตอนเช้าจะออกจากห้องนั่นแหละถึงจะรู้ว่าเสียบกุญแจคาห้องไว้ ทั้งการลืมรูดซิปกระเป๋า ลืมล็อคห้อง และอะไรอีกสารพัดที่จะลืม และเพราะไอ้ความขี้ลืมของเธอนี่แหละทำให้ธารใสต้องไปพบเจอกับเหตุการณ์ที่สุดแสนจะน่ากลัว(มั้ง) ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
“ก็มันลืมนี่หว่าจะให้ทำยังไงล่ะ พวกแกนี่ก้อ จะปลอบใจซักนิดก็ไม่มี แล้วฉันจะทำยังไงดีเนี่ย สิ้นเดือนก็ต้องจ่ายค่าห้อง ต้องเอาสำรองไว้หางานอีก ช่วยคิดหน่อยสิวะ”
“ไม่ต้องคิดหรอก อีกอาทิตย์กว่าจะสิ้นเดือน แกก็รีบหางานก่อน ส่วนค่าห้องเดี๋ยวเงินออกฉันจะให้ยืม” ธีรภพว่า เพราะถึงยังไงพวกเขาก็รักหญิงสาวคนนี้เพราะถือว่าเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุด เพราะคบกันมาตั้งแต่เด็ก
“ส่วนค่าใช้จ่ายน่ะ ฉันกับไอ้ชาติจะช่วยเอง นึกว่าเห็นแก่ลูกหมาตาดำ ๆ ว่ะ” พานุพูดขึ้นบ้าง ทำเอาธารใสถึงกับมองค้อนกับคำเปรียบเปรยของเพื่อน
“และตอนนี้มันก็ดึกแล้วฉันว่าแกควรจะกลับได้แล้วนะ” ธีรภพเอ่ยเตือน
“ไปก็ได้ว่ะ ฉันต้องรีบไปนอนพรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้าไปหางานทำ”
“ใกล้จะถึงหรือยังน้าเดช” อหังการ์หันไปถามคมเดชด้วยความร้อนใจ
“ใกล้แล้วครับคุณเชิด แยกหน้านี่แหละครับเลี้ยวเลย” จบคำพูดของคมเดช อหังการ์ก็หักพวงมาลัยเลี้ยวไปตามทางที่บอก ซึ่งสองข้างทางมีแต่พงหญ้าขึ้นเต็มไปหมด ไม่มีแสงไฟ เพราะเป็นพื้นที่รกร้าง ตาคมดุกวาดหาร่างของสะท้านกรุง จนกระทั่งเข้ามาเกือบสามร้อยเมตรก็ยังไม่เห็น
“ผิดซอยหรือเปล่าน้า”
“ไม่ผิดหรอกครับ ซอยนี้เมื่อก่อนจะมีป้ายตั้งอยู่ แต่ตอนนี้ไม่รู้หายไปไหน ผมผ่านแถวนี้บ่อยครับ จำได้ นั่นไงครับ ใช่แน่ ๆ เลยคุณเชิด” ขณะที่กำลังพูดกับอหังการ์อยู่นั้นสายตาของคมเดชก็ปะทะกับร่างของคนที่มองเห็นได้จากไฟหน้ารถว่าร่างนั้นอยู่ในชุดนักศึกษามีเลือดเปื้อนเต็มเสื้อจนเสื้อขาวกลายเป็นสีแดงคล้ำ อหังการ์นำรถเข้าไปจอดด้านหน้าร่างนั้น แล้วรีบวิ่งลงไปดู มือใหญ่เอื้อมไปจับร่างที่จมกองเลือดที่กำลังฟุบหน้าให้หงายขึ้น ก็เห็นว่าเป็นน้องชายเขาที่กำลังหายใจรวยรินชายหนุ่มถึงกับกัดฟันกรอดด้วยความแค้น
“แค่ผู้หญิงหน้าด้านคนเดียวถึงกับต้องทำกันขนาดนี้เลยหรือ” อหังการ์พูดด้วยความเดือดดาล
“ตายแล้วตาจิ๊บ โอ้ยจะเป็นลม” ดาริกาที่วิ่งตามหลานชายมาเมื่อเห็นสภาพของลูกชายก็ถึงกับเป็นลมล้มฟุบ ดีที่เจตน์ที่วิ่งตามเจ้านายหนุ่มมีรับไว้ได้ทัน
“เจตน์แกพาอาดาไปที่รถ น้าเดชครับเรียกรถพยาบาลหน่อยเถอะ สภาพแบบนี้ผมกลัวว่าถ้าเราเคลื่อนย้ายกันไม่ถูกจิ๊บอาจจะแย่” อหังการ์สั่งการ เพราะความที่เขาต้องคุมคนงานและรับงานใหญ่คนเดียวมาตั้งแต่บิดาเสียชีวิต และใช้สติปัญญาความสามารถในการแก้ไขปัญหาทุกอย่าง ทำให้ชายหนุ่มเป็นคนที่มีความรอบคอบ
“ทางนี้ครับทางนี้” เจตน์โบกมือให้กับรถพยาบาลที่เข้ามารับให้มาจอดยังด้านหน้าที่มีร่างบาดเจ็บของสะท้านกรุงนอนอยู่ บุรุษพยาบาลยกคนบาดเจ็บขึ้นรถด้วยความชำนาญ แต่ในขณะที่ร่างของสะท้านกรุงกำลังถูกเข็ญขึ้นไปบนรถพยาบาลนั้น ร่างสูงของอหังการ์ก็ตามไปด้วยติด ๆ คิ้วหนาขมวดกันจนยุ่งเพราะเท้าใหญ่เหยียบโดนอะไรซักอย่างอหังการ์จึงรีบยกเท้าขึ้น ตาคมจึงก้มดูสิ่งที่อยู่ใต้รองเท้าเมื่อครู่ กระเป๋าสตางค์สีชมพูลายการ์ตูนน่ารัก หรือจะเป็นของผู้หญิงคนนั้น มือใหญ่หยิบกระเป๋าใบนั้นขึ้นมาก่อนที่จะยัดลงไปยังกระเป๋ากางเกงยีนส์ด้านหลัง
หลังจากที่เรียกรถพยาบาลมารับตัวสะท้านกรุงแล้ว ทั้งหมดก็พากันขึ้นรถตามมาที่โรงพยาบาล คุณหมอที่ดูอาการของคนไข้ที่ค่อนข้างสาหัส กระดูกแขนร้าว ซี่โครงหักสองซี่ แถมศีรษะแตกเป็นแผลฉกรรจ์เลยพาคนไข้เข้าห้องผ่าตัดด่วน อหังการ์แค้นจนจุก เขากับสะท้านกรุงนั้น ถึงจะมีอายุห่างกันหลายปี แต่ก็สนิทสนมกันมาก เพราะน้องชายมักจะขึ้นไปหาเขาที่ไร่เสมอในช่วงปิดเทอมทุกปีตั้งแต่เด็กจนโต มาปีนี้เท่านั้นที่สะท้านกรุงหายไป พอเขาโทรมาถามก็บอกว่าไม่ว่างเพราะมีแฟนต้องคอยเอาใจ แต่พอเขาถามก็ไม่ได้เล่าอะไรมากกว่านั้น มีแต่หัวเราะด้วยความเป็นสุข ชายหนุ่มก็คิดว่าน้องชายคงได้ผู้หญิงดี ๆ มาเป็นแฟน แต่ที่ไหนได้กลายเป็นผู้หญิงน่ารังเกียจ หน้าเงิน และไร้หัวใจเป็นที่สุด
“อาดาครับ ผมว่าจิ๊บต้องไม่เป็นอะไร อาดาไม่ต้องเป็นห่วง” อหังการ์ปลอบอาสะใภ้ที่ตอนนี้กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น ทำใจไม่ได้กับสภาพบาดเจ็บของลูกชาย
“จิ๊บโธ่จิ๊บ ทำไมนะเชิด ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงได้ใจร้ายแบบนี้ มีแฟนแล้วมาหลอกตาจิ๊บอีกทำไม แถมยังให้แฟนมาทำร้ายกันปางตายซะขนาดนี้”
“ทำไมอาดาถึงคิดว่าเป็นผู้หญิงคนนั้นครับ”
“ก็จะมีใครอีกล่ะเชิด ผู้หญิงที่ตาจิ๊บชอบก็มีคนเดียว แล้วที่หนีไปนี่ก็เพราะไปหาแม่นั่นนั่นแหละ ไม่เชื่อก็ถามเดชดูสิ” ดาริกาบอกกับหลานชาย
“จริง ๆ ครับคุณเชิด ผมได้ยินเพื่อน ๆ คุณจิ๊บบอกว่าเด็กสาวคนนี้สวยมาก และก็ชอบหาผู้ชายกระเป๋าหนัก ๆ ไว้ปรนเปรอความสุขให้ตัวเอง รุ่นพี่คุณจิ๊บก็โดนหลอกมาแล้วหลายคน แต่คุณจิ๊บไม่ยอมฟังครับ” คำยืนยันของทั้งสองทำให้อหังการ์ยิ้มเหยียด
“ผมขอตัวออกไปข้างนอกซักครู่นะครับ” อหังการ์รีบเดินออกมายังด้านนอกโรงพยาบาล เพื่อหาซื้อน้ำดื่มไปให้คนทั้งหมด แต่ขณะที่กำลังจะล้วงเงินในกระเป๋าที่ล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกงเมื่อครู่ ก็พบว่าเป็นกระเป๋าที่เขาเก็บได้เมื่อครู่ ชายหนุ่มยัดกระเป๋าใบนั้นลงไปที่เดิม แล้วนำเงินในกระเป๋าของตัวเองขึ้นไปจ่าย จากนั้นก็เดินออกมาจากร้านขายของเปิดดูกระเป๋าที่เก็บได้เมื่อครู่
คิ้วหนาขมวดเมื่อเห็นรูปหญิงสาวที่สอดอยู่ในพลาสติก หน้าสวยใสตากลมโต จมูกโด่งเล็กละม้ายพวกแขก คิ้วหนาถึงกับขมวดหรือจะเป็นของผู้หญิงคนนั้นต้องใช่ผู้หญิงแพศยาคนนั้นแน่ ๆ คงทำตกไว้ในขณะยืนมองคู่ขาคนใหม่ของตัวเองกำลังจัดการกับน้องชายของเขา ชายหนุ่มถึงกับกัดฟันกรอดด้วยความแค้นที่สุมแน่นเต็มอก มือใหญ่ค้นดูตามช่องลับต่าง ๆ ดึงบัตรประชาชนออกมาดู ‘นางสาวธารใส พุ่มสุข’ อ้อเธอนี่เอง หน้าตาสวยดีนี่ แต่คงเป็นประเภทข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรงซะมากกว่า อหังการ์ยัดกระเป๋าสีชมพูใบนั้นใส่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ของตัวเองอีกครั้ง
“น้าเดชครับ น้าเดชรู้หรือเปล่าครับว่าผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ไหน ” เมื่อเข้ามาในโรงพยาบาลแล้ว อหังการ์ก็ยื่นน้ำดื่มให้ทุกคน แล้วก็เอ่ยถามข้อมูลของผู้หญิงแพศยาคนนั้นทันที
“ผมไม่รู้หรอกครับ เห็นแต่เพื่อนคุณจิ๊บบอกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่เคยให้ใครรู้ที่พักของตัวเอง มีแต่จะพากันไปนอนค้างตามโรงแรมเท่านั้น แต่คลับคล้ายคลับว่าจะได้ยินว่าอยู่แถวไหนน๊า ใช่แล้วครับรู้สึกว่าจะพักอยู่แถวบางนา เคยทำงานเป็นสาวเชียร์เบียร์อยู่ที่ร้าน ลีโอคาราโอเกะหรืออะไรซักอย่างนี่แหละครับ ผมก็จำไม่ค่อยได้”
“อาดาไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะต้องให้ผู้หญิงคนนั้นมาขอโทษจิ๊บให้ได้” อหังการ์พูดเสียงต่ำ ดวงตาวาวโรจน์

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ก.ค. 2554, 17:16:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2554, 12:47:21 น.
จำนวนการเข้าชม : 1546
<< 1.จุดเริ่มต้นแห่งความเลวร้าย(มั้ง) | 3.หล่อโครต ๆ >> |

gozilar 3 ส.ค. 2554, 12:56:12 น.
นางเอกนิสัยขี้ลืม เหมือนเราเลย ไอ้ลืมกุญแจคาไว้นอกห้องเนี่ยก็เคย แต่โชคดีคนในคอนโดฯ มาเคาะ ถ้าเจอคนไม่ดีก็ไม่อยากคิดเลย
นางเอกนิสัยขี้ลืม เหมือนเราเลย ไอ้ลืมกุญแจคาไว้นอกห้องเนี่ยก็เคย แต่โชคดีคนในคอนโดฯ มาเคาะ ถ้าเจอคนไม่ดีก็ไม่อยากคิดเลย

หนึ่งเดียว 4 ส.ค. 2554, 12:09:18 น.
ดีใจที่ชอบนะคะ
ดีใจที่ชอบนะคะ