หวงรักประกาศิตลับ
“ใครบ้างจะยินดีกับความใจแคบของพวกเธอที่คิดจะเก็บฉันไว้เป็นสมบัติส่วนตัวเพียงคนเดียว ผู้หญิงอาจจะคิดว่าการแต่งงานถือเป็นการแสดงออกถึงความรักอันเป็นนิรันดร์ แต่สำหรับฉัน...” เซเลสตร้าชะงักอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “การแต่งงานจะทำให้คนเราสูญเสียความเป็นตัวตน”
...ต่อหน้าคือนักธุรกิจใจซื่อมือสะอาด รองประธานมูลนิธิเพื่อการศึกษา เขาคือพ่อพระของผู้ยากไร้เกือบค่อนโลก บุรุษผู้เย่อหยิ่งและทรงอิทธิพลซึ่งมั่งคั่งจากธุรกิจโครงข่ายโทรคมนาคมทั้งภูมิภาคอเมริกาเหนือ-ใต้ ทว่าอีกด้านหนึ่งของเซเลสตร้า เด มาร์คอส คือจอมเสเพล ผู้หวงแหนชีวิตโสดอย่างสุดแสนทั้งยังแยกแยะคำว่าคู่ควง คู่เดต คู่นอน เอาไว้ห่างไกลจากคำว่าคู่ชีวิตยิ่งนัก
The Masquerade Ball ของนักศึกษาเรียนดีอย่าง พอฤทัย จบลงด้วยค่ำคืนอันเริงร้อนกับชายแปลกหน้าซึ่งความจริงแล้วเธอรู้จักเขาดีเพียงฝ่ายเดียว เขาหล่อเหลือร้าย เร่าร้อน หลอกล่อเธอด้วยชั้นเชิงขั้นสูงก่อนจะเอ่ยปากรับเลี้ยงเธอให้มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย ทว่าจอมเสเพลกลับถูกสาวไม่ประสาลูบคมช่วงชิงเอาเชื้อพันธุ์ของเขาหนีหายเข้ากลีบเมฆ
ไม่เคยมีเรื่องใดที่ทำให้ Super sexy guyจอมเสเพลเดือดจัดได้เท่านี้มาก่อน เมื่อได้พบความจริงว่าเธอกำลังอุ้มท้องลูกๆของเขาเอาไว้ตั้งแต่จากกันในครั้งนั้น หนำซ้ำยังกล้าดีหลบซ่อนตัวอยู่ภายในคฤหาสน์เด มาร์คอส ซึ่งเขาไม่มีวันล่วงรู้ได้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเป็นประกาศิตลับของญาติผู้ใกล้ชิดเพียงคนเดียว
เมื่อเมียชั่วคืนต้องกลายมาเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ในคราวเดียวกันนี้เขาก็จะทำให้เธอกลายเป็น My Plaything อย่างสมบูรณ์แบบ ตอบแทนที่เธอกล้าดีมาล้วงลูกคนอย่างเขา ตลบหลังเขาจนต้องสละชีวิตหนุ่มโสดอันหวงแหน แต่พอฤทัยไม่ใช่ผู้หญิงที่ควบคุมง่ายนักเมื่อเธอไม่พร้อมที่จะเป็น His Playthingในทุกรูปแบบแต่กลับพร้อมจะติดปีกหนีเขาไปตลอดเวลา
ถึงคราวที่เซเลสตร้าต้องงัดเอาเสน่หาทางกาย ล่อลวงให้เธอมาเป็นของเล่นแห่งความบันเทิงส่วนบุคคลเพราะไม่อาจปฏิเสธได้ว่ากระหายในส่วนเว้าส่วนโค้งและอยากลิ้มรสทรวงอกแม่ของลูกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“หมอบอกว่าถ้าลูกไม่ยอมดูดนม แม่จะเจ็บมากให้ผมช่วยนวดหน้าอก”
“ไม่นะ” พอฤทัยร้องเสียงหลงเมื่อได้ยินวิธีการช่วยเหลือเป็นจังหวะเดียวกันกับที่สองฝ่ามือหนาผลักร่างให้นอนลงบนเตียงนุ่ม “อย่าทำบ้าๆนะ คุณจะมาทำแบบนั้นกับร่างกายฉันไม่ได้!”
“คนหวังดีแท้ๆ อย่ามาปากแข็งเลยน่า... ผมรู้ว่าคุณเจ็บ”
“ก็เจ็บ แต่ฉันรอลูกให้ตื่น ถอยไปเดี๋ยวนี้นะเซเลส”
“เสียเวลาเปล่า ลูกจะตื่นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ให้พ่อของลูกช่วยดูดไปพลางแล้วกัน” จบคำพูดเซเลสตร้าก็ก้มลงครอบครอง...
...ต่อหน้าคือนักธุรกิจใจซื่อมือสะอาด รองประธานมูลนิธิเพื่อการศึกษา เขาคือพ่อพระของผู้ยากไร้เกือบค่อนโลก บุรุษผู้เย่อหยิ่งและทรงอิทธิพลซึ่งมั่งคั่งจากธุรกิจโครงข่ายโทรคมนาคมทั้งภูมิภาคอเมริกาเหนือ-ใต้ ทว่าอีกด้านหนึ่งของเซเลสตร้า เด มาร์คอส คือจอมเสเพล ผู้หวงแหนชีวิตโสดอย่างสุดแสนทั้งยังแยกแยะคำว่าคู่ควง คู่เดต คู่นอน เอาไว้ห่างไกลจากคำว่าคู่ชีวิตยิ่งนัก
The Masquerade Ball ของนักศึกษาเรียนดีอย่าง พอฤทัย จบลงด้วยค่ำคืนอันเริงร้อนกับชายแปลกหน้าซึ่งความจริงแล้วเธอรู้จักเขาดีเพียงฝ่ายเดียว เขาหล่อเหลือร้าย เร่าร้อน หลอกล่อเธอด้วยชั้นเชิงขั้นสูงก่อนจะเอ่ยปากรับเลี้ยงเธอให้มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย ทว่าจอมเสเพลกลับถูกสาวไม่ประสาลูบคมช่วงชิงเอาเชื้อพันธุ์ของเขาหนีหายเข้ากลีบเมฆ
ไม่เคยมีเรื่องใดที่ทำให้ Super sexy guyจอมเสเพลเดือดจัดได้เท่านี้มาก่อน เมื่อได้พบความจริงว่าเธอกำลังอุ้มท้องลูกๆของเขาเอาไว้ตั้งแต่จากกันในครั้งนั้น หนำซ้ำยังกล้าดีหลบซ่อนตัวอยู่ภายในคฤหาสน์เด มาร์คอส ซึ่งเขาไม่มีวันล่วงรู้ได้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเป็นประกาศิตลับของญาติผู้ใกล้ชิดเพียงคนเดียว
เมื่อเมียชั่วคืนต้องกลายมาเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ในคราวเดียวกันนี้เขาก็จะทำให้เธอกลายเป็น My Plaything อย่างสมบูรณ์แบบ ตอบแทนที่เธอกล้าดีมาล้วงลูกคนอย่างเขา ตลบหลังเขาจนต้องสละชีวิตหนุ่มโสดอันหวงแหน แต่พอฤทัยไม่ใช่ผู้หญิงที่ควบคุมง่ายนักเมื่อเธอไม่พร้อมที่จะเป็น His Playthingในทุกรูปแบบแต่กลับพร้อมจะติดปีกหนีเขาไปตลอดเวลา
ถึงคราวที่เซเลสตร้าต้องงัดเอาเสน่หาทางกาย ล่อลวงให้เธอมาเป็นของเล่นแห่งความบันเทิงส่วนบุคคลเพราะไม่อาจปฏิเสธได้ว่ากระหายในส่วนเว้าส่วนโค้งและอยากลิ้มรสทรวงอกแม่ของลูกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“หมอบอกว่าถ้าลูกไม่ยอมดูดนม แม่จะเจ็บมากให้ผมช่วยนวดหน้าอก”
“ไม่นะ” พอฤทัยร้องเสียงหลงเมื่อได้ยินวิธีการช่วยเหลือเป็นจังหวะเดียวกันกับที่สองฝ่ามือหนาผลักร่างให้นอนลงบนเตียงนุ่ม “อย่าทำบ้าๆนะ คุณจะมาทำแบบนั้นกับร่างกายฉันไม่ได้!”
“คนหวังดีแท้ๆ อย่ามาปากแข็งเลยน่า... ผมรู้ว่าคุณเจ็บ”
“ก็เจ็บ แต่ฉันรอลูกให้ตื่น ถอยไปเดี๋ยวนี้นะเซเลส”
“เสียเวลาเปล่า ลูกจะตื่นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ให้พ่อของลูกช่วยดูดไปพลางแล้วกัน” จบคำพูดเซเลสตร้าก็ก้มลงครอบครอง...
Tags: เซเลส, ดอนหนุ่ม, พรีม, ลูกแฝด, น่ารัก, เร่าร้อน, ฟอร์มจัด
ตอน: ตอนที่ 8 100%
พอฤทัยต้องหยุดรับประทานอาหารมื้อแรกของวันในตอนบ่ายโมงแล้วเบี่ยงตัวหนีจากจานอาหารตรงหน้า เพราะจามถึงสามสี่ครั้งติดต่อกัน คาร์เมนจึงเอื้อมมือไปดึงกระดาษชำระมายื่นให้พลางวางมือบนหัวไหล่บาง มองด้วยความเป็นห่วง
“ไหวไหมคะ ดิฉันว่าไปหาหมอสักหน่อยดีกว่า ตัวคุณรุมๆ” บอกพร้อมยื่นหลังมือไปอังหน้าผากมนเพื่อวัดอุณหภูมิในร่างกายคร่าวๆ
พอฤทัยส่ายหน้าเพราะถึงแม้ว่าเธอจะเมื่อยขบไปทั้งตัวแต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันเกิดขึ้นเพราะเรื่องเมื่อคืน ไม่ได้รู้สึกเหมือนจะเจ็บไข้ได้ป่วยเช่นคำพูดของคาร์เมน
“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ฉันยังแข็งแรงดีแค่จามต่อกันเลยน้ำหูน้ำตาไหลน่ะค่ะ” พอฤทัยบอกและรั้งแขนของคาร์เมนให้กลับไปนั่งรับประทานอาหารเช่นเดิม
“แน่ใจนะคะ” ถามพร้อมสังเกตท่าทางอย่างไม่กะพริบตา เมื่อได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าเร็วๆ จึงวางใจและเริ่มรับประทานอาหารต่อ
พอฤทัยพอจะสัมผัสได้ว่าคาร์เมนต้องดูแลเธอเช่นนี้ก็มีความเครียดไม่ใช่น้อย เพราะต้องทำทุกอย่างตามคำสั่งของโลล่า “วางใจเถอะค่ะ ฉันรู้ว่าต้องดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี ความจริงแล้วคนไทยมีความเชื่อว่า... ถ้าจามติดๆ กันแปลว่ามีคนกำลังคิดถึง หรือพูดถึง”
คาร์เมนเลิกคิ้ว เพราะเพิ่งได้รู้ว่ามีความเชื่อเช่นนี้ด้วยแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด เพราะกลุ่มคนต่างเชื้อชาติต่างวัฒนธรรมย่อมมีความคิดและความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป นั่นแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล
ซึ่งถ้าไม่ได้ยินในสิ่งที่คนสนิทข้างกายดอนเซเลสตร้าโทรศัพท์เข้ามาปรึกษาเมื่อชั่วโมงก่อน เธอก็คงจะเห็นว่าความเชื่อนี้ไร้เหตุผล “ก็คงจะจริงนะคะ ดอนเซเลสอาจจะให้คนตามหาคุณจนวุ่นวายไปหมดแล้วก็เป็นได้”
“หรืออีกทีเขาอาจจะลืมฉันไปแล้วก็ได้ ใช่ไหมคะ”
มันอาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งสองทาง ก็ใครจะไปคิดว่าจอมเสเพลอย่างเขาจะจดจำเธอได้ ก็เหมือนกับที่เคยได้เจอกันมาแล้วครั้งหนึ่งแต่เขาก็ยังจำเธอไม่ได้อยู่ดี
ความจริงที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้ทำให้พอฤทัยนึกตำหนิเขาแต่อย่างใด ถ้าเทียบจากเธอแล้วก็คงจะเลือกจำเฉพาะคนที่มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์ มันคือเรื่องธรรมดาสามัญที่คนเราจะจดจำเฉพาะใบหน้าของผู้คนที่มีความโดดเด่น หรืออยู่ในความสนใจเท่านั้น อย่างเธอคงจะหน้าตาแสนธรรมดา จืดชืด คงจะไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาอย่างแน่นอน
คาร์เมนยิ้มกริ่มพลางส่งขนมปังที่ทาเฟรชบัตเตอร์เรียบร้อยให้หญิงสาว “บางครั้งผู้ชายที่มีความมั่นใจในตัวเองมากๆ ก็อาจจะหงุดหงิดใจที่ตัวเองต้องมากลายเป็นของไร้ค่าเสียเอง”
“ของไร้ค่า?” พอฤทัยทวนคำ
“เราจะไม่รู้ซึ้งหรือเข้าใจในความรู้สึกใดๆเลย ถ้ายังไม่ได้เผชิญหน้ากับมันด้วยตัวเอง” คาร์เมนพยายามคิดหาคำเปรียบเทียบให้พอฤทัยเข้าใจได้มากที่สุด “ดอนเซเลสเคยชินกับการเดินหันหลังให้ผู้หญิง แต่สิ่งที่คุณทำกำลังบั่นทอนความมั่นใจในตัวเขานะคะ อย่าลืมว่าดอนเซเลสไม่เคยมีประวัติพาผู้หญิงเข้าห้องทำงานมาก่อน”
คำพูดของคาร์เมนทำให้เธอได้คิด เซเลสตร้าคงจะรู้ซึ้งว่าการเดินหันหลังให้ใครสักคนทั้งที่คนคนนั้นยังแคร์และต้องการอีกฝ่าย มันเป็นความรู้สึกที่โหดร้ายยิ่งนัก แต่คนอย่างเขาน่ะเหรอจะแคร์เธอ?
...ก็อาจจะไม่แคร์แต่ที่แน่ๆ เขายังต้องการเธอ ไม่เช่นนั้นคงไม่ออกปากให้เธอย้ายมาอยู่กันเช่นนั้น คำตอบที่พอฤทัยมีให้กับตัวเองได้อย่างไม่ต้องเสียเวลาขบคิด อีกทั้งไม่ลืมว่าการที่เธอกล้าดีฝ่าฝืนคำสั่งก็หมายถึงความโกรธเกรี้ยวที่ต้องเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
“หมายถึงเขาคงกำลังโกรธฉันหัวฟัดหัวเหวี่ยงน่ะเหรอคะ” พอฤทัยเลือกที่จะถามในเหตุผลที่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญในหัวข้อสนทนา
คาร์เมนเองก็ไม่อยากจะล้วงลูกจนทำให้หญิงสาวเขินอายหรือเกิดความกระอักกระอ่วนใจ จึงเลือกที่จะรับประทานอาหารต่อไปเรื่อยๆ พลางคิดว่าความดื้อแพ่ง ปากแข็ง ฟอร์มจัดที่สัมผัสได้จากดอนเซเลสตร้าและพอฤทัยนั้นช่างเหมือนกันยิ่งนัก หวังว่านิสัยใจคอหลายอย่างที่เหมือนกันนี้ คงจะไม่เป็นอุปสรรคย้อนกลับมาสร้างปัญหาให้ต้องตามแก้ไขกันภายหลังอีก
ความเงียบเข้าครอบงำอีกครั้ง เมื่อต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองจนจัดการกับอาหารของตนได้เรียบร้อย คาร์เมนจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ดอนญ่าเวนโตล่าบอกให้คุณทราบแล้วใช่ไหมคะ ว่าจะต้องเลื่อนการเดินทางไปบัวโนส ไอเรส เข้ามาเป็นวันพรุ่งนี้”
“ค่ะ คุยกันเรียบร้อยแล้ว”
ตามกำหนดการเดิมนั้น พอฤทัยจะต้องเดินทางไปทำงานตามที่ระบุไว้ในสัญญาในอีกห้าวันหลังจากงานเลี้ยงเมื่อคืนนี้ แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป เธอจึงต้องเลื่อนการเดินทางไปอาร์เจนตินาพร้อมกับคาร์เมนในวันพรุ่งนี้
“ถ้าอย่างนั้นคุณรออยู่ที่นี่นะคะ เดี๋ยวดิฉันจะพาเด็กๆไปเก็บของใช้ส่วนตัวที่อพาร์ตเมนต์ให้” คาร์เมนบอกพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้
“อย่าเลยค่ะ ข้าวของฉันมีไม่เยอะ เก็บเองจะเร็วกว่า คุณเองก็เหนื่อยมาไม่น้อยกลับไปพักผ่อนให้เต็มที่ดีกว่านะคะ แล้วพรุ่งนี้เราค่อยไปสนามบินพร้อมกัน” พอฤทัยรีบดักคอทันที เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะโต้แย้ง “เรื่องนี้ฉันคุยกับโลล่าแล้วค่ะ เธอไม่ขัดข้องอะไร”
เมื่อทุกอย่างเป็นเช่นนั้น คาร์เมนก็ได้แต่ยิ้มและทำตามความต้องการของหญิงสาว ราวสามสิบนาทีต่อมา คาดิลแลคคันยาวก็จอดหน้าอพาร์ตเมนต์ของพอฤทัยที่กำลังเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าสะพายที่ทิ้งไว้บนรถตั้งแต่เมื่อวาน และยังทำให้คาร์เมนนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
“อ้อ... เมื่อสักสิบโมงมีโทรศัพท์จากประเทศไทยติดต่อเข้ามานะคะ เธอบอกว่าชื่อเพกา ถ้าคุณว่างแล้วให้โทรกลับด้วย”
“ค่ะ” พอฤทัยยิ้มรับก่อนจะเอ่ยลาเลขานุการวัยกลางคน “พรุ่งนี้พบกันนะคะ”
พอฤทัยไม่ได้รอให้รถคันยาวแล่นออกไปแต่รีบเร่งฝีเท้าเดินให้ถึงยังห้องพักของตนให้เร็วที่สุด นาฬิกาบนข้อมือบอกให้รู้ว่าเวลาของประเทศไทยนั้นดึกดื่นนัก หากเธอจะติดต่อกลับไปในตอนนี้ก็คงจะรบกวนเวลาพักผ่อนไม่น้อย แต่ด้วยความร้อนใจจึงทำให้พอฤทัยต่อสายถึงเพกาทันที เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องพักของตน
สัญญาณรอสายดังอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงคุ้นหูดังอย่างงัวเงีย “ฮัลโหล... คุณพรีมเหรอคะ”
“แม่เล็ก... พรีมขอโทษที่โทรมากวนกลางดึกนะคะ แต่พรีมอยากรู้ว่าติดต่อคุณเพลงได้ไหม” พอฤทัยถามเข้าประเด็นทันที
“แม่เล็กแยกกับคุณเพลงเมื่อก่อนเที่ยงวัน แต่ดูเหมือนว่าคุณเพลงจะตัดสินใจไปแล้ว อีกอย่างตอนนี้ก็เดินทางไปสวีเดนกับมิสเตอร์คอนราดสันแล้วด้วย”
“อะไรนะคะ ทำไมต้องรีบร้อนอย่างนั้นด้วย” พอฤทัยถามออกไปด้วยความตกใจ
“แม่เล็กก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเพราะคุณเพลงเองก็มั่นใจว่ามีแค่ทางนี้ทางเดียวที่จะทำให้ครอบครัวของเราและสิริแอทเซทพ้นจากวิกฤต เมื่อตอนบ่ายที่คุยกันยังบอกว่าอีกสักสองสามวันถึงจะเดินทาง แต่ตอนที่แม่เล็กกลับมาจากโรงพยาบาลแล้วถึงได้ยินคุณเพลงบอกว่าต้องเดินทางไปสวีเดนคืนนี้เลย”
ความจริงแล้วเพกาอยากจะเล่าความสงสัยเกี่ยวกับการพลัดตกบันไดของเจ้าสัวสันต์ ผู้เป็นสามีให้พอฤทัยได้รับรู้ แต่น้ำเสียงเป็นกังวลก็มีอยู่มากจนนึกเป็นห่วง ทั้งยังอยู่ไกลตาไม่อาจะดูแลได้ทั่วถึง จึงเลือกที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้เสียก่อน รอให้ทุกอย่างกระจ่างแล้วค่อยเล่าให้ฟังภายหลังก็ยังไม่สาย
“แล้วนี่พรีมจะติดต่อคุณเพลงยังไงล่ะคะ” ทั้งร้อนใจและกังวลใจเพราะไม่อยากให้พี่สาวต้องกลายไปเป็นนางบำเรอของมหาเศรษฐี
เธอรู้ซึ้งดีเชียวล่ะว่าความรู้สึกนั้นมันย่ำแย่สักแค่ไหน เพราะแค่ไม่กี่นาทีที่เธอได้มีโอกาสเฉียดกรายกับคำว่านางบำเรอของมหาเศรษฐียังทำให้น้ำตาตกใน แล้วพี่สาวเธอจะชอกช้ำสักเพียงใดหากต้องจมจ่อมอยู่ในสถานะนั้นอย่างไม่รู้กำหนด
“คุณพรีมลองคุยกับคุณเพลงตรงๆดีไหม บางทีเผื่อจะเปลี่ยนใจคุณเพลงได้บ้าง” เพกาเองก็ไม่อยากให้พิลาสินีต้องตกอยู่ในสภาพนั้นเช่นกัน แม้อีกใจจะเห็นว่ามิสเตอร์คอนราดสันไม่ใช่ผู้ชายเลวร้ายอะไรนักก็ตาม แต่ความสงสัยหนึ่งก็ผุดขึ้นมาทันทีจึงไม่รีรอที่จะถามออกไป “แล้วดอนญ่าเวนโตล่าตัดสินใจช่วยครอบครัวเราจริงๆเหรอจ๊ะ”
“ค่ะ สัญญากับพรีมว่าจะช่วยเหลือจนกว่าสิริแอทเซทจะมีสภาพคล่องแล้วกลับมามั่นคงเหมือนเดิม”
“โดยที่ไม่มีข้อแลกเปลี่ยนอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ?” ถามต่อด้วยน้ำเสียงสูง อดประหลาดใจไม่ได้
“คะ...ค่ะ ก็ เอ่อ...” พอฤทัยตะกุกตะกักเพราะปกติแล้วไม่เคยต้องโกหก แต่ครั้งนี้เธอกลับต้องทำมันเพื่อความสบายใจของคนในครอบครัว “คงจะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนกับคุณป๋าน่ะค่ะ แล้วอาการคุณป๋าเป็นยังไงบ้างคะ”
“รู้สึกตัวขึ้นมาเมื่อตอนตีสี่ คุณหมอเลยเข้ามาตรวจซ้ำอีกรอบบอกว่าร่างกายซีกซ้ายขยับเขยื้อนไม่ได้ส่วนซีกขวาอ่อนแรง นอกนั้นก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ยังต้องอยู่ในความดูแลของหมอกับพยาบาลอย่างใกล้ชิดจ้ะ”
“พรีมก็ค่อยโล่งใจขึ้นมาบ้างค่ะ แต่แม่เล็กก็ต้องดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะคะ ถ้าแม่เล็ก...”
“แม่เล็กไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก” เพกาตัดบทก่อนที่พอฤทัยจะพูดจบประโยค พลางคิดว่าลูกสาวทั้งสี่ของสิริสกุล มีนิสัยเป็นห่วงเป็นใยคนในครอบครัวมากกว่าตัวเอง ถอดแบบกันออกมาไม่ผิดเพี้ยน “ที่บอกว่าไม่เป็นอะไรง่ายๆ เพราะแม่เล็กยังต้องอยู่คอยดูว่าสี่สาวของสิริสกุลประสบความสำเร็จในชีวิต มีหน้าที่การงานที่ดี และมีคนจะมารับช่วงดูแลสี่สาวต่อจากแม่เล็กเสียก่อน ถึงวันนั้นแม่เล็กจะตายก็คงนอนตายตาหลับ”
“อย่าพูดเรื่องตายสิคะ ไม่เอา พรีมไม่อยากฟัง”
แม้เพกาจะไม่ใช่แม่บังเกิดเกล้าแต่พอฤทัยก็รักและเคารพไม่ต่างกัน ทั้งคู่ไถ่ถามกันอยู่ครู่หนึ่งและตกลงได้ว่า พอฤทัยคงจะต้องพูดคุยเรื่องนี้กับพิลาสินีด้วยตัวเอง จากนั้นเรื่องจะดำเนินต่อไปอย่างไรก็คงต้องสุดแล้วแต่สองคนพี่น้องจะตกลงกันได้
ไม่นานนักพอฤทัยก็เอ่ยคำลาก่อนจะวางสายเพราะรู้ว่ารบกวนเวลาพักผ่อนมาเกือบครึ่งชั่วโมง สุดท้ายเธอต้องมานั่งจัดข้าวของลงในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่พร้อมกับความคิดที่ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าจะดำเนินไปในทางใด ถึงแม้ว่าเธอจะตัดสินใจทำตามข้อแลกเปลี่ยนของโลล่าแล้ว แต่พี่สาวก็ยังต้องเดินทางไปสวีเดนกับพ่อมดทางการเงินคนดังของโลกอยู่ดี มันเหมือนกับว่าสิ่งที่เธอสูญเสียไปนั้นไร้ค่าและไม่ได้ช่วยให้ความยากลำบากของพี่สาวลดน้อยลงเลย
ในขณะที่อีกคนกำลังขบคิดเรื่องครอบครัวอย่างหนัก แต่อีกคนกลับต้องหัวเสีย หงุดหงิดงุ่นง่านวันทั้งวันไม่สามารถทำงานได้เป็นชิ้นเป็นอันเพราะถูกรังควานใจด้วยใบหน้างดงามของแม่มดชั่วร้ายในคราบนางฟ้า แม้จะยอมรับกับตัวเองได้ว่า ร่องรอยที่ปรากฏบนเตียงยุ่งเหยิงในห้องทำงานจะมีอิทธิพลดึงดูดให้เขาขลุกอยู่ในห้อง อยากเกลือกกลิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่มซึ่งมีแต่ภาพความทรงจำของร่างอ้อนแอ้น เปลือยเปล่าที่มอบตัวให้เขาอย่างเต็มใจ
เซเลสตร้าเดินเปลือยกายออกมาจากห้องน้ำ ความแสบที่เกิดขึ้นบริเวณลำคอด้านขวาทำให้เขาเดินออกมามองกระจกบานใหญ่ สำรวจบาดแผลจากคมเขี้ยวที่ขบเนื้อเขาจนเกิดรอยช้ำ
ปลายนิ้วแข็งแรงค่อยๆ ไล้ไปตามรอยฟันซี่เล็กๆ ที่ปรากฏอยู่บนบ่าของตน ภาพเริงร้อนระหว่างเขากับเธอก็ผุดขึ้นมาในสมอง มันชัดเจน แม่นยำทุกความรู้สึกจนเขาไม่รู้ว่ากำลังกำมือแน่นเกร็งตัวราวกับว่าได้ดำดิ่งอยู่ในร่างอ้อนแอ้นนั้น
พระเจ้าทรงโปรด! ตกลงว่าท่านกำลังลงโทษเขาให้รู้สำนึกหรืออย่างไร?!
ปกติเขาจะเป็นฝ่ายถูกอ้อนวอนให้กลับลงไปคลุกเคล้ากับผู้หญิงที่เพิ่งผ่านจุดไคลแม็กซ์มาด้วยกัน แต่ตอนนี้เขากลับเป็นฝ่ายถูกทอดทิ้งไว้กับความว่างเปล่า ซ้ำร้ายเธอยังทำให้เขารู้สึกต่ำต้อยไร้ค่า ทิ้งคิสมาร์กไว้บนร่างกายย้ำเตือนให้เขาได้รู้ว่าถูกเธอลูบคมเข้าให้แล้ว
หัวใจแกร่งของจอมเสเพลกำลังถูกสาวพรหมจรรย์เล่นงานอย่างหนัก ไม่ใช่เธอฝ่ายเดียวที่ต้องสูญเสียแต่เขาต่างหากที่ต้องพบกับการสูญเสียยิ่งกว่า
เธอทำให้เขาเหลิงอยู่กับความลำพองใจว่าได้ครอบครองร่างกายบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นคนแรก แต่กลับซัดเขาจนหน้ามืดด้วยการหอบเอาเชื้อพันธุ์ที่เขาฝากฝังไว้ในกายเธออย่างเต็มอารมณ์หนีหายอย่างไร้ร่องรอย
หากผู้หญิงต้องเสียน้ำตาเพราะถูกพร่าผลาญพรหมจรรย์ เธอก็จงรู้เอาไว้ว่าทำกับเขาได้เจ็บแสบนักเพราะเขาต้องสูญเสียความมั่นใจในตัวเองจนหมดสิ้น เพียงเพราะเธอสะบัดหน้าหนีไม่แยแสกับความสุขสบายที่ผู้หญิงของเซเลสตร้า เด มาร์คอส พึงมี แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ...
แม่มดชั่วร้ายในคราบนางฟ้าไม่แยแสกับเรือนกายแน่นตึง ไม่ได้โหยหาหรือเกิดความหลงใหลได้ปลื้มกับชั้นเชิงที่เขาปรนเปรอให้เธออย่างถึงใจโดยที่ไม่เคยเต็มใจบริการผู้หญิงหน้าไหนมาก่อน!
แค้นใจระคนแสบทรวง คงจะเป็นคำอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ได้ดีที่สุดและเขาคงไม่มีวันที่จะอยู่เป็นสุข ถ้ายังตามหาเธอไม่เจอ เซเลสตร้าเดินไปคว้าเอาโทรศัพท์ที่ทิ้งอยู่บนเตียงอันยุ่งเหยิงต่อสายถึงคนสนิทเป็นครั้งที่สามของวัน หลังจากที่มีคำสั่งให้ตามหาตัวเธอ
“ว่ายังไง ทำไมถึงเงียบหายหัวไปแบบนี้”
ฮาเวียร์กลอกสายตาไปมากับความร้อนใจของเจ้านาย เขาไม่ได้นึกโกรธหรือไม่พอใจแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมดอนเซเลสตร้า ต้องฉุนเฉียวและจริงจังกับการหาผู้หญิงสักคนนัก ปกติก็ไม่เคยเห็นว่าจะแยแสผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน
“ผมกำลังตามตัวเธอจากรายชื่อของนักศึกษาที่เข้ารับทุนและนักศึกษาที่เพิ่งจบการศึกษาครับ เพราะว่าไม่สามารถจะเช็กได้จากการลงทะเบียนเข้าร่วมในงานเลี้ยงเมื่อคืนนี้” ฮาเวียร์กำลังจะอธิบายต่อแต่ปลายสายกลับโพล่งถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ทำไมจะเช็กไม่ได้ เล่นไปเช็กจากรายชื่อของนักศึกษาทั้งหมดมันก็ยิ่งช้าเข้าไปใหญ่” เซเลสตร้าตำหนิเสียงเครียด
“เพราะเจ้าหน้าที่ที่รับลงทะเบียนบอกว่ามีบางคนไม่ได้เซ็นชื่อเข้างานครับ ถ้านับจากการ์ดเชิญจะมีคนร่วมงานเลี้ยงถึงห้าร้อยเศษๆ แต่มีคนมาเซ็นชื่อหน้างานไม่ถึงสองร้อยคนครับ อีกอย่างเป็นงานเลี้ยงสวมหน้ากาก...” ฮาเวียร์ยังไม่ได้อธิบายเหตุผลจนจบประโยคด้วยซ้ำ ดอนเซเลสตร้าก็โพล่งขึ้นมาอย่างหงุดหงิดใจ
“เอาล่ะๆ จะเพราะอะไรฉันไม่สน แต่จะให้เวลาถึงเที่ยงคืน แล้วอย่าให้ฉันต้องเป็นฝ่ายโทรมาตามแบบนี้อีก” จบคำพูดก็วางสาย ตั้งใจจะขว้างของในมือทิ้งเพื่อระบายอารมณ์แต่เมื่อคิดขึ้นได้ว่ายังต้องใช้ประโยชน์จากมันจึงขว้างลงบนเตียงนุ่มดังเดิม
“โธ่โว้ย! ให้มันได้อย่างนี้สิ”
เซเลสตร้าสบถออกมาอย่างหงุดหงิดใจ ทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มในขณะที่เอื้อมมือหยิบหน้ากากประดับเพชรที่เธอทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าขึ้นมาพิจารณา
หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ของนักเรียนทุนมูลนิธิเด มาร์คอส มีผลการเรียนเป็นเลิศในทุกๆสาขาวิชาที่เปิดสอนในแต่ละสถาบันการศึกษา
เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ในคนที่เรียนดีนั้นมีฐานะยากจนไล่เปอร์เซ็นต์ต่ำลงมาเรื่อยๆจนถึงฐานะปานกลาง และเขามั่นใจว่าไม่มีใครร่ำรวยพอที่จะใช้ของแพงๆเช่นหน้ากากประดับเพชรที่อยู่ในมือนี้
เมื่อพลิกดูด้านในก็ไม่ได้พบว่าสลักชื่อของแบรนด์ใดๆเอาไว้ แต่จากเนื้องาน การฝังเพชรอย่างประณีตบ่งบอกให้เขารู้ว่ามันต้องเป็นชิ้นงานที่สั่งทำขึ้นโดยเฉพาะ ซึ่งราคาค่างวดก็คงจะแพงเป็นเงาตามตัวความประณีตนี้ ซึ่งเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจะมีนักศึกษาคนไหนมีความเป็นอยู่ไม่ต่างจากคนมีฐานะมั่งคั่งจนได้ครอบครองของราคาแพงเช่นนี้
ถ้าจะบอกว่าเธอเป็นสาวเอสคอร์ต เป็นเด็กในคอนโทรลของใครสักคนก็ตัดไปได้เลยเพราะเขาเป็นคนพร่าผลาญพรหมจรรย์ด้วยตัวเอง เธอบริสุทธิ์ผุดผ่องจนเขาลืมตัว!?
...แล้วทำไมเขาถึงได้ลืมตัวทั้งที่ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน คำถามที่ผุดโพล่งขึ้นมาในสมอง จากนั้นความซาบซ่าน เสียวกระสัน ควบคุมตัวเองไม่ได้ดีเท่าไหร่นักก็วิ่งกระแทกความคิดต่อจากคำถาม
“อา... นี่มันเรื่องบ้าบอห่าเหวอะไรกัน!” เซเลสตร้าทิ้งหน้ากากประดับเพชรลงบนที่นอนอย่างไม่ใส่ใจ ผุดลุกขึ้นนั่งมองตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่
‘แกถูกวางยาแล้วเซเลส ไอ้งั่ง ไอ้ไก่อ่อน’ เสียงหนึ่งที่ด่าว่าผ่านกระจกเงาทำให้จอมเสเพลที่สาวน้อยสาวใหญ่ยกย่องว่าเขาเป็น Super sexy guy มองผู้หญิงเป็นเพียงของเล่นชิ้นหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับต้องมาเป็น Her Plaything
“ไม่มีทาง มันแค่เรื่องบังเอิญ” แม้จะแย้งออกไปเช่นนั้นแต่ความสงสัยในคำถามหลายข้อก็ทำให้เขาได้กลิ่นไม่ดีบางอย่าง ลางสังหรณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้นจะต้องไม่มีวันเป็นจริง
ผู้หญิงอาจจะเรียกเขาว่าจอมเสเพล แต่ในด้านธุรกิจและการดำเนินชีวิตเขาก็ยังเป็นผู้ชายที่ชาญฉลาด เปี่ยมไปด้วยไหวพริบปฏิภาณ เมื่อรู้ตัวว่าถูกลูบคมย่อมต้องจัดการกับคนที่บังอาจเล่นตลกอย่างสาสมแน่นอน ไม่ใช่เพียงแค่ความคิดเพราะเขากำลังสวมเสื้อผ้าออกไปค้นหาความจริงด้วยตัวเอง
ไม่มีเวลาแล้วสำหรับความคั่งแค้นใจ ถึงแม้ว่าคิสมาร์กที่เธอทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าจะทำให้เขารู้สึกสมเพชตัวเองขนาดไหน แต่เชื้อพันธุ์ที่เธอหอบติดตัวไปอาจจะสร้างความยุ่งยากให้กับเขาภายหลัง แม้ไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นความบังเอิญหรือเรื่องตั้งใจของใครบางคน เขาก็จะต้องควานหาตัวเธอกลับมาให้จงได้
อย่างน้อยยาคุมกำเนิดฉุกเฉินก็ต้องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในเจ็ดสิบสองชั่วโมง แน่นอนว่าตอนนี้เวลาที่มีอยู่ลดเหลือลงเพียงแค่สี่สิบแปดชั่วโมงเท่านั้น
เซเลสตร้าผลุนผลันออกจากห้องทำงานของตนด้วยความร้อนใจโดยที่ไม่รู้เลยว่า นางฟ้าที่เขาแทบจะพลิกแผ่นดินหากำลังผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน
หลังจากที่ล้มเหลวในการติดต่อพี่สาว พอฤทัยก็หันกลับมาจัดเสื้อผ้าและข้าวของจำเป็นจนเรียบร้อย โทรหาพราวพุธ ผู้เป็นน้องสาวซึ่งเดินทางไปฝึกงานที่นิวยอร์ก บอกเหตุผลโป้ปดมดเท็จในการเดินทางไปบัวโนส ไอเรส โชคยังเข้าข้างที่พราวพุธไม่ได้สงสัยในเหตุผลของเธอ ทุกอย่างจึงไม่เกิดปัญหา
ท้ายที่สุดพอฤทัยยังหลับไปด้วยความกังวลใจเพราะกลัวว่าการเสียสละของตนนั้นจะสูญเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงแล้วต่อจากนี้เธอจะดำเนินชีวิตไปในทางใด ยังไม่ทันได้หาคำตอบให้กับตัวเอง ความเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจก็ทำให้เธอเข้าสู่นิทราได้อย่างง่ายดาย
“ไหวไหมคะ ดิฉันว่าไปหาหมอสักหน่อยดีกว่า ตัวคุณรุมๆ” บอกพร้อมยื่นหลังมือไปอังหน้าผากมนเพื่อวัดอุณหภูมิในร่างกายคร่าวๆ
พอฤทัยส่ายหน้าเพราะถึงแม้ว่าเธอจะเมื่อยขบไปทั้งตัวแต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันเกิดขึ้นเพราะเรื่องเมื่อคืน ไม่ได้รู้สึกเหมือนจะเจ็บไข้ได้ป่วยเช่นคำพูดของคาร์เมน
“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ฉันยังแข็งแรงดีแค่จามต่อกันเลยน้ำหูน้ำตาไหลน่ะค่ะ” พอฤทัยบอกและรั้งแขนของคาร์เมนให้กลับไปนั่งรับประทานอาหารเช่นเดิม
“แน่ใจนะคะ” ถามพร้อมสังเกตท่าทางอย่างไม่กะพริบตา เมื่อได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าเร็วๆ จึงวางใจและเริ่มรับประทานอาหารต่อ
พอฤทัยพอจะสัมผัสได้ว่าคาร์เมนต้องดูแลเธอเช่นนี้ก็มีความเครียดไม่ใช่น้อย เพราะต้องทำทุกอย่างตามคำสั่งของโลล่า “วางใจเถอะค่ะ ฉันรู้ว่าต้องดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี ความจริงแล้วคนไทยมีความเชื่อว่า... ถ้าจามติดๆ กันแปลว่ามีคนกำลังคิดถึง หรือพูดถึง”
คาร์เมนเลิกคิ้ว เพราะเพิ่งได้รู้ว่ามีความเชื่อเช่นนี้ด้วยแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด เพราะกลุ่มคนต่างเชื้อชาติต่างวัฒนธรรมย่อมมีความคิดและความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป นั่นแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล
ซึ่งถ้าไม่ได้ยินในสิ่งที่คนสนิทข้างกายดอนเซเลสตร้าโทรศัพท์เข้ามาปรึกษาเมื่อชั่วโมงก่อน เธอก็คงจะเห็นว่าความเชื่อนี้ไร้เหตุผล “ก็คงจะจริงนะคะ ดอนเซเลสอาจจะให้คนตามหาคุณจนวุ่นวายไปหมดแล้วก็เป็นได้”
“หรืออีกทีเขาอาจจะลืมฉันไปแล้วก็ได้ ใช่ไหมคะ”
มันอาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งสองทาง ก็ใครจะไปคิดว่าจอมเสเพลอย่างเขาจะจดจำเธอได้ ก็เหมือนกับที่เคยได้เจอกันมาแล้วครั้งหนึ่งแต่เขาก็ยังจำเธอไม่ได้อยู่ดี
ความจริงที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้ทำให้พอฤทัยนึกตำหนิเขาแต่อย่างใด ถ้าเทียบจากเธอแล้วก็คงจะเลือกจำเฉพาะคนที่มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์ มันคือเรื่องธรรมดาสามัญที่คนเราจะจดจำเฉพาะใบหน้าของผู้คนที่มีความโดดเด่น หรืออยู่ในความสนใจเท่านั้น อย่างเธอคงจะหน้าตาแสนธรรมดา จืดชืด คงจะไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาอย่างแน่นอน
คาร์เมนยิ้มกริ่มพลางส่งขนมปังที่ทาเฟรชบัตเตอร์เรียบร้อยให้หญิงสาว “บางครั้งผู้ชายที่มีความมั่นใจในตัวเองมากๆ ก็อาจจะหงุดหงิดใจที่ตัวเองต้องมากลายเป็นของไร้ค่าเสียเอง”
“ของไร้ค่า?” พอฤทัยทวนคำ
“เราจะไม่รู้ซึ้งหรือเข้าใจในความรู้สึกใดๆเลย ถ้ายังไม่ได้เผชิญหน้ากับมันด้วยตัวเอง” คาร์เมนพยายามคิดหาคำเปรียบเทียบให้พอฤทัยเข้าใจได้มากที่สุด “ดอนเซเลสเคยชินกับการเดินหันหลังให้ผู้หญิง แต่สิ่งที่คุณทำกำลังบั่นทอนความมั่นใจในตัวเขานะคะ อย่าลืมว่าดอนเซเลสไม่เคยมีประวัติพาผู้หญิงเข้าห้องทำงานมาก่อน”
คำพูดของคาร์เมนทำให้เธอได้คิด เซเลสตร้าคงจะรู้ซึ้งว่าการเดินหันหลังให้ใครสักคนทั้งที่คนคนนั้นยังแคร์และต้องการอีกฝ่าย มันเป็นความรู้สึกที่โหดร้ายยิ่งนัก แต่คนอย่างเขาน่ะเหรอจะแคร์เธอ?
...ก็อาจจะไม่แคร์แต่ที่แน่ๆ เขายังต้องการเธอ ไม่เช่นนั้นคงไม่ออกปากให้เธอย้ายมาอยู่กันเช่นนั้น คำตอบที่พอฤทัยมีให้กับตัวเองได้อย่างไม่ต้องเสียเวลาขบคิด อีกทั้งไม่ลืมว่าการที่เธอกล้าดีฝ่าฝืนคำสั่งก็หมายถึงความโกรธเกรี้ยวที่ต้องเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
“หมายถึงเขาคงกำลังโกรธฉันหัวฟัดหัวเหวี่ยงน่ะเหรอคะ” พอฤทัยเลือกที่จะถามในเหตุผลที่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญในหัวข้อสนทนา
คาร์เมนเองก็ไม่อยากจะล้วงลูกจนทำให้หญิงสาวเขินอายหรือเกิดความกระอักกระอ่วนใจ จึงเลือกที่จะรับประทานอาหารต่อไปเรื่อยๆ พลางคิดว่าความดื้อแพ่ง ปากแข็ง ฟอร์มจัดที่สัมผัสได้จากดอนเซเลสตร้าและพอฤทัยนั้นช่างเหมือนกันยิ่งนัก หวังว่านิสัยใจคอหลายอย่างที่เหมือนกันนี้ คงจะไม่เป็นอุปสรรคย้อนกลับมาสร้างปัญหาให้ต้องตามแก้ไขกันภายหลังอีก
ความเงียบเข้าครอบงำอีกครั้ง เมื่อต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองจนจัดการกับอาหารของตนได้เรียบร้อย คาร์เมนจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ดอนญ่าเวนโตล่าบอกให้คุณทราบแล้วใช่ไหมคะ ว่าจะต้องเลื่อนการเดินทางไปบัวโนส ไอเรส เข้ามาเป็นวันพรุ่งนี้”
“ค่ะ คุยกันเรียบร้อยแล้ว”
ตามกำหนดการเดิมนั้น พอฤทัยจะต้องเดินทางไปทำงานตามที่ระบุไว้ในสัญญาในอีกห้าวันหลังจากงานเลี้ยงเมื่อคืนนี้ แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป เธอจึงต้องเลื่อนการเดินทางไปอาร์เจนตินาพร้อมกับคาร์เมนในวันพรุ่งนี้
“ถ้าอย่างนั้นคุณรออยู่ที่นี่นะคะ เดี๋ยวดิฉันจะพาเด็กๆไปเก็บของใช้ส่วนตัวที่อพาร์ตเมนต์ให้” คาร์เมนบอกพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้
“อย่าเลยค่ะ ข้าวของฉันมีไม่เยอะ เก็บเองจะเร็วกว่า คุณเองก็เหนื่อยมาไม่น้อยกลับไปพักผ่อนให้เต็มที่ดีกว่านะคะ แล้วพรุ่งนี้เราค่อยไปสนามบินพร้อมกัน” พอฤทัยรีบดักคอทันที เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะโต้แย้ง “เรื่องนี้ฉันคุยกับโลล่าแล้วค่ะ เธอไม่ขัดข้องอะไร”
เมื่อทุกอย่างเป็นเช่นนั้น คาร์เมนก็ได้แต่ยิ้มและทำตามความต้องการของหญิงสาว ราวสามสิบนาทีต่อมา คาดิลแลคคันยาวก็จอดหน้าอพาร์ตเมนต์ของพอฤทัยที่กำลังเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าสะพายที่ทิ้งไว้บนรถตั้งแต่เมื่อวาน และยังทำให้คาร์เมนนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
“อ้อ... เมื่อสักสิบโมงมีโทรศัพท์จากประเทศไทยติดต่อเข้ามานะคะ เธอบอกว่าชื่อเพกา ถ้าคุณว่างแล้วให้โทรกลับด้วย”
“ค่ะ” พอฤทัยยิ้มรับก่อนจะเอ่ยลาเลขานุการวัยกลางคน “พรุ่งนี้พบกันนะคะ”
พอฤทัยไม่ได้รอให้รถคันยาวแล่นออกไปแต่รีบเร่งฝีเท้าเดินให้ถึงยังห้องพักของตนให้เร็วที่สุด นาฬิกาบนข้อมือบอกให้รู้ว่าเวลาของประเทศไทยนั้นดึกดื่นนัก หากเธอจะติดต่อกลับไปในตอนนี้ก็คงจะรบกวนเวลาพักผ่อนไม่น้อย แต่ด้วยความร้อนใจจึงทำให้พอฤทัยต่อสายถึงเพกาทันที เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องพักของตน
สัญญาณรอสายดังอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงคุ้นหูดังอย่างงัวเงีย “ฮัลโหล... คุณพรีมเหรอคะ”
“แม่เล็ก... พรีมขอโทษที่โทรมากวนกลางดึกนะคะ แต่พรีมอยากรู้ว่าติดต่อคุณเพลงได้ไหม” พอฤทัยถามเข้าประเด็นทันที
“แม่เล็กแยกกับคุณเพลงเมื่อก่อนเที่ยงวัน แต่ดูเหมือนว่าคุณเพลงจะตัดสินใจไปแล้ว อีกอย่างตอนนี้ก็เดินทางไปสวีเดนกับมิสเตอร์คอนราดสันแล้วด้วย”
“อะไรนะคะ ทำไมต้องรีบร้อนอย่างนั้นด้วย” พอฤทัยถามออกไปด้วยความตกใจ
“แม่เล็กก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเพราะคุณเพลงเองก็มั่นใจว่ามีแค่ทางนี้ทางเดียวที่จะทำให้ครอบครัวของเราและสิริแอทเซทพ้นจากวิกฤต เมื่อตอนบ่ายที่คุยกันยังบอกว่าอีกสักสองสามวันถึงจะเดินทาง แต่ตอนที่แม่เล็กกลับมาจากโรงพยาบาลแล้วถึงได้ยินคุณเพลงบอกว่าต้องเดินทางไปสวีเดนคืนนี้เลย”
ความจริงแล้วเพกาอยากจะเล่าความสงสัยเกี่ยวกับการพลัดตกบันไดของเจ้าสัวสันต์ ผู้เป็นสามีให้พอฤทัยได้รับรู้ แต่น้ำเสียงเป็นกังวลก็มีอยู่มากจนนึกเป็นห่วง ทั้งยังอยู่ไกลตาไม่อาจะดูแลได้ทั่วถึง จึงเลือกที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้เสียก่อน รอให้ทุกอย่างกระจ่างแล้วค่อยเล่าให้ฟังภายหลังก็ยังไม่สาย
“แล้วนี่พรีมจะติดต่อคุณเพลงยังไงล่ะคะ” ทั้งร้อนใจและกังวลใจเพราะไม่อยากให้พี่สาวต้องกลายไปเป็นนางบำเรอของมหาเศรษฐี
เธอรู้ซึ้งดีเชียวล่ะว่าความรู้สึกนั้นมันย่ำแย่สักแค่ไหน เพราะแค่ไม่กี่นาทีที่เธอได้มีโอกาสเฉียดกรายกับคำว่านางบำเรอของมหาเศรษฐียังทำให้น้ำตาตกใน แล้วพี่สาวเธอจะชอกช้ำสักเพียงใดหากต้องจมจ่อมอยู่ในสถานะนั้นอย่างไม่รู้กำหนด
“คุณพรีมลองคุยกับคุณเพลงตรงๆดีไหม บางทีเผื่อจะเปลี่ยนใจคุณเพลงได้บ้าง” เพกาเองก็ไม่อยากให้พิลาสินีต้องตกอยู่ในสภาพนั้นเช่นกัน แม้อีกใจจะเห็นว่ามิสเตอร์คอนราดสันไม่ใช่ผู้ชายเลวร้ายอะไรนักก็ตาม แต่ความสงสัยหนึ่งก็ผุดขึ้นมาทันทีจึงไม่รีรอที่จะถามออกไป “แล้วดอนญ่าเวนโตล่าตัดสินใจช่วยครอบครัวเราจริงๆเหรอจ๊ะ”
“ค่ะ สัญญากับพรีมว่าจะช่วยเหลือจนกว่าสิริแอทเซทจะมีสภาพคล่องแล้วกลับมามั่นคงเหมือนเดิม”
“โดยที่ไม่มีข้อแลกเปลี่ยนอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ?” ถามต่อด้วยน้ำเสียงสูง อดประหลาดใจไม่ได้
“คะ...ค่ะ ก็ เอ่อ...” พอฤทัยตะกุกตะกักเพราะปกติแล้วไม่เคยต้องโกหก แต่ครั้งนี้เธอกลับต้องทำมันเพื่อความสบายใจของคนในครอบครัว “คงจะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนกับคุณป๋าน่ะค่ะ แล้วอาการคุณป๋าเป็นยังไงบ้างคะ”
“รู้สึกตัวขึ้นมาเมื่อตอนตีสี่ คุณหมอเลยเข้ามาตรวจซ้ำอีกรอบบอกว่าร่างกายซีกซ้ายขยับเขยื้อนไม่ได้ส่วนซีกขวาอ่อนแรง นอกนั้นก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ยังต้องอยู่ในความดูแลของหมอกับพยาบาลอย่างใกล้ชิดจ้ะ”
“พรีมก็ค่อยโล่งใจขึ้นมาบ้างค่ะ แต่แม่เล็กก็ต้องดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะคะ ถ้าแม่เล็ก...”
“แม่เล็กไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก” เพกาตัดบทก่อนที่พอฤทัยจะพูดจบประโยค พลางคิดว่าลูกสาวทั้งสี่ของสิริสกุล มีนิสัยเป็นห่วงเป็นใยคนในครอบครัวมากกว่าตัวเอง ถอดแบบกันออกมาไม่ผิดเพี้ยน “ที่บอกว่าไม่เป็นอะไรง่ายๆ เพราะแม่เล็กยังต้องอยู่คอยดูว่าสี่สาวของสิริสกุลประสบความสำเร็จในชีวิต มีหน้าที่การงานที่ดี และมีคนจะมารับช่วงดูแลสี่สาวต่อจากแม่เล็กเสียก่อน ถึงวันนั้นแม่เล็กจะตายก็คงนอนตายตาหลับ”
“อย่าพูดเรื่องตายสิคะ ไม่เอา พรีมไม่อยากฟัง”
แม้เพกาจะไม่ใช่แม่บังเกิดเกล้าแต่พอฤทัยก็รักและเคารพไม่ต่างกัน ทั้งคู่ไถ่ถามกันอยู่ครู่หนึ่งและตกลงได้ว่า พอฤทัยคงจะต้องพูดคุยเรื่องนี้กับพิลาสินีด้วยตัวเอง จากนั้นเรื่องจะดำเนินต่อไปอย่างไรก็คงต้องสุดแล้วแต่สองคนพี่น้องจะตกลงกันได้
ไม่นานนักพอฤทัยก็เอ่ยคำลาก่อนจะวางสายเพราะรู้ว่ารบกวนเวลาพักผ่อนมาเกือบครึ่งชั่วโมง สุดท้ายเธอต้องมานั่งจัดข้าวของลงในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่พร้อมกับความคิดที่ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าจะดำเนินไปในทางใด ถึงแม้ว่าเธอจะตัดสินใจทำตามข้อแลกเปลี่ยนของโลล่าแล้ว แต่พี่สาวก็ยังต้องเดินทางไปสวีเดนกับพ่อมดทางการเงินคนดังของโลกอยู่ดี มันเหมือนกับว่าสิ่งที่เธอสูญเสียไปนั้นไร้ค่าและไม่ได้ช่วยให้ความยากลำบากของพี่สาวลดน้อยลงเลย
ในขณะที่อีกคนกำลังขบคิดเรื่องครอบครัวอย่างหนัก แต่อีกคนกลับต้องหัวเสีย หงุดหงิดงุ่นง่านวันทั้งวันไม่สามารถทำงานได้เป็นชิ้นเป็นอันเพราะถูกรังควานใจด้วยใบหน้างดงามของแม่มดชั่วร้ายในคราบนางฟ้า แม้จะยอมรับกับตัวเองได้ว่า ร่องรอยที่ปรากฏบนเตียงยุ่งเหยิงในห้องทำงานจะมีอิทธิพลดึงดูดให้เขาขลุกอยู่ในห้อง อยากเกลือกกลิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่มซึ่งมีแต่ภาพความทรงจำของร่างอ้อนแอ้น เปลือยเปล่าที่มอบตัวให้เขาอย่างเต็มใจ
เซเลสตร้าเดินเปลือยกายออกมาจากห้องน้ำ ความแสบที่เกิดขึ้นบริเวณลำคอด้านขวาทำให้เขาเดินออกมามองกระจกบานใหญ่ สำรวจบาดแผลจากคมเขี้ยวที่ขบเนื้อเขาจนเกิดรอยช้ำ
ปลายนิ้วแข็งแรงค่อยๆ ไล้ไปตามรอยฟันซี่เล็กๆ ที่ปรากฏอยู่บนบ่าของตน ภาพเริงร้อนระหว่างเขากับเธอก็ผุดขึ้นมาในสมอง มันชัดเจน แม่นยำทุกความรู้สึกจนเขาไม่รู้ว่ากำลังกำมือแน่นเกร็งตัวราวกับว่าได้ดำดิ่งอยู่ในร่างอ้อนแอ้นนั้น
พระเจ้าทรงโปรด! ตกลงว่าท่านกำลังลงโทษเขาให้รู้สำนึกหรืออย่างไร?!
ปกติเขาจะเป็นฝ่ายถูกอ้อนวอนให้กลับลงไปคลุกเคล้ากับผู้หญิงที่เพิ่งผ่านจุดไคลแม็กซ์มาด้วยกัน แต่ตอนนี้เขากลับเป็นฝ่ายถูกทอดทิ้งไว้กับความว่างเปล่า ซ้ำร้ายเธอยังทำให้เขารู้สึกต่ำต้อยไร้ค่า ทิ้งคิสมาร์กไว้บนร่างกายย้ำเตือนให้เขาได้รู้ว่าถูกเธอลูบคมเข้าให้แล้ว
หัวใจแกร่งของจอมเสเพลกำลังถูกสาวพรหมจรรย์เล่นงานอย่างหนัก ไม่ใช่เธอฝ่ายเดียวที่ต้องสูญเสียแต่เขาต่างหากที่ต้องพบกับการสูญเสียยิ่งกว่า
เธอทำให้เขาเหลิงอยู่กับความลำพองใจว่าได้ครอบครองร่างกายบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นคนแรก แต่กลับซัดเขาจนหน้ามืดด้วยการหอบเอาเชื้อพันธุ์ที่เขาฝากฝังไว้ในกายเธออย่างเต็มอารมณ์หนีหายอย่างไร้ร่องรอย
หากผู้หญิงต้องเสียน้ำตาเพราะถูกพร่าผลาญพรหมจรรย์ เธอก็จงรู้เอาไว้ว่าทำกับเขาได้เจ็บแสบนักเพราะเขาต้องสูญเสียความมั่นใจในตัวเองจนหมดสิ้น เพียงเพราะเธอสะบัดหน้าหนีไม่แยแสกับความสุขสบายที่ผู้หญิงของเซเลสตร้า เด มาร์คอส พึงมี แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ...
แม่มดชั่วร้ายในคราบนางฟ้าไม่แยแสกับเรือนกายแน่นตึง ไม่ได้โหยหาหรือเกิดความหลงใหลได้ปลื้มกับชั้นเชิงที่เขาปรนเปรอให้เธออย่างถึงใจโดยที่ไม่เคยเต็มใจบริการผู้หญิงหน้าไหนมาก่อน!
แค้นใจระคนแสบทรวง คงจะเป็นคำอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ได้ดีที่สุดและเขาคงไม่มีวันที่จะอยู่เป็นสุข ถ้ายังตามหาเธอไม่เจอ เซเลสตร้าเดินไปคว้าเอาโทรศัพท์ที่ทิ้งอยู่บนเตียงอันยุ่งเหยิงต่อสายถึงคนสนิทเป็นครั้งที่สามของวัน หลังจากที่มีคำสั่งให้ตามหาตัวเธอ
“ว่ายังไง ทำไมถึงเงียบหายหัวไปแบบนี้”
ฮาเวียร์กลอกสายตาไปมากับความร้อนใจของเจ้านาย เขาไม่ได้นึกโกรธหรือไม่พอใจแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมดอนเซเลสตร้า ต้องฉุนเฉียวและจริงจังกับการหาผู้หญิงสักคนนัก ปกติก็ไม่เคยเห็นว่าจะแยแสผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน
“ผมกำลังตามตัวเธอจากรายชื่อของนักศึกษาที่เข้ารับทุนและนักศึกษาที่เพิ่งจบการศึกษาครับ เพราะว่าไม่สามารถจะเช็กได้จากการลงทะเบียนเข้าร่วมในงานเลี้ยงเมื่อคืนนี้” ฮาเวียร์กำลังจะอธิบายต่อแต่ปลายสายกลับโพล่งถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ทำไมจะเช็กไม่ได้ เล่นไปเช็กจากรายชื่อของนักศึกษาทั้งหมดมันก็ยิ่งช้าเข้าไปใหญ่” เซเลสตร้าตำหนิเสียงเครียด
“เพราะเจ้าหน้าที่ที่รับลงทะเบียนบอกว่ามีบางคนไม่ได้เซ็นชื่อเข้างานครับ ถ้านับจากการ์ดเชิญจะมีคนร่วมงานเลี้ยงถึงห้าร้อยเศษๆ แต่มีคนมาเซ็นชื่อหน้างานไม่ถึงสองร้อยคนครับ อีกอย่างเป็นงานเลี้ยงสวมหน้ากาก...” ฮาเวียร์ยังไม่ได้อธิบายเหตุผลจนจบประโยคด้วยซ้ำ ดอนเซเลสตร้าก็โพล่งขึ้นมาอย่างหงุดหงิดใจ
“เอาล่ะๆ จะเพราะอะไรฉันไม่สน แต่จะให้เวลาถึงเที่ยงคืน แล้วอย่าให้ฉันต้องเป็นฝ่ายโทรมาตามแบบนี้อีก” จบคำพูดก็วางสาย ตั้งใจจะขว้างของในมือทิ้งเพื่อระบายอารมณ์แต่เมื่อคิดขึ้นได้ว่ายังต้องใช้ประโยชน์จากมันจึงขว้างลงบนเตียงนุ่มดังเดิม
“โธ่โว้ย! ให้มันได้อย่างนี้สิ”
เซเลสตร้าสบถออกมาอย่างหงุดหงิดใจ ทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มในขณะที่เอื้อมมือหยิบหน้ากากประดับเพชรที่เธอทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าขึ้นมาพิจารณา
หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ของนักเรียนทุนมูลนิธิเด มาร์คอส มีผลการเรียนเป็นเลิศในทุกๆสาขาวิชาที่เปิดสอนในแต่ละสถาบันการศึกษา
เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ในคนที่เรียนดีนั้นมีฐานะยากจนไล่เปอร์เซ็นต์ต่ำลงมาเรื่อยๆจนถึงฐานะปานกลาง และเขามั่นใจว่าไม่มีใครร่ำรวยพอที่จะใช้ของแพงๆเช่นหน้ากากประดับเพชรที่อยู่ในมือนี้
เมื่อพลิกดูด้านในก็ไม่ได้พบว่าสลักชื่อของแบรนด์ใดๆเอาไว้ แต่จากเนื้องาน การฝังเพชรอย่างประณีตบ่งบอกให้เขารู้ว่ามันต้องเป็นชิ้นงานที่สั่งทำขึ้นโดยเฉพาะ ซึ่งราคาค่างวดก็คงจะแพงเป็นเงาตามตัวความประณีตนี้ ซึ่งเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจะมีนักศึกษาคนไหนมีความเป็นอยู่ไม่ต่างจากคนมีฐานะมั่งคั่งจนได้ครอบครองของราคาแพงเช่นนี้
ถ้าจะบอกว่าเธอเป็นสาวเอสคอร์ต เป็นเด็กในคอนโทรลของใครสักคนก็ตัดไปได้เลยเพราะเขาเป็นคนพร่าผลาญพรหมจรรย์ด้วยตัวเอง เธอบริสุทธิ์ผุดผ่องจนเขาลืมตัว!?
...แล้วทำไมเขาถึงได้ลืมตัวทั้งที่ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน คำถามที่ผุดโพล่งขึ้นมาในสมอง จากนั้นความซาบซ่าน เสียวกระสัน ควบคุมตัวเองไม่ได้ดีเท่าไหร่นักก็วิ่งกระแทกความคิดต่อจากคำถาม
“อา... นี่มันเรื่องบ้าบอห่าเหวอะไรกัน!” เซเลสตร้าทิ้งหน้ากากประดับเพชรลงบนที่นอนอย่างไม่ใส่ใจ ผุดลุกขึ้นนั่งมองตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่
‘แกถูกวางยาแล้วเซเลส ไอ้งั่ง ไอ้ไก่อ่อน’ เสียงหนึ่งที่ด่าว่าผ่านกระจกเงาทำให้จอมเสเพลที่สาวน้อยสาวใหญ่ยกย่องว่าเขาเป็น Super sexy guy มองผู้หญิงเป็นเพียงของเล่นชิ้นหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับต้องมาเป็น Her Plaything
“ไม่มีทาง มันแค่เรื่องบังเอิญ” แม้จะแย้งออกไปเช่นนั้นแต่ความสงสัยในคำถามหลายข้อก็ทำให้เขาได้กลิ่นไม่ดีบางอย่าง ลางสังหรณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้นจะต้องไม่มีวันเป็นจริง
ผู้หญิงอาจจะเรียกเขาว่าจอมเสเพล แต่ในด้านธุรกิจและการดำเนินชีวิตเขาก็ยังเป็นผู้ชายที่ชาญฉลาด เปี่ยมไปด้วยไหวพริบปฏิภาณ เมื่อรู้ตัวว่าถูกลูบคมย่อมต้องจัดการกับคนที่บังอาจเล่นตลกอย่างสาสมแน่นอน ไม่ใช่เพียงแค่ความคิดเพราะเขากำลังสวมเสื้อผ้าออกไปค้นหาความจริงด้วยตัวเอง
ไม่มีเวลาแล้วสำหรับความคั่งแค้นใจ ถึงแม้ว่าคิสมาร์กที่เธอทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าจะทำให้เขารู้สึกสมเพชตัวเองขนาดไหน แต่เชื้อพันธุ์ที่เธอหอบติดตัวไปอาจจะสร้างความยุ่งยากให้กับเขาภายหลัง แม้ไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นความบังเอิญหรือเรื่องตั้งใจของใครบางคน เขาก็จะต้องควานหาตัวเธอกลับมาให้จงได้
อย่างน้อยยาคุมกำเนิดฉุกเฉินก็ต้องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในเจ็ดสิบสองชั่วโมง แน่นอนว่าตอนนี้เวลาที่มีอยู่ลดเหลือลงเพียงแค่สี่สิบแปดชั่วโมงเท่านั้น
เซเลสตร้าผลุนผลันออกจากห้องทำงานของตนด้วยความร้อนใจโดยที่ไม่รู้เลยว่า นางฟ้าที่เขาแทบจะพลิกแผ่นดินหากำลังผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน
หลังจากที่ล้มเหลวในการติดต่อพี่สาว พอฤทัยก็หันกลับมาจัดเสื้อผ้าและข้าวของจำเป็นจนเรียบร้อย โทรหาพราวพุธ ผู้เป็นน้องสาวซึ่งเดินทางไปฝึกงานที่นิวยอร์ก บอกเหตุผลโป้ปดมดเท็จในการเดินทางไปบัวโนส ไอเรส โชคยังเข้าข้างที่พราวพุธไม่ได้สงสัยในเหตุผลของเธอ ทุกอย่างจึงไม่เกิดปัญหา
ท้ายที่สุดพอฤทัยยังหลับไปด้วยความกังวลใจเพราะกลัวว่าการเสียสละของตนนั้นจะสูญเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงแล้วต่อจากนี้เธอจะดำเนินชีวิตไปในทางใด ยังไม่ทันได้หาคำตอบให้กับตัวเอง ความเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจก็ทำให้เธอเข้าสู่นิทราได้อย่างง่ายดาย
ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 เม.ย. 2559, 21:47:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 เม.ย. 2559, 21:47:06 น.
จำนวนการเข้าชม : 1026
<< ตอนที่ 7 100% | ตอนที่ 9 100% >> |