เล่ห์รักบงการใจ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 7
ตอน 7
แววตาของเกลลาวรรณเปิดกว้างเพราะระงับความตื้นเต้นไว้ไม่อยู่ ส่วนนักค้าขาอ่อนก็ไม่เก็บอาการใดๆไว้ทั้งสิ้นเช่นกัน ทั้งหน้าตาท่าทางแสดงออกมาเต็มที่เพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นผู้ชายสุดเพอร์เฟค รีบจับมือเด็กปั้นไว้แล้วบอกว่า “หนูเกลต้องมีคำว่าได้เท่านั้นนะคะไม่มีคำว่าไม่ ไม่ ไม่แล้ว ”
เกลลาวรรณอยากจะตอบรับใจจะขาด แต่สงวนท่าทีไว้ วีวี่จึงสั่งเสียงออดเสียงอ้อนว่า “รับปากซิคะ คุณเจตน์จะได้สบายใจ”
“ค่ะ” เกลลาวรรณรับปากคล้ายจะขัดไม่ได้แต่ใจนั้นลิงโลดอยากจะไปจับผู้ชายคนนั้นเต็มแก่แล้ว วีวี่ยิ้มอย่างสมใจแล้วหันมามองหน้าเจติน์กับเชอร์รี่ “แผนของคุณเจตน์มีแค่นี้ใช่ไหมฮะ”
“เฉพาะคืนนี้ก็แค่นี้”
“งั้นวีวี่ขอดูแลความพร้อมให้น้องเกลอีกเล็กน้อยนะฮะ”
เจติน์พยักหน้า นายหน้าขาอ่อนก็ดึงเด็กปั้นมาที่มุมห้อง ดูเสื้อผ้าหน้าผมพร้อมกำชับกำชาให้ทำให้ดีอย่าให้ผิดพลาด เพราะจะพลาดโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตไปด้วย
“ฉันกลัวเขาจะไม่สนนะซิเจ๊” เกลลาวรรณกระซิบบอกอย่างตื่นเต้นเป็นครั้งแรก จึงถูกวีวี่มองอย่างดุๆ
“จะกลัวทำไมในเมื่อหล่อนมีคุณเจตน์เป็นแบ็คหลังคอยสนับสนุนอยู่ทั้งคน ทำให้ดีให้เป็นธรรมชาติที่สุด ทุกอย่างที่หล่อนเรียนมาก็ขุดเอามาใช้ให้หมด มารยากี่เล่มเกวียนที่สะสมไว้ก็งัดออกมาด้วย เข้าใจไหม”
“เข้าใจ”
“ดีมาก จากนี้ไปฉันไปหาวิตามินให้หล่อนกินเยอะๆแล้ว ปลาร้า ปลาแจ่ว ปลาบอง ต้องหยุดกิน วิตามินเท่านั้นที่จะทำให้งานสำเร็จ”
นายหน้าขาอ่อนวางแผนให้ตัวเองแล้วหยิบแป้งออกมาเติมเด็กปั้น ให้ใบหน้าผ่องใส ตามด้วยลิปสติกที่ริมฝีปาก แล้วจัดชุดเซกสีดำที่ซีทรูด้วยลูกไม้สีเนื้อตรงหน้าอกให้น่ามองอีกเล็กน้อย ก็พามาให้เจติน์ ซึ่งหันไปสบตากับเชอร์รี่เพียงแวบเดียวก็พาเกลลาวรรณออกไปทันที คนที่เหลืออยู่ในห้องจึงภาวนาขอให้ทำงานนี้ให้สำเร็จ
*******
ภายในห้องรับรองที่คิมนั่งอยู่ เป็นห้องกระจกสีชา มีโซฟานุ่มครึ่งวงกลมและเก้าอี้อีกสองตัววางไว้ด้านข้างให้นั่ง บนโต๊ะตรงหน้ามีอาหารทานเล่นกับเครื่องดื่มหลากชนิดที่เด็กเสิร์ฟจัดมาวางไว้ให้ อนุชนั่งอยู่บนเก้าอี้ กำลังทานอาหารอย่างอร่อย ส่วนคิมดื่มแค่เครื่องดื่ม สลับกับมองหญิงสาวในคราบหนุ่มน้อย ซึ่งเงยหน้าขึ้นมองเขาพอดี
“คุณไม่กินเหรอ เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะหรอก” อนุชเอ่ยขึ้น เมื่อตั้งแต่เข้ามานั่งรอ เธอยังไม่เห็นเขาทานอะไรเลย
“อยากให้ฉันกินก็ป้อนซิ”
อนุชแทบจะทำหน้าไม่ถูกเพราะคาดไม่ถึงว่าเขาจะตอบแบบนี้ แล้วตอบแบบกวนๆกลับไปว่า “งั้นก็เป็นโรคกระเพาะไปเถอะ”
“ถ้าฉันเป็นเธอต้องรับผิดชอบ”
“คุณทำตัวของคุณเองทำไมผมต้องรับผิดชอบด้วย”
“เพราะตอนนี้เธอยังอยู่ในหน้าที่ที่ต้องดูแลฉันอยู่”
“ผมดูแลเรื่องรถอย่างเดียว ส่วนตัวคุณดูแลเอาเอง”
“แน่ใจเหรอว่าจะทำอย่างที่พูด”
อนุชเม้มริมฝีปากข่มอารมณ์ไม่ให้ขึ้น เมื่อรู้ว่าถูกเขาขุดเรื่องสัญญาที่รับปากไปว่าจะไม่ดื้อ มาเตือน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมองหน้าคมอย่างไม่พอใจ พลางคิดว่าจะต้องทำอย่างที่เขาพูดหรือเปล่า แต่แล้วโชคก็มาช่วยตัดสินใจ เมื่อประตูห้องถูกเปิดเข้ามา อนุชก็รีบลุกไปยืนอยู่ตรงมุมห้อง และมองคนที่เดินเข้ามาอย่างสนใจ คนหนึ่งหล่อคนหนึ่งสวย สวยไปทั้งหน้าตาและรูปร่างที่ช่างเซ็กซี่เหลือเกิน
คิมลุกขึ้นยืนเมื่อทั้งคู่เดินเข้ามาหา เจติน์เปิดยิ้มทักทายเขาเล็กน้อย แล้วแนะนำตัวเองออกมา “ผมเจติน์ครับ พอจะจำได้ไหมครับ”
“ครับ” คิมตอบรับ แล้วตวัดสายตาไปมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ คงเป็นคนที่แม่เลี้ยงเขาบอกไว้ เจติน์ที่คอยจับตามองการพบกันอยู่จึงแนะนำออกมา
“นี่น้องเกล หรือคุณเกลลาวรรณ ลูกสาวของคุณหญิงอ้อ ที่จะเอาเครื่องเพชรมาคืน”
เกลลาวรรณยิ้มหวานให้ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้ คิมยกมือรับไหว้ตามมารยาท เจติน์ที่เห็นว่าหมดหน้าที่ของเขาแล้ว ก็ขอตัวเดินออกมา อนุชจึงค่อยๆพาตัวเองออกไปด้วย ภายในห้องจึงเหลือแค่ชายหนุ่มหญิงสาวเท่านั้น คิมเชิญให้เธอนั่งทันที ซึ่งเกลลาวรรณก็ยิ้มขอบคุณ แล้วเดินไปนั่งที่บนโซฟาข้างตัวเขา
“เกลขอโทษนะคะที่มาช้า พอดีเพิ่งเสร็จจากงานเดินแบบการกุศลนะคะ” เธอเอ่ยขึ้น และสังเกตเห็นว่าเขาไม่มีท่าทีจะมองเธอด้วยแววตากรุ่มกริ่ม เหมือนผู้ชายคนอื่นๆที่พบเจอมา
“ไม่เป็นไร คุณจะดื่มอะไรไหมครับ”
“ขอพั้นซ์ผลไม้ก็แล้วกันค่ะ” เกลลาวรรณขอในสิ่งที่บอกให้รู้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่เรียบร้อยหรือรักษาภาพลักษณ์การเป็นกุลสตรีที่ดีแต่เป็นผู้หญิงที่เปิดเผยพอสมควร และระหว่างรอเขาที่หันไปทำเครื่องดื่มให้เธอ ก็เอ่ยคุยไปเรื่อยๆ “คุณแม่บ่นเสียดายมากเลยค่ะ ที่ไม่สามารถมาคืนของด้วยตัวเองจึงฝากคำขอโทษมาด้วยค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ แต่ผมจะบอกให้”
“ขอบคุณค่ะ”
เสียงเกลลาวรรณหวานพลางพิจารณาผู้ชายที่กำลังรินน้ำพั้นซ์ใส่แก้วให้เธอ เขาช่างเพอร์เฟคไปทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ ตอนนี้ไม่ต้องมีใครว่าจ้างหรือบังคับให้เธอจับเขา เธอก็พร้อมจะเป็นเจ้าของครอบครองด้วยใจจริงๆ หัวใจและตัวเธอเต้นด้วยความปรารถนาเขา แต่ต้องข่มไว้ แล้วหยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงออกมาจะจากกระเป๋าเพื่อยื่นให้เขา แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่คิมส่งพั้นซ์มาให้เธอพอดี ความคาดไม่ถึงจึงเกิดขึ้นแก้วพั้นซ์ชนกับกล่องกำมะหยี่น้ำจนพั้นซ์หกรดชุดเธอ
“อุ้ย” เกลาวรรณร้องออกมาอย่างตกใจ คิมเองก็เช่นกัน เขารีบวางแก้วพั้นซ์ไว้บนโต๊ะ หยิบกระดาษทิชชูมาส่งให้หญิงสาว ซึ่งก็ยิ้มอย่างขอบคุณ วางกล่องกำมะหยี่ไว้บนโต๊ะก่อนจะรับกระดาษทิชชูมาซับน้ำพั้นซ์ออกจากชุดโดยเฉพาะบริเวณเนินทรวงที่ชุ่มไปด้วยน้ำพั้นซ์ จนเห็นร่องอกที่เบียดกันอยู่ชัดเจน
คิมจึงถอดเสื้อสูทส่งให้ใส่ปิดไว้ พร้อมกับบอกว่า “ขอโทษนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะมันเป็นเหตุสุดวิสัย” เธอบอกพลางยิ้มให้อย่างไม่เป็นไร แล้วรับเสื้อสูทมาใส่ไว้ทั้งที่ไม่อยากจะปิดบังความเซ็กซี่ของตัวเองจากสายตาเขาเลย “ขอบคุณนะคะ แล้วน้ำพั้นซ์โดนคุณคิมด้วยหรือเปล่า”
“เปล่าครับ คุณจะไปห้องน้ำก่อนไหมครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวก็กลับแล้ว แล้วนี่...” เธอหยิบกล่องเครื่องเพชรขึ้นมาเปิดให้คิมได้เห็นก่อนจะปิดแล้วยื่นให้เขา ซึ่งก็รับมาถือไว้ “คุณแม่ยืมไปดูแบบให้ช่างทำให้เพราะถูกใจแบบสมัยก่อนที่ไม่ค่อยมีให้เห็นแล้วในปัจจุบัน และคุณแม่ให้เกลเลี้ยงขอบคุณคุณด้วย งั้นคืนนี้เกลขอเป็นเจ้าภาพนะคะ”
“อย่าดีกว่าครับ ผมจัดการเอง อีกอย่างผมทำเสื้อคุณเละด้วย ถือเป็นการไถ่โทษแล้วกัน”
“ที่ไหนกันละคะ เกลต่างหากที่ไม่ระวัง แล้วจะให้คุณเป็นเจ้าภาพได้ยังไง อีกอย่างถ้าคุณแม่รู้เข้า จะไม่สบายใจ นะคะ ขอเกลเป็นเจ้าภาพดีกว่า”
“เรื่องเล็กน้อยนะครับ”
“แต่เรื่องใหญ่สำหรับเกลนะคะ แต่ถ้าคุณไม่สบายใจ วันหลังค่อยเลี้ยงเกลคืนก็ได้ค่ะ”
คิมไม่พูดอะไรอีก เกลาวรรณก็คิดว่าเขาตกลง “งั้นเกลขอตัวกลับก่อนนะคะ ส่วนเสื้อเกลจะจัดการให้เรียบร้อยแล้วจะเอาไปคืนให้ค่ะ” เธอบอกทั้งที่ใจนั้นอยากจะยืดเวลา ขออยู่ใกล้ๆเขาอีกหน่อย แต่คิดว่าคืนนี้เธออ่อยไว้แค่นี้นะดูดีที่สุดแล้ว
“ครับ ผมก็จะกลับเหมือนกัน เชิญครับเดี๋ยวผมไปส่ง”
คิมวางเงินไว้บนโต๊ะ แล้วลุกขึ้นยืนให้เกียรติหญิงสาว ซึ่งก็ยิ้มปลื้มที่เขาช่างเป็นสุภาพบุรุษเหลือเกิน แล้วเดินเคียงคู่เธอออกมาข้างนอก แต่ไม่สามารถออกไปนอกร้านได้ เพราะมีคนรู้จักเข้ามาทักเธอเสียก่อน
เกลลาวรรณจึงต้องขอตัวจากเขา คิมก็เดินออกมาจากผับ เพียงก้าวพ้นประตูออกมาสายตาเขาก็มองหาคนขับรถทันที พอเห็นว่ายืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับสาวๆอยู่ข้างรถ โทษที่เธอทิ้งเขาไว้ข้างในก็ทบทวีขึ้นมา ร่างสูงก้าวเดินไปหาแต่เดินแบบคนเมาเป๋ไปซ้ายทีขวาที อนุชที่หันมาเห็นเข้าจึงต้องรีบทิ้งสาวๆเดินมาหาเขาทันที
“บ้าจริง เมาเหรอเนี๋ย”
เธอบ่นทันทีที่เดินมาถึงแล้วรีบประคองร่างสูงไปที่รถ แต่เป็นไปอย่างทุลักทุเล เพราะน้ำหนักที่เธอแทบจะรับไม่ไหว แต่ก็พยายามกระทั่งพาเขามาถึงที่รถ ก็เปิดประตูออกก่อนดันตัวเขาให้เข้าไปนั่ง แต่กลับลงไปนอนบนเบาะ ทำให้เธอเสียหลักล้มทับบนตัวเขา
“อุ้ย” เสียงเธอร้องออกมาเบาๆ แล้วรีบดันตัวขึ้นมา โดยไม่รู้ว่าทิ้งความรู้สึกใดไว้ให้คนแสร้งเมาบ้าง ดึงตัวเขาให้นั่งพิงเบาะให้เรียบร้อย แต่เขากลับไถลลงไปนอนให้เธอต้องเสียหลักล้มลงไปทับอกเขาอีกครั้ง แค่นั้นยังไม่พอแขนหนักๆยังพาดขึ้นมาบนตัวเธอด้วย “อืม” อนุชร้องขึ้นอย่างขัดใจ พลางดันแขนเขาออก “โอย อะไรจะเมาขนาดนี้เนี๋ย” เธอบ่นพลางพยายามดันตัวขึ้นจากอกหนา แต่ดูจะไม่ง่ายเลยเมื่อคนแสร้งเมาไม่ให้ความร่วมมือ กดแขนเขาไว้จนตัวเธอแนบไปกับอกกว้าง
เสียงหัวใจเขาเต้นดังเข้าหูอนุช มันทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเมื่อเขาพลิกตัวจนเหมือนเธอนอนอยู่ใต้ตัวเขา ความอายวิ่งเข้ามาสู่หัวใจโดยไม่รู้สาเหตุ แก้มก็ร้อนผ่าวจนรู้สึกว่าแดงขึ้นแน่ๆ จึงรีบผลักตัวเขาออกเต็มแรง แล้วรีบถอนตัวออกมาอย่างรวดเร็ว ลงมายืนหอบอยู่ข้างรถ ยกมือขึ้นจับแก้มตัวเองพร้อมกับข่มใจให้นิ่งแล้วรีบเดินอ้อมรถไปทำหน้าที่ขับรถ พาเขากลับบ้านหลังเบ้อเร่อ โดยไม่ได้เอะใจเลยว่า ทำไมคนเมาถึงไม่มีกลิ่นเหล้าติดตัวเลย
********
ด้านเกลลาวรรณก็ถูกคนที่เข้ามาทักพาตัวมานั่งอยู่บนโซฟาในห้องทำงานของเจ้าของร้าน เธอมองหน้านายหน้าขาอ่อนอย่างไม่ค่อยจะพอใจ เพราะใจนั้นยังอยากจะคุยเพื่อสานสัมพันธ์กับคนที่เธออยากครอบครองต่อ แม้แผนที่ทำจะสำเร็จไปก้าวหนึ่งแล้ว แต่เธอยังไม่อยากจะจากเขามา ยังอยากใกล้ชิดอยากคุยทำความรู้จักกับเขาอีกนิดหน่อย เพื่อให้หัวใจชุ่มฉ่ำกับการได้พบเจอ...ผู้ชายในฝัน
“เจ๊เข้ามาขวางทำไม น่าจะให้ฉันได้คุยกับเขาอีกสักนิด” เกลลาวรรณกล้าพูดเพราะในห้องนี้มีแต่เธอกับคนที่ปั้นเธอมาเท่านั้น ส่วนเจ้าของนั้นเธอเห็นคอยเทคแคร์ดูแลแขกที่เข้ามาในร้านอยู่ข้างล่าง
“ถ้าฉันไม่เข้าไป แล้วหล่อนจะทำยังไง จะเนรมิตรราชรถที่ไหนให้ไปส่งหล่อน”
“อย่ามาโชว์โง่นะเจ๊ ฉันไม่มีก็ให้เขาไปส่งฉันแทนซิ”
“เหรอยะ แล้วหล่อนจะให้เขาไปส่งที่ไหน คฤหาสน์หรือบ้านมีไหม ก็ไม่มี มีแต่คอนโดซอมซ่อที่หล่อนซุกหัวนอนอยู่เท่านั้น” เสียงเยาะหยันออกมา แต่เกลลาวรรณก็ไม่ยี่หระ
“ฉันหาของฉันได้ก็แล้วกันน่า”
“แล้วถ้าหล่อนหาไม่ได้จะทำยังไง ทุกอย่างก็ต้องพัง แผนมันเพิ่งเริ่มหล่อนต้องค่อยเป็นค่อยไป ใจร้อนไปเดี๋ยวก็เสียเรื่อง ไม่เคยได้ยินที่เขาว่ากันว่าช้าๆได้พร้าเล่มงามเหรอยะ”
“เคย แต่มันโบราณแล้วเจ๊ เดี๋ยวนี้ช้าๆหมาก็คาบไปแดกหมดเท่านั้นเอง เจ๊ไม่เห็นเหรอว่าตอนที่เขาเดินเข้ามานั้น ผู้หญิงแท้ ผู้หญิงเทียม เก้งกวางในร้านจ้องเขาตาเป็นมัน ถ้าฉันยังโบราณ อาจจะอดแดกก็ได้”
“เชอะ” นายหน้าขาอ่อนค้อนเพราะโดนรวมเข้าไปด้วย แต่ก็ยังปรามออกมา “แต่ยังไงหล่อนก็ต้องทำตามแผนที่คุณเจตน์วางไว้ แค่ไหนแค่นั้น ห้ามแหกคอกแซงโค้งออกไปเด็ดขาดเพราะเขาถือไพ่เหนือกว่า”
“ฉันรู้แล้วน่า”
“รู้ก็ดีแล้ว”
เสียงที่ดังขึ้นทำให้เกลลาวรรณกับวีวี่หันไปมอง สีหน้าของทั้งคู่เจื่อนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนพูดคือไพ่ที่อยู่เหนือเธอ ซึ่งไม่รู้ว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร และได้ยินอะไรที่พูดกันไปบ้าง แล้วรีบปรับสีหน้าให้ปรกติโดยเฉพาะนายหน้าขาอ่อนนั้นเป็นเหมือนจิ้งจกที่รีบเปลี่ยนสีและไม่ใช่แค่สีหน้ายังแลบลิ้นออกมาเลียด้วยต่างหาก
“อุ้ย คุณเจตน์เข้ามาไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลยนะฮะ แล้วเป็นไงฮะ น้องเกลของวี่คืนแรกฉากแรกผ่านไหมฮะ” วีวี่ถามพลางลุกจากโซฟาเพื่อให้เขามานั่ง แต่เจตน์ยังยืนอยู่ที่เดิม แต่สายตาตวัดมามองเกลลาวรรณ
“ก็ดี แต่ฉันไม่เห็นว่าเขาจะมีท่าทีสนใจเธอเลย”
“เขาเป็นสุภาพบุรุษค่ะ และผู้ชายที่สมบูรณ์แบบอย่างเขาไม่จำเป็นต้องแสดงท่าทีก็มีผู้หญิงที่พร้อมจะมอบตัวให้อยู่แล้ว”
“แสดงว่าเธอก็พร้อมจะเป็นหนึ่งในนั้นนะซิ”
“นั่นเป็นความต้องการของคุณเจตน์อยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ”
“ก็ใช่ แต่มันยังไม่ใช่เวลา และเธอมันก็แค่หุ่นเชิด อย่าคิดฝันไปไกลมากนัก” เจติน์ว่าอย่างรู้ทันความคิดของเกลลาวรรณ ซึ่งก็กำมือข่มใจให้สงบปากสงบคำไม่ให้พูดอะไรที่จะทำให้สิ่งที่คิดไว้พังลง แล้วยิ้มให้เจติน์อย่างสำนึกผิด
“ขอบคุณคุณเจตน์ที่เตือน เกลจะจำไว้ค่ะ แล้วแผนต่อไปคุณเจตน์จะให้ทำยังไงต่อคะ”
“เธอทอดสะพานไว้แล้วไม่ใช่เหรอ”
“ค่ะ เสื้อสูทตัวนี้จะเป็นสะพานพาเกลไปหาเขา แต่นั้นต้องอยู่ที่คุณเจตน์ด้วยนะคะว่าจะกำกับเกลยังไงให้เขาไม่มองผ่านอย่างคืนนี้อีก”
“มันน่าจะอยู่ที่ตัวเธอมากกว่าแผนของฉันนะ ว่าทำไมเขาถึงมองผ่านทั้งๆที่เธอสวยเซ็กเอ็กซ์ขนาดนี้”
“ก็คุณเจตน์ต้องการให้เกลทำแค่นี้ไม่ใช่หรือคะ หรือว่าจากนี้ไปจะยอมให้เกลทำทุกอย่างได้เต็มที่”
เจติน์หลุบตาที่ไม่พอใจการยอกย้อนของนังลูกไก่ในกำมือไว้ แล้วเปิดขึ้นมายิ้มเยาะอยู่ในทีก่อนจะบอกว่า “ขอฉันคิดดูก่อนก็แล้วกัน”
“ค่ะ งั้นคุณเจตน์ช่วยจัดการเสื้อสูทนี้ให้เรียบร้อยด้วยนะคะ” เธอว่าแล้วถอดเสื้อสูทวางไว้ข้างตัว “อีกอย่างเครื่องเพชรที่ขอไว้ หวังว่าคงจะไม่ลืม”
“ฉันจะจัดให้”
“ขอบคุณค่ะ” พูดจบเธอก็ยิ้มให้ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้ให้ดูว่าเธอแสนจะเชื่อฟังและนอบน้อมเขาเหลือเกิน ก็ลุกขึ้นเดินจากห้องไป แต่นายหน้าขาอ่อนไม่ได้ตามไปด้วย เพราะมีเรื่องจะคุยกับเจติน์ ที่พอตวัดสายตามามอง ก็เห็นลิ้นไก่อ้าออกมาให้เขาเห็นทันที
“คุณเจตน์ คือวี่ อยากกินถั่วนะฮะ”
“ตามสบาย”
“อุ้ย ขอบคุณฮะ” วีวี่ย่อตัวไหว้อย่างดีใจ แล้วเดินบิดก้นสั่นระริกสวาทออกจากห้องไปหาถั่วดำมากิน พลางคิดว่าคืนนี้จะใส่น้ำแข็งให้เย็นก่อนจะกินให้ฉ่ำไปทั้งตัว
เจติน์มองตามหลังไปอย่างหยันๆ แล้วกลับมาคิดว่าจะทำยังไงต่อไป เพื่อให้ลูกเลี้ยงของลักษณาติดเหยื่อที่วางล่อไว้ แม้จะมีเสื้อสูทเป็นสะพานแต่ถ้าเขายังเฉยเมยเหมือนคืนนี้ แผนที่วางไว้ก็อาจจะไม่สำเร็จก็ได้ แต่ไม่เป็นไรยังมีเวลาให้คิดเพื่อทำ และถ้าลักษณากลับมา อาจจะมีแผนดีๆเตรียมไว้แล้วก็ได้
*******
เกลลาวรรณเข้ามาล้างน้ำพั้นซ์ในห้องน้ำ แล้วเปิดประตูออกมา หวังจะเห็นนายหน้าขาอ่อน จะได้ชวนกลับเสียที แต่ไม่เห็น ก็รู้ได้ทันทีว่าคงไปแอบกินถั่วอยู่อีกแน่ สีหน้าเธอแสดงความไม่พอใจออกมาทันที และนึกไปถึงคนที่กำชีวิตเธอไว้ในมือ น้ำเสียงกับแววตาที่หยันเหยียดเธอนั้น ทับถมลงไปในความแค้นครั้งก่อนที่ทำกับเธอไว้ ภาพความอัปยศนั้นเธอไม่มีวันลืม
“อย่าให้ถึงทีฉันบ้างก็แล้วไป” เธอพึมพำกับตัวเอง แล้วเดินออกมาตามทางสลัว แต่พอเลี้ยวตรงมุมที่จะไปที่บันได กลับต้องร้อง “อุ้ย” ออกมาพร้อมใจที่หายวาบเพราะถูกกระชากเข้าไปในห้องๆหนึ่ง และพอเธออ้าปากจะร้องก็มีมือมาปิดปาก เธอตาเหลือกเพราะหวาดกลัวพลางดิ้นให้หลุด
“ผมเอง” เสียงกระซิบที่ดังอยู่ข้างหูทำให้เธอเหลือกตามอง แสงไฟที่จากทางเดินที่ส่องเข้ามาให้เห็นหน้าคนที่จับตัวเธอไว้ก็จำมันได้ทันที ก็ผลักตัวมันออกพลางมองอย่างรังเกียจ แล้วจะเดินออกมาจากห้อง แต่มันขยับตัวมาขวางประตูไว้ “อย่าเพิ่งไปซิครับ น่าจะคุยกันก่อน”
“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับแก”
“แม้แต่เรื่องคืนนั้นเหรอครับ”
เกลลาวรรณมองหน้ามันอย่างแสนเกลียดก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นเหยียดหยัน แล้วบอกออกมาให้มันได้รู้สึกว่า “ใช่”
“แต่เราเข้ากันได้ดีเหลือเกินและผมก็ไม่ลืม ลืมไม่ลงเลย”
“เรื่องของแก แต่อย่ามายุ่งกับฉัน”
บ๊อบส่ายหน้าว่าไม่ได้ พลางเดินเข้ามาหาเกลลาวรรณพร้อมมองเนินอกที่มันจำได้ว่าอวบอิ่มแค่ไหน “วัวเคยค้าม้าเคยขี่ ถ้าจะขี่กันอีกสักครั้งก็คงไม่เป็นไร”
“ฉันจะฟ้องคุณเจติน์” เกลลาวรรณขู่พลางก้าวถอยเมื่อเห็นท่าทีที่จริงจังของมัน
“เขาไม่สนใจอยู่แล้ว คุณก็รู้ และผมก็รู้ว่าตอนนี้คุณร้อนเพราะต้องการเขาคนนั้น แต่เขาไม่สนใจ”
“แกตามดูฉันเหรอ” เธอถามออกมา
“เรียกว่าสนใจดีกว่า”
“งั้นก็ขอเตือนว่าอย่ามาสู่รู้เรื่องของฉัน เพราะถ้าคนที่จ่ายเงินเดือนให้แกรู้เข้า อาจจะโดนถีบออกไปเป็นหมาข้างถนนก็ได้” เธอหยาบคายทั้งๆที่มันสุภาพแล้วเบี่ยงตัวเพื่อจะหนีออกมา แต่มันรู้ทันจับตัวเธอไปตรึงไว้กับผนังห้อง แล้วขังเธอไว้ด้วยท่อนขาที่กดเรียวขาเธอไว้พลางมองด้วยสายตากระหายสวาทแล้วบอกว่า
“คุณจะไม่ทำอย่างนั้น” เสียงมันมั่นใจ จนเธอต้องมองอย่างสงสัย แต่ก็ยังเหยียดหยันมันออกมาด้วยน้ำเสียงที่เน้นหนักว่า
“ฉันทำ”
“ไม่อยากได้คลิปนั่นเหรอ” เกลลาวรรณอึ้งไปกับประโยคนี้ ขณะที่คนพูดก็รู้สึกตีถูกจุดจึงรุกต่อ “ผมอาจจะเอามันมาให้คุณได้นะ ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะว่านอนสอนง่ายกับผมหรือเปล่า”
เกลลาวรรณนิ่งคิดคำพูดมัน แล้วลองหยั่งเชิงออกไป “ก็น่าสนใจดีนะ”
“แล้วจะสนไหมครับ” มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้แก้มเธอดมดอมกลิ่นหอมที่เย้ายวนใจ เกลลาวรรณหรี่ตามองพลางคิดว่าจะเชื่อคำพูดมันได้แค่ไหน
“คนที่จ่ายเงินเดือนให้แก ใช้ให้มาทำ เพื่อลองใจฉันใช่ไหม”
“เปล่า ผมทำเองโดยที่ไม่มีใครรู้ใครเห็น คุณไม่ต้องห่วง”
“แล้วฉันจะเชื่อใจแกได้ยังไง”
บ๊อบเลิกคิ้วขึ้นพลางสบตาเธอ แล้วจี้ลงไปในใจเธออีกว่า “ผมรู้ว่าคลิปวีดีโอนั้นอยู่ที่ไหน”
หัวใจของเกลลาวรรณเต้นแรง เพราะอยากจะได้ความอัปยศนั้นมาทำลายทิ้ง แต่ต้องข่มใจไม่ให้แสดงความอยากออกมา เพราะประสบการณ์สอนให้เธอรู้ว่าควรใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว ดีกว่าแสดงความอยากออกไปแล้วกลับมาทำร้ายเธอ
“ฉันจะสนองก็ต่อเมื่อมีของมาเสนอให้เห็นเท่านั้น”
“แสดงว่าคุณตกลง งั้นผมขอมัดจำก่อนได้ไหม”
มันว่าแล้วเลิกชายกระโปรงเธอขึ้นมาถึงหน้าขา สอดมือเข้าไปในจีสตริง วางปลายนิ้วไว้ที่ดอกกุหลาบของเธอ เกลลาวรรณยิ้มเยือนราวกับชอบสิ่งที่มันทำ แต่เธอจะเก็บตัวไว้ให้กับคนที่มีประโยชน์มากกกว่ามาเสียเวลากับพวกที่ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว ก็ปัดมือมันออก และบอกก่อนจะเปิดประตูออกไปว่า
“ไปหาคนอื่นเถอะ เพราะฉันไม่ใช่กะหรี่ที่จะระรี้ระริกเพียงแค่นิ้วของแก”
บ๊อบมองตามไปพลางยิ้มหยันกับคำเหยียดหยาม ไม่มีความโกรธในสีหน้าเขาแต่สายตานั้นบอกว่าเรื่องจะไม่จบแค่นี้แน่นอน
*******
แสงไฟหน้ารถสาดส่องนำทางรถยนต์คันหรูให้เคลื่อนมาจอดหน้าบันไดบ้านหลังเบ้อเร่อ อนุชดับเครื่องยนต์พลางมองเข้าไปด้านในที่เงียบสงัดแล้วถอนหายใจออกมายาวๆ เมื่อไม่เห็นใครสักคน ก็หันไปมองคนที่นอนอยู่บนเบาะหลัง ถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วเปิดประตูออกมาจากรถเพื่อมาประคองคนเมาออกมา แต่ต้องชะงักอยู่แค่ประตู เมื่อคนเมาเปิดประตูออกมายืนอยู่ข้างรถ การยืนนิ่งไม่มีท่าทางโอนเอนเหมือนก่อนหน้านี้นั้น ทำให้ความสงสัยฉายชัดออกมาทางแววตา
“คุณไม่ได้เมา” อนุชถามออกมาพลางจับตามอง
“แล้วฉันบอกเมื่อไรว่าเมา”
“แต่คุณเดิน...” พูดออกไปแล้ว เธอก็แทบจะกัดลิ้นตัวเอง เมื่อหวนคิดถึงภาพก่อนหน้านี้... แล้วกัดฟันอย่างเจ็บใจเพราะเธอคิดไปเอง ก็ฉุนโกรธ เดินไปเปิดกระโปรงท้ายรถ หยิบเป้ตัวเองมาคล้องไหล่แล้วเดินไปบนทางที่มุ่งออกไปจากบ้านเขา แต่ไม่กี่ก้าว แขนก็มีมือมาจับเอาไว้ พร้อมเสียงเข้มๆก็ดังตามมา
“จะไปไหน”
“กลับบ้านไง” บอกแล้วก็บิดแขนออกจากมือหนา แต่ไม่หลุด ซ้ำยังมีเสียงกำชับมาอย่างดุๆอีกว่า
“นอนที่นี่”
“ไม่”
สิ้นเสียงปฏิเสธ ร่างอรชรก็ปลิวตามมือที่จับไว้ อนุชจิกปลายเท้ากับพื้น ขืนตัวอย่างไม่ยอมและพยายามบิดแขนเพื่อให้หลุดจากมือเขา เมื่อไม่หลุดก็ทุบลงไปบนมือหนาเพราะโกรธที่เหมือนถูกเขาหลอก “ปล่อยนะ ปล่อยซิ” แต่ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย ซ้ำยังถูกลากดึงให้เดินเข้าไปในบ้าน ขึ้นบันไดวน จนมาหยุดหน้าห้องที่เธอนอน
คิมเปิดประตูออก ดันตัวเธอเข้าไปแล้วปิดประตู แต่ยังไม่ทันขยับ ประตูก็เปิดออก เขาก็ปิดอีกเธอก็เปิดออกมาอีกเช่นกัน เขาสบตาที่ท้าทายอยู่นิ่งๆ ก็บอกว่า “ปิดประตูเสีย และถ้าเปิดออกมาอีกครั้ง ฉันจะลากไปนอนห้องโน้น”
อนุชรู้ว่าห้องโน้นที่เขาพูดนั้นหมายถึงห้องเขา แต่เธอไม่สนใจคำพูดเขา “ฉัน ไม่ นอน” เธอย้ำบอกเขาทีละคำแล้วจะเดินออกมา แต่เขาไม่ถอยเธอก็เดินออกมาไม่ได้ แถมยังพูดด้วยเสียงที่เตือนอยู่ในทีว่า
“ดึกขนาดนี้แล้วจะไปได้ยังไง มันอันตราย”
“ฉันไปได้”
“แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ฉันจะตอบพ่อเธอว่าไง”
“ฉันดูแลตัวเองได้” บอกแล้วเธอก็เดินเลี่ยงตัวเขาออกมา แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อมีเสียงต่อว่าที่ทำให้เจ็บแสบไปทั้งใจ
“คำว่าโง่มันยังน้อยไปหรือไง หรือต้องให้ฉันว่าปัญญาอ่อนด้วยถึงจะเข้าใจ”
อนุชหันขวับมามองหน้าคมอย่างสุดโกรธ เท่าที่ถูกเขาหลอกก็โกรธมากอยู่แล้วถูกว่าซ้ำก็ยิ่งโกรธ แต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้นอกจากประชดออกมา “คงงั้นมั่ง”
“งั้นก็เชิญ”
เธอขยับตัวทันที แต่ไม่ใช่เดินจากไปแต่เดินกลับเข้ามาในห้องและปิดประตูใส่หน้าเขาด้วยความโมโห “ปัง”
แววตาของคิมกระด้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะสงบนิ่ง แล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าห้องตัวเอง ขณะที่ในห้องอนุชก็นั่งระงับอารมณ์อยู่บนเตียง กระเป๋าเป้ถูกถอดวางไว้ข้างเตียง แล้วคิดถึงสำนึกสุดท้ายที่ทำให้เดินกลับมาในห้องนี้ ซึ่งก็คือคนเป็นพ่อ ถ้าไม่คิดถึงท่าน เธอก็คงเดินออกไปแล้ว และเมื่อความโกรธลดน้อยลง ก็ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างเปิดผ้าม่านออกมองไปด้านนอก ความมืดมิดที่เห็นทำให้เธอนึกถึงคนเตือน ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเล็กน้อย แล้วตัดสินใจทำในสิ่งที่ควรทำ
ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้นท่ามกลางความเงียบในบ้านหลังใหญ่ ไม่กี่อึดใจประตูก็เปิดออก คิมมองร่างอรชรที่ยืนอยู่ตรงหน้า เพียงเดี๋ยวเดียวก็มองข้ามหัวเธอไปเหมือนไร้ตัวตน อนุชถึงกับหน้าเสีย แต่เมื่อคิดถึงการกระทำของตัวเอง ที่ไม่ควรแสดงคำพูดหรือปฏิกิริยากับเขาแบบนั้น ก็ควรทำในสิ่งที่คิดไว้ “ขอโทษค่ะ”
คิมหลุบตามองใบหน้างามเพียงนิด ก็จะปิดประตู แต่เสียงอนุชดังขึ้นหยุดไว้เสียก่อน “จะไม่ยกโทษให้เหรอ”
“อยู่ที่สำนึกของเธอไม่ใช่คำพูดของฉัน”
“ก็สำนึกแล้วไง ถึงได้มาขอโทษ จะยกให้หรือเปล่า”
“แค่นี้เหรอ”
อนุชเม้มริมฝีปากอย่างไม่ชอบใจ ที่กำลังถูกเขาต่อรอง แต่ก็ต้องยอมเมื่อเธอผิดจริงๆ ความมืดมิดที่มองผ่านหน้าต่างออกไปเมื่อกี้นั้นเต็มไปด้วยความน่ากลัว ถ้าเธอเดินออกไป ทางเดินที่ห่างจากถนนใหญ่พอสมควร บางช่วงไม่มีบ้านคนแถมยังรกทึบด้วยต้นไม้ อาจจะทำให้เธอกลับไม่ถึงบ้านก็ได้ และคนที่จะเสียใจที่สุดก็คือพ่อ
“แล้วจะให้ฉันทำไง คุณถึงจะยกโทษให้”
“เลิกอวดดีแล้วว่านอนสอนง่ายได้หรือเปล่า”
“ได้” เธอรับปากแต่เสียงไม่ได้หนักแน่นเลย ใบหน้าคมจึงยังนิ่งเฉย ก็หวนคิดไปถึงคำสัญญาและคำพูดเขาที่เคยบอกเธอไว้ว่าให้พูดกับเขาว่าไง ก็อ้อมแอ้มออกมาอีกนิดว่า “ได้ค่ะ แต่แค่บางเรื่องเท่านั้นนะ”
เธอต่อรองออกมาบ้าง แต่ก็ทำให้ดวงตาคมฉายความพอใจออกมา แม้เสียงยังนิ่งเรียบดุจเดิมก็ตาม “งั้นก็กลับไปนอนได้แล้ว” อนุชพยักหน้า แต่พอจะผละไป กลับมีเสียงเรียกไว้ “เดี๋ยว” เธอจึงต้องยืนอยู่ที่เดิม ขณะที่เขาเดินหายเข้าไปในห้อง ไม่กี่นาทีต่อมา ก็เดินกลับมาหาพร้อมกับของในมือมายื่นให้เธอ
อนุชมองเสื้อเชิ้ตสีขาวอย่างแปลกใจ ก็ถามว่า “ให้ทำอะไรคะ”
“ใส่นอน ที่นี่เป็นบ้านคน ไม่ใช่บ้านป่า จะได้ไม่ต้องห่อห่มเป็นดักแด้อีก”
อนุชทำหน้างอไม่อยากรับ แต่เมื่อรับปากเขาว่าจะว่าง่าย ก็จำต้องรับมาถือไว้ “ขอบคุณค่ะ แต่คุณจะไม่ขอโทษฉันหน่อยเหรอ แม้คุณจะไม่พูดว่าเมา แต่ท่าทางที่คุณทำให้ฉันคิด คุณก็มีความผิดเหมือนกัน”
แววตาของคิมหรี่ลงเหมือนคิดบางอย่าง แล้วถามออกมา “อยากได้จริงเหรอ”
“ก็ใช่นะซิ”
“แต่ฉันไม่เคยเอ่ยคำนี้ มีแต่จะทำ แล้วรู้ไหมว่าฉันจะทำยังไง”
“ไม่รู้”
“หอมแก้ม”
อนุชอึ้งไปแล้วรีบถอยหลัง แต่ไม่ทันแล้ว เมื่อเขาก้มหน้าลงมาหอมแก้มเธอ รอยอุ่นวาบซ่านขึ้นมาให้แก้มแดงก่ำ คิมยืดตัวขึ้นแล้วปิดประตู แต่อนุชยังนิ่งอยู่ที่เดิม ก่อนจะเดินตัวลอยกลับมาที่ห้องนอนตัวเอง เสียงปิดประตูที่ดังขึ้น ทำให้คิมที่ยืนพับแขนเสื้ออยู่นิ่งไปนิด ก็ทำต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ความจริงทุกการกระทำของคนเรา เป็นผลมาจากความคิดทั้งนั้น ฉะนั้นถ้าเขาไม่คิดก็คงไม่หอมแก้มเธอ
********
เช้าวันรุ่งขึ้น เสียงเคาะประตูดังขึ้นปลุกหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงนุ่มให้ตื่น ดวงตาที่ปิดสนิทกะพริบขึ้นรับรู้ แต่ไม่เปิดขึ้นมากลับนิ่งสนิทเหมือนหลับต่อ แต่เพียงอึดใจเดียวตัวก็ลุก ตาก็เปิด เพราะสำนึกได้ว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง รีบลงจากเตียงไปเปิดประตูห้องทันที พอเห็นว่าเป็นใคร ก็เปิดยิ้มพร้อมกับยกมือไหว้
“ป้าจิตร สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีค่ะ” นางทักพร้อมยกมือขึ้นรับไหว้แต่สายตามองเสื้อเชิ้ตที่อยู่บนตัวหญิงสาว ที่นางจำได้ดีว่าเป็นของนายหนุ่ม ความสงสัยเกิดขึ้นมากมายแต่ก็เก็บไว้ในใจเท่านั้น “คุณคิมบอกป้าว่าคุณนุชอยู่บนห้อง คงไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาค้าง เสื้อผ้าที่มีอยู่ก็คงไม่เหมาะที่จะใส่ไปทำงานและเรียน ป้าก็เลยมาขอเสื้อผ้าไปซักอบแห้งให้ค่ะ”
เพียงได้ยินชื่อเจ้าของบ้าน แก้มเธอก็ร้อนผ่าวคล้ายกับปลายจมูกเขาเพิ่งทาบทับลงมา ต้องรีบกัดริมฝีปากข่มไว้ไม่ให้คนตรงหน้าสงสัย แล้วบอกว่า “ขอบคุณค่ะ แต่นุชเตรียมมาแล้ว ส่วนชุดที่ใส่เมื่อคืน นุชทำเองก็ได้”
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวป้าจะให้เด็กจัดการให้ ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็เรียบร้อยค่ะ”
อนุชรู้สึกเกรงใจ ไม่อยากให้ใครต้องมาดูแลเธอขนาดนี้ เพราะเธอไม่ได้เป็นนายจ้าง ก็เป็นลูกของลูกจ้างเหมือนทุกคน แต่เมื่อไม่มีทางเลือกก็จำต้องไปหยิบชุดคนขับรถของพ่อกับชุดนักศึกษาของตัวเองมาส่งให้ นางจิตรรับมาถือไว้แล้วเดินลงไปชั้นล่าง อนุชถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วจะปิดประตูห้อง แต่...
“เหมียว”
ริมฝีปากอิ่มเปิดยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินเสียงเจ้าแมวน้อย ตัวมันก็เดินส่ายก้นมาให้เห็น เธอรีบเดินไปหา ย่อตัวลงลูบหัวมัน “เจ้าแมวน้อย” เธอทักทายแล้วอุ้มมันขึ้นมา “ตัวหนักนะเนี๋ยแสดงว่าแกอ้วนขึ้นอีกแล้วใช่ไหม”
“เหมียว”
“แนะ แกเข้าใจที่ฉันพูดด้วยเหรอ”
เธอยิ้มขำ สบตากลมใสราวลูกแก้วของมัน แล้วยกตัวมันขึ้นสูงหยอกเล่นด้วยอีกนิดหน่อยก็ปล่อยมันลงพื้น แต่แทนที่มันจะเดินไปกลับเดินเข้ามาคลอเคลียพันแข้งพันขาเธอ ก่อนจะกระโดดไปมาคล้ายชวนให้เล่นด้วย เธอจึงเล่นกับมัน โดยไม่เห็นว่าคนที่เดินขึ้นบันไดมาชั้นบน หยุดยืนมอง ร่างอรชรตั้งแต่ใบหน้างามที่อ่อนใส ริมฝีปากอิ่มที่ยิ้มแย้ม พวงแก้มที่หยุดสายตาเขาไว้เพียงครู่ ก็เลื่อนลงมาถึงเสื้อเชิ้ตที่อยู่บนตัว ความสั้นแค่สะโพกอวดเรียวขาสวย ยิ่งยามที่เธอขยับดูช่างเซ็กซี่นัก
“เหมียว เหมียว”
เจ้าแมวน้อยร้องออกมาราวกับเห็นคนรู้จัก ทำให้เธอหันไปมอง แก้มเธอร้อนผ่าวขึ้นทันทีที่เห็นว่าเป็นเจ้าของบ้าน ร่างสูงที่อยู่ในชุดกีฬากางเกงวอร์มขายาวกับเสื้อกล้ามบอกให้รู้ว่าเพิ่งกลับมาจากการออกกำลังกาย อนุชวางหน้าให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วจะเดินเข้าห้องนอน แต่เสียงเขาดังขึ้นมาเสียก่อน
“ตั้งชื่อให้มันหรือยัง” คิมถามพลางเดินมายืนอยู่ไม่ห่าง ทำให้เธอเลี่ยงไม่ได้ จึงบอกว่า
“ยังค่ะ”
“แล้วจะให้มันชื่อว่าอะไร”
“เสาหิน”
คำตอบเร็วโดยไม่มีการนึกคิดนั้นทำให้แววตาคิมฉายความแปลกใจ แต่ไม่พูดอะไร ก็เดินเข้าห้องตัวเองไป อนุชปรายตามองตามกระทั่งประตูปิดสนิท ก็ยิ้มขำออกมา หันมามองเจ้าแมวน้อยที่ได้รับเกียรติสูงส่ง มีชื่อเป็นฉายาของเจ้าของบ้าน “ชอบไหมละ” เธอถามมัน พอมันร้อง ‘เหมียว’ ออกมาก็หัวเราะเบาๆ แล้วเดินเข้าห้องไปอย่างอารมณ์ดี
เสื้อผ้าที่ซักรีดเรียบร้อยถูกนำมาให้อนุชในเวลาต่อมา ซึ่งก็อาบน้ำพร้อมรอใส่อยู่แล้ว ร่างอรชรจึงกลายเป็นหนุ่มน้อย มาทำหน้าที่ขับรถพาเจ้านายไปถึงที่ทำงานโดยสวัสดิภาพ เธอนำรถไปจอด เรียบร้อยแล้วก็หยิบกระเป้าเป้มาสะพายเดินไปที่ป้ายรถเมล์ แต่เพียงพ้นอาคารคาร์ริกออกมา มีสายตาคู่หนึ่งมองตามเธอไป ไม่แค่นั้นยังขับรถตามเธอไปถึงมหาวิทยาลัยที่เธอเรียนอยู่ โดยไม่คลาดกันอีกด้วย
*********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
แฟนเพจ : https://www.facebook.com/pram18pream
แววตาของเกลลาวรรณเปิดกว้างเพราะระงับความตื้นเต้นไว้ไม่อยู่ ส่วนนักค้าขาอ่อนก็ไม่เก็บอาการใดๆไว้ทั้งสิ้นเช่นกัน ทั้งหน้าตาท่าทางแสดงออกมาเต็มที่เพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นผู้ชายสุดเพอร์เฟค รีบจับมือเด็กปั้นไว้แล้วบอกว่า “หนูเกลต้องมีคำว่าได้เท่านั้นนะคะไม่มีคำว่าไม่ ไม่ ไม่แล้ว ”
เกลลาวรรณอยากจะตอบรับใจจะขาด แต่สงวนท่าทีไว้ วีวี่จึงสั่งเสียงออดเสียงอ้อนว่า “รับปากซิคะ คุณเจตน์จะได้สบายใจ”
“ค่ะ” เกลลาวรรณรับปากคล้ายจะขัดไม่ได้แต่ใจนั้นลิงโลดอยากจะไปจับผู้ชายคนนั้นเต็มแก่แล้ว วีวี่ยิ้มอย่างสมใจแล้วหันมามองหน้าเจติน์กับเชอร์รี่ “แผนของคุณเจตน์มีแค่นี้ใช่ไหมฮะ”
“เฉพาะคืนนี้ก็แค่นี้”
“งั้นวีวี่ขอดูแลความพร้อมให้น้องเกลอีกเล็กน้อยนะฮะ”
เจติน์พยักหน้า นายหน้าขาอ่อนก็ดึงเด็กปั้นมาที่มุมห้อง ดูเสื้อผ้าหน้าผมพร้อมกำชับกำชาให้ทำให้ดีอย่าให้ผิดพลาด เพราะจะพลาดโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตไปด้วย
“ฉันกลัวเขาจะไม่สนนะซิเจ๊” เกลลาวรรณกระซิบบอกอย่างตื่นเต้นเป็นครั้งแรก จึงถูกวีวี่มองอย่างดุๆ
“จะกลัวทำไมในเมื่อหล่อนมีคุณเจตน์เป็นแบ็คหลังคอยสนับสนุนอยู่ทั้งคน ทำให้ดีให้เป็นธรรมชาติที่สุด ทุกอย่างที่หล่อนเรียนมาก็ขุดเอามาใช้ให้หมด มารยากี่เล่มเกวียนที่สะสมไว้ก็งัดออกมาด้วย เข้าใจไหม”
“เข้าใจ”
“ดีมาก จากนี้ไปฉันไปหาวิตามินให้หล่อนกินเยอะๆแล้ว ปลาร้า ปลาแจ่ว ปลาบอง ต้องหยุดกิน วิตามินเท่านั้นที่จะทำให้งานสำเร็จ”
นายหน้าขาอ่อนวางแผนให้ตัวเองแล้วหยิบแป้งออกมาเติมเด็กปั้น ให้ใบหน้าผ่องใส ตามด้วยลิปสติกที่ริมฝีปาก แล้วจัดชุดเซกสีดำที่ซีทรูด้วยลูกไม้สีเนื้อตรงหน้าอกให้น่ามองอีกเล็กน้อย ก็พามาให้เจติน์ ซึ่งหันไปสบตากับเชอร์รี่เพียงแวบเดียวก็พาเกลลาวรรณออกไปทันที คนที่เหลืออยู่ในห้องจึงภาวนาขอให้ทำงานนี้ให้สำเร็จ
*******
ภายในห้องรับรองที่คิมนั่งอยู่ เป็นห้องกระจกสีชา มีโซฟานุ่มครึ่งวงกลมและเก้าอี้อีกสองตัววางไว้ด้านข้างให้นั่ง บนโต๊ะตรงหน้ามีอาหารทานเล่นกับเครื่องดื่มหลากชนิดที่เด็กเสิร์ฟจัดมาวางไว้ให้ อนุชนั่งอยู่บนเก้าอี้ กำลังทานอาหารอย่างอร่อย ส่วนคิมดื่มแค่เครื่องดื่ม สลับกับมองหญิงสาวในคราบหนุ่มน้อย ซึ่งเงยหน้าขึ้นมองเขาพอดี
“คุณไม่กินเหรอ เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะหรอก” อนุชเอ่ยขึ้น เมื่อตั้งแต่เข้ามานั่งรอ เธอยังไม่เห็นเขาทานอะไรเลย
“อยากให้ฉันกินก็ป้อนซิ”
อนุชแทบจะทำหน้าไม่ถูกเพราะคาดไม่ถึงว่าเขาจะตอบแบบนี้ แล้วตอบแบบกวนๆกลับไปว่า “งั้นก็เป็นโรคกระเพาะไปเถอะ”
“ถ้าฉันเป็นเธอต้องรับผิดชอบ”
“คุณทำตัวของคุณเองทำไมผมต้องรับผิดชอบด้วย”
“เพราะตอนนี้เธอยังอยู่ในหน้าที่ที่ต้องดูแลฉันอยู่”
“ผมดูแลเรื่องรถอย่างเดียว ส่วนตัวคุณดูแลเอาเอง”
“แน่ใจเหรอว่าจะทำอย่างที่พูด”
อนุชเม้มริมฝีปากข่มอารมณ์ไม่ให้ขึ้น เมื่อรู้ว่าถูกเขาขุดเรื่องสัญญาที่รับปากไปว่าจะไม่ดื้อ มาเตือน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมองหน้าคมอย่างไม่พอใจ พลางคิดว่าจะต้องทำอย่างที่เขาพูดหรือเปล่า แต่แล้วโชคก็มาช่วยตัดสินใจ เมื่อประตูห้องถูกเปิดเข้ามา อนุชก็รีบลุกไปยืนอยู่ตรงมุมห้อง และมองคนที่เดินเข้ามาอย่างสนใจ คนหนึ่งหล่อคนหนึ่งสวย สวยไปทั้งหน้าตาและรูปร่างที่ช่างเซ็กซี่เหลือเกิน
คิมลุกขึ้นยืนเมื่อทั้งคู่เดินเข้ามาหา เจติน์เปิดยิ้มทักทายเขาเล็กน้อย แล้วแนะนำตัวเองออกมา “ผมเจติน์ครับ พอจะจำได้ไหมครับ”
“ครับ” คิมตอบรับ แล้วตวัดสายตาไปมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ คงเป็นคนที่แม่เลี้ยงเขาบอกไว้ เจติน์ที่คอยจับตามองการพบกันอยู่จึงแนะนำออกมา
“นี่น้องเกล หรือคุณเกลลาวรรณ ลูกสาวของคุณหญิงอ้อ ที่จะเอาเครื่องเพชรมาคืน”
เกลลาวรรณยิ้มหวานให้ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้ คิมยกมือรับไหว้ตามมารยาท เจติน์ที่เห็นว่าหมดหน้าที่ของเขาแล้ว ก็ขอตัวเดินออกมา อนุชจึงค่อยๆพาตัวเองออกไปด้วย ภายในห้องจึงเหลือแค่ชายหนุ่มหญิงสาวเท่านั้น คิมเชิญให้เธอนั่งทันที ซึ่งเกลลาวรรณก็ยิ้มขอบคุณ แล้วเดินไปนั่งที่บนโซฟาข้างตัวเขา
“เกลขอโทษนะคะที่มาช้า พอดีเพิ่งเสร็จจากงานเดินแบบการกุศลนะคะ” เธอเอ่ยขึ้น และสังเกตเห็นว่าเขาไม่มีท่าทีจะมองเธอด้วยแววตากรุ่มกริ่ม เหมือนผู้ชายคนอื่นๆที่พบเจอมา
“ไม่เป็นไร คุณจะดื่มอะไรไหมครับ”
“ขอพั้นซ์ผลไม้ก็แล้วกันค่ะ” เกลลาวรรณขอในสิ่งที่บอกให้รู้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่เรียบร้อยหรือรักษาภาพลักษณ์การเป็นกุลสตรีที่ดีแต่เป็นผู้หญิงที่เปิดเผยพอสมควร และระหว่างรอเขาที่หันไปทำเครื่องดื่มให้เธอ ก็เอ่ยคุยไปเรื่อยๆ “คุณแม่บ่นเสียดายมากเลยค่ะ ที่ไม่สามารถมาคืนของด้วยตัวเองจึงฝากคำขอโทษมาด้วยค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ แต่ผมจะบอกให้”
“ขอบคุณค่ะ”
เสียงเกลลาวรรณหวานพลางพิจารณาผู้ชายที่กำลังรินน้ำพั้นซ์ใส่แก้วให้เธอ เขาช่างเพอร์เฟคไปทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ ตอนนี้ไม่ต้องมีใครว่าจ้างหรือบังคับให้เธอจับเขา เธอก็พร้อมจะเป็นเจ้าของครอบครองด้วยใจจริงๆ หัวใจและตัวเธอเต้นด้วยความปรารถนาเขา แต่ต้องข่มไว้ แล้วหยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงออกมาจะจากกระเป๋าเพื่อยื่นให้เขา แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่คิมส่งพั้นซ์มาให้เธอพอดี ความคาดไม่ถึงจึงเกิดขึ้นแก้วพั้นซ์ชนกับกล่องกำมะหยี่น้ำจนพั้นซ์หกรดชุดเธอ
“อุ้ย” เกลาวรรณร้องออกมาอย่างตกใจ คิมเองก็เช่นกัน เขารีบวางแก้วพั้นซ์ไว้บนโต๊ะ หยิบกระดาษทิชชูมาส่งให้หญิงสาว ซึ่งก็ยิ้มอย่างขอบคุณ วางกล่องกำมะหยี่ไว้บนโต๊ะก่อนจะรับกระดาษทิชชูมาซับน้ำพั้นซ์ออกจากชุดโดยเฉพาะบริเวณเนินทรวงที่ชุ่มไปด้วยน้ำพั้นซ์ จนเห็นร่องอกที่เบียดกันอยู่ชัดเจน
คิมจึงถอดเสื้อสูทส่งให้ใส่ปิดไว้ พร้อมกับบอกว่า “ขอโทษนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะมันเป็นเหตุสุดวิสัย” เธอบอกพลางยิ้มให้อย่างไม่เป็นไร แล้วรับเสื้อสูทมาใส่ไว้ทั้งที่ไม่อยากจะปิดบังความเซ็กซี่ของตัวเองจากสายตาเขาเลย “ขอบคุณนะคะ แล้วน้ำพั้นซ์โดนคุณคิมด้วยหรือเปล่า”
“เปล่าครับ คุณจะไปห้องน้ำก่อนไหมครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวก็กลับแล้ว แล้วนี่...” เธอหยิบกล่องเครื่องเพชรขึ้นมาเปิดให้คิมได้เห็นก่อนจะปิดแล้วยื่นให้เขา ซึ่งก็รับมาถือไว้ “คุณแม่ยืมไปดูแบบให้ช่างทำให้เพราะถูกใจแบบสมัยก่อนที่ไม่ค่อยมีให้เห็นแล้วในปัจจุบัน และคุณแม่ให้เกลเลี้ยงขอบคุณคุณด้วย งั้นคืนนี้เกลขอเป็นเจ้าภาพนะคะ”
“อย่าดีกว่าครับ ผมจัดการเอง อีกอย่างผมทำเสื้อคุณเละด้วย ถือเป็นการไถ่โทษแล้วกัน”
“ที่ไหนกันละคะ เกลต่างหากที่ไม่ระวัง แล้วจะให้คุณเป็นเจ้าภาพได้ยังไง อีกอย่างถ้าคุณแม่รู้เข้า จะไม่สบายใจ นะคะ ขอเกลเป็นเจ้าภาพดีกว่า”
“เรื่องเล็กน้อยนะครับ”
“แต่เรื่องใหญ่สำหรับเกลนะคะ แต่ถ้าคุณไม่สบายใจ วันหลังค่อยเลี้ยงเกลคืนก็ได้ค่ะ”
คิมไม่พูดอะไรอีก เกลาวรรณก็คิดว่าเขาตกลง “งั้นเกลขอตัวกลับก่อนนะคะ ส่วนเสื้อเกลจะจัดการให้เรียบร้อยแล้วจะเอาไปคืนให้ค่ะ” เธอบอกทั้งที่ใจนั้นอยากจะยืดเวลา ขออยู่ใกล้ๆเขาอีกหน่อย แต่คิดว่าคืนนี้เธออ่อยไว้แค่นี้นะดูดีที่สุดแล้ว
“ครับ ผมก็จะกลับเหมือนกัน เชิญครับเดี๋ยวผมไปส่ง”
คิมวางเงินไว้บนโต๊ะ แล้วลุกขึ้นยืนให้เกียรติหญิงสาว ซึ่งก็ยิ้มปลื้มที่เขาช่างเป็นสุภาพบุรุษเหลือเกิน แล้วเดินเคียงคู่เธอออกมาข้างนอก แต่ไม่สามารถออกไปนอกร้านได้ เพราะมีคนรู้จักเข้ามาทักเธอเสียก่อน
เกลลาวรรณจึงต้องขอตัวจากเขา คิมก็เดินออกมาจากผับ เพียงก้าวพ้นประตูออกมาสายตาเขาก็มองหาคนขับรถทันที พอเห็นว่ายืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับสาวๆอยู่ข้างรถ โทษที่เธอทิ้งเขาไว้ข้างในก็ทบทวีขึ้นมา ร่างสูงก้าวเดินไปหาแต่เดินแบบคนเมาเป๋ไปซ้ายทีขวาที อนุชที่หันมาเห็นเข้าจึงต้องรีบทิ้งสาวๆเดินมาหาเขาทันที
“บ้าจริง เมาเหรอเนี๋ย”
เธอบ่นทันทีที่เดินมาถึงแล้วรีบประคองร่างสูงไปที่รถ แต่เป็นไปอย่างทุลักทุเล เพราะน้ำหนักที่เธอแทบจะรับไม่ไหว แต่ก็พยายามกระทั่งพาเขามาถึงที่รถ ก็เปิดประตูออกก่อนดันตัวเขาให้เข้าไปนั่ง แต่กลับลงไปนอนบนเบาะ ทำให้เธอเสียหลักล้มทับบนตัวเขา
“อุ้ย” เสียงเธอร้องออกมาเบาๆ แล้วรีบดันตัวขึ้นมา โดยไม่รู้ว่าทิ้งความรู้สึกใดไว้ให้คนแสร้งเมาบ้าง ดึงตัวเขาให้นั่งพิงเบาะให้เรียบร้อย แต่เขากลับไถลลงไปนอนให้เธอต้องเสียหลักล้มลงไปทับอกเขาอีกครั้ง แค่นั้นยังไม่พอแขนหนักๆยังพาดขึ้นมาบนตัวเธอด้วย “อืม” อนุชร้องขึ้นอย่างขัดใจ พลางดันแขนเขาออก “โอย อะไรจะเมาขนาดนี้เนี๋ย” เธอบ่นพลางพยายามดันตัวขึ้นจากอกหนา แต่ดูจะไม่ง่ายเลยเมื่อคนแสร้งเมาไม่ให้ความร่วมมือ กดแขนเขาไว้จนตัวเธอแนบไปกับอกกว้าง
เสียงหัวใจเขาเต้นดังเข้าหูอนุช มันทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเมื่อเขาพลิกตัวจนเหมือนเธอนอนอยู่ใต้ตัวเขา ความอายวิ่งเข้ามาสู่หัวใจโดยไม่รู้สาเหตุ แก้มก็ร้อนผ่าวจนรู้สึกว่าแดงขึ้นแน่ๆ จึงรีบผลักตัวเขาออกเต็มแรง แล้วรีบถอนตัวออกมาอย่างรวดเร็ว ลงมายืนหอบอยู่ข้างรถ ยกมือขึ้นจับแก้มตัวเองพร้อมกับข่มใจให้นิ่งแล้วรีบเดินอ้อมรถไปทำหน้าที่ขับรถ พาเขากลับบ้านหลังเบ้อเร่อ โดยไม่ได้เอะใจเลยว่า ทำไมคนเมาถึงไม่มีกลิ่นเหล้าติดตัวเลย
********
ด้านเกลลาวรรณก็ถูกคนที่เข้ามาทักพาตัวมานั่งอยู่บนโซฟาในห้องทำงานของเจ้าของร้าน เธอมองหน้านายหน้าขาอ่อนอย่างไม่ค่อยจะพอใจ เพราะใจนั้นยังอยากจะคุยเพื่อสานสัมพันธ์กับคนที่เธออยากครอบครองต่อ แม้แผนที่ทำจะสำเร็จไปก้าวหนึ่งแล้ว แต่เธอยังไม่อยากจะจากเขามา ยังอยากใกล้ชิดอยากคุยทำความรู้จักกับเขาอีกนิดหน่อย เพื่อให้หัวใจชุ่มฉ่ำกับการได้พบเจอ...ผู้ชายในฝัน
“เจ๊เข้ามาขวางทำไม น่าจะให้ฉันได้คุยกับเขาอีกสักนิด” เกลลาวรรณกล้าพูดเพราะในห้องนี้มีแต่เธอกับคนที่ปั้นเธอมาเท่านั้น ส่วนเจ้าของนั้นเธอเห็นคอยเทคแคร์ดูแลแขกที่เข้ามาในร้านอยู่ข้างล่าง
“ถ้าฉันไม่เข้าไป แล้วหล่อนจะทำยังไง จะเนรมิตรราชรถที่ไหนให้ไปส่งหล่อน”
“อย่ามาโชว์โง่นะเจ๊ ฉันไม่มีก็ให้เขาไปส่งฉันแทนซิ”
“เหรอยะ แล้วหล่อนจะให้เขาไปส่งที่ไหน คฤหาสน์หรือบ้านมีไหม ก็ไม่มี มีแต่คอนโดซอมซ่อที่หล่อนซุกหัวนอนอยู่เท่านั้น” เสียงเยาะหยันออกมา แต่เกลลาวรรณก็ไม่ยี่หระ
“ฉันหาของฉันได้ก็แล้วกันน่า”
“แล้วถ้าหล่อนหาไม่ได้จะทำยังไง ทุกอย่างก็ต้องพัง แผนมันเพิ่งเริ่มหล่อนต้องค่อยเป็นค่อยไป ใจร้อนไปเดี๋ยวก็เสียเรื่อง ไม่เคยได้ยินที่เขาว่ากันว่าช้าๆได้พร้าเล่มงามเหรอยะ”
“เคย แต่มันโบราณแล้วเจ๊ เดี๋ยวนี้ช้าๆหมาก็คาบไปแดกหมดเท่านั้นเอง เจ๊ไม่เห็นเหรอว่าตอนที่เขาเดินเข้ามานั้น ผู้หญิงแท้ ผู้หญิงเทียม เก้งกวางในร้านจ้องเขาตาเป็นมัน ถ้าฉันยังโบราณ อาจจะอดแดกก็ได้”
“เชอะ” นายหน้าขาอ่อนค้อนเพราะโดนรวมเข้าไปด้วย แต่ก็ยังปรามออกมา “แต่ยังไงหล่อนก็ต้องทำตามแผนที่คุณเจตน์วางไว้ แค่ไหนแค่นั้น ห้ามแหกคอกแซงโค้งออกไปเด็ดขาดเพราะเขาถือไพ่เหนือกว่า”
“ฉันรู้แล้วน่า”
“รู้ก็ดีแล้ว”
เสียงที่ดังขึ้นทำให้เกลลาวรรณกับวีวี่หันไปมอง สีหน้าของทั้งคู่เจื่อนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนพูดคือไพ่ที่อยู่เหนือเธอ ซึ่งไม่รู้ว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร และได้ยินอะไรที่พูดกันไปบ้าง แล้วรีบปรับสีหน้าให้ปรกติโดยเฉพาะนายหน้าขาอ่อนนั้นเป็นเหมือนจิ้งจกที่รีบเปลี่ยนสีและไม่ใช่แค่สีหน้ายังแลบลิ้นออกมาเลียด้วยต่างหาก
“อุ้ย คุณเจตน์เข้ามาไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลยนะฮะ แล้วเป็นไงฮะ น้องเกลของวี่คืนแรกฉากแรกผ่านไหมฮะ” วีวี่ถามพลางลุกจากโซฟาเพื่อให้เขามานั่ง แต่เจตน์ยังยืนอยู่ที่เดิม แต่สายตาตวัดมามองเกลลาวรรณ
“ก็ดี แต่ฉันไม่เห็นว่าเขาจะมีท่าทีสนใจเธอเลย”
“เขาเป็นสุภาพบุรุษค่ะ และผู้ชายที่สมบูรณ์แบบอย่างเขาไม่จำเป็นต้องแสดงท่าทีก็มีผู้หญิงที่พร้อมจะมอบตัวให้อยู่แล้ว”
“แสดงว่าเธอก็พร้อมจะเป็นหนึ่งในนั้นนะซิ”
“นั่นเป็นความต้องการของคุณเจตน์อยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ”
“ก็ใช่ แต่มันยังไม่ใช่เวลา และเธอมันก็แค่หุ่นเชิด อย่าคิดฝันไปไกลมากนัก” เจติน์ว่าอย่างรู้ทันความคิดของเกลลาวรรณ ซึ่งก็กำมือข่มใจให้สงบปากสงบคำไม่ให้พูดอะไรที่จะทำให้สิ่งที่คิดไว้พังลง แล้วยิ้มให้เจติน์อย่างสำนึกผิด
“ขอบคุณคุณเจตน์ที่เตือน เกลจะจำไว้ค่ะ แล้วแผนต่อไปคุณเจตน์จะให้ทำยังไงต่อคะ”
“เธอทอดสะพานไว้แล้วไม่ใช่เหรอ”
“ค่ะ เสื้อสูทตัวนี้จะเป็นสะพานพาเกลไปหาเขา แต่นั้นต้องอยู่ที่คุณเจตน์ด้วยนะคะว่าจะกำกับเกลยังไงให้เขาไม่มองผ่านอย่างคืนนี้อีก”
“มันน่าจะอยู่ที่ตัวเธอมากกว่าแผนของฉันนะ ว่าทำไมเขาถึงมองผ่านทั้งๆที่เธอสวยเซ็กเอ็กซ์ขนาดนี้”
“ก็คุณเจตน์ต้องการให้เกลทำแค่นี้ไม่ใช่หรือคะ หรือว่าจากนี้ไปจะยอมให้เกลทำทุกอย่างได้เต็มที่”
เจติน์หลุบตาที่ไม่พอใจการยอกย้อนของนังลูกไก่ในกำมือไว้ แล้วเปิดขึ้นมายิ้มเยาะอยู่ในทีก่อนจะบอกว่า “ขอฉันคิดดูก่อนก็แล้วกัน”
“ค่ะ งั้นคุณเจตน์ช่วยจัดการเสื้อสูทนี้ให้เรียบร้อยด้วยนะคะ” เธอว่าแล้วถอดเสื้อสูทวางไว้ข้างตัว “อีกอย่างเครื่องเพชรที่ขอไว้ หวังว่าคงจะไม่ลืม”
“ฉันจะจัดให้”
“ขอบคุณค่ะ” พูดจบเธอก็ยิ้มให้ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้ให้ดูว่าเธอแสนจะเชื่อฟังและนอบน้อมเขาเหลือเกิน ก็ลุกขึ้นเดินจากห้องไป แต่นายหน้าขาอ่อนไม่ได้ตามไปด้วย เพราะมีเรื่องจะคุยกับเจติน์ ที่พอตวัดสายตามามอง ก็เห็นลิ้นไก่อ้าออกมาให้เขาเห็นทันที
“คุณเจตน์ คือวี่ อยากกินถั่วนะฮะ”
“ตามสบาย”
“อุ้ย ขอบคุณฮะ” วีวี่ย่อตัวไหว้อย่างดีใจ แล้วเดินบิดก้นสั่นระริกสวาทออกจากห้องไปหาถั่วดำมากิน พลางคิดว่าคืนนี้จะใส่น้ำแข็งให้เย็นก่อนจะกินให้ฉ่ำไปทั้งตัว
เจติน์มองตามหลังไปอย่างหยันๆ แล้วกลับมาคิดว่าจะทำยังไงต่อไป เพื่อให้ลูกเลี้ยงของลักษณาติดเหยื่อที่วางล่อไว้ แม้จะมีเสื้อสูทเป็นสะพานแต่ถ้าเขายังเฉยเมยเหมือนคืนนี้ แผนที่วางไว้ก็อาจจะไม่สำเร็จก็ได้ แต่ไม่เป็นไรยังมีเวลาให้คิดเพื่อทำ และถ้าลักษณากลับมา อาจจะมีแผนดีๆเตรียมไว้แล้วก็ได้
*******
เกลลาวรรณเข้ามาล้างน้ำพั้นซ์ในห้องน้ำ แล้วเปิดประตูออกมา หวังจะเห็นนายหน้าขาอ่อน จะได้ชวนกลับเสียที แต่ไม่เห็น ก็รู้ได้ทันทีว่าคงไปแอบกินถั่วอยู่อีกแน่ สีหน้าเธอแสดงความไม่พอใจออกมาทันที และนึกไปถึงคนที่กำชีวิตเธอไว้ในมือ น้ำเสียงกับแววตาที่หยันเหยียดเธอนั้น ทับถมลงไปในความแค้นครั้งก่อนที่ทำกับเธอไว้ ภาพความอัปยศนั้นเธอไม่มีวันลืม
“อย่าให้ถึงทีฉันบ้างก็แล้วไป” เธอพึมพำกับตัวเอง แล้วเดินออกมาตามทางสลัว แต่พอเลี้ยวตรงมุมที่จะไปที่บันได กลับต้องร้อง “อุ้ย” ออกมาพร้อมใจที่หายวาบเพราะถูกกระชากเข้าไปในห้องๆหนึ่ง และพอเธออ้าปากจะร้องก็มีมือมาปิดปาก เธอตาเหลือกเพราะหวาดกลัวพลางดิ้นให้หลุด
“ผมเอง” เสียงกระซิบที่ดังอยู่ข้างหูทำให้เธอเหลือกตามอง แสงไฟที่จากทางเดินที่ส่องเข้ามาให้เห็นหน้าคนที่จับตัวเธอไว้ก็จำมันได้ทันที ก็ผลักตัวมันออกพลางมองอย่างรังเกียจ แล้วจะเดินออกมาจากห้อง แต่มันขยับตัวมาขวางประตูไว้ “อย่าเพิ่งไปซิครับ น่าจะคุยกันก่อน”
“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับแก”
“แม้แต่เรื่องคืนนั้นเหรอครับ”
เกลลาวรรณมองหน้ามันอย่างแสนเกลียดก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นเหยียดหยัน แล้วบอกออกมาให้มันได้รู้สึกว่า “ใช่”
“แต่เราเข้ากันได้ดีเหลือเกินและผมก็ไม่ลืม ลืมไม่ลงเลย”
“เรื่องของแก แต่อย่ามายุ่งกับฉัน”
บ๊อบส่ายหน้าว่าไม่ได้ พลางเดินเข้ามาหาเกลลาวรรณพร้อมมองเนินอกที่มันจำได้ว่าอวบอิ่มแค่ไหน “วัวเคยค้าม้าเคยขี่ ถ้าจะขี่กันอีกสักครั้งก็คงไม่เป็นไร”
“ฉันจะฟ้องคุณเจติน์” เกลลาวรรณขู่พลางก้าวถอยเมื่อเห็นท่าทีที่จริงจังของมัน
“เขาไม่สนใจอยู่แล้ว คุณก็รู้ และผมก็รู้ว่าตอนนี้คุณร้อนเพราะต้องการเขาคนนั้น แต่เขาไม่สนใจ”
“แกตามดูฉันเหรอ” เธอถามออกมา
“เรียกว่าสนใจดีกว่า”
“งั้นก็ขอเตือนว่าอย่ามาสู่รู้เรื่องของฉัน เพราะถ้าคนที่จ่ายเงินเดือนให้แกรู้เข้า อาจจะโดนถีบออกไปเป็นหมาข้างถนนก็ได้” เธอหยาบคายทั้งๆที่มันสุภาพแล้วเบี่ยงตัวเพื่อจะหนีออกมา แต่มันรู้ทันจับตัวเธอไปตรึงไว้กับผนังห้อง แล้วขังเธอไว้ด้วยท่อนขาที่กดเรียวขาเธอไว้พลางมองด้วยสายตากระหายสวาทแล้วบอกว่า
“คุณจะไม่ทำอย่างนั้น” เสียงมันมั่นใจ จนเธอต้องมองอย่างสงสัย แต่ก็ยังเหยียดหยันมันออกมาด้วยน้ำเสียงที่เน้นหนักว่า
“ฉันทำ”
“ไม่อยากได้คลิปนั่นเหรอ” เกลลาวรรณอึ้งไปกับประโยคนี้ ขณะที่คนพูดก็รู้สึกตีถูกจุดจึงรุกต่อ “ผมอาจจะเอามันมาให้คุณได้นะ ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะว่านอนสอนง่ายกับผมหรือเปล่า”
เกลลาวรรณนิ่งคิดคำพูดมัน แล้วลองหยั่งเชิงออกไป “ก็น่าสนใจดีนะ”
“แล้วจะสนไหมครับ” มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้แก้มเธอดมดอมกลิ่นหอมที่เย้ายวนใจ เกลลาวรรณหรี่ตามองพลางคิดว่าจะเชื่อคำพูดมันได้แค่ไหน
“คนที่จ่ายเงินเดือนให้แก ใช้ให้มาทำ เพื่อลองใจฉันใช่ไหม”
“เปล่า ผมทำเองโดยที่ไม่มีใครรู้ใครเห็น คุณไม่ต้องห่วง”
“แล้วฉันจะเชื่อใจแกได้ยังไง”
บ๊อบเลิกคิ้วขึ้นพลางสบตาเธอ แล้วจี้ลงไปในใจเธออีกว่า “ผมรู้ว่าคลิปวีดีโอนั้นอยู่ที่ไหน”
หัวใจของเกลลาวรรณเต้นแรง เพราะอยากจะได้ความอัปยศนั้นมาทำลายทิ้ง แต่ต้องข่มใจไม่ให้แสดงความอยากออกมา เพราะประสบการณ์สอนให้เธอรู้ว่าควรใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว ดีกว่าแสดงความอยากออกไปแล้วกลับมาทำร้ายเธอ
“ฉันจะสนองก็ต่อเมื่อมีของมาเสนอให้เห็นเท่านั้น”
“แสดงว่าคุณตกลง งั้นผมขอมัดจำก่อนได้ไหม”
มันว่าแล้วเลิกชายกระโปรงเธอขึ้นมาถึงหน้าขา สอดมือเข้าไปในจีสตริง วางปลายนิ้วไว้ที่ดอกกุหลาบของเธอ เกลลาวรรณยิ้มเยือนราวกับชอบสิ่งที่มันทำ แต่เธอจะเก็บตัวไว้ให้กับคนที่มีประโยชน์มากกกว่ามาเสียเวลากับพวกที่ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว ก็ปัดมือมันออก และบอกก่อนจะเปิดประตูออกไปว่า
“ไปหาคนอื่นเถอะ เพราะฉันไม่ใช่กะหรี่ที่จะระรี้ระริกเพียงแค่นิ้วของแก”
บ๊อบมองตามไปพลางยิ้มหยันกับคำเหยียดหยาม ไม่มีความโกรธในสีหน้าเขาแต่สายตานั้นบอกว่าเรื่องจะไม่จบแค่นี้แน่นอน
*******
แสงไฟหน้ารถสาดส่องนำทางรถยนต์คันหรูให้เคลื่อนมาจอดหน้าบันไดบ้านหลังเบ้อเร่อ อนุชดับเครื่องยนต์พลางมองเข้าไปด้านในที่เงียบสงัดแล้วถอนหายใจออกมายาวๆ เมื่อไม่เห็นใครสักคน ก็หันไปมองคนที่นอนอยู่บนเบาะหลัง ถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วเปิดประตูออกมาจากรถเพื่อมาประคองคนเมาออกมา แต่ต้องชะงักอยู่แค่ประตู เมื่อคนเมาเปิดประตูออกมายืนอยู่ข้างรถ การยืนนิ่งไม่มีท่าทางโอนเอนเหมือนก่อนหน้านี้นั้น ทำให้ความสงสัยฉายชัดออกมาทางแววตา
“คุณไม่ได้เมา” อนุชถามออกมาพลางจับตามอง
“แล้วฉันบอกเมื่อไรว่าเมา”
“แต่คุณเดิน...” พูดออกไปแล้ว เธอก็แทบจะกัดลิ้นตัวเอง เมื่อหวนคิดถึงภาพก่อนหน้านี้... แล้วกัดฟันอย่างเจ็บใจเพราะเธอคิดไปเอง ก็ฉุนโกรธ เดินไปเปิดกระโปรงท้ายรถ หยิบเป้ตัวเองมาคล้องไหล่แล้วเดินไปบนทางที่มุ่งออกไปจากบ้านเขา แต่ไม่กี่ก้าว แขนก็มีมือมาจับเอาไว้ พร้อมเสียงเข้มๆก็ดังตามมา
“จะไปไหน”
“กลับบ้านไง” บอกแล้วก็บิดแขนออกจากมือหนา แต่ไม่หลุด ซ้ำยังมีเสียงกำชับมาอย่างดุๆอีกว่า
“นอนที่นี่”
“ไม่”
สิ้นเสียงปฏิเสธ ร่างอรชรก็ปลิวตามมือที่จับไว้ อนุชจิกปลายเท้ากับพื้น ขืนตัวอย่างไม่ยอมและพยายามบิดแขนเพื่อให้หลุดจากมือเขา เมื่อไม่หลุดก็ทุบลงไปบนมือหนาเพราะโกรธที่เหมือนถูกเขาหลอก “ปล่อยนะ ปล่อยซิ” แต่ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย ซ้ำยังถูกลากดึงให้เดินเข้าไปในบ้าน ขึ้นบันไดวน จนมาหยุดหน้าห้องที่เธอนอน
คิมเปิดประตูออก ดันตัวเธอเข้าไปแล้วปิดประตู แต่ยังไม่ทันขยับ ประตูก็เปิดออก เขาก็ปิดอีกเธอก็เปิดออกมาอีกเช่นกัน เขาสบตาที่ท้าทายอยู่นิ่งๆ ก็บอกว่า “ปิดประตูเสีย และถ้าเปิดออกมาอีกครั้ง ฉันจะลากไปนอนห้องโน้น”
อนุชรู้ว่าห้องโน้นที่เขาพูดนั้นหมายถึงห้องเขา แต่เธอไม่สนใจคำพูดเขา “ฉัน ไม่ นอน” เธอย้ำบอกเขาทีละคำแล้วจะเดินออกมา แต่เขาไม่ถอยเธอก็เดินออกมาไม่ได้ แถมยังพูดด้วยเสียงที่เตือนอยู่ในทีว่า
“ดึกขนาดนี้แล้วจะไปได้ยังไง มันอันตราย”
“ฉันไปได้”
“แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ฉันจะตอบพ่อเธอว่าไง”
“ฉันดูแลตัวเองได้” บอกแล้วเธอก็เดินเลี่ยงตัวเขาออกมา แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อมีเสียงต่อว่าที่ทำให้เจ็บแสบไปทั้งใจ
“คำว่าโง่มันยังน้อยไปหรือไง หรือต้องให้ฉันว่าปัญญาอ่อนด้วยถึงจะเข้าใจ”
อนุชหันขวับมามองหน้าคมอย่างสุดโกรธ เท่าที่ถูกเขาหลอกก็โกรธมากอยู่แล้วถูกว่าซ้ำก็ยิ่งโกรธ แต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้นอกจากประชดออกมา “คงงั้นมั่ง”
“งั้นก็เชิญ”
เธอขยับตัวทันที แต่ไม่ใช่เดินจากไปแต่เดินกลับเข้ามาในห้องและปิดประตูใส่หน้าเขาด้วยความโมโห “ปัง”
แววตาของคิมกระด้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะสงบนิ่ง แล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าห้องตัวเอง ขณะที่ในห้องอนุชก็นั่งระงับอารมณ์อยู่บนเตียง กระเป๋าเป้ถูกถอดวางไว้ข้างเตียง แล้วคิดถึงสำนึกสุดท้ายที่ทำให้เดินกลับมาในห้องนี้ ซึ่งก็คือคนเป็นพ่อ ถ้าไม่คิดถึงท่าน เธอก็คงเดินออกไปแล้ว และเมื่อความโกรธลดน้อยลง ก็ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างเปิดผ้าม่านออกมองไปด้านนอก ความมืดมิดที่เห็นทำให้เธอนึกถึงคนเตือน ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเล็กน้อย แล้วตัดสินใจทำในสิ่งที่ควรทำ
ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้นท่ามกลางความเงียบในบ้านหลังใหญ่ ไม่กี่อึดใจประตูก็เปิดออก คิมมองร่างอรชรที่ยืนอยู่ตรงหน้า เพียงเดี๋ยวเดียวก็มองข้ามหัวเธอไปเหมือนไร้ตัวตน อนุชถึงกับหน้าเสีย แต่เมื่อคิดถึงการกระทำของตัวเอง ที่ไม่ควรแสดงคำพูดหรือปฏิกิริยากับเขาแบบนั้น ก็ควรทำในสิ่งที่คิดไว้ “ขอโทษค่ะ”
คิมหลุบตามองใบหน้างามเพียงนิด ก็จะปิดประตู แต่เสียงอนุชดังขึ้นหยุดไว้เสียก่อน “จะไม่ยกโทษให้เหรอ”
“อยู่ที่สำนึกของเธอไม่ใช่คำพูดของฉัน”
“ก็สำนึกแล้วไง ถึงได้มาขอโทษ จะยกให้หรือเปล่า”
“แค่นี้เหรอ”
อนุชเม้มริมฝีปากอย่างไม่ชอบใจ ที่กำลังถูกเขาต่อรอง แต่ก็ต้องยอมเมื่อเธอผิดจริงๆ ความมืดมิดที่มองผ่านหน้าต่างออกไปเมื่อกี้นั้นเต็มไปด้วยความน่ากลัว ถ้าเธอเดินออกไป ทางเดินที่ห่างจากถนนใหญ่พอสมควร บางช่วงไม่มีบ้านคนแถมยังรกทึบด้วยต้นไม้ อาจจะทำให้เธอกลับไม่ถึงบ้านก็ได้ และคนที่จะเสียใจที่สุดก็คือพ่อ
“แล้วจะให้ฉันทำไง คุณถึงจะยกโทษให้”
“เลิกอวดดีแล้วว่านอนสอนง่ายได้หรือเปล่า”
“ได้” เธอรับปากแต่เสียงไม่ได้หนักแน่นเลย ใบหน้าคมจึงยังนิ่งเฉย ก็หวนคิดไปถึงคำสัญญาและคำพูดเขาที่เคยบอกเธอไว้ว่าให้พูดกับเขาว่าไง ก็อ้อมแอ้มออกมาอีกนิดว่า “ได้ค่ะ แต่แค่บางเรื่องเท่านั้นนะ”
เธอต่อรองออกมาบ้าง แต่ก็ทำให้ดวงตาคมฉายความพอใจออกมา แม้เสียงยังนิ่งเรียบดุจเดิมก็ตาม “งั้นก็กลับไปนอนได้แล้ว” อนุชพยักหน้า แต่พอจะผละไป กลับมีเสียงเรียกไว้ “เดี๋ยว” เธอจึงต้องยืนอยู่ที่เดิม ขณะที่เขาเดินหายเข้าไปในห้อง ไม่กี่นาทีต่อมา ก็เดินกลับมาหาพร้อมกับของในมือมายื่นให้เธอ
อนุชมองเสื้อเชิ้ตสีขาวอย่างแปลกใจ ก็ถามว่า “ให้ทำอะไรคะ”
“ใส่นอน ที่นี่เป็นบ้านคน ไม่ใช่บ้านป่า จะได้ไม่ต้องห่อห่มเป็นดักแด้อีก”
อนุชทำหน้างอไม่อยากรับ แต่เมื่อรับปากเขาว่าจะว่าง่าย ก็จำต้องรับมาถือไว้ “ขอบคุณค่ะ แต่คุณจะไม่ขอโทษฉันหน่อยเหรอ แม้คุณจะไม่พูดว่าเมา แต่ท่าทางที่คุณทำให้ฉันคิด คุณก็มีความผิดเหมือนกัน”
แววตาของคิมหรี่ลงเหมือนคิดบางอย่าง แล้วถามออกมา “อยากได้จริงเหรอ”
“ก็ใช่นะซิ”
“แต่ฉันไม่เคยเอ่ยคำนี้ มีแต่จะทำ แล้วรู้ไหมว่าฉันจะทำยังไง”
“ไม่รู้”
“หอมแก้ม”
อนุชอึ้งไปแล้วรีบถอยหลัง แต่ไม่ทันแล้ว เมื่อเขาก้มหน้าลงมาหอมแก้มเธอ รอยอุ่นวาบซ่านขึ้นมาให้แก้มแดงก่ำ คิมยืดตัวขึ้นแล้วปิดประตู แต่อนุชยังนิ่งอยู่ที่เดิม ก่อนจะเดินตัวลอยกลับมาที่ห้องนอนตัวเอง เสียงปิดประตูที่ดังขึ้น ทำให้คิมที่ยืนพับแขนเสื้ออยู่นิ่งไปนิด ก็ทำต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ความจริงทุกการกระทำของคนเรา เป็นผลมาจากความคิดทั้งนั้น ฉะนั้นถ้าเขาไม่คิดก็คงไม่หอมแก้มเธอ
********
เช้าวันรุ่งขึ้น เสียงเคาะประตูดังขึ้นปลุกหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงนุ่มให้ตื่น ดวงตาที่ปิดสนิทกะพริบขึ้นรับรู้ แต่ไม่เปิดขึ้นมากลับนิ่งสนิทเหมือนหลับต่อ แต่เพียงอึดใจเดียวตัวก็ลุก ตาก็เปิด เพราะสำนึกได้ว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง รีบลงจากเตียงไปเปิดประตูห้องทันที พอเห็นว่าเป็นใคร ก็เปิดยิ้มพร้อมกับยกมือไหว้
“ป้าจิตร สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีค่ะ” นางทักพร้อมยกมือขึ้นรับไหว้แต่สายตามองเสื้อเชิ้ตที่อยู่บนตัวหญิงสาว ที่นางจำได้ดีว่าเป็นของนายหนุ่ม ความสงสัยเกิดขึ้นมากมายแต่ก็เก็บไว้ในใจเท่านั้น “คุณคิมบอกป้าว่าคุณนุชอยู่บนห้อง คงไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาค้าง เสื้อผ้าที่มีอยู่ก็คงไม่เหมาะที่จะใส่ไปทำงานและเรียน ป้าก็เลยมาขอเสื้อผ้าไปซักอบแห้งให้ค่ะ”
เพียงได้ยินชื่อเจ้าของบ้าน แก้มเธอก็ร้อนผ่าวคล้ายกับปลายจมูกเขาเพิ่งทาบทับลงมา ต้องรีบกัดริมฝีปากข่มไว้ไม่ให้คนตรงหน้าสงสัย แล้วบอกว่า “ขอบคุณค่ะ แต่นุชเตรียมมาแล้ว ส่วนชุดที่ใส่เมื่อคืน นุชทำเองก็ได้”
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวป้าจะให้เด็กจัดการให้ ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็เรียบร้อยค่ะ”
อนุชรู้สึกเกรงใจ ไม่อยากให้ใครต้องมาดูแลเธอขนาดนี้ เพราะเธอไม่ได้เป็นนายจ้าง ก็เป็นลูกของลูกจ้างเหมือนทุกคน แต่เมื่อไม่มีทางเลือกก็จำต้องไปหยิบชุดคนขับรถของพ่อกับชุดนักศึกษาของตัวเองมาส่งให้ นางจิตรรับมาถือไว้แล้วเดินลงไปชั้นล่าง อนุชถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วจะปิดประตูห้อง แต่...
“เหมียว”
ริมฝีปากอิ่มเปิดยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินเสียงเจ้าแมวน้อย ตัวมันก็เดินส่ายก้นมาให้เห็น เธอรีบเดินไปหา ย่อตัวลงลูบหัวมัน “เจ้าแมวน้อย” เธอทักทายแล้วอุ้มมันขึ้นมา “ตัวหนักนะเนี๋ยแสดงว่าแกอ้วนขึ้นอีกแล้วใช่ไหม”
“เหมียว”
“แนะ แกเข้าใจที่ฉันพูดด้วยเหรอ”
เธอยิ้มขำ สบตากลมใสราวลูกแก้วของมัน แล้วยกตัวมันขึ้นสูงหยอกเล่นด้วยอีกนิดหน่อยก็ปล่อยมันลงพื้น แต่แทนที่มันจะเดินไปกลับเดินเข้ามาคลอเคลียพันแข้งพันขาเธอ ก่อนจะกระโดดไปมาคล้ายชวนให้เล่นด้วย เธอจึงเล่นกับมัน โดยไม่เห็นว่าคนที่เดินขึ้นบันไดมาชั้นบน หยุดยืนมอง ร่างอรชรตั้งแต่ใบหน้างามที่อ่อนใส ริมฝีปากอิ่มที่ยิ้มแย้ม พวงแก้มที่หยุดสายตาเขาไว้เพียงครู่ ก็เลื่อนลงมาถึงเสื้อเชิ้ตที่อยู่บนตัว ความสั้นแค่สะโพกอวดเรียวขาสวย ยิ่งยามที่เธอขยับดูช่างเซ็กซี่นัก
“เหมียว เหมียว”
เจ้าแมวน้อยร้องออกมาราวกับเห็นคนรู้จัก ทำให้เธอหันไปมอง แก้มเธอร้อนผ่าวขึ้นทันทีที่เห็นว่าเป็นเจ้าของบ้าน ร่างสูงที่อยู่ในชุดกีฬากางเกงวอร์มขายาวกับเสื้อกล้ามบอกให้รู้ว่าเพิ่งกลับมาจากการออกกำลังกาย อนุชวางหน้าให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วจะเดินเข้าห้องนอน แต่เสียงเขาดังขึ้นมาเสียก่อน
“ตั้งชื่อให้มันหรือยัง” คิมถามพลางเดินมายืนอยู่ไม่ห่าง ทำให้เธอเลี่ยงไม่ได้ จึงบอกว่า
“ยังค่ะ”
“แล้วจะให้มันชื่อว่าอะไร”
“เสาหิน”
คำตอบเร็วโดยไม่มีการนึกคิดนั้นทำให้แววตาคิมฉายความแปลกใจ แต่ไม่พูดอะไร ก็เดินเข้าห้องตัวเองไป อนุชปรายตามองตามกระทั่งประตูปิดสนิท ก็ยิ้มขำออกมา หันมามองเจ้าแมวน้อยที่ได้รับเกียรติสูงส่ง มีชื่อเป็นฉายาของเจ้าของบ้าน “ชอบไหมละ” เธอถามมัน พอมันร้อง ‘เหมียว’ ออกมาก็หัวเราะเบาๆ แล้วเดินเข้าห้องไปอย่างอารมณ์ดี
เสื้อผ้าที่ซักรีดเรียบร้อยถูกนำมาให้อนุชในเวลาต่อมา ซึ่งก็อาบน้ำพร้อมรอใส่อยู่แล้ว ร่างอรชรจึงกลายเป็นหนุ่มน้อย มาทำหน้าที่ขับรถพาเจ้านายไปถึงที่ทำงานโดยสวัสดิภาพ เธอนำรถไปจอด เรียบร้อยแล้วก็หยิบกระเป้าเป้มาสะพายเดินไปที่ป้ายรถเมล์ แต่เพียงพ้นอาคารคาร์ริกออกมา มีสายตาคู่หนึ่งมองตามเธอไป ไม่แค่นั้นยังขับรถตามเธอไปถึงมหาวิทยาลัยที่เธอเรียนอยู่ โดยไม่คลาดกันอีกด้วย
*********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
แฟนเพจ : https://www.facebook.com/pram18pream
pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 มี.ค. 2559, 16:44:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 มี.ค. 2559, 16:44:31 น.
จำนวนการเข้าชม : 3465
<< ตอน 6 |
แว่นใส 18 มี.ค. 2559, 17:56:50 น.
บทนี้หวานนะ
บทนี้หวานนะ
Zephyr 26 มี.ค. 2559, 19:28:42 น.
แหมะ ใครตามนะ
แหมะ ใครตามนะ