แหวนปฏิพัทธ์ (ขาย E-book ที่ meb และ ookbee ในชื่อว่า "หนึ่งใจในรอยกาล" แล้วนะคะ)
ปาฏิหาริย์บางอย่างทำให้ธราต้องย้อนเวลากลับไปในอดีต

เพื่อพบกับทินกร ชายผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือเธอจากการโดนทำร้าย

เขาเป็นดาราดังที่ทำตัวแย่ๆ จนในปัจจุบันชีวิตตกอับ ไร้งานละคร

เธอจึงพยายามที่จะช่วยเหลือเขาเป็นการตอบแทน

แม้ความหวังดีของเธอจะสร้างความหงุดหงิดน่ารำคาญสำหรับเขาแค่ไหน

แต่เธอก็ยังพยายามที่จะทำให้สำเร็จ แต่ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ หัวใจเธอก็ยิ่งพังมากขึ้นเท่านั้น

จนทุกอย่างมาถึงทางเลือก ระหว่างหัวใจกับเป้าหมาย อะไรสำคัญกว่า....
Tags: รักโรแมนติก,ดารา,นักเขียน

ตอน: แรกพบสบตา

“เฮ้อ ไปได้ซะที โรคจิตหรือเปล่า ตามมาอยู่ได้”

หญิงสาวคนหนึ่งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หลังจากวิ่งหาที่หลบชายโรคจิตได้พ้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่มีชายปริศนาเดินตาม มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เธอเรียนมัธยมปลายอยู่ที่ต่างจังหวัด เพียงแต่ช่วงนั้นมันไม่ถี่ยิบเท่าช่วงที่เธอย้ายมาเรียนอยู่ที่เมืองหลวงของประเทศ จนกระทั่งเรียนจบทำงานแล้ว บุคคลน่ากลัวนั้นก็ยังคงตามไม่ลดละ

แม้ไม่เห็นรูปพรรณสัณฐานชัดนัก เนื่องจากบุคคลปริศนานั้นมักใส่ชุดหนาเทอะทะใส่หมวกใส่แว่นอยู่ตลอดเวลา เนื้อหนังมังสาไม่ค่อยเผยให้เห็น อีกอย่างเธอก็ไม่มีเวลามาสังเกตขนาดนั้น เจอกี่ทีก็วิ่งหนีตลอด รู้แค่ว่าร่างกายสูงใหญ่น่าเกรงกลัว

เมื่อไม่มีใครแอบตามมาอีก หญิงสาวจึงเดินไปตามทางอย่างเร่งรีบพลางเหลือบมองต้นฉบับนิยายในมือเขียนชื่อตัวเองชัดเจน

‘ธรา เลิศประจักษ์’

ความใฝ่ฝันที่อยากเป็นนักเขียนนิยายสำเร็จมาหลายเล่ม ตั้งแต่เรียนจบมาเธอก็ตั้งหน้าตั้งตาทำตามฝันมาตลอด จนปัจจุบันอายุได้ 23 ปีแล้ว ความเป็นเด็ก ความเพ้อฝันของเธอกลับไม่ลดลงไปเลยสักนิด

“นี่ถ้าไม่เสียเวลาหนีไอ้บ้านั่น คงถึงไปนานละ เวรกรรมอะไรของแกนะยายชลเอ๊ย อุปสรรคในชีวิตเยอะจริงๆ” หญิงสาวยังคงมุ่งหน้าสาวเท้าอย่างเร็วรี่ เมื่อใกล้จะถึงสำนักพิมพ์อันนารักษ์เต็มที แต่สองเท้ากลับต้องหยุดชะงักเมื่อมีชายคนหนึ่งวิ่งมากระแทกเธออย่างแรง แววตานั้นหันมามองแวบเดียวก่อนจะวิ่งต่ออย่างไม่สนใจอะไร

“คนอะไร ไม่มีมารยาท!”

หญิงสาวสบถอย่างอารมณ์เสีย ก่อนก้มลงเก็บต้นฉบับของตัวเองที่กระจายอยู่บนพื้นตามแรงกระแทกเมื่อครู่ด้วยอารมณ์หงุดหงิดใจ ถ้าไม่เห็นว่านี่เป็นวันเร่งรีบ เธอคงไปกระชากคอเสื้อชายหนุ่มคนเมื่อครู่ให้มาขอโทษขอโพยเธอจนได้ แต่แล้วก็มีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นตัดความคิดในสมองเธอ

“ช่วยด้วย! ผู้ชายคนเมื่อกี้มันขโมยกระเป๋าฉัน!” หญิงวัยประมาณ 30 ปีตะโกนโหวกเหวกอยู่ด้านหลังของธรา

ไวเท่าความคิด ธราคว้าเอกสารตัวเองขึ้นจากพื้นแบบลวกๆ ก่อนจะวิ่งตามโจรใจโฉดเมื่อครู่เข้าไปในซอยเปลี่ยวซึ่งไร้ผู้คนสัญจรผ่าน

เธอหันรีหันขวางมองรอบข้าง เพราะระยะความไกลที่ชายคนนั้นวิ่งไป ห่างจากเธอพอสมควร ต่อให้วิ่งเก่งแค่ไหน แต่ด้วยแรงผู้หญิง หากวิ่งตามไปคงไม่ทันการเป็นแน่

หญิงสาวหยิบไม้หน้าสามท่อนหนึ่ง ซึ่งคาดว่าเป็นของเขตก่อสร้างด้านข้างกำแพงร่วงหล่นมา เขวี้ยงตามหลังโจรคนนั้นอย่างมีสติ

“โอ๊ย!” เป็นไปตามคาด ชายร่างบึกบึนนั้นล้มทรุดลงไปตามแรงกระแทก เธอยักคิ้วให้ตัวเอง บ่งบอกถึงความสำเร็จ
“เจ๋งนี่หว่าเรา”

ธราวิ่งตามไปสักพักก็ถึงตัว เขาพยายามจะทรงตัวออกวิ่ง แต่หญิงสาวก็ใช้ไม้ท่อนเดิมฟาดเข้าที่ลำตัวอยู่หลายครั้งจนร่างนั้นทรุดลงไปอีกครา

ชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมองเธออย่างเหี้ยมเกรียม เสียงกัดฟันด้วยอารมณ์โทสะดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากเหี่ยวย่นดำคล้ำที่ปิดสนิทนั่น สัญชาติญาณบางอย่างสั่งให้ธราหนีออกจากตรงนั้นทันที สองขาเรียววิ่งออกมาอย่างเร็วรี่โดยที่ไม่ลืมหยิบกระเป๋าสะพายที่โจรขโมยมาด้วย

“ยุ่งนักใช่ไหม แม่ตัวดี!”

แต่โชคไม่เข้าข้าง เมื่อเธอยังวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว ร่างกำยำก็พุ่งมาจิกผมเธอจากด้านหลัง และออกแรงดึงจนร่างเพรียวนั้นเซถลา ชายฉกรรจ์ดันเธอเข้าชิดกำแพงก่อนจะปล่อยหมัดเข้าไปที่หน้าท้องหญิงสาวอย่างแรง

“โอ๊ย!” ยื้อแย่งของกลางกันอยู่แบบนั้นสักพัก และฝ่ายที่ชนะก็มักจะเป็นผู้ที่มีแรงมากกว่า

ธราทรุดตัวลงที่พื้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าเหยเกนั้นฉายแววความเจ็บปวด แต่เธอยังคงไม่ยอมแพ้ เมื่อตั้งใจว่าจะช่วยเอากระเป๋าไปคืนเจ้าของแล้ว เธอก็ต้องทำให้ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม นี่เป็นนิสัยดันทุรังที่คนรู้จักมักใคร่กันดีจะรู้ว่าสิ่งนี้ในตัวเธอมันแรงแค่ไหน

ก่อนที่ชายแปลกหน้าจะเดินจากไป เขายังคงส่งเสียงหัวเราะในลำคอพร้อมทั้งรอยยิ้มมุมปากที่แสนจะน่าเกลียดมากในสายตาของธรา

“หึหึ จำไว้ ทีหลังอย่ามายุ่ง!”

เธอดันร่างเข้าไปตะปบขาเขาอย่างทุลักทุเล แล้วดึงกระเป๋าสะพายนั้นออกจากไหล่เขา ขว้างกลับไปยังกลุ่มคนที่เริ่มทยอยมามุงดูเหตุการณ์กันอย่างร้อนรน เป็นหญิงวัยกลางคนทั้งหมด บ้างก็ตะโกนให้คนอื่นมาช่วย บ้างก็กดโทรศัพท์เรียงตำรวจ แต่ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ รวมถึงเจ้าของกระเป๋าเองก็ตามที เมื่อได้กระเป๋าคืนแล้ว เจ้าตัววิ่งออกจากกลุ่มคนไปหน้าตาเฉย

“ช่วย....ด้วย...” หญิงสาวเอ่ยแผ่วเบา พลางมองหญิงคนนั้นเดินจากไป พร้อมทั้งส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากกลุ่มหญิงกลางคนที่ยังคงลุกลี้ลุกลนมองอยู่ไม่ไปไหน เสียงโหวกเหวกเรียกให้คนมาช่วยดังอยู่รอบด้าน ชายผู้นั้นที่เริ่มโมโหจนถึงขีดสุด กระชากไหล่เธอให้ลุกขึ้นในสภาพอ่อนแอปวกเปียก เหวี่ยงไปกระแทกกับกำแพงอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง

“โอ๊ย! ไอ้บ้าเอ๊ย ปล่อยฉันนะ”

หญิงสาวทรุดร่างลงไปอีกครั้งอย่างมึนงง รู้สึกได้ถึงของเหลวบางอย่างที่ไหลจากศีรษะเธอลงมาอยู่บริเวณเหนือคิ้ว พร้อมด้วยความรู้สึกชาตึงไปทั้งหน้าผาก ชายฉกรรจ์ผู้นั้นตั้งท่าจะเดินเข้ามาซ้ำอีกรอบ เธอได้แต่หลับตาสวดมนต์ภาวนาเพียงอย่างเดียว ด้วยเรี่ยวแรงและความดันทุรังที่มีนั้น ได้เริ่มลดลงตามสภาพร่างกาย

“นี่คือบทสั่งสอน เป็นผู้หญิงก็ปรนนิบัติผัวไปสิวะ อย่ามาอวดเก่ง!”

...เสร็จมันแน่เรา

ดวงตาคู่นั้นปิดแน่นสนิทจนไม่มีแสงใดลอดเข้ามาในมโนภาพ รอบข้างมีเสียงหวีดร้องอื้ออึงของผู้คน รวมถึงเสียงการปะทะกันของใครสักคนอยู่ไม่ไกลจากเธอมากนัก ความใคร่รู้ปรากฏอยู่ในความรู้สึก แต่เธอกลับรู้สึกว่าหนังตามันช่างหนักเกินกว่าจะลืมขึ้นเสียแล้ว หรืออาจเป็นเพียงความกลัวที่เข้ามาเกาะกุมหัวใจหลังจากที่ทำอวดดีอยู่เสียนาน

“เฮ้ย! มันมีมีด” เสียงใครสักคนตะโกนขึ้นอย่างตื่นตะหนกอยู่ห่างๆ ประโยคนั้นทำให้เธอต้องรีบลืมตาขึ้นมาเพื่อดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า

โจรร่างบึกผู้นั้นกำลังต่อสู้กับชายคนหนึ่งผิวขาวจัด น่าจะเป็นหนึ่งในคนมุงที่เข้ามาช่วยเหลือเธอ ธรามองเขาได้อย่างไม่ถนัดตานัก เพราะดวงตากลมโตกำลังจับจ้องมีดสั้นเล่มหนึ่งซึ่งแวววับสะท้อนกับพระอาทิตย์ที่ชายฉกรรจ์ถืออยู่

ชายร่างสูงฝ่ายตรงข้าม หาได้มีสีหน้าตื่นตระหนกไปกับธราเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำดวงตายังฉายแววระยับราวกับสนุกเสียเต็มประดา แวบหนึ่งที่ดวงตาคมดุคู่นั้นมาสานสบกับเธอ ความห่วงใยปรากฏชัดโดยไม่ต้องเอ่ยคำใด ธรานิ่งอึ้งมองเขาอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่านานขนาดไหน เบื้องลึกในใจส่งเสียงดังซ้ำๆรัวๆ ดั่งชายผู้นี้คือใครสักคนที่เธอรู้สึกผูกพันและเพรียกหา

และก็รู้สึกคุ้นเหมือนเคยเห็นที่ไหน...

จนกลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง เมื่อเห็นสีเลือดแดงฉานกระฉูดออกจากแขนล่ำของเขาที่เธอลอบมองอยู่ เธอกะพริบตาถี่ๆ เรียกสติสัมปชัญญะของตัวเอง เมื่อเห็นเจ้าของบาดแผลนั้นกำแขนข้างซ้ายของตัวเองแน่น ร่างเล็กพยุงเรี่ยวแรงตัวเองขึ้นอย่างช้าๆ ร่างกายเริ่มฟื้นตัวได้จากการนั่งพัก เธอค่อยๆ ย่องเข้าทางด้านหลังของโจร ก่อนจะหยิบไม้หน้าสามท่อนเดิม ฟาดเข้าไปที่ต้นคอมันด้วยแรงที่ไม่มากนัก แต่ก็เป็นจังหวะดี ทำให้ชายหนุ่มที่เข้ามาช่วยเหลือนั้นตะครุบร่างโจรไว้ได้โดยง่าย

เมื่อเหตุการณ์สงบลง ผู้คนที่ส่งเสียงเชียร์อยู่รอบข้างเริ่มกระจายตัวออกไป เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น เสียงของชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างธราก็ส่งเสียงดักทุกคนไว้เสียก่อน น้ำเสียงนั้นแข็งกร้าวและดุดัน

“จะไปไหนกันล่ะ! หมดสนุกแล้วก็จะไปงั้นเหรอ นี่สินะคนไทย เห็นแก่ตัวจริงๆ” เขาพูดพลางเดินเข้าไปหาหญิงกลางคนซึ่งเป็นเจ้าของกระเป๋าต้นเหตุนั้น ธรายืนมองอย่างงุนงง นึกว่าเธอเดินหนีออกไปแล้วเสียอีก ที่จริงเธอถอยออกไปมองดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ เบื้องหลังกลุ่มคน

ดวงตาดุจ้องหญิงผู้นั้นนิ่ง บรรยากาศเงียบกริบจนรอบข้างได้ยินแม้เพียงลมหายใจ

“ขะ...ขอโทษค่ะ ฉะ...ฉันกลัว” กลายเป็นเจ้าหล่อนเองที่พูดทำลายบรรยากาศอึดอัดรอบข้าง น้ำเสียงนั้นสั่นละล่ำละลักจนแทบไม่เป็นภาษา ชายตรงหน้ายิ้มมุมปากแล้วขำในลำคอ

“กลัวงั้นเหรอ? แล้วคิดว่ายายเด็กนี่เข้ามาช่วยป้าแล้วเขาไม่กลัวหรือไง ของตัวเองแท้ๆ แต่เห็นคนอื่นเจ็บตัวแล้วกลับหนี มันน่าเอาป้าส่งตำรวจ ไปพร้อมไอ้โจรนั่นจริงๆ”

ธราก้าวเข้าไปหาชายหนุ่มช้าๆ ก่อนจะรั้งแขนเขาไว้ พลางสังเกตเห็นว่าแขนเขาเริ่มมีเลือดไหลลงมากขึ้น ขัดกับสีหน้าที่โกรธจนสันกรามนูนไร้อารมณ์ของความเจ็บปวด

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณ ฉันเห็นว่ามีคนโทรเรียกตำรวจแล้ว เดี๋ยวตำรวจก็มา แต่ตอนนี้ฉันว่าคุณไปหาหมอก่อนดีกว่านะคะ เลือดไหลขนาดนี้ อย่ามาเป็นห่วงคนอื่นอยู่เลย” เธอกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา ชายหนุ่มหันมามองหน้าเธอชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับไปเอ่ยกับหญิงผู้นั้นต่อ

“ไหนๆ ก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ก็รอตำรวจมาแล้วเอาไอ้โจรนั่นส่งตำรวจแล้วกัน จะได้รู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์บ้าง!” พูดจบ เขาก็หันกลับมายังกลุ่มคน “พวกคุณก็เหมือนกัน ได้แต่ยืนมองดูผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งโดนทำร้าย ยังมีสติดีกันอยู่ไหม โทรหาตำรวจแค่นี้แล้วคิดว่ามันจะจบเหรอ ว่าตำรวจจะมาผู้หญิงคนนี้ไม่แย่ก่อนเหรอ มีกันตั้งหลายคน แทนที่จะเข้าไปช่วย มัวแต่เกี่ยงกันอยู่ได้ เรื่องแค่นี้คิดไม่ได้กันหรือไง!” หางเสียงนั้นแข็งกร้าว ผู้คนต่างหลบตา

เขาไม่พูดอะไรต่ออีก ทำเพียงแค่กระชากแขนธราออกจากตรงนั้นด้วยอารมณ์โทสะ

“เดี๋ยวก่อนค่ะ! ฉันทำต้นฉบับนิยาย เอ่อ...เอกสารหล่นไว้” เธอรั้งการเดินของเขาไว้ ส่งผลให้เขาหันกลับมาถลึงตาใส่อย่างดุดัน หญิงสาวก้มหน้าลงมองพื้น ไม่ได้สังเกตเลยว่าตัวสั่นกว่าตอนต่อสู้กับโจรเพียงใด

“อืดอาดจริงๆ” เขาเอ่ยอย่างไม่จริงจังนัก “เดี๋ยวไปเก็บให้เอง คุณรอตรงนี้แหละ ไม่ใช่แค่ผมที่ต้องหาหมอ คุณด้วย” ธราเหลือบตามองเขา เห็นดวงตาคมดุนั้นอ่อนลงตามเสียงที่ละม้ายว่าจะห่วงใยกัน

“ทำไมจะต้องทำเสียงดุด้วยก็ไม่รู้”

เธอบ่นกระปอดกระแปด ก่อนมองตามร่างสูงนั้นเดินกลับไปเก็บต้นฉบับของเธอที่หล่นกระจายอยู่บนพื้น ร่างนั้นดูแข็งแกร่งกำยำ อายุน่าจะไม่เกิน 30 ปีหากดูจากใบหน้า เขาแต่งตัวธรรมดาทั่วไป เสื้อยืดสีขาวและกางเกงยีนส์สีเข้ม แต่เพราะอะไรบางอย่างที่ทำให้ธรารู้สึกว่าเขาดูมีเสน่ห์กว่าชายทุกคนที่เดินอยู่ในบริเวณนี้

แล้วความสงสัยก็ถูกคลายลง ด้วยบทสนทนาของคนในกลุ่มเมื่อครู่

“ฉันว่านะ คนนี้หน้าตาคุ้นๆ นะ เหมือนเคยเห็นที่ไหน ความปากจัดนี่ก็ด้วย” หญิงคนแรกที่เป็นคนเปิดประเด็นเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก สายตาเหลือบมองไปยังชายดูดีคนนั้น พร้อมทั้งเบะปากอย่างหมั่นไส้

“ใช่คนนั้นหรือเปล่า ที่เป็นดาราน่ะ” หญิงคนที่สองแสดงความเห็นอย่างไม่มั่นใจนัก

“ใช่สิ ฉันจำหน้าเขาได้แม่น น่ากลัวชะมัดเลย สมกับที่เคยมีแต่ข่าวเสียๆ หายๆ ตั้งแต่ตอนที่ยังดัง เธอจำได้ไหมล่ะ ที่เขาเคยมีข่าวทำร้ายร่างกายแฟนเขาน่ะ แถมยังปากร้ายพูดจาไม่ดี คนแบบนี้นี่นะอยู่ในวงการมาได้ยังไงตั้งนาน”

“นั่นน่ะสิ ว่าคนอื่น ตัวเองดีตายล่ะเมื่อก่อนน่ะ ไม่เห็นต้องมาแขวะพวกเราเลยเนอะ ก็เห็นอยู่ว่ามีแต่ผู้หญิงที่ยืนดู ถ้าฉันเป็นผู้ชายนะ ฉันก็คงจะอวดเก่งเข้าไปช่วยเหมือนกันแหละ แต่นี่ฉันก็แก่แล้ว จะให้ทำไรได้”

ธรายังคงฟังอย่างไม่เข้าใจในบทสนทนานั้น ชายคนนั้นคือใคร ดารางั้นเหรอ แต่ทำไมคนเหล่านี้ถึงพูดจาถึงเขาในทางที่ไม่ดีทั้งที่เขาก็ดูเป็นคนมีน้ำใจคนหนึ่ง

“ขอโทษนะคะ ผู้ชายคนนั้นคือใครเหรอคะ ทำไมทุกคนดูรู้จักเขากันดีจัง” เธอเดินเข้าไปถามในกลุ่มคนที่ยืนสนทนากันอยู่ไม่ห่างนัก แต่ละคนต่างก็ขำเธอเหมือนเป็นเรื่องตลก

“ก็ดาราน่ะสิหนู ชื่ออะไรนะ มันติดอยู่ที่ปากนี่แหละ” หนึ่งในนั้นเอ่ยตอบยิ้มๆ ก่อนจะทำสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก จนกระทั่งหญิงอีกคนหนึ่งตอบแทน

“เขาชื่อ ทินกร ชัยชนะพล ไงแม่หนู ชื่อเล่นว่าเพลิง เป็นดาราดังตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว แม่หนูน่าจะทันช่วงที่เขาดังนะ ไม่รู้จักได้ยังไงเนี่ย”

คำตอบของหญิงคนนั้นเป็นประโยคสุดท้ายที่เธอฟังได้ชัดถ้อยชัดคำที่สุด ก่อนที่ความรู้สึกมึนงงนั้นจะกลับมาแล่นภายในสมองอีกครั้ง ศีรษะที่ชาดิกมาสักพักใหญ่ๆ บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวด เธอเอามือกุมบริเวณที่มีเลือดไหลลงมามากขึ้น อีกทั้งความรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องก็เกิดขึ้นมาพร้อมๆ กัน สายตาของเธอพร่าเลือนกะทันหัน ก่อนที่ร่างบางจะทรุดลงไปกระแทกพื้น กลับมีอ้อมแขนแข็งแรงมารองรับไว้ เสียงเรียกนั้นคุ้นหูและนุ่มนวลอย่างสุดซึ้ง แต่หนังตาที่หนักมาก ทำให้ไม่สามารถลืมขึ้นมองได้แม้เพียงเสี้ยววินาที ในขณะที่เสียงทุ้มนั้นยังดังอยู่ในโสตประสาท

“ชล! ชล! อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ ชล!”

...ใครกันนะ...มาเรียกเราอย่างสนิทสนมแบบนั้น




ร่างสูงใหญ่กำยำเดินวนเวียนอยู่หน้าห้องพยาบาล แขนล่ำข้างซ้ายที่ถูกผ้าพันไว้อย่างแน่นหนายังคงมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย แต่ความเจ็บปวดไม่ได้มีผลกับเขาเลยสักนิด เขาเป็นห่วงคนตัวเล็กที่ยังอยู่ในห้องพยาบาลมากกว่า

เขาทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ แต่นั่งได้ไม่นานนักพยาบาลก็เปิดประตูออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทินกรเด้งตัวลุกขึ้นทันทีอย่างร้อนรน

“คุณธราไม่เป็นอะไรหรอกนะคะ เธอแค่เป็นลมไปเฉยๆ ค่ะ อีกสักพักก็ฟื้นแล้วก็กลับบ้านได้เลยค่ะ ไม่ต้องค้าง”

“งั้นผมเข้าไปได้ไหมครับ”

“ตามสบายเลยนะคะ เดี๋ยวดิฉันขอตัวไปดูแลคนไข้คนอื่นก่อน”

ทินกรพยักหน้า ก่อนเดินเข้าไปอย่างเชื่องช้าเพราะในสมองกำลังครุ่นคิดไปว่าหากหญิงสาวที่นอนอยู่ในนั้นฟื้นขึ้นมาเห็นเขาพอดี เขาควรจะทำหน้าอย่างไร และพูดอะไรกับเธอ แต่ทุกอย่างในห้วงคำนึงก็ต้องหยุดลงแค่นั้นเมื่อเดินเข้าไปก็พบร่างบางที่ยังคงนอนหลับตาพริ้มอยู่ในนิทรา

ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ด้านข้าง มองใบหน้าหวานผิวสีน้ำผึ้งที่ติดค้างอยู่ในความทรงจำตลอดมา มือหนาปัดเรือนผมที่ปกคลุมหน้าผากมนของหญิงสาวก่อนใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อที่ผุดพรายออกมาตามกรอบหน้าอย่างอ่อนโยนระวังไม่ให้โดนแผลที่เหนือคิ้ว ชายหนุ่มลูบไล้ใบหน้านั้นเนิ่นนาน ดวงตาฉายความปรารถนาอย่างสุดซึ้ง

“ทำไมต้องสะเออะวุ่นวายไม่เข้าเรื่องนะยายเด็กบ้า” คำพูดเหมือนดุ ทว่าหางเสียงกลับอ่อนโยนอย่างน่าประหลาดนัก “ถ้าผมเข้าไปช่วยคุณไม่ทัน คุณจะเป็นยังไงบ้าง”

ชายหนุ่มจับมือบางขึ้นมากุมแน่น ก่อนจูบเข้าที่นิ้วเรียวทั้งห้านิ่งนาน นำมาแนบเข้ากับแก้มตัวเองดุจการรับกำลังใจ อีกมือที่ว่างล้วงหยิบแหวนเพชรลวดลายประหลาดออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วสวมเข้ากับนิ้วนางข้างซ้ายธราได้อย่างพอดิบพอดี

ทินกรเผยยิ้มบางมีเสน่ห์ มองแหวนเพชรที่ล้อกับแสงไฟในห้องพยาบาลเป็นประกายสวยงามอยู่ในนิ้วเรียวของหญิงสาว
ไม่ทันจะได้เอ่ยถ้อยคำใดๆ ที่ค้างคาในจิตใจ เสียงโทรศัพท์ของทินกรก็ดังขึ้นเสียก่อน ชายหนุ่มมองใบหน้าของคนที่โทรมาในหน้าจอแล้วกดรับอย่างไม่รีรอ คนปลายเสียงกรอกเสียงหวาน

...[พี่เพลิงคะ เมื่อไหร่จะมาล่ะ แดนบ่นหาป๊ะป๋าแล้วนะ ลูกหิวข้าว รอพี่เพลิงมาพาไปกินชาบู]

“อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมง จะรีบไปเลย”

...[โอเคค่ะ แล้วเจอกัน]

“ขอโทษนะชล ที่ทำตามสัญญาไม่ได้” ชายหนุ่มกลับมาพึมพำอยู่กับนิ้วเรียวนั้น สายตาคมจับจ้องไปที่ดวงหน้าหวานที่ยังหลับพริ้ม ทินกรยืนขึ้นจนเต็มความสูง และจรดริมฝีปากบางเฉียบลงไปประทับปากอิ่มที่เผยอขึ้นตามลมหายใจเข้าออก
เหตุผลมากมายเหลือเกินที่ทำให้เขาต้องห่างจากเธอ แม้ในใจจะโหยหาสัมผัสอบอุ่นจากร่างบาง แต่ในยามที่เธอมีสติ เขาไม่มีวันได้ทำแน่ๆ

ทินกรจูบเธออย่างนั้นนิ่งนาน แทนความคิดถึงที่เขามีในหัวใจตลอดมา ก่อนจุมพิตไปทั่วใบหน้าเพื่อปัดเป่าความเจ็บปวดทั้งหลายให้คนตัวเล็ก

“ผมรักคุณ และคิดถึงคุณเหลือเกิน แต่ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ได้เลย” เขาจูบเธออีกครั้งอย่างรักใคร่ ก่อนปล่อยมือบางให้เป็นอิสระและเดินจากไปทันที

...เขามาให้เธอเห็นไม่ได้อีกแล้ว

ดวงตากลมโตค่อยๆ ลืมขึ้นอย่างหนักอึ้งในความรู้สึก กลิ่นยาฉุนกึ้กลอยมาปะทะจมูกจนต้องเอามือปิด แสงสว่างทำให้เธอต้องหลับตาลงอีกครา ก่อนจะตั้งสติแล้วลืมตามองเพดาน ทำอย่างนั้นค้างอยู่นาน จนกระทั่งมีเสียงโวยวายของหญิงสาวคนหนึ่งดังเข้ามาในห้อง

“ชล! โธ่แก! นี่เป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย ทำไมแกต้องเอาตัวเองเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับปัญหาสังคมอยู่เรื่อยเลยเชียว เห็นไหม ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะการที่เธอยุ่งไม่เข้าเรื่องนี่แหละ” เธอผู้นั้นไม่พูดเปล่า ยังมาเขย่าร่างธราที่นอนอยู่บนเตียงจนเธอแทบวูบหลับไปอีกรอบ

ธรากะพริบตามองหญิงสาวร่างเพรียวนั้นถี่ๆ ดวงหน้าสวยคมจ้องมองมาอย่างเป็นห่วงเป็นใย

“ทิพย์...”

“เออสิ ดีนะที่แกยังจำฉันได้อยู่ แล้วตกลงเป็นไงบ้าง” มือนั้นเขย่าเรียกสติเธออีกครั้งทำให้ร่างบางต้องเด้งตัวลุกขึ้นมาก่อนจะโดนเพื่อนรักฆาตกรรมด้วยการเขย่า

“ฉันไม่ได้เป็นอะไรแล้วน่า แล้วนี่แกมาได้ยังไง” ธราสะบัดตัวเองออกจากการเกาะกุมของทิพย์สุดาเพื่อนสาวคนสนิท พร้อมทั้งถามเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งเพื่อนเธอนั้นเบิกตาโตอย่างคนเพิ่งนึกได้

“อ๋อใช่ๆ มีผู้ชายคนหนึ่งเอาเบอร์แกโทรให้ฉันมาที่นี่ บอกว่าแกโดนทำร้ายเพราะช่วยคนโดนล้วงกระเป๋า” ทิพย์สุดาพูดพลางมองไปรอบๆ “แล้วเขาคือใคร ไปไหนซะล่ะ”

ธรานอนมองหน้าเพื่อนสาวนิ่ง ราวกับทบทวนความทรงจำ สิ่งสุดท้ายที่เธอได้ยิน

‘ชล! ชล! อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ ชล!’

เสียงผู้ชายคนนั้นคือใคร เธอคิดทบทวนจนเริ่มนึกออก ใช่แล้ว...คนที่มาช่วยเธอ

“ไม่รู้สิ” ธราพึมพำพูดอยู่ในลำคอ จนเพื่อนสาวขมวดคิ้ว “แล้วเขาบอกว่าไงอีกแก”

“เขาบอกว่าให้ฉันเตือนแกหน่อยเรื่องนิสัยบ้าระห่ำแบบนี้ ให้แกดูแลตัวเองดีๆ น่ะ แต่ที่สำคัญนะแก” ทิพย์สุดายิ้มจนตาหยี “เสียงเขาอะ หล่อมากๆ เลยชล”

ธราต้องหลับตาลงอีกครา เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนสาวคนนี้ค่อนข้างหวั่นไหวง่ายกับเพศตรงข้าม พลันนึกไปว่า ชายคนนั้นจะเป็นอะไรมากไหม เธอเห็นเลือดที่ไหลจากแขนซ้ายเขาไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว แล้วเพราะอะไรกันเล่า ที่เขาจะต้องมาเป็นห่วงเป็นใยเธอทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักกันเลยสักนิด

หญิงสาวเอามือกุมขมับขับไล่ความมึนงงให้หมดสิ้นแล้วก็ต้องสะดุ้งน้อยๆ เมื่อมีโลหะบางอย่างสัมผัสกับศีรษะ เป็นจังหวะเดียวกับที่ทิพย์สุดาเอ่ยทักเสียงแหลม

“แหวน! ชล นี่แกใส่แหวนตั้งแต่เมื่อไหร่ ปกติฉันไม่เคยเห็นแกใส่นี่” ไม่พูดเปล่า เธอยังจับมือบางนั้นขึ้นไปพินิจอย่างใกล้ชิดด้วยดวงตาวาววับ “โหย ดูสิแก มีเพชรเม็ดงามด้วยล่ะ แปลกมาก ฉันไม่เคยเห็นเพชรรูปร่างประหลาดแบบนี้เลย”

ธรากระชากมือกลับมามองด้วยความสนใจ แหวนเพชรแวววาวส่องแสงล้อกับประกายไฟในห้องพยาบาล ลักษณะวงกลมล้อมรอบมีเพชรติดด้านนอกเป็นเม็ดเล็กๆ ด้านในของวงกลมก็มีเพชรเรียงตัวกันเป็นรูปหัวใจ โดยมีโลหะรูปพระอาทิตย์อยู่ในสุด แกนกลางใช้เม็ดทับทิมสีชมพูประดับ มันดูสวยงามระยิบระยับราวกับถูกบงการสรรค์สร้างมาอย่างจงใจ

“ตกลงแกไปซื้อมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แกมีปัญญาซื้อแหวนเพชรด้วยเหรอ”

หญิงสาวส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ฉันเปล่านะ ไม่ใช่ของฉัน”

“อ้าว แล้วของใครล่ะ หรือว่าเป็นของคนที่ช่วยแก” ทิพย์สุดาจ้องมองมันอย่างครุ่นคิด “เอ๊ะ หรือว่าของคนที่แกไปช่วยเขา ที่โดนล้วงกระเป๋าน่ะ”

“ฉันไม่รู้ แต่แกว่าฉันควรทำไงดี ฉันไม่อยากได้” ธราเอ่ยเสียงเครียดก่อนจะพยายามถอดมันออกมา “โอ๊ยแก มันถอดไม่ออก”
“แก! อย่าถอดเลย ฉันว่าคนให้เขาคงตั้งใจให้แหละ อย่าปฏิเสธไปเลย”

หญิงสาวนิ่วหน้าอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะจ้องมองแสงเพชรที่ล้อกับไฟระยิบระยับ เธอยื่นมือเข้ามาดูใกล้ๆ เพราะอะไรก็ไม่อาจรู้ที่ทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยกับแหวนวงนี้เสียเหลือเกิน ไหนจะความพอดีเหมาะเจาะกับนิ้วของเธออีก



เอวาลิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 มี.ค. 2559, 22:39:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 มี.ค. 2559, 22:43:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 1074





   ตอนที่ 2 >>
Zephyr 11 มิ.ย. 2559, 18:01:14 น.
เอ แล้วจะรักกันได้ไงนะ
ปักๆๆๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account