Sea and Dream ทะเล ความฝัน และความจริง
เรื่องราวของ "อาภาคย์" ตั้งแต่เยาว์วัย ผ่านชีวิตนักเรียนเตรียมทหาร นักเรียนนายเรือ จนเป็นนายทหารเรือแห่งราชนาวีไทย รวมถึงชีวิตการทำงานและครอบครัว ผ่านการเล่าความฝันโดย นาวาโท อครพล แสนแก้ว ผู้ยึดถืออาภาคย์เป็นแรงบันดาลใจ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตามล่าความสำเร็จ

ภายใต้จิตในตอนนั้น บรรยากาศรอบกายมันมีแต่ความว่างเปล่า ผมไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ ณ แห่งหนตำบลใดบนโลกนี้ จะเป็นหรือตาย เพื่อนผมเป็นอย่างไรบ้าง “ภาคย์ ภาคย์ ภาคย์” เสียงเรียกชื่อลอยมาจากที่ใดสักแห่ง หลังจากเสียงเรียกแล้วผมเริ่มรับรู้ถึงอาการเจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กาย “โอ๊ย...”ผมเปล่งเสียงโอดโอยดังลั่น พร้อมกับลืมตาขึ้นมามองไปรอบตัว สิ่งที่สายตาเห็นมีพ่อแม่ ยาย น้า และน้องสาวของผมยืนอยู่รอบๆ “ภาคย์ เป็นอย่างไรบ้างลูก เจ็บตรงไหน” ผมค่อยๆยกหัวเล็กน้อยก้มไปดูบิเวณขาที่ปวดเจ็บปวด ขาข้างขวาของผมถูกใส่เฝือกอันเบ้อเริ่ม บริเวณหัวเข่าซ้ายมีผ้าพันแผลอันใหญ่ปิดทับอยู่ “ผมอยู่ไหนครับแม่” ผมเปล่งเสียงแหบแห้งถามแม่ที่ยืนอยู่ใกล้ “อยู่โรงพยาบาลน่ะสิ ภาคย์รู้มั๊ย ตอนที่รู้ข่าวนะทุกคนตกใจมาก รถเครื่องของเพื่อนเราน่ะ กระแทกต้นไม้ซะพังยับเยิน นี่โชคยังดีนะที่ภาคย์กับเพื่อนกระเด็นหลุดมาจากรถซะก่อน ถ้าตัวเราทั้งคู่กระแทกต้นไม้นะ แม่ไม่อยากคิดเลย” อืม...ไอ้เชษฐ แล้วเพื่อนผมล่ะเป็นอย่างไรบ้าง “แม่ครับ ไอ้เชษฐล่ะ” แม่ผมบอกว่าเชษฐแค่เป็นแผลจากการถูกหนามเกี่ยว และหัวแตกนิดหน่อย ตอนรถร่วงไปข้างล่างแล้วมันเห็นผมนอนสลบอยู่ มันตกใจมากรีบตะเกียกตะกายขึ้นมาขอให้คนช่วย แล้วแจ้งตำรวจให้ติดต่อบอกข่าวทางบ้านของผมด้วย ผลจากการซิ่งรถปล่อยอารมณ์ในวันนั้น ทำให้การปิดเทอมหนึ่งเดือนของผมปิดฉากความสนุกไปโดยปริยาย ผมต้องอยู่บ้านยายเพื่อรักษาตัว รถเครื่องก็ขี่ไม่ได้ แผลที่เข่าซ้ายซึ่งลึกมากก็ต้องไปทำแผลที่โรงพยาบาลทุกวัน เฮ้อ...สร้างความลำบากให้ทุกคนแท้ๆ อีกอย่างการติดต่อกับส้มก็ลำบากเพราะสมัยนั้นโทรศัพท์มือถือไม่มี
ผมนั่งๆนอนๆอยู่บ้ายยาย นอนดูทีวี เช่าวีดีโอมาดูไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง ใจอยากเจอส้มสักนิดก็ทำไม่ได้เพราะที่บ้านผมไม่รู้และไม่อยากให้รู้ รอเปิดเทอมแล้วกันนะครับส้ม ในทุกเย็นน้าจะพาผมพร้อมเฝือกอันโตซ้อนรถเครื่องไปทำแผลที่ โรงพยาบาลพระจอมเกล้า (ก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2491 โดยการนำของพระสมัครสโมสร(เสงี่ยม สมัครสโมสร) ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ร่วมกับคณะกรรมการจังหวัดได้ร่วมมือกันจัดตั้งองค์กรการกุศล ชักชวนข้าราชการ พ่อค้า คหบดี ตลอดจนประชาชน ได้ร่วมบริจาคเงิน เพื่อนำไปสมทบกับงบประมาณของกระทรวงสาธารณสุข ในสมัยพระบำราศโรคาพาฬห์ (สาธารณสุขจังหวัด ในขณะนั้น) สร้างบนที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ริมทางรถไฟสายใต้ ใกล้สถานีรถไฟเพชรบุรี และเขาพนมขวด ในอดีตชาวบ้านบางคนอาจเรียก โรงพยาบาลเขาพนมขวดและร่วมเป็นคณะกรรมการควบคุมการก่อสร้างจนแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2492 ใช้ชื่อว่า โรงพยาบาลเพชรบุรี
ในปี พ.ศ. 2532 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้อัญเชิญพระนามาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นชื่อโรงพยาบาลว่า "โรงพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี" (King Mongkut Memorial Hospital, Phetchaburi Province ) เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2532 [2] เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานลำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงประกอบกิจคุณูประการ อันเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ โดยเฉพาะจังหวัดเพชรบุรีเป็นอย่างยิ่ง) แผลที่หัวเข่าของผมนี้ลึกมาก ลึกประมาณหลุมใส่ขนมครกเกือบถึงกระดูกเลยล่ะไม่รู้มันเกิดจากอะไร การทำแผลต้องทำทุกวันเพราะผมเคยขี้เกียจมาทำหนึ่งวัน เนื้อภายในแผลและโดยกลายเป็นสีเขียว พยาบาล เอ่อ ไม่ใช่สินักเรียนพยาบาลที่มาคอยทำแผลให้ผมทุกวันบ่นเป็นการใหญ่ “บอกแล้วไงว่าให้มาทำทุกวัน ดูซิเนื้อเน่าหมดแล้ว มันน่าตีนักเชียว” ผมโดนอุปกรณ์อะไรก็ไม่รู้ขูดๆเขี่ยๆบริเวณแผล ลูกผู้ชายที่โตเกือบเต็มวัยแบบผมถึงกับต้องกัดหมอนเลยทีเดียว น้ำตานี่ไหลพราก พี่นักเรียนพยาบาลแอบหัวเราะเยาะผมใหญ่เลย “เอาล่ะเสร็จแล้ว พรุ่งนี้อย่าลืมมาทำแผลนะนายภาคย์ อ่อ พรุ่งนี้พี่มาเข้าเวรเวลานี้อีก มาถึงก็เรียกหาพี่ได้เลยนะ” ผมมองผู้หญิงตัวเล็กหน้าหมวยอย่างหวาดกลัว ถึงพี่แกจะสวยดีแต่มือหนักชะมัดยาด
สองสัปดาห์ถัดมาผมถอดเฝือกได้แล้ว แต่ยังเดินไม่ค่อยถนัดนัก ดีอย่างเดียวคือสามารถขี่รถเครื่องเองได้ไม่ต้องให้น้าผมลำบากในการพามาทำแผลแล้ว เชื่อมั๊ยจากการทำแผลกับนักเรียนพยาบาลคนเดิมเกือบทุกวัน ทำให้ผมกับพี่บีสนิทกันสุดๆ แต่ไม่คิดอะไรนะครับ ตอนนั้นผมเพิ่งทำบัตรประชาชน ส่วนพี่บีน่าจะอายุ 21-22 ปีเพราะแกอยู่ปีสุดท้ายแล้ว ไม่อยากได้สาวแก่กว่าอีกอย่างผมก็มีสาวที่น่ารักสุดๆอยู่ทั้งคน “เอาล่ะภาคย์ แผลแห้งแล้ว หายซะทีเนอะ คราวหน้าอย่าซ่าอีกล่ะ” ไชโยๆหายแล้ว พรุ่งนี้ไปหาส้มดีกว่า อีกสัปดาห์เดียวโรงเรียนก็จะเปิดเทอมแล้วยังไม่ได้ไปเที่ยวกับส้มเลย “ขอบคุณครับพี่บี แหมต้องลำบากมาทำแผลให้ผมทุกวันเลย” ผมกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ “นี่ๆแค่ขอบคุณจะพอเหรอ เรานะอุตส่าห์ตั้งใจทำแผลให้อย่างดี เอาอย่างนี้วันเสาร์ภาคย์มารับพี่ที่หน้าโรง’บาลได้ป่ะ พาพี่ไปเที่ยวหน่อย ถือว่าเป็นค่าจ้างทำแผลแล้วกัน” เอาแล้วๆ เจอสาวอายุมากกว่าอีกแล้ว ไอ้ที่ตั้งใจจะไปหาส้มคงต้องเลื่อนออกไปก่อน ทำไงได้ครับเด็กหนุ่มวัยแตกพานแบบผมมีผู้หญิงมาชวนไปเที่ยว ถ้าไม่ตอบตกลงก็โง่สิครับ มีข้อควรระวังเพียงอย่างเดียวนั่นคืออย่าให้ที่บ้านผมเห็น และที่สำคัญอย่าให้ส้มเห็นด้วย
วันเสาร์สิบโมงเช้า ผมขี่มอเตอร์ไซต์คู่ใจซ้อนสาวหมวยตัวเล็กที่กอดเอวผมอยู่ด้านหลัง พี่บีบอกอยากไปทะเล ตั้งแต่มาเรียนที่เพชรบุรีไปเที่ยวทะเลสองครั้งเอง ทำไมผู้หญิงชอบเที่ยวทะเลนักนะ แต่ผมคงไม่พาไปหาดเจ้าสำราญหรอก สถานที่ที่ผมเปิดเผยใจกับแฟนคนแรกของผม ผมจะไม่พาใครไปซ้ำรอยเด็ดขาด แต่ไม่ต้องกลัวครับเพชรบุรีมีชายทะเลฝั่งอ่าวไทยยาวตั้งร้อยกว่ากิโลเมตร มีชายหาดให้เที่ยวมากมายตั้งแต่อำเภอบ้านแหลม อำเภอเมือง อำเภอท่ายางและอำเภอชะอำ และที่ชะอำนี่เองเป็นที่พี่บีให้ผมพาแกไปเที่ยว ระยะทางจากตัวเมืองไปชะอำประมาณ 40 กิโลเมตร แต่ผมเลือกใช้เส้นทางเลียบชายทะเลครับ ตั้งต้นที่หาดเจ้าเลาะไปเรื่อยๆ ผ่านหาดปึกเตียนจนถึงชะอำ สมัยนั้นแดดมันไม่แรงจ้าเหมือนตอนนี้ เส้นทางนี้ทิวทัศน์สวยงามแถมลมจากทะเลยังพัดมาเย็นสบาย พี่บีนั่งรถสบายอารมณ์กอดเอวผมตลอดเวลา แถมยังเอาคางมาเกยไหล่ผมอีก หูย...บรรยากาศคู่รัก ส้มจ๋า ภาคย์ขอโทษนะขอนอกใจวันหนึ่งเท่านั้นเอง อีกอย่างเบาะรถก่อนไปรับพี่บีผมก็จัดการขัดด้วยแว๊กซี่ซะลื่นปรื๊ด แน่นอนครับแผ่นหลังของผมสัมผัสถึงก้อนพลังงานที่อ่อนนุ่มตลอดเวลา ฮิฮิ
เราจอดรถตรงหาดชะอำใต้เพราะคนน้อยดี เช่าเตียงผ้าใบมานอนเล่น นั่งกินอาหารทะเลย่างโดยมีพยาบาลสาวเป็นเถ้าแก่เนี๊ยะสนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมด นอนรับลมและกินอาหารเสร็จสรรพ “ภาคย์ ไปเล่นน้ำกัน” ตายล่ะหว่า ไม่มีชุด พี่บีเหมือนรู้ใจ “เอาน่าไปเล่นก่อน เดี๋ยวพี่ซื้อชุดให้ใหม่” งั้นไม่รอช้าล่ะ คว้ามือพี่บีแล้ววิ่งไปที่น้ำทะเลเบื้องหน้า เราสองคนเล่นน้ำกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันเต็มที่ พี่บีที่ยามใส่ชุดพยาบาลดูเป็นสาวดุและเข้มงวด แต่เมื่อแกเปลี่ยนสถานะแล้วเป็นคนสดใสและร่าเริงแถมยังตลกโปกฮามาก ซึ่งทำให้ต่อมาผมเข้าใจพยาบาลหลายคนที่ผ่านมาในชีวิตเลยว่าการทำงานของพวกเธอนั้นเครียดมาก พักผ่อนไม่เป็นเวลา ต้องบริการผู้คนที่วันๆต้องเจอกับสถานการณ์ใดบ้างก็ไม่รู้ ใครมีแฟนเป็นพยาบาลก็หมั่นเอาใจใส่ดูแลด้วยนะครับ ไอ้เจ้าก้อนพลังงานที่ว่าในข้างต้นยามลงเล่นน้ำก็ยิ่งแนบเนื้อและสัมผัสผมมากขึ้น พี่บีครับถึงผมจะเป็นเด็ก แต่ผมก็โตพอที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วนะครับ อีกอย่างความต้องการทาง”แพทย์”ของเด็กวัยผมมีมากซะด้วย พี่บีชอบนอนบนห่วงยางแล้วให้ผมคอยประคองอยู่ด้านนอก หน้าของผมใกล้กับหน้าพี่บีตลอดเวลา อีกทั้งมือผมก็เกยไว้กับขาอ่อนขาวของพี่บีอีก โหย... ผมไม่รู้หรอกนะว่าพี่บีแกแค่ต้องการปล่อยอารมณ์เวลามาเที่ยวหรือว่าต้องการอะไรมากกว่านั้น. แต่ตลอดสองชั่วโมงที่อยู่ในน้ำเราสองคนนัวเนียพันตูกันซะจนใครมาเห็นคงนึกว่าเป็นคู่ผัวตัวเมีย “ภาคย์ เย็นแล้วเราขึ้นกันเถอะ ไปอาบน้ำอาบท่ากันดีกว่า” พี่บีซื้อกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดให้ผมชุดหนึ่ง และที่ไม่น่าเชื่อ แกไปเช่าบังกะโลหลังหนึ่งบอกว่าจะได้อาบน้ำสะดวกดี ถึงเวลานี้ต่อให้ผมเป็นเด็กแต่ก็ไม่ใช่เป็นไก่อ่อน คืนนั้นครูบีสอนผมทำการบ้านหลายวิชาจนหนุ่มน้อยแบบผมสำเร็จเคล็ดวิชาไปอีกหนึ่งขั้น
ตื่นมาตอนสายๆ เราก็ขี่รถกลับบ้านกันโดยมีก้อนพลังงานที่ผมได้เห็นแล้วว่ามันคืออะไรสัมผัสแผ่นหลังตลอดทาง ส่งพี่บีเสร็จแล้วผมรีบกลับบ้านและบอกยายไปว่าเมื่อวานผมไปเที่ยวบ้านเพื่อนมาขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง ยายผมแกก็ไม่ได้ว่าอะไรครับแค่บอกว่าคราวหน้าจะไปไหนให้แวะมาบอกยายก่อน พูดถึงพี่บีแล้วหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นผมก็แอบไปเจอแกอีกสองถึงสามครั้ง จนแกจบการศึกษาและไปทำงานที่บ้านเกิดผมก็ไม่พบเจอแกอีกเลยตราบจนทุกวันนี้ ถึงผมจะเป็นดอกไม้ริมทางของแกแต่ขอบคุณมากนะครับพี่บี ขอบคุณที่ทำให้ผมมีบทเรียนรักเพิ่มมาอีกบทหนึ่ง
เริ่มต้นภาคเรียนที่สองของชั้น ม.4 ในเดือนพฤจิกายน ปี 2537 ผมย้ายมาอยู่กับยายอีกครั้ง แหม..ชีวิตนี่ไม่เคยได้อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งตั้งแต่เล็กจนโต แม่ไม่อยากให้ผมขี่รถไกลทุกวันแกกลัวจะเกิดอุบัติเหตุคร่าชีวิตลูกชายไป อีกอย่างตอนนั้นแม่กับพ่อลาออกมาอยู่ร้านเต็มตัวแล้วจึงไม่ต้องห่วงอะไรอีก เปิดเทอมผมขี่รถคู่ใจไปจอดที่บ้านไอ้กุ๊กหน้าวัดคงคารามแล้วค่อยเดินไปโรงเรียนพร้อมมัน ขี้เกียจไปจอดในโรงเรียน ถึงห้องประจำชั้น ม.4/7 ของผมที่อยู่อาคาร 4 นั่งคุยเฮฮากับเพื่อนได้สักพักก็เห็นส้มมายืนหน้าตูมอยู่หน้าห้อง “ภาคย์ แฟนเธอมาแน่ะ ไปๆ “ ยัยอรเพื่อนผู้หญิงร่วมห้องแซว ตายห่า ไม่ได้ไปรับส้มนี่หว่า จะว่าไปแล้วเราไม่ได้เจอกันมาเดือนหนึ่งเต็มๆ “ภาคย์...ภาคย์ไปไหนมา ปิดเทอมก็ไม่ไปหาส้มเลย เปิดเทอมมายังไม่ไปรับอีก ส้มเสียใจนะ” ส้มเปิดฉากมาด้วยน้ำเสียงโกรธปนเศร้า ผมรีบดึงมือส้มไปหลังตึกข้างโรงอาหาร “ภาคย์ขอโทษ วันนี้มันรีบจริงๆ ต่อไปนี้ไปรับส่งเหมือนเดิมนะ เอ่อ..ภาคย์มาอยู่บ้านยายแล้วนะจะได้ใกล้ส้มมากขึ้น” แล้วผมก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดอุบัติเหตุให้ส้มฟัง แต่ไม่ได้เล่าเหตุการณ์กับพยาบาลหรอกนะ ไม่งั้นกูตาย “ภาคย์ ทำไมไม่บอกส้ม ถ้าภาคย์เป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง คราวหน้าต้องระวังนะ”ส้มได้ฟังก็ตัดพ่อต่อว่าผมซะยกใหญ่ วันนั้นก็เลยคืนดีกันแบบง่ายๆด้วยการพาไปกิน ก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ๊กอ้า หน้าวัดมหาธาตุเป็นการง้องอน และแล้วหน้าที่สารถีก็กลับมาเป็นของผมดุจเดิม
ในเทอมสองนี้ผมบอกกับทุกคนรวมถึงส้มไว้ว่าจะถีบตัวเองให้ขึ้นไปเกรดสามอีกครั้ง ดังนั้นไอ้วิชาที่มันหลอกหลอนผม ผมก็จะหลอกมันกลับบ้างด้วยการตั้งใจเรียนมากขึ้น หมั่นทบทวนและทำแบบฝึกหัดให้มากเข้าไว้ ก็ดีขึ้นมานิดหน่อยครับเท่าที่จำได้วิชาเคมีจากเทอมหนึ่งผมได้เกรด 1 เทอมสองนั้นผมถีบตัวเองขึ้นมาจนได้เกรด 2 เช่นเดียวกับชีววิทยาที่ผมยังคงที่ที่เกรด 2 แต่นั่นก็เพียงพอที่ทำให้เกรดเฉลี่ยในเทอมนั้นผมได้ 3.14 ปลายเดือนนั้นช่วงพักกลางวันในวันหนึ่ง ส้มไปหาผมที่สนามตะกร้อซึ่งผมกำลังเตะตะกร้อกินเงินกันอยู่ (แฮ่ะๆ ไม่มากหรอกครับ เกมละ 60 บาทหารกันสามคน) “ภาคย์ มานี่เร็วๆ” ส้มร้องเรียกแล้วดึงมือผมไปจากสนามท่ามกลางเสียงโห่ฮาป่าจากนักตะกร้อ “นี่ๆ ไปไหนๆ” ผมถามแฟนคนสวยด้วยความมึนงง “ภาคย์จ๋า เรียนจบแล้วภาคย์อยากเป็นอะไร” ดึงมือผมมาถามแค่เนี๊ยะ “อยากเป็นวิศวกร ภาคย์ถึงเลือกเรียนสายวิทย์ไง” “งั้นภาคย์มากับส้มแป้บนึง” ส้มพาผมไปที่ห้องประชุมของฝ่ายแนะแนวที่อยู่ชั้นล่างติดกับห้องสมุด ที่นั่นมีเด็กนักเรียนผู้ชายมากมายหลายคนกำลังนั่งฟังบรรยายจากคนที่ใส่เครื่องแบบฟิตๆสีขาว กางเกงสีเขียว เป็นรุ่นพี่พรหมาฯสอบติดโรงเรียนเตรียมทหารแล้วกลับมาแนะแนวการศึกษาให้กับน้องๆ ผมนั่งฟังจนจบการบรรยายซึ่งตอนนั้นรู้สึกเฉยๆนะ ไม่รู้สึกดีไม่รู้สึกแย่ “ภาคย์ พ่อของส้มเป็นทหารบก ท่านจบโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ส้มรักพ่อมาก พ่อเป็นคนใจดีและสง่างาม แต่พ่อมาตายจากการปฏิบัติหน้าที่ตอนส้มอยู่ ป.6”ส้มเล่าให้ผมฟัง ซึ่งน่าแปลกที่ผมไม่เคยถามเลยตลอดเวลาที่คบกัน ผมแค่นึกสงสัยว่าพ่อส้มไปไหน ทำไมจึงไม่เคยเห็น ตอนนั้นคิดอกุศลไปว่าแกมีเมียน้อยแล้วทิ้งแม่กับส้มไปด้วยซ้ำเลยไม่กล้าถาม ส้มพูดต่อด้วยตาแดงกล่ำ “แม่เคยบอกว่าถ้าส้มเป็นผู้ชาย แม่อยากให้ส้มเป็นทหารเหมือนพ่อ”ผมอึ้งครับ จะจับมือหรือกอดปลอบใจก็ไม่ได้เพราะอยู่ในโรงเรียน ทหารเหรอ? บอกตามความสัตย์ ไม่เคยอยู่ในหัวผมสักนิด “ส้มครับ ขอเวลาภาคย์ตัดสินใจสักพักนะ แล้วภาคย์จะให้คำตอบกับส้ม”
ผมใช้เวลาหาคำตอบให้ส้มไม่นานครับ ต้นเดือนธันวาคมปีนั้นผมกลับบ้านพ่อ เพราะหยุดวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผมจะกลับบ้านไปไหว้พ่อ ผมวางพวงมาลัยบนตักพ่อแล้วก้มกราบ คิดในใจว่าอยากจะทำอะไรให้พ่อภูมิใจสักครั้ง จนผมได้คำตอบให้กับตัวเองเมื่อเย็นวันนั้นเอง ผมไปเที่ยวบ้านเพื่อนในหมู่บ้านแล้วแวะซื้อน้ำอัดลมที่ร้านค้า สมัยนั้นร้านค้าของแต่ละหมู่บ้านจะเป็นศูนย์รวมคนและศูนย์รวมข่าว เพราะทั้งโทรทัศน์และวิทยุที่เป็นสิ่งหายากในสมัยนั้นจะมีให้เราชมที่ร้านค้า ภาพที่ผมเห็นในร้านค้ายายอิ่ม เป็นผู้คนประมาณสามสิบกว่าคนมุงดูโทรทัศน์อยู่ ด้านหน้าเป็นผู้เฒ่าผู้แก่นั่งพับเพียบพนมมือไหว้ คนอื่นที่อยู่ในบริเวณนั้นก็ยกมือไหว้ ผมงงมากว่าเค้าเป็นอะไรกันก็เลยเบียดเข้าไปดูโทรทัศน์บ้าง เป็นภาพทหารในเครื่องแบบหลากสีสัน แบบปืนและทำอะไรที่ผมไม่รู้ แต่ดูคึกคักและห้าวหาญเหลือเกิน สักพักกล้องจับภาพไปที่บุคคลหนึ่งที่ทหารพวกนั้นทำความเคารพ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ในชุดทหารเต็มยศสีแดงกำลังยืนรับความเคารพเคียงข้าง “สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ” ยิ่งวินาทีที่พระองค์ท่านกล่าวให้โอวาทกับเหล่าทหารนั้น ผมยืนแน่นิ่งดั่งต้องมนต์สะกดเฉกเช่นกับผู้คนในร้านยายอิ่ม หลังกล่าวพระบรมราโชวาท ทหารพากันเปล่งเสียง ทรงพระเจริญ พร้อมกับชาวบ้านในร้านยายอิ่มก็ตะโกน ทรงพระเจริญ และเชื่อใจว่าประชาชนไทยทั่วประเทศที่เฝ้าดูหน้าจอโทรทัศน์ก็ทำแบบเดียวกัน “สวนสนามราชวัลลภ” “สวนสนามทหารรักษาพระองค์” ลุงมี ผู้ใหญ่บ้านบอกกับผมเช่นนั้น คืนนั้นผมทบทวนคำๆนี้อยู่หลายเที่ยว ส้ม...ภาคย์ได้คำตอบแล้วล่ะ ภาคย์อยากเป็นทหารรับใช้ในหลวง....
ดังนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ของปีถัดมา ผมชวนส้มนั่งรถประจำทางมากรุงเทพฯ เพื่อซื้อใบสมัครสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งสถานที่ซื้อที่ใกล้ที่สุดก็คือร้านค้าสมาคมภริยาทหารเรือ ตรงบริเวณราชนาวีสโมสร ท่าราชวรดิษฐ เราสองคนนั่งรถทัวร์มาลงที่สายใต้ซึ่งเป็นการนั่งรถประจำทางปรับอากาศเป็นครั้งแรกของเด็กบ้านนอกอย่างผม ผมจัดการซื้อใบสมัครทั้งสี่เหล่าทัพเลย มันต้องติดสักที่หนึ่งแหล่ะวะ ขอบอกว่าแต่ก่อนการสอบเข้าเตรียมทหารนั้น แต่ละเหล่าทัพจะสอบวันเดียวกัน ดังนั้นการจะสอบที่เหล่าใดต้องเลือกแบบเฉพาะเจาะจงว่าตนเองชอบเหล่าทัพนั้นจริงๆ แต่ในปีนี้เปลี่ยนระบบการสอบเป็นสอบคนละวัน ดังนั้นนักเรียนที่จะสอบจึงสามารถสอบทุกเหล่าทัพได้ ผมยืนถือใบสมัครเคียงข้างส้มตรงริมแม่น้ำเจ้าพระยาข้างราชนาวีสโมสร “ส้มครับ ภาคย์จะตั้งใจทำให้ความฝันของภาคย์และของส้มเป็นจริงให้ได้ ส้มเป็นกำลังใจให้ภาคย์ด้วยนะ” ส้มจับมือผมแน่น แววตาที่มองผมเปี่ยมด้วยความรัก ถึงแม้ส้มจะไม่เคยพูด และเราอาจจะเด็กเกินกว่าที่จะรู้จักคำนี้ แต่ความรู้สึกของผมสัมผัสได้ เราแวะเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าเมืองกรุงได้สักพักก็กลับ เมื่อถึงเพชรบุรีแล้วผมไปส่งส้มที่บ้าน แม่ของส้มให้กำลังใจผมเสมือนผมเป็นลูกชายของแก ขอบคุณมากครับคุณแม่ ผมจะตั้งใจอ่านหนังสือครับ
หลังการสอบเทอมสองเสร็จแล้ว ประมาณเดือนมีนาคม ปี 2538 ผมกับลูกพี่ลูกน้องและเพื่อนในหมู่บ้านอีกคนหนึ่งเดินทางออกจากหมู่บ้านเพื่อเตรียมตัวไปสอบที่กรุงเทพฯ การสอบใช้เวลาสี่วันดังนั้นพวกผมต้องไปพักที่บ้านน้าเขยของผมก่อน แกเป็นนายช่างของการรถไฟ มีบ้านพักที่ กม.11 หลังตึก ปตท. เคยดูละครไหมครับที่พระเอกกำลังจะเดินทางไปปฏิบัติภารกิจอะไรสักอย่าง แล้วมีชาวบ้านออกมาส่งพร้อมกับอวยพร ในตอนนั้นมันเป็นแบบนั้นจริงๆ “โชคดีนะลูก โชคดีนะลูก ขอให้สำเร็จเป็นเจ้าคนนายคนนะ” เสียงอวยพรดังไล่หลังรถของเรา ผมและพวกปลาบปลื้มใจมากคิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องนำความสำเร็จกับมาหมู่บ้านท่าหัวลบของเราให้ได้ เราขึ้นรถทัวร์ที่ท่ารถทัวร์ในท่ายาง ไปถึงสายใต้ใหม่ตรงปิ่นเกล้า เด็กบ้านนอกสามคนยืนเลิ่กลั่กตรงป้ายรถเมล์ ไม่รู้ว่าจะไปบ้านของน้าเขยผมได้อย่างไร ถามคนตรงนั้นว่าจะ ได้รับคำตอบมาว่าขึ้นรถสาย 3 ตอนนั้นเป็นวันเสาร์รถราไม่ได้มากมายนัก ไปถึงบ้านน้าเขยผมก็รอต้อนรับและจัดที่หลับที่นอนให้เราเรียบร้อย



ทรายละเอียด
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 มี.ค. 2559, 12:46:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 มี.ค. 2559, 12:46:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 635





<< รักครั้งแรก   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account