เล่ห์รักบงการใจ

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 6

pream เขียนเรื่องนี้จบแล้วค่ะ

ตอนนี้ได้เปิดจอง ในแฟนเพจ https://www.facebook.com/pram18pream

หรือสอบถามได้ที่ e-mail : pream.writer@gmail.com

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามผลงานค่ะ ฝากอุดหนุน สนับสนุนกันด้วยนะคะ และจะลงให้อ่านถึง ตอนที่ 10ค่ะ

ขอบคุณมากๆ

ตอน 6

ลักษณายืนอยู่ที่ชายหาด เธอกำโทรศัพท์ที่อยู่ในถือไว้แน่น เมื่อไม่อาจกลับไปทำตามที่ใจเรียกร้อง เพราะสามีเฒ่าที่หลับอยู่ในบ้านพักยังไม่มีทีท่าว่าจะพาเธอกลับ ซ้ำยังสำเริงสำราญกับการได้มาพักผ่อนครั้งนี้มากกว่าทุกครั้งด้วย แล้วเธอจะทำยังไงเพื่อให้งานเธอเดินไปก่อนที่เธอจะได้กลับไปจัดการ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด แล้วกดโทรศัพท์หาเพื่อนรัก... เชอร์รี่

“รู้แล้วใช่ไหมว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว” เธอส่งคำถามไปตามสายทันทีที่เพื่อนรักรับสัญญาณ และฟังคำพูดที่ตอบกลับมา

“เจตน์บอกแล้ว แล้วจะให้ทำยังไงต่อไป”

“จัดฉาก เร็วเท่าไรได้ยิ่งดี คืนนี้เลยก็ได้ ฉันมีแผนแล้ว” ลักษณาบอกแผนที่คิดขึ้นมาให้เพื่อนได้รู้ โดยไม่เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของเชอร์รี่ เพราะดูมันจะไม่ง่ายเลย แต่เมื่อไม่อาจขัดใจได้ ก็ต้องยอมรับแม้จะมีความกังขาอยู่บ้างก็ตาม

“แน่ใจหรือว่าจะได้ผล”

“แน่ซิ แม้เขาจะไม่สนใจฉันเรื่องอื่น แต่เรื่องงานเขาเต็มที่กับฉันเสมอ ที่สำคัญกำกับเด็กนั้นให้ดี อย่าให้แรดเหมือนชะนีมากนัก เก็บอาการให้เหมือนนางอายไว้หน่อย เขาจะได้สนใจไม่เดินหนีไปเสียก่อน แล้วเดี๋ยวฉันจะโทรบอกเจตน์เอง”

ลักษณาสรุปทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ตัดสัญญาณ ยิ้มกับแผนที่คิดไว้ แล้วหมุนตัวจะเดินกลับไปหาสามีที่บ้านพัก แต่ชะงักไปนิดเมื่อเห็นคนขับรถยืนมองทะเลอยู่ไม่ห่าง เธอก้าวเท้าจะเดินผ่านไปเหมือนไม่สนใจ แต่แล้วกลับเปลี่ยนใจเดินตรงไปหา “ชอบทะเลเหรอคะ” เธอถามขึ้นทันทีที่เดินมายืนอยู่ไม่ห่าง

“ครับ” อนันต์ตอบโดยไม่ได้หันมามองเมียสาวของพ่อเจ้านาย

“เช้าๆอย่างนี้ทะเลสวยมาก แต่น่าแปลกที่ภายใต้ความสวยงามมีความน่ากลัวแฝงเร้นอยู่” เธอชวนคุย แต่อีกฝ่ายกลับฟังเฉย ก็ไม่ถือ เพราะภายนอกเธอก็แสนดีแบบนี้กับทุกคนอยู่แล้ว” ลักษณ์เห็นคุณทำงานกับคิมมาตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่เคยคุยกันเลย คุณมีภรรยาหรือเปล่า”

“ผมมีลูกครับ”

คำตอบที่ไม่ได้ให้ความกระจ่างว่ามีแต่ยังอยู่ด้วยกันหรือเปล่านั้น ทำให้ลักษณายิ้มเยือนเหมือนไม่ถือสา “ลูกคุณคงน่ารักนะ เพราะคุณดูใจดีและใจเย็นมาก ว่าแต่เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายคะ”

อนันต์ปรายตามามองเพียงนิด ก็บอกว่า “ผู้หญิงครับ”

“แล้วคุณมาทำงานแบบนี้ ไม่ห่วงหรือคะ”

“เธอโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว และคุณลักษณ์ก็พูดถูก ทะเลที่สวยงามมีความน่ากลัวอยู่จริงๆ ขอตัวนะครับ” พูดจบก็เดินจากไปทันที

ลักษณามองตามไปเพียงนิดก็คิดถึงคำพูดสุดท้าย ว่าที่พูดนั้นหมายความว่ายังไง จะเป็นแค่คำพูดลอยๆ หรือจะบอกอะไรเธอหรือเปล่า ถึงได้พูดยอกย้อนออกมาแบบนั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน เธอก็ไม่สนใจอยู่แล้ว เพราะตอนนี้สิ่งที่น่าสนใจสำหรับเธอมากที่สุดคือ...แผนการจับลูกเลี้ยง
*********
รถยนต์คันหรูตีวงเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าอาคารศิริ ศิริพักต์ลงจากรถเดินเข้าไปในอาคาร โดยมีเลขาหนุ่มวีรยุทธเดินตามไปติดๆ และคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาตั้งแต่เช้า เขาไปเป็นสารถีให้นายสาว ขับรถพาเธอไปจอดแอบอยู่หน้าอาคารคาร์ริก ทั้งที่ไม่รู้ว่าเธอไปทำไม แล้วเขาก็ได้เห็นว่าเธอมาเพื่อมองใคร แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด เมื่อคนที่เธอมองไม่ใช่เจ้าของคาร์ริก แต่เป็นเด็กหนุ่มที่เป็นคนขับรถของเขา และให้เขาขับรถตามไป แต่ต้องคลาดกันเพราะการจราจรที่ติดขัดและวุ่นวาย จึงต้องขับรถกลับมาที่บริษัท

ศิริพักต์เดินเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง วางกระเป๋าถือไว้บนโต๊ะทำงานแล้วเดินไปยืนตรงผนังกระจกที่สามารถมองเห็นวิวที่ช่วยลดทอนความผิดหวังให้เธอ ที่ไม่สามารถเจอคนที่อยากเจอ คนขับรถที่เห็นไม่ใช่คนที่หวังจะได้เจอ มิหนำซ้ำยังคลาดกัน จนไม่สามารถสอบถามเพื่อยืนยันสิ่งที่คิดไว้ ว่าจะจริงหรือไม่ได้อีก

น้ำตารื้อขึ้นมากลบดวงตาศิริพักต์เพราะความเจ็บปวดที่ทำให้เธอเสียใจ และรีบกะพริบตาให้สลายหายไปเมื่อมีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างหลัง

“คุณศิครับ” วีรยุทธเรียกอย่างเกรงๆ เพราะเข้าใจว่านายสาวอาจจะยังไม่อยากคุยกับเขา แต่เขาก็ไม่อาจจะเก็บความสงสัยไว้ได้

“สงสัยเหรอ” เสียงเธอถามขึ้นโดยไม่หันมามอง และรู้ว่าอีกฝ่ายต้องคิดอย่างที่ถามไปแน่ๆ

“ครับ” วีรยุทธยอมรับออกมา ก่อนจะบอกว่า “ถ้าผมเป็นแค่ลูกจ้างทั่วไปผมจะไม่ถาม จะไม่ก้าวก่าย ไม่ทำให้คุณศิต้องขุ่นเคืองเลย แต่นี้ผมยังเป็นญาติที่ห่วงใยด้วยใจจริงจึงอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยก็อาจจะช่วยอะไรคุณศิได้บ้าง ถึงจะไม่มากแต่แค่รับฟังก็ได้นะครับ”

“ขอบใจนะ แต่ถ้าจะช่วยจริงๆก็ช่วยตามหาเด็กคนนั้นให้หน่อย ฉันอยากรู้ทุกเรื่องของเด็กคนนั้น”

“เขาเป็นใครครับ”

ศิริพักต์หันมามองหน้าวีรยุทธ สบตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ก็บอกว่า “ความผิดพลาดในอดีตที่ฉันอยากจะแก้ไข เพื่อลดความเจ็บปวดในใจฉันให้หายไปเสียที”

วีระยุทธนิ่งไปเพราะยังไม่มีความกระจ่างใดๆกลับมา แต่เสียงพูดกับสีหน้าที่เศร้าหมองนั้นน่าสงสารจริงๆ ก็ยินดีที่จะช่วย “ถ้าอย่างนั้นคุณคิมอาจจะช่วยคุณศิได้ เพราะเด็กคนนั้นเป็นคนขับรถของเขา”

“วันที่ฉันไปเซ็นต์สัญญา ฉันพูดกับเขาบ้างแล้ว แต่ฉันไม่อยากไปพูดอีกเพราะไม่ต้องการให้เขาสงสัย เมื่อมันเป็นเรื่องส่วนตัวที่ฉันยังไม่พร้อมที่จะให้ใครรู้ อีกอย่างฉันกำลังทำธุรกิจกับเขา การเอาเรื่องส่วนตัวเข้าไปยุ่งจะดูไม่ดี วีจะช่วยฉันได้หรือเปล่า ตามสืบให้ฉันที”

“ได้ครับ แต่ผมก็ต้องเริ่มจากอาคารคาร์ริกอยู่ดี”

“ยังไงก็ได้ แต่อย่าให้คุณคิมเขารู้หรือเห็นเด็ดขาด และขอให้เป็นความลับระหว่างเราได้ไหม” ศิริพักต์มองญาติหนุ่มอย่างขอร้อง วีรยุทธจึงรับปาก

“ครับ”

“ขอบใจนะวี ขอบใจมาก แล้วสักวันเมื่อฉันพร้อมฉันจะเล่าให้ฟัง”

“ครับ” รับปากแล้ววีรยุทธก็ไม่ถามอะไรอีก นอกจากเดินออกมาพร้อมคิดหาวิธีที่จะช่วยนายสาว

ศิริพักต์มองตามไปจนร่างสูงเดินพ้นประตูห้องออกไป ก็หันกลับไปมองวิวนอกกระจกอีกครั้ง แต่ภาพเหล่านั้นไม่สามารถตรึงสายตาเธอได้เท่ากับภาพของเด็กหนุ่ม ที่สะท้อนขึ้นมาให้คิดถึงสิ่งที่ได้ทำลงไปในอดีต ทำไมเธอช่างเลวร้ายนัก ทำไม ศิริพักต์ถามตัวเองและรู้สึกเกลียดตัวเองเหลือเกิน

วีรยุทธเดินมานั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเอง แต่สายตามองไปที่ห้องทำงานนายสาว ความสงสัยที่ไม่อยากจะสงสัยผุดขึ้นมา ว่าความผิดพลาดในอดีตที่เธอพูดถึงคืออะไร เกี่ยวอะไรกับเด็กหนุ่มคนนั้น เขาครุ่นคิดอย่างหนัก ก่อนจะเปิดตากว้างเพราะตกใจกับความคิดของตัวเอง...หรือว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของเธอ

‘จะเป็นไปได้ยังไง บ้าแล้วไอ้วี’

เขาด่าตัวเอง ขณะอีกใจก็ค้านออกมาว่าอาจจะเป็นไปได้ เพราะอายุของเด็กคนนั้นกับอายุของนายสาวที่เขาคาดเดาก็พอที่จะเป็นแม่ลูกกันได้ แต่เท่าที่เขารู้คุณศิไม่เคยคบใครหรือมีข่าวกับผู้ชายคนไหนมาก่อน แล้วจะมาเป็นลูกเธอได้ยังไง จะว่าปิดจนมิดก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะบรรดาญาติๆที่ชอบสอดรู้สอดเห็นน่าจะได้ยินแล้วเอามาพูดกันบ้าง แต่นี่ไม่มีเลย และถ้าเป็นลูกของเธอจริงแล้วใครเป็นพ่อ เขาครุ่นคิดอย่างหนัก แต่ยังหาข้อสรุปให้ตัวเองไม่ได้ ได้แต่วกไปวนมา จนเขาปวดหัวแล้วบอกตัวเองให้เลิกคิดรีบทำงานให้เสร็จเพื่อไปสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างเสียที
***********

ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูห้องบนคอนโดแห่งหนึ่ง ดังขึ้นมา เจ้าของห้องเป็นหญิงสาวนั่งตะไบเล็บอยู่บนโซฟาหนังนุ่ม สายตาตวัดไปมองประตูที่ถูกเคาะเพียงนิดก็เหยียดยิ้มออกมา เพราะพอจะรู้ว่าใครมาเคาะ แต่ไม่ลุกขึ้นไปเปิด เสียงเคาะก็ดังขึ้นมาอีกแต่เธอก็ยังนิ่งเฉย กระทั่งมีเสียงไขกุญแจ ประตูก็เปิดผางเข้ามา

ร่างสูงของนายหน้าขาอ่อนก็เดินฉับๆเข้ามายืนเท้าสะเอวมองเด็กในสังกัดที่กัดเขาลับหลังอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ เพราะยังจำคำพูดของคนที่ทำให้เขาต้องพาตัวมาถึงที่นี่ได้ดี

‘อะไรนะฮะ คุณเจตน์’

‘อย่างที่ได้ยินนั่นแหละ ทำตามนั้น’

‘แต่ว่าเงินจำนวนนั้นคุณให้วี่ แล้วทำไม...”

‘เด็กของคุณอยากได้ไง และน่าจะรู้นะว่า ถ้าไม่ทำอะไรมันจะเกิดขึ้น ฉลาดไว้ดีกว่าโง่ จริงมั๊ย’

คำเตือนปนขู่นั้นทำให้เขาปรี้ดเด็กในสังกัดที่หักหน้าเขา แทนที่จะมาตกลงกันภายหลัง กลับไปพูดเหมือนหยามกันแบบนั้น เลขบัญชีที่บอกให้โอนจึงไม่อยู่ในความสนใจ ต้องพาตัวเองมาจัดการเท่านั้นถึงจะสาแก่ใจ แต่อย่าหวังว่าจะได้ทั้งหมด เมื่อเขาปั้นมา เขาก็ต้องได้ส่วนหนึ่งเหมือนกัน

“เงินของหล่อน”

ซองสีน้ำตาลถูกโยนลงบนโต๊ะรับแขก เกลลาวรรณปรายตามอง เหยียดยิ้มเพียงนิดอย่างสมใจ เพราะคาดหวังไว้ว่าไฮโซอย่างนายเจติน์ คงจะให้เงินไว้มากพอสมควร เธอวางตะไบเล็บไว้บนโต๊ะแล้วหยิบซองน้ำตาลขึ้นมาเปิดดู จำนวนเงินที่เห็นมันน้อยจากที่หวังไว้มาก จะซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมสักใบหรือก๊อปปี้เกรดดีๆยังไม่ได้เลย สีหน้าเธอจึงบึ้งขึ้นมาก่อนจะเงยหน้ามองนักค้าตัวเธออย่างไม่พอใจ

“แค่นี้เหรอ”

“ใช่ แล้วหล่อนคิดว่าแค่ไหน หรือที่ผยองขึ้นมานึกว่าจะได้เป็นล้าน หึ ฝันมากไปหรือเปล่า”

“แต่คุณเจตน์”

“หล่อนคิดว่าเขาโง่ดูหล่อนไม่ออกหรือไง ว่าไม่ได้สูงส่งมาจากไหนถึงได้ฝันสูงว่าเขาจะให้หล่อนมากมาย ฉันจะบอกให้ว่าเขากินวิตามินไม่ได้กินปลาร้าอย่างหล่อน ถึงจะดูหล่อนไม่ออกว่าเป็นอีบ้านนอกไม่ใช่ไฮโซอย่างเขา” ว่าแล้วก็ยิ้มเยาะให้อย่างสะใจลึกๆ

“แล้วเจ๊ปล่อยให้เขาทำกับฉันอย่างนั้นได้ยังไง”

“ฉันไม่ได้ปล่อย เขาทำของเขาเอง และจะบอกให้ว่าฉันก็ไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นอะไรด้วยเลย ที่รีบกระดี้กระด้าพาหล่อนไปพบเขาก็หวังอย่างที่หล่อนหวังนั่นแหละ ว่าจะมีสะพานให้เดินไปถึงดวงดาว จะได้เจิดจรัสอยู่บนฟ้าเสียที แต่เมื่อไม่ได้ จะให้ฉันขัดขวาง ฉันจะเอาปัญญาที่ไหนไปทำ หล่อนก็รู้ว่าฉันเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลยแค่กระเทยหัวเดียวกระเทียมลีบขณะที่เขาเป็นเจ้าของร้าน มีพรรคพวกมากมาย และเข้าไปอยู่ในรังเขาแล้วจะไปทำกร่างก็กลายเป็นหมาไปแค่นั้นเอง แล้วบุญแค่ไหนแล้วที่เขายังจ่ายไม่ได้ใช้ฟรีๆ”

วีวี่ร่ายยาวออกมาอย่างแค้นเคือง อารมณ์ของเกลลาวรรณก็เคืองขุ่นไม่แพ้กัน และตอกกลับอย่างไม่เกรง

“แต่คนที่ได้ฟรีก็คือเจ๊ ที่ได้เสพสมบนความระยำของฉัน อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าระหว่างที่ฉันกำลังตกนรก เจ๊กำลังขึ้นสวรรค์ กับไอ้หนุ่มที่มีถั่วดำมาปิดปากไว้”

วีวี่หน้าเสียไปเล็กน้อย จะแก้ตัวก็ลำบากเพราะเป็นความจริงจึงเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่ยี่หระ “แล้วหล่อนจะให้ฉันทำยังไง ถั่วเม็ดเป้งกำลังรอเข้าปากฉันอยู่ ฉันก็ต้องกินซิ”

“เจ๊เห็นแก่ตัว นอกจากจะอมไอ้นั้นจนอิ่มแล้วยังคิดจะอมเงินฉันอีก น่าสมเพชจริงๆ”

“อ๊าย หล่อนไม่ต้องมาด่าฉันเลยนะ” นายหน้าขาอ่อนปรี้ดขึ้นมา “ในสถานการณ์อย่างนั้น ฉันทำได้แค่นั้นแหละ ถ้าหล่อนอยากจะด่าก็ไปด่าไอ้เจติน์โน้น ที่ทำกับหล่อน ไม่ใช่ฉันที่มีผลพลอยได้เล็กๆน้อยๆเท่านั้น เงินของหล่อนฉันก็ไม่ได้คิดจะอม ก็จะแบ่งให้ตามที่เคยตกลงกันไว้นั่นแหละ แต่หล่อนกลับไม่ไว้หน้าฉัน ไม่หยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเอง ไปพูดกับเขาอย่างนั้นก็หวานเขานะซิ เพราะเห็นแล้วว่าหล่อนหน้าเงิน”

เกลลาวรรณนิ่งไปนิด และคิดว่าตัวเองเพลี้ยงพล้ำไปจริงๆ “ก็ตอนนั้นฉันกำลังโกรธ”

“แล้วไง แทนที่จะได้มากกว่าเสีย กลับเสียมากกว่าได้ ทำอะไรไม่รู้จักคิด”

“ไม่ต้องมาว่าฉันเลยนะเจ๊ เพราะหน้าที่เจ๊คือดูแลฉัน แต่กลับไปเสพสมอยู่บนความทุกข์ของฉัน แล้วเจ๊รู้ไหมว่าเขาทำอะไรกับฉันบ้าง”

“ก็รู้ว่าหล่อนโดนยาแค่นั้น เรื่องอื่นไม่รู้” บอกแล้ววีวี่ก็เดินไปนั่งบนโซฟา สีหน้าไม่คิดจะสนใจอะไร เอนหลังพิงพนักแต่ต้องเด้งตัวกลับมาแทบไม่ทัน เมื่อเด็กปั้นบอกว่า

“เขาถ่ายคลิปฉันไว้ด้วย”

“ว้าย จริงเหรอ” เสียงกระเทยดังลั่นด้วยความตกใจ หน้าตาร้อนรนขึ้นมาทันที

“ใช่ เขาเลวมากนะเจ๊ แล้วเขาก็ใช้ไอ้คลิปบ้าๆนั้นบังคับฉันให้ทำงานให้เขา ตอนแรกฉันไม่ยอมจะแจ้งความ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมเพราะถ้าคลิปนั้นหลุดออกไปชีวิตฉันก็ต้องพัง และอาจจะต้องติดคุกเพราะการหลอกลวง”

“และเจ๊ก็ต้องโดนร่างแหไปด้วย โอยตาย ดีแล้วที่หล่อนยอม” วีวี่ยกมือขึ้นทาบอกพลางมองหน้าเครียดๆของเด็กปั้น “แล้วเขาให้หล่อนทำอะไร”

“ฉันยังไม่รู้ เขาจะนัดอีกที แต่เขาบอกว่าไม่ใช่งานผิดกฎหมายเสี่ยงคุกเสี่ยงตาราง”

“ถ้างั้นก็คงเป็นเรื่องบนเตียงที่หล่อนถนัด แต่เป็นความลับที่ไม่ต้องการเปิดเผยเพราะท่านๆทั้งหลายละมั่ง”

“หมายความว่าไง มีใครสนใจฉันอยู่อย่างนั้นหรือเจ๊”

“ไม่รู้เหมือนกัน แค่เดา แต่ถ้าเป็นอย่างที่พูด หล่อนก็เตรียมตัวเป็นปลิงกินวิตามินได้เลย จะได้ฉลาดๆเกาะพวกท่านๆให้แน่นดูดให้หมดจะได้เลิกจนไปตลอดชีวิตเสียที ที่สำคัญอย่าหวังน้ำบ่อหน้า เพราะมันอาจจะแห้งเหือดไม่มีให้หล่อนกิน สู้รีบดื่มกินจากบ่อที่เห็นตรงหน้าดีกว่า”

“หมายความว่าไง”

“ก็หมายความว่า ต่อไปหล่อนจะรับงานอะไรจากเขา ก็ควรเรียกค่าตัวให้มันสมน้ำสมเนื้อหน่อย อะไรที่พอจะสูบได้ก็สูบมา เวลาที่สูบไม่ได้ จะได้มียาไส้”

“เจ๊พูดยังกับมันทำได้ง่ายๆ ก่อนหน้านี้ฉันก็เคยทำอย่างที่เจ๊ว่าแต่ไอ้ที่หวังว่าจะได้ ก็ไม่ได้ ได้แค่เศษเงินเศษทองเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง ฉันจึงเลิกแล้วผันตัวเองมาเป็นนางงาม แต่ก็สุดท้ายก็ไม่พ้น ยังต้องมีคนมาหากินกับน้ำกามของฉันอยู่ดี” เสียเกลลาวรรณทั้งหยันทั้งข่มขืนในชีวิตตัวเอง

“ก็เพราะว่าหล่อนมีสิ่งที่ยั่วยวนชวนให้พวกเขาเข้าหานะซิ นอกจากความสวยเซ็กเอ็กซ์ของหล่อนแล้ว ความทะเยอทะยานอยากของหล่อน ก็เป็นที่ต้องการของใครต่อใครที่อยากได้ไปไว้หาผลประโยชน์ทั้งนั้น แล้วชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่ได้ง่าย เมื่อเลือกเดินทางนี้แล้วก็ต้องไปให้ถึงที่สุด ไม่งั้นก็กลับไปจนปลักอยู่กับความยากจนอดมื้อกินมื้อเหมือนเดิม หล่อนทำได้ไหมละ”

“ถ้าทำได้ ฉันจะเป็นอย่างนี้หรือเจ๊”

“งั้นก็เลิกหยันตัวเองเพราะมันไม่มีประโยชน์ มีแต่โทษให้หล่อนเจ็บใจ แล้วคิดว่าจะทำยังไงให้ชีวิตมันดีกว่าที่เป็นอยู่ จะทำยังไงให้ฉลาดเลิกเป็นทาสไอ้อีพวกนั้นที่คิดจะใช้หล่อนเป็นเครื่องมือดีเสียที และจะทำยังไงเพื่อจะเอาคืนพวกมันให้สาสม”
เกลลาวรรณนิ่งคิดหาวิธีที่จะเอาคลิปนั้นคืนมา แต่คิดไปทางไหนก็เป็นทางตัน คงต้องรอให้ถึงวันที่เธอจะได้รู้ว่าต้องทำอะไรและได้เข้าไปในผับนั้นอีกครั้งและขอให้นักค้าตัวเธอช่วยให้เพื่อนฝูงในวงการไฮโซสืบความเป็นไปของผับนั้นมาด้วย ว่าจริงๆแล้วเบื้องหลังร้านที่ใหญ่โตของเขาทำอะไรกัน

วีวี่รับปาก ระหว่างนั้นเสียงมือถือของเขาก็ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นดูพอเห็นชื่อคนโทรมาก็ทำหน้าแปลกใจ ส่งให้เกลลาวรรณดูและกดรับสายรับฟังสิ่งที่พูดมาก ซึ่งก็ไม่มีอะไรนอกจากสั่งให้คืนนี้ไปที่ผับ สองคนมองหน้ากันและคิดเหมือนกันว่าเวลาที่จะได้รู้ชะตากรรมมาถึงแล้ว
***********
แสงตะวันสาดแสงอ่อนๆเข้ามาในอาคารคาร์ริก เจ้าของอาคารนั้นอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน อ่านเอกสารที่รอการตัดสินใจ ก่อนจะละสายตาไปมองโทรศัพท์ส่วนตัวที่ดังขึ้น ติ๊ด ติ๊ด เขาหยิบมาดูชื่อคนที่โทรมา แววตามีความแปลกใจเล็กน้อย ก็กดรับสาย

“ครับคุณลักษณ์”

“ยุ่งอยู่หรือเปล่าคะ” เสียงหวานใสดังมาคล้ายจะเกรงใจ แต่คิมไม่ได้สนใจ นอกจากจะถึงเรื่องที่แม่เลี้ยงสาวโทรมา

“ไม่ครับ คุณลักษณ์มีอะไร”

“แหม จะไม่ถามถึงทุกข์สุขนอกจากธุระกันเลยหรือคะ คุณพ่อก็อยู่กับลักษณ์จะไม่ถามถึงหน่อยหรือคะ” เสียงลักษณาหยอกเย้ามา

“ท่านเป็นไงบ้างครับ” เสียงถามอย่างเสียไม่ได้ ทำให้อีกฝ่ายหัวเราะขำๆมาให้ได้ยิน ก่อนจะตอบว่า

“สบายดีค่ะ ท่าทางท่านจะชอบที่นี่แต่จะอยู่อีกหลายวันหรือเปล่ายังไม่แน่ใจนะคะ ลักษณ์จึงมีเรื่องรบกวนคุณคิมนิดหน่อย คือลักษณ์ให้เพื่อนยืมเครื่องเพชรไป แล้วเขาจะไปเที่ยวต่างประเทศพรุ่งนี้ คืนนี้จึงจะคืนเครื่องเพชรให้ นัดกันไว้ที่ผับของเจติน์ คุณคิมจำเจติน์ได้ไหมคะ” ลักษณาถามอย่างไม่แน่ใจเพราะเธอเคยแนะนำให้รู้จักกัน เมื่อครั้งที่พบกันในงานเลี้ยงการกุศลแต่ก็นานมาแล้ว

“จำได้ครับ”

“นั่นแหละค่ะ ลักษณ์อยากขอให้คุณคิมไปรับแทนให้หน่อยได้ไหมคะ”

“ได้ครับ”

“แหมน่ารักจังค่ะ คุณคิมดีกับลักษณ์จริงๆ ขอบคุณนะคะ” จากนั้นลักษณาก็บอกเวลาที่นัดกันไว้รวมถึงชื่อคนที่จะพบให้เขารู้ ก็วางสายไป
คิมหมุนโทรศัพท์ในมือ พลางคิดคำนวณเรื่องเวลาคราวๆแล้วคิดถึงคนที่จะมารับเขา เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงเขาก็จะเลิกงาน แต่คนดื้อยังไม่โผล่หน้ามาให้เห็น หรือว่ามาแล้วแต่ไม่ยอมโผล่มาให้เขาเห็น จึงหันไปคว้าหูโทรศัพท์บนโต๊ะสั่งเลขาให้เช็กกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าบริษัท ว่าเธอมาถึงหรือยัง ถ้ามาแล้วก็ให้ขึ้นมารอเขาที่ห้องทำงาน แล้วรอฟังข่าวไม่นานข่าวก็มาถึง

“ยังไม่มาค่ะคุณคิม”

เสียงเลขาสาวเข้ามารายงานก่อนจะขอตัวออกไป คิมจึงอ่านงานที่ค้างอยู่ต่อ แล้วลงนามในส่วนที่เขาเห็นว่าถูกต้องแล้ว จากนั้นก็หยิบธุรกิจด้านอัญมณีขึ้นมาดู แล้วคิดว่าควรจะหยุดไว้ก่อน เพราะเจ้าของร้านดูจะล้ำเส้นเข้ามาในชีวิตเขามากเกินไปแล้ว

ตัดสินใจแล้วก็ยกโทรศัพท์บอกให้เลขาปฏิเสธทุกการนัดพบ หรือจดหมายทุกอย่างที่ส่งเข้ามา จากนั้นก็หยิบงานด้านอสังหาริมทรัพย์มาดู กลุ่มคาร์ริกกำลังขยายงานได้นี้ ทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร ครอบคลุมไปทุกพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว สถานที่ต่างๆถูกเสนอมาให้เขาพิจารณา แต่แค่ดูในกระดาษอย่างเดียวคงไม่ได้ บางทีเขาคงต้องส่งคนไปดูหรือไม่ก็ไปดูสถานที่จริงๆด้วย เพื่อไม่ให้ผิดพลาด

จากนั้นก็ดูงบประมาณที่ทุกฝ่ายเสนอเข้ามาอย่างละเอียด เพราะถ้าพลาดไปนั้นหมายถึงเงินทุนที่จะจมลงไปด้วย ยิ่งเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงผันผวนไปทั่วโลกอย่างนี้ก็ต้องระวังเป็นพิเศษ เขาใช้เวลาอยู่กับงานจนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตู ก็บอกให้เข้ามาโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองด้วยซ้ำ

อนุชเปิดประตูเดินเข้ามาพร้อมกระเป๋าเป้ที่คล่องอยู่บนไหล่ สองเท้าหยุดยืนอยู่กลางห้อง มองหน้าคมที่สนใจกระดาษมากกว่าเธอ ก็ตวัดสายตามองไปรอบห้องที่ยืนอยู่ ซึ่งมีเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น แค่โต๊ะทำงานที่เขานั่งอยู่กับชุดโซฟาหนังนุ่มไว้รับแขกตรงมุมห้องและชั้นหนังสือติดผนังห้องเท่านั้น ไม่มีตู้ใส่เอกสารคงเป็นธรรมดาของผู้บริหารสมัยใหม่ ที่ไม่จำเป็นต้องมีเอกสารมากมายเพราะทุกอย่างเก็บไว้ในเทคโนโลยีที่ทันสมัย แถมยังมีลูกน้องคอยรับใช้อีก

เธอละสายตามามองหน้าคมที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเงยหน้าขึ้นจากงานมามองเธอ ก็เดินไปที่มุมห้อง นั่งพับเพียบกับพื้นแล้วหยิบผ้ากลอสติสรูปหนุมานที่ยังปักไม่เสร็จมาทำต่อ โดยไม่เห็นว่าคนที่ไม่สนใจเธอได้เงยหน้าขึ้นมามองแล้ว สายตาเขาจับจ้องอยู่ที่ปลายนิ้วที่จับเข็มปักขึ้นลงบนผ้า ท่าทางเธอดูมุ่งมั่นมีสมาธิกับมันจนเขามองเพลิน แล้วก้มหน้าลงทำงานต่อ เพราะยังเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัด

อนุชเงยหน้าขึ้นจากผ้ากลอสติสที่ปักมาได้สักพักแล้ว เพื่อจะดูว่าเขาจะกลับหรือยัง แต่ท่าทางที่ยังจมอยู่กับงานทำให้เธอต้องเม้มริมฝีปากอย่างไม่แน่ใจว่าเขารู้ตัวหรือยังว่าเธอมาแล้ว แต่จะไม่รู้ก็ไม่น่าจะไม่ใช่ เพราะคนเอาแต่ใจอย่างเขา ถ้าป่านนี้เธอยังไม่มา คงไม่นิ่งได้ขนาดนี้ แสดงว่ารู้แล้ว แต่ยังติดงานอยู่ สรุปให้ตัวเองได้แล้วเธอก็ก้มหน้าลงปักผ้าต่อกระทั่งฟ้าข้างนอกมืดสนิท ก็เงยหน้าพร้อมๆกับคิมที่เงยหน้าขึ้นมาเช่นกัน สายตาทั้งคู่สบกันและมีความรู้สึกแปลกเกิดขึ้นมาและเป็นหญิงสาวที่ทำลายความรู้สึกนั้นไปด้วยการถามว่า

“จะกลับหรือยังครับ”

ดวงตาคมหรี่ลงกับคำพูดลงท้ายนั้น แต่ก็ยังพูดเหมือนไม่แปลกใจอะไร “ทำเสร็จแล้วเหรอ”

อนุชทำหน้างงเพียงนิด ก็หลุบสายตาลงมองตามสายตาเขาที่มองผ้าในมือเธอ ก็บอกว่า “ยังครับ”

“ทำไมต้องทำ”

“มันเป็นเงิน ถึงค่ามันจะไม่มาก แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”

“เก่ง”

คิมชมที่เธอรู้จักคิดไม่งอมืองอเท้าให้ทุกอย่างมันมาหาเอง แต่อนุชไม่ได้ดีใจกับคำชมเพราะเผื่อใจไว้รับคำด่าที่เขาอาจจะว่าเธอเมื่อไรอีกก็ได้ แล้วเก็บผ้าไว้ในกระเป๋าเป้เรียบร้อยแล้วก็ลุกขึ้นยืนอย่างบอกให้รู้ว่าเธอพร้อมที่จะขับรถพาเขากลับบ้านแล้ว คิมมองร่างอรชรที่อยู่ในเสื้อกับกางเกงที่หลวมโปรกเพียงอึดใจ ก็ลุกขึ้นยืน เดินอ้อมโต๊ะทำงานออกมายืนตรงหน้าเธอ

“ทำไมเวลาขับรถให้ฉันต้องใส่ชุดของพ่อเธอ และวันนี้ทำไมต้องพูดครับกับฉันด้วย”

“ก็ผมเป็นตัวแทนของพ่อก็ควรจะทำทุกอย่างให้เหมือนพ่อ รวมถึงการพูดผมด้วย”

“แน่ใจหรือว่าคือเหตุผลไม่ใช่การแถ”

“แน่ใจ แล้วทำไมต้องแถด้วย”

“งั้นก็ไม่จำเป็น เพราะเธอสามารถที่จะใส่ชุดอะไรก็ได้และพูดได้อย่างปรกติ หรือจริงๆแล้วไม่ได้เป็นผู้หญิง แต่วิปริตผิดเพศหรือไง”

อนุชยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้กับคำประชด แล้วตอบด้วยหน้าซื่อๆว่า “เปล่า แต่เพราะผมชอบมันคล่องตัวดีและไม่อยากให้ใครมาสนใจหรือมองอย่างแปลกๆว่าเป็นผู้หญิงมาขับรถให้ผู้ชายนั่ง ถ้าเป็นคนธรรมดาก็ไม่เท่าไร แต่นี่เป็นคุณที่เป็นเจ้าของบริษัทที่หลายคนรู้จัก จึงอยากรักษาภาพพจน์ไม่ให้ด่างพร้อยว่าใช้แรงงานผู้หญิง”

เสียงพูดที่ตอนแรกก็ดูดีแต่ตอนหลังประชดคล้ายตีวัวกระทบคราดนั้นทำให้แววตาของคิมหยันขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะบอกว่า “งั้นเธอคิดว่าฉันควรจะทำยังไง ระหว่างขอบใจเธอจริงๆ หรือจะรีบไล่ออกไปให้พ้น เพื่อไม่ให้ด่างพร้อยและให้ใครมาว่าใช้แรงงานผู้หญิง”

อนุชอึ้งไปเพราะไม่คิดว่าจะถูกเอาคืนแบบนี้จึงรีบบอกว่า “ก็ต้องขอบใจซิ เพราะเห็นได้ชัดว่าเป็นลูกน้องที่รักเจ้านายมาก แม้จะเป็นผู้หญิงก็ตาม”

“งั้นเหรอ”

“อืม”

เสียงแถไปน้ำขุ่นๆนั้นทำให้คิมคาดโทษอยู่ในใจแล้วหมุนตัวเดินไปเก็บของที่โต๊ะ อนุชจึงเป่าลมหายใจที่ขัดๆเพราะหวั่นๆออกมาและปรับสีหน้าให้นิ่งเฉยเมื่อเขาหันมามอง ก่อนจะเดินนำออกไปจากห้อง ไม่นานทั้งคู่ก็เดินลงมาถึงชั้นล่าง เธอรีบทำหน้าที่ตัวเองด้วยการเปิดประตูรถให้เขาเข้าไปนั่งและรีบไปทำหน้าที่คนขับ ขับรถออกไปจากอาคารคาร์ริก สายตาของอนุชจับจ้องมองทางที่รถต้องวิ่งไป ไม่นานก็มีเสียงถามมาให้ได้ยิน

“หิวหรือเปล่า”

“เปล่าครับ”

“ไปผับเจติน์”

อนุชกะพริบตาปริบๆ เพราะไม่รู้จักผับที่เขาบอก ขณะที่คิมก็รอฟังว่าเธอจะตอบเขาว่ายังไง เพราะคำตอบของเธอจะทำให้เขารู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงแบบไหน และคำตอบที่ออกมาก็ทำให้พอใจอยู่ในใจเงียบๆ “ผมไม่รู้จัก คุณบอกทางได้ไหมครับ”

“ไม่เคยไปเที่ยวเหรอ”

“ครับ”

“งั้นขับตรงไปก่อน ฉันจะบอกทางให้ แล้วเคยไปเที่ยวที่ไหนบ้าง”

“สวนสัตว์ สวนสนุก สวนสาธารณะและงานวัด”

คำตอบที่ได้ไม่ได้ทำให้คิมแปลกใจเท่าไร เพราะจะว่าไปเขาก็เห็นเธอมาตั้งแต่เด็ก พ่อที่ต้องทำแต่งาน รายได้ที่ไม่มากพอคงไม่มีเวลาและพาเธอไปเที่ยวได้ และเมื่อต้องขับรถพาเขาไปเที่ยวก็ไม่เคยพาเธอไปเช่นกัน

“คุณเคยไปงานวัด ที่มีของขายมากมาย มีชิงช้าสวรรค์ ปาเป้า ยิงปืน มีตุ๊กตาตัวใหญ่ๆไหม”

“ไม่เคย แต่ถ้าฉันอยากได้ของพวกนั้นก็ซื้อเอา”

“ลืมไปว่าพูดอยู่กับคนรวย” อนุชว่าให้อย่างหมั่นไส้ “แต่คุณรู้ไหมว่าคุณค่าที่ได้มันมาต่างกัน ความภูมิใจ ดีใจ คงผิดกันเยอะ คุณคงจะเฉยๆ ไม่มีความรู้สึกหรือผูกพันกับมันมาก แต่ผมจะตื่นเต้นและดีใจทุกครั้งที่ได้มาเพราะต้องใช้ความสามารถของตัวเองบวกโชคเข้าช่วยด้วย วันไหนมือขึ้นผมก็จะยิงแม่นปาแม่น แต่วันไหนที่โชคไม่เข้าข้างก็พลาดไปหมดทุกอย่าง แต่ก็สนุก"

“ฉันจะจำไว้”

อนุชได้แต่แปลกใจที่เขายอมง่ายๆ และนั่งเงียบ ขับรถไปตามทางที่บอกจนกระทั่งมาจอดหน้าผับที่เขาบอก แต่ดูแล้วเป็นร้านอาหารกึ่งผับมากกว่า สวยหรู ดูดี มีแสงสีให้น่าลองสัมผัส เธอมองเข้าไปข้างในอย่างสนใจเพราะไม่เคยมา แล้วเปิดประตูรถลงมาทำหน้าที่ตัวเอง พอร่างสูงลงมายืนอยู่ข้างรถก็ได้ยินเสียงบอกว่า

“เข้าไปด้วยกัน”

“ผมรออยู่ตรงนี้ดีกว่า” เธอปฏิเสธเพราะดูแล้วไม่เหมาะกับตัวเอง

“เข้าไปหาอะไรกินเสียก่อน ฉันขี้เกียจฟังเสียงท้องเธอร้อง”

อนุชมองค้อนคนเอาแต่ใจที่สั่งเสร็จก็เดินนำจึงทำหูทวนลมไม่สนใจจะเดินตาม หันหน้าไปมองสาวๆที่แต่งตัวมาประกวดความสั้นกัน บางคนก็ส่งยิ้มให้เธอ ตอนแรกก็ได้แต่ทำหน้างงๆว่ามายิ้มให้ทำไม สาวๆจึงหัวเราะกันคิกคัก แล้วแซวว่าเธอหล่อ ก็เข้าใจว่าทันทีว่าตอนนี้เธออยู่ในคราบผู้ชาย จึงส่งยิ้มกลับไปให้ แต่รอยยิ้มต้องเจื่อนเกือบเลือนหายเมื่อนายเสาหินเดินกลับมาทำหน้าดุใส่ จึงต้องเดินตามหลังเขาเข้าไปในร้าน ตรงไปส่วนที่กั้นไว้เป็นผับ

เพียงเดินผ่านประตูเข้ามา เสียงเพลงสากลเพราะๆก็ดังมาให้ได้ยิน อนุชกวาดตามองไปโดยรอบ ความสวยงามมาจากการตกแต่งที่ทันสมัย ชายหญิงเป็นคู่เป็นกลุ่มนั่งพูดคุย ดื่ม กิน มีรอยยิ้มของความสุข ที่ได้ผ่อนคลายในที่สวยๆแบบนี้ แต่ดูเหมือนคนที่พาเธอเข้ามาจะไม่ได้สนใจที่จะมองอะไรเลย เขาคงชิน เธอคิดในใจ และหยุดความคิดไว้เมื่อมีเสียงดังขึ้นใกล้ตัว

“สวัสดีครับคุณคิม” เสียงทักทายนั้นทำให้คิมหันหน้าไปมอง แล้วต้องแปลกใจ เมื่อคนที่มาทักนั้นคือเด็กหนุ่ม ซึ่งมองจากการแต่งตัวที่มีหูกระต่ายผูกไว้ที่คอ ก็รู้ว่าเป็นพนักงานเสิร์ฟ ไม่ใช่คนที่เขาจะมาหา และเหมือนจะรู้ว่าเขาสงสัย จึงรีบบอกว่า “คุณเจตน์สั่งผมไว้ให้คอยต้อนรับครับ”

“แล้วเขาอยู่ไหน”

“กำลังเคลียร์งานอยู่ชั้นบนครับ แต่เดี๋ยวจะลงมาพบคุณคิมและให้ผมจัดโต๊ะไว้ให้ที่ห้องรับรองทางด้านนี้ครับ”

พูดจบเด็กหนุ่มก็เดินนำไปทันที คิมจึงหันมาดึงแขนอนุชให้ตามไป ซึ่งเธอก็ไม่ขัดขืนเพราะความไม่คุ้นเคยในสถานที่การอยู่ใกล้เขาเป็นดีที่สุด
การปรากฏตัวของคิมถูกจ้องมองตั้งแต่เขาก้าวเข้ามาในร้านแล้ว รอยยิ้มสมใจผุดขึ้นบนใบหน้าของเจติน์ที่ยืนมองอยู่ในห้องกระจกห้องทำงาน และไม่สนใจเด็กหนุ่มที่ตามเขาเข้ามา เพราะไม่มีความสำคัญ แล้วหมุนตัวกลับมามองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ทั้งเชอร์รี่เพื่อนร่วมหุ้น ลูกไก่ในกำมือที่จะใช้เป็นเหยื่อ และวีวี่นายหน้าขาอ่อน เขาสบตากับทุกคนก่อนจะหยุดนิ่งที่หญิงสาวที่จะเป็นหุ่นให้เชิดในคืนนี้

“เห็นเขาแล้วใช่ไหม”

“ค่ะ” เกลลาวรรณตอบพลางตวัดสายตาไปมองผู้ชายที่ดูดีที่สุดที่เธอเคยเจอมาอีกครั้ง

“นั่นคืองานของเธอ และนี่คือสะพานที่จะพาเธอทอดไปหาเขา”

เจติน์บอกแล้วยื่นมือไปรับกล่องกำมะหยี่สีแดงที่เชอร์รี่ยื่นมาให้มา ยื่นให้เกลลาวรรณอีกที ซึ่งก็ละสายตามามอง เปิดออกดู แสงวิบวับจากประกายเพชรวาววับเข้าตา ความพอใจในของที่ได้เห็นเกิดขึ้นมาทันที แล้วคิดถึงคำพูดของนายหน้าขาอ่อนที่พูดกับเธอไว้ ว่าควรจะเรียกค่าตัวในการทำงานแต่ละครั้งไว้บ้าง

“ถ้าสำเร็จขอสักชุดแบบนี้เป็นค่าตอบแทนสำหรับคืนนี้ได้ไหมคะ” เธอเอ่ยขอออกมา โดยไม่สนใจว่าจะได้หรือไม่ เพราะไม่ได้เสียหายอะไร แต่ถ้าได้ก็ดี

“มากไปมั่ง” เสียงเชอร์รี่ท้วงออกมา “แค่ไปเจอเขา เรียกขนาดนี้เลยเหรอ”

“แต่ถ้าเทียบกับเขา” เกลลาวรรณปรายตาไปคนที่เป็นเป้าหมาย “ยังน้อยกว่ามากมายมหาศาลเลยนะคะ อีกอย่างเกล อยากได้กำลังใจในการทำงานบ้าง งานจะได้ออกมาดีๆ”

“งั้นก็ได้ แต่ราคาฉันให้เท่ากันไม่ได้หรอกนะ” เจติน์เอ่ยออกมาอย่างใจป้ำ แล้วมองเชอร์รี่ที่ชักสีหน้าไม่พอใจขึ้นมา แต่ความจริงแล้วเพราะรู้กันอยู่แก่ใจดีว่า สิ่งที่เห็นมันก็แค่ของลวงตา เพื่อใช้หลอกลวงคนให้ติดกับเท่านั้นเอง “แต่อยู่ที่ผลของงานด้วยนะ ว่าดีพอหรือเปล่า”

“ต้องดีซิคะ ได้กำลังใจขนาดนี้ จะไม่ดีได้ยังไงค่ะ แต่ราคาอย่าให้ห่างกันมากนักนะคะ” บอกแล้วเธอก็ปิดกล่องกำมะหยี่ “แล้วบทที่ต้องแสดงคืออะไรคะ”

“สิ่งที่เธอถนัด การแปลงกายจากอีกาเป็นนางหงส์ ลูกสาวคุณหญิงที่ยืมเครื่องเพชรชุดนี้ไป แล้วเอามาคืนให้เพื่อนฉัน ที่เป็นเพื่อนกับคุณหญิงแม่ของเธอ ต้องแสดงให้เนียนให้ดูดีสมกับที่มีชาติตระกูลและความรู้ที่สวยพอกับหน้าตา กริยามารยาทก็ต้องงามพร้อมไม่ต่างกัน ที่สำคัญเธอต้องทำให้เขาสนใจ เพื่อที่จะนำไปสู่การคบหาครั้งต่อไป”

“ฟังแล้วง่ายจังค่ะ แต่ถ้าเกลทำไม่ได้ละคะ”

“แสดงว่าเธอไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เพราะค่าของเขามันมากมายมหาศาลอย่างที่เธอเปรียบไว้เมื่อกี้นั่นแหละ เธอจึงควรพยายาม ทำให้ได้”

“แล้วเขาเป็นใครคะ” ถามแล้วเกลลาวรรณก็หันไปมองหน้าคมอีกครั้ง ความหล่อสมาร์ทนั้นเรียกความสนใจจากเธอตั้งแต่แรกเห็น แต่ต้องเก็บอาการไว้เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าคนที่เป็นต่อต่อเธอ ขณะที่นายหน้าขาอ่อนก็มองอย่างสนใจเช่นกัน แม้จะคุ้นหน้าแต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน จึงละสายตามาสบตากับเด็กปั้น แล้วพากันเลื่อนสายตาไปมองเจติน์ ที่เอ่ยออกมาว่า
“คิม คาร์ริก ลูกชายเจ้าของธุรกิจใหญ่ยักษ์หลายๆอย่างในโลก”

***********

ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ




pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 มี.ค. 2559, 15:52:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 มี.ค. 2559, 15:52:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 2450





<< ตอน 5   ตอน 7 >>
แว่นใส 10 มี.ค. 2559, 20:55:47 น.
หลอกลวงจริง ๆ


Zephyr 26 มี.ค. 2559, 19:03:00 น.
รู้ชื่อแล้วไง
ยังไงก็ไม่สำเร็จหรอกจ่ะเจ้ หึหึ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account