เปลวไฟกลางสายลม
เรื่อง เปลวไฟกลางสายลม
ทักทายเหล่ารีดเดอร์ที่แวะเข้ามา สำหรับเรื่องนี้จะเปิดเรื่องไว้
แล้วจะเริ่มลงให้หลังจากลงเรื่องอื่นแล้ว
ขอเปิดรอไว้ก่อน นิยายตัวเองก็ต้องบอกว่าสนุกแน่นอน
แต่สำหรับเหล่ารีดเดอร์ที่แวะเข้ามาก็ต้องรอติดตามกันนะคะ
สำหรับเขาเธอคือสายลมแห่งชีวิต
และสำหรับเธอ เขาคือเปลวไฟที่จุดประกายความหวังให้กับเธอ
ความรักของสายลมจะโอบอุ้มเปลวไฟ
ดั่งเปลวไฟที่จะมอบแสงสว่างให้กับเธอ ผู้เป็นดั่งสายลมแห่งชีวิตของเขา
เรื่องย่อ
เพลงวาโยได้พบกับผู้ชายที่ทุกคนเรียกว่าเศษสวะของสังคม การพบกันถึงสามครั้งเป็นตัวเชื่อมโยงของโชคชะตา เธอจึงยื่นมือช่วยเหลือเขา รับเขาเข้าสู่อ้อมกอดของสายลม ท่ามกลางความวุ่นวาย เขาคือคนที่ต่อสู่ไปพร้อมกับเธออย่างไม่หวั่นเกรง คือคนที่โอบประคองสายลมให้คงอยู่อย่างมั่นคง เป็นแสงสว่างเล็ก ๆ ที่แม้จะเทียบไม่ได้กับแสงของดวงอาทิตย์ แต่แสงสว่างเล็ก ๆ ของเขา กลับให้ความอบอุ่นกับเธอ เขาทำให้เธอมั่นใจว่าเพียงมีเขาอยู่ เธอจะปลอดภัยไร้กังวล
เขาเป็นเพียงผู้ชายที่ไร้ค่าที่เธอยื่นมือช่วยเหลือเขาถึงสามครั้ง
ในวินาทีที่ชีวิตของเขากำลังจะหลุดลอยไป เธอกลับยื่นมือเข้ามาและรับเขาเข้าสู้อ้อมกอดแห่งสายลม ไฟ คือชื่อใหม่ของเขาที่เธอมอบให้ เธอบอกว่าเขาจะเป็นดวงไฟแห่งชีวิตใหม่ จากนี้เขาคือคนใหม่ ไม่ใช่คนบ้าไร้ที่มา เขาคือคนของไร่สายลม และเขาเชื่อเธอว่าเขาคือไฟ คือคนของไร่สายลม นับจากวินาทีที่ลืมตาตื่นเขาสัญญากับตัวเองว่าทั้งชีวิต ทั้งลมหายใจ เขาจะมีไว้เพื่อเธอ จะดูแลเธอ ปกป้องเธอ หัวใจที่แข็งกระด้างที่มอบให้เธอไปแล้วจะไม่มีทางยกให้ใครอีก
ความรักของทั้งคู่เชื่อมโยงกันไว้ ความรักที่เริ่มจากเจ้านายและลูกน้อง
ก่อนจะแปรเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ จากคนละลมหายใจ
จะกลายเป็นลมหายใจเดียวกัน เปลวไฟจะอยู่ในอ้อมกอดของสายลม
และสายลมจะคอยพัดหาดวงไฟให้ลุกโชติช่วงตลอดไป
ทักทายเหล่ารีดเดอร์ที่แวะเข้ามา สำหรับเรื่องนี้จะเปิดเรื่องไว้
แล้วจะเริ่มลงให้หลังจากลงเรื่องอื่นแล้ว
ขอเปิดรอไว้ก่อน นิยายตัวเองก็ต้องบอกว่าสนุกแน่นอน
แต่สำหรับเหล่ารีดเดอร์ที่แวะเข้ามาก็ต้องรอติดตามกันนะคะ
สำหรับเขาเธอคือสายลมแห่งชีวิต
และสำหรับเธอ เขาคือเปลวไฟที่จุดประกายความหวังให้กับเธอ
ความรักของสายลมจะโอบอุ้มเปลวไฟ
ดั่งเปลวไฟที่จะมอบแสงสว่างให้กับเธอ ผู้เป็นดั่งสายลมแห่งชีวิตของเขา
เรื่องย่อ
เพลงวาโยได้พบกับผู้ชายที่ทุกคนเรียกว่าเศษสวะของสังคม การพบกันถึงสามครั้งเป็นตัวเชื่อมโยงของโชคชะตา เธอจึงยื่นมือช่วยเหลือเขา รับเขาเข้าสู่อ้อมกอดของสายลม ท่ามกลางความวุ่นวาย เขาคือคนที่ต่อสู่ไปพร้อมกับเธออย่างไม่หวั่นเกรง คือคนที่โอบประคองสายลมให้คงอยู่อย่างมั่นคง เป็นแสงสว่างเล็ก ๆ ที่แม้จะเทียบไม่ได้กับแสงของดวงอาทิตย์ แต่แสงสว่างเล็ก ๆ ของเขา กลับให้ความอบอุ่นกับเธอ เขาทำให้เธอมั่นใจว่าเพียงมีเขาอยู่ เธอจะปลอดภัยไร้กังวล
เขาเป็นเพียงผู้ชายที่ไร้ค่าที่เธอยื่นมือช่วยเหลือเขาถึงสามครั้ง
ในวินาทีที่ชีวิตของเขากำลังจะหลุดลอยไป เธอกลับยื่นมือเข้ามาและรับเขาเข้าสู้อ้อมกอดแห่งสายลม ไฟ คือชื่อใหม่ของเขาที่เธอมอบให้ เธอบอกว่าเขาจะเป็นดวงไฟแห่งชีวิตใหม่ จากนี้เขาคือคนใหม่ ไม่ใช่คนบ้าไร้ที่มา เขาคือคนของไร่สายลม และเขาเชื่อเธอว่าเขาคือไฟ คือคนของไร่สายลม นับจากวินาทีที่ลืมตาตื่นเขาสัญญากับตัวเองว่าทั้งชีวิต ทั้งลมหายใจ เขาจะมีไว้เพื่อเธอ จะดูแลเธอ ปกป้องเธอ หัวใจที่แข็งกระด้างที่มอบให้เธอไปแล้วจะไม่มีทางยกให้ใครอีก
ความรักของทั้งคู่เชื่อมโยงกันไว้ ความรักที่เริ่มจากเจ้านายและลูกน้อง
ก่อนจะแปรเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ จากคนละลมหายใจ
จะกลายเป็นลมหายใจเดียวกัน เปลวไฟจะอยู่ในอ้อมกอดของสายลม
และสายลมจะคอยพัดหาดวงไฟให้ลุกโชติช่วงตลอดไป
Tags: ไร่สายลม ความรัก การตามหา
ตอน: บทนำ (๕๐%)
บทนำ
สายลม
“สายลมพัดผ่านมอบชีวิตให้กับเขา ทั้งชีวิตของเขาเป็นของสายลม”
รถเก๋งสีดำจอดลงที่ร้านขายอาหารตามสั่งข้างทาง หญิงสาวแสนสวยรูปร่างเล็กบอบบางเปิดประตูเดินลงมาจากรถ แสงแดดยามบ่ายร้อนแรงกระทบผิวกายบอบบางจนปรากฏรอยแดงระเรื่อ เธอยกมือขึ้นมาป้องบังแดดไว้ ดวงตากลมโตมองร้านอาหารยามบ่ายที่มีคนไม่มากนัก หญิงสาวรูปร่างเล็กบอบบางคนนี้ชื่อเพลงวาโย เป็นสาวกรุงเทพ แต่มีเหตุให้ต้องเดินทางมาพิษณุโลก นับตั้งแต่รถของเธอเข้าสู่เขตพิษณุโลกเธอก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าเธอจะอยู่ที่นี่
เพลงวาโยเดินเข้าไปในร้านมองหาโต๊ะที่ว่างและไปนั่งจับจองรอสาวอีกคนที่มาด้วยกัน หญิงสาวคนนี้มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าเพลงวาโย บุคลิกท่าทางดูห้าว ๆ แมน ๆ ทำให้สองสาวต่างกันโดนสิ้นเชิง สาวห้าวสั่งอาหารเสร็จก็เดินมานั่งที่เก้าอี้ตัวตรงข้าม มือปาดเหงื่อที่ไหลออกมาเพราะสภาพอากาศที่ร้อนกว่าทุกวัน มือของสาวห้าวคว้าหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาถือและพัดให้กับเพลงวาโยอย่างเป็นห่วง ยิ่งเห็นเหงื่อเม็ดเล็กผุดไหลออกมามือของเธอก็พัดหนังสือพิมพ์แรงขึ้น แม้ร้านนี้จะอยู่ในที่ร่ม แต่สภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว ลมที่แม้จะพัดเข้ามา แต่ก็เป็นลมร้อนจากไอแดดไม่ได้ช่วยให้เย็นขึ้น ยิ่งทำให้คนที่นั่งอยู่รู้สึกแสบผิว นอกจากอากาศแล้วกลิ่นอาหารที่แม่ค้าผัดในกระทะยังลอยตามลมมาชวนให้ฉุนและจามออกมา
“ฮัดชิ่ว” หญิงสาวท่าทางแข็งแรงกว่ามองหญิงสาวร่างเล็กบอบบางที่จามออกมาด้วยท่าทางดูน่าเอ็นดูปนสงสารและส่ายหน้าอย่างอดไม่ได้
“พี่บอกคุณหนูแล้วว่าไปร้านที่มันดี ๆ ที่มีแอร์เย็น ๆ หรือไม่ก็แวะห้างก็ไม่เชื่อ ไม่น่ามานั่งร้านข้างทางเลย ร้อนแบบนี้ผิวคุณหนูก็เสียหมดสิคะ” ใบหม่อน หรือพี่หม่อนพี่เลี้ยงสาวที่ติดตามเพลงวาโยมาจากกรุงเทพเอ่ยขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่แม่ค้าเดินมาวางจานอาหารที่สั่ง
“เอ่อ...ร้านนี้ท่าทางน่าอร่อย ชาวบ้านแถวนี้ก็บอกว่าอาหารร้านนี้อร่อย จริงไหมคะ” หญิงสาวร่างเล็กเอ่ยและมองแม่ค้าด้วยท่าทียิ้มแย้ม แม่ค้าปรายตามองคล้ายพอใจกับคำพูดของหญิงสาวตัวเล็กก่อนเดินกลับไป
“หม่อนจะพาฉันซวยนะ ที่สำคัญฉันไม่ได้บอบบางขนาดนั้นเสียหน่อย ตอนเรียนฉันก็กินร้านข้างทางประจำ รับรองไม่ท้องเสีย แล้วอีกหน่อยฉันต้องมาช่วยคุณตาดูแลไร่ ยังไงเสียผิวก็คงไม่เหลือ ฉันยังไม่คิดมากเลย หม่อนจะคิดมากทำไม คิดมากแบบนี้ระวังแก่เร็วนะ” เพลงวาโยเอ่ยเสียงเบา และก้มหน้าก้มตาทานอาหารบนโต๊ะไม่สนใจใบหม่อนที่พยายามพูดเกลี้ยกล่อมเธอ
“แต่พี่สัญญากับคุณวาและคุณภรพไว้ก่อนเสียแล้วว่าพี่จะดูแลคุณหนูให้ดีที่สุด แล้วดูสิคุณหนูต้องมาลำบากแบบนี้ พี่ทนไม่ได้หรอกค่ะ เรากลับกรุงเทพเถอะนะคะ” ใบหม่อนพยายามโน้มน้าวคุณหนูของตน
“ไม่ได้หรอก ฉันก็สัญญากับคุณพ่อคุณแม่ไว้แล้วเหมือนกัน ว่าฉันจะกลับไปหาคุณตา ทำสิ่งที่คุณพ่อกับคุณแม่ทำให้ท่านไม่ได้ อย่างน้อยฉันก็อยากทำหน้าที่หลานที่ดีบ้าง”
“แต่คุณตาคุณหนูดุมากเลยนะคะ พี่ยังจำได้เมื่อห้าปีก่อนที่คุณวากลับมาที่ไร่ แค่จะมาขอโทษมาเยี่ยมเพราะท่านป่วย ท่านยังไล่พวกเราอย่างกับหมูอย่างกับหมา แถมยิงปืนไล่ด้วยนะคะ พี่กลัวคุณหนูจะโดนแบบนั้น คุณหนูตัวนิดเดียวจะวิ่งหลบลูกปืนไหวเหรอคะ”
“ตอนนั้นคุณตาโกรธคุณแม่อยู่นี่คะ”
“ตอนนี้ก็ยังโกรธค่ะ จำงานศพคุณวาได้ไหมคะ คุณตาคุณหนูแทบจะไม่มาเผาผีกัน ถ้าตอนนั้นป้าน้อยแกไม่พูดกล่อมนะ คงไม่เห็นคุณตาของคุณหนูมางานศพแน่”
“แต่ท่านก็มา แปลว่าท่านก็ให้อภัยคุณแม่ คงไม่รังเกียจฉันขนาดนั้นหรอก”
“คุณหนู คุณหนูจำสายตาที่คุณตามองคุณหนูตอนนั้นได้ไหมคะ ท่านคุณหนูแบบอย่าเข้ามาใกล้ข้านะ ข้ารังเกียจเอ็งจะแย่อยู่แล้ว แค่คุณหนูเดินไปจับแขนสะบัดเสียคุณหนูกระเด็นเลยนะคะ”
“นั่นก็ผ่านมาสองปีแล้ว ตอนนี้คุณแม่กับคุณพ่อก็เสียไปแล้ว ท่านคงไม่ใจร้ายแบบนั้นหรอก อย่าคิดมากเลยหม่อน อีกอย่างกลับไปกรุงเทพเราจะไปอยู่ที่ไหน เราไม่มีบ้านแล้วนะ พวกเขาเอาบ้านเราคืนไปแล้ว เราไม่มีอะไรติดค้างในกรุงเทพอีกแล้ว ประทีปทองก็คงไม่อยากให้เราไปเป็นภาระเค้าอีก”
“แต่เราก็มีเงินนะคะ คุณภรพทิ้งเงินให้คุณหนูพอให้คุณหนูตั้งตัวได้ ที่สำคัญคุณปกรณ์เองก็บอกแล้วมีอะไรให้ช่วยเหลือก็กลับมาได้ ร้านนั้นคุณภรพเป็นหุ้นส่วน คุณหนูไปเป็นเชฟที่ร้านอาหารก็ได้นะคะ คุณปกรณ์ท่านไม่ปฏิเสธแน่ค่ะ คุณหนู”
“ไม่ได้ นี่เป็นคำสั่งเสียสุดท้ายคุณพ่อที่คุณแม่ฝากมา ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ ฉันต้องกลับไป ตอบแทนพระคุของคุณตาแทนท่านทั้งสองที่ทำไม่ได้ บ้านสวนจะเป็นบ้านของเรา ถ้าหม่อนไม่อยากไป หม่อนจะกลับกรุงเทพก็ได้นะ เดี๋ยวฉันจะโทรบอกลุงปกรณ์ให้ หม่อนจะได้มีงานทำ”
“คุณหนู คุณหนูพูดแบบนี้ได้ยังไงคะ พี่ทำอะไรที่อกตัญญูแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าไม่มีคุณวากับคุณภรพป่านนี้พี่คงกลายเป็นคนเร่ร่อนข้างถนน อาจจะไม่ได้มีชีวิตดีแบบทุกวันนี้ พระคุณที่คุณทั้งสองเลี้ยงดูพี่มา มากมายจนทดแทนไม่หมด”
“แต่ถ้าหม่อนไม่อยากไป ฉันก็ไม่อยากบังคับ คับที่นะอยู่ได้แต่คับใจอยู่อยาก จะไปเจออะไรที่นั่นก็ยังไม่รู้ การที่หม่อนกลับไปไม่ได้หมายความว่าอกตัญญู แต่ไปช่วยร้านของคุณพ่อกับคุณลุงปกรณ์ ช่วยดูแลร้ายให้ท่านก็ถือว่าตอบแทนแล้ว หม่อนเปลี่ยนใจได้นะ”
“ไม่ค่ะ พี่ไม่ยอมให้คุณหนูไปคนเดียวแน่ค่ะ พี่โตมากับคุณหนู คุณหนูเป็นทั้งเจ้านาย เป็นทั้งน้องสาว เป็นทั้งเพื่อน พี่ต้องอยู่กับคุณหนู ที่ไร่ก็อาจจะดีกว่าบ้านประทีปทอง คุณหนูอยู่ที่ไหนพี่ก็อยู่ที่นั่นค่ะ” ใบหม่อนเอ่ยอย่างมั่นใจ ไม่มีท่าทีลังเล หรือ ไม่เห็นด้วยอย่างตอนแรก ยังไงเสียเธอก็ทิ้งคุณหนูของเธอไม่ได้ ถ้าเกิดไปเจอเรื่องร้ายที่นั่นเธอจะได้ช่วยปกป้องคุณหนูของเธอได้
“รีบกินเถอะ สามโมงกว่าแล้ว กว่าจะไปถึงไร่สายลมท้องฟ้ามืดพอดี” ใบหม่อนพยักหน้ารับรีบจัดการอาหารในจาน เมื่อกองทัพสบายท้องแล้ว ก็เตรียมพร้อมออกเดินทาง สองสาวเจ้านายลูกน้องเดินออกจากร้านอาหาร กำลังจะเดินไปที่รถแต่เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายก็ดังขึ้น
...จบ๕๐%....
แวะเข้ามาอ่านแล้วช่วยกันคอมเม้นด้วยนะคะ
เรื่องเก่าอยู่ในขั้นปรับปรุง วันนี้ขอมาฝากนิยายเรื่องใหม่ไว้ด้วยนะคะ
หวังว่าทุกคนจะชอบ พบกันตอนต่อไปค่ะ
สายลม
“สายลมพัดผ่านมอบชีวิตให้กับเขา ทั้งชีวิตของเขาเป็นของสายลม”
รถเก๋งสีดำจอดลงที่ร้านขายอาหารตามสั่งข้างทาง หญิงสาวแสนสวยรูปร่างเล็กบอบบางเปิดประตูเดินลงมาจากรถ แสงแดดยามบ่ายร้อนแรงกระทบผิวกายบอบบางจนปรากฏรอยแดงระเรื่อ เธอยกมือขึ้นมาป้องบังแดดไว้ ดวงตากลมโตมองร้านอาหารยามบ่ายที่มีคนไม่มากนัก หญิงสาวรูปร่างเล็กบอบบางคนนี้ชื่อเพลงวาโย เป็นสาวกรุงเทพ แต่มีเหตุให้ต้องเดินทางมาพิษณุโลก นับตั้งแต่รถของเธอเข้าสู่เขตพิษณุโลกเธอก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าเธอจะอยู่ที่นี่
เพลงวาโยเดินเข้าไปในร้านมองหาโต๊ะที่ว่างและไปนั่งจับจองรอสาวอีกคนที่มาด้วยกัน หญิงสาวคนนี้มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าเพลงวาโย บุคลิกท่าทางดูห้าว ๆ แมน ๆ ทำให้สองสาวต่างกันโดนสิ้นเชิง สาวห้าวสั่งอาหารเสร็จก็เดินมานั่งที่เก้าอี้ตัวตรงข้าม มือปาดเหงื่อที่ไหลออกมาเพราะสภาพอากาศที่ร้อนกว่าทุกวัน มือของสาวห้าวคว้าหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาถือและพัดให้กับเพลงวาโยอย่างเป็นห่วง ยิ่งเห็นเหงื่อเม็ดเล็กผุดไหลออกมามือของเธอก็พัดหนังสือพิมพ์แรงขึ้น แม้ร้านนี้จะอยู่ในที่ร่ม แต่สภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว ลมที่แม้จะพัดเข้ามา แต่ก็เป็นลมร้อนจากไอแดดไม่ได้ช่วยให้เย็นขึ้น ยิ่งทำให้คนที่นั่งอยู่รู้สึกแสบผิว นอกจากอากาศแล้วกลิ่นอาหารที่แม่ค้าผัดในกระทะยังลอยตามลมมาชวนให้ฉุนและจามออกมา
“ฮัดชิ่ว” หญิงสาวท่าทางแข็งแรงกว่ามองหญิงสาวร่างเล็กบอบบางที่จามออกมาด้วยท่าทางดูน่าเอ็นดูปนสงสารและส่ายหน้าอย่างอดไม่ได้
“พี่บอกคุณหนูแล้วว่าไปร้านที่มันดี ๆ ที่มีแอร์เย็น ๆ หรือไม่ก็แวะห้างก็ไม่เชื่อ ไม่น่ามานั่งร้านข้างทางเลย ร้อนแบบนี้ผิวคุณหนูก็เสียหมดสิคะ” ใบหม่อน หรือพี่หม่อนพี่เลี้ยงสาวที่ติดตามเพลงวาโยมาจากกรุงเทพเอ่ยขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่แม่ค้าเดินมาวางจานอาหารที่สั่ง
“เอ่อ...ร้านนี้ท่าทางน่าอร่อย ชาวบ้านแถวนี้ก็บอกว่าอาหารร้านนี้อร่อย จริงไหมคะ” หญิงสาวร่างเล็กเอ่ยและมองแม่ค้าด้วยท่าทียิ้มแย้ม แม่ค้าปรายตามองคล้ายพอใจกับคำพูดของหญิงสาวตัวเล็กก่อนเดินกลับไป
“หม่อนจะพาฉันซวยนะ ที่สำคัญฉันไม่ได้บอบบางขนาดนั้นเสียหน่อย ตอนเรียนฉันก็กินร้านข้างทางประจำ รับรองไม่ท้องเสีย แล้วอีกหน่อยฉันต้องมาช่วยคุณตาดูแลไร่ ยังไงเสียผิวก็คงไม่เหลือ ฉันยังไม่คิดมากเลย หม่อนจะคิดมากทำไม คิดมากแบบนี้ระวังแก่เร็วนะ” เพลงวาโยเอ่ยเสียงเบา และก้มหน้าก้มตาทานอาหารบนโต๊ะไม่สนใจใบหม่อนที่พยายามพูดเกลี้ยกล่อมเธอ
“แต่พี่สัญญากับคุณวาและคุณภรพไว้ก่อนเสียแล้วว่าพี่จะดูแลคุณหนูให้ดีที่สุด แล้วดูสิคุณหนูต้องมาลำบากแบบนี้ พี่ทนไม่ได้หรอกค่ะ เรากลับกรุงเทพเถอะนะคะ” ใบหม่อนพยายามโน้มน้าวคุณหนูของตน
“ไม่ได้หรอก ฉันก็สัญญากับคุณพ่อคุณแม่ไว้แล้วเหมือนกัน ว่าฉันจะกลับไปหาคุณตา ทำสิ่งที่คุณพ่อกับคุณแม่ทำให้ท่านไม่ได้ อย่างน้อยฉันก็อยากทำหน้าที่หลานที่ดีบ้าง”
“แต่คุณตาคุณหนูดุมากเลยนะคะ พี่ยังจำได้เมื่อห้าปีก่อนที่คุณวากลับมาที่ไร่ แค่จะมาขอโทษมาเยี่ยมเพราะท่านป่วย ท่านยังไล่พวกเราอย่างกับหมูอย่างกับหมา แถมยิงปืนไล่ด้วยนะคะ พี่กลัวคุณหนูจะโดนแบบนั้น คุณหนูตัวนิดเดียวจะวิ่งหลบลูกปืนไหวเหรอคะ”
“ตอนนั้นคุณตาโกรธคุณแม่อยู่นี่คะ”
“ตอนนี้ก็ยังโกรธค่ะ จำงานศพคุณวาได้ไหมคะ คุณตาคุณหนูแทบจะไม่มาเผาผีกัน ถ้าตอนนั้นป้าน้อยแกไม่พูดกล่อมนะ คงไม่เห็นคุณตาของคุณหนูมางานศพแน่”
“แต่ท่านก็มา แปลว่าท่านก็ให้อภัยคุณแม่ คงไม่รังเกียจฉันขนาดนั้นหรอก”
“คุณหนู คุณหนูจำสายตาที่คุณตามองคุณหนูตอนนั้นได้ไหมคะ ท่านคุณหนูแบบอย่าเข้ามาใกล้ข้านะ ข้ารังเกียจเอ็งจะแย่อยู่แล้ว แค่คุณหนูเดินไปจับแขนสะบัดเสียคุณหนูกระเด็นเลยนะคะ”
“นั่นก็ผ่านมาสองปีแล้ว ตอนนี้คุณแม่กับคุณพ่อก็เสียไปแล้ว ท่านคงไม่ใจร้ายแบบนั้นหรอก อย่าคิดมากเลยหม่อน อีกอย่างกลับไปกรุงเทพเราจะไปอยู่ที่ไหน เราไม่มีบ้านแล้วนะ พวกเขาเอาบ้านเราคืนไปแล้ว เราไม่มีอะไรติดค้างในกรุงเทพอีกแล้ว ประทีปทองก็คงไม่อยากให้เราไปเป็นภาระเค้าอีก”
“แต่เราก็มีเงินนะคะ คุณภรพทิ้งเงินให้คุณหนูพอให้คุณหนูตั้งตัวได้ ที่สำคัญคุณปกรณ์เองก็บอกแล้วมีอะไรให้ช่วยเหลือก็กลับมาได้ ร้านนั้นคุณภรพเป็นหุ้นส่วน คุณหนูไปเป็นเชฟที่ร้านอาหารก็ได้นะคะ คุณปกรณ์ท่านไม่ปฏิเสธแน่ค่ะ คุณหนู”
“ไม่ได้ นี่เป็นคำสั่งเสียสุดท้ายคุณพ่อที่คุณแม่ฝากมา ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ ฉันต้องกลับไป ตอบแทนพระคุของคุณตาแทนท่านทั้งสองที่ทำไม่ได้ บ้านสวนจะเป็นบ้านของเรา ถ้าหม่อนไม่อยากไป หม่อนจะกลับกรุงเทพก็ได้นะ เดี๋ยวฉันจะโทรบอกลุงปกรณ์ให้ หม่อนจะได้มีงานทำ”
“คุณหนู คุณหนูพูดแบบนี้ได้ยังไงคะ พี่ทำอะไรที่อกตัญญูแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าไม่มีคุณวากับคุณภรพป่านนี้พี่คงกลายเป็นคนเร่ร่อนข้างถนน อาจจะไม่ได้มีชีวิตดีแบบทุกวันนี้ พระคุณที่คุณทั้งสองเลี้ยงดูพี่มา มากมายจนทดแทนไม่หมด”
“แต่ถ้าหม่อนไม่อยากไป ฉันก็ไม่อยากบังคับ คับที่นะอยู่ได้แต่คับใจอยู่อยาก จะไปเจออะไรที่นั่นก็ยังไม่รู้ การที่หม่อนกลับไปไม่ได้หมายความว่าอกตัญญู แต่ไปช่วยร้านของคุณพ่อกับคุณลุงปกรณ์ ช่วยดูแลร้ายให้ท่านก็ถือว่าตอบแทนแล้ว หม่อนเปลี่ยนใจได้นะ”
“ไม่ค่ะ พี่ไม่ยอมให้คุณหนูไปคนเดียวแน่ค่ะ พี่โตมากับคุณหนู คุณหนูเป็นทั้งเจ้านาย เป็นทั้งน้องสาว เป็นทั้งเพื่อน พี่ต้องอยู่กับคุณหนู ที่ไร่ก็อาจจะดีกว่าบ้านประทีปทอง คุณหนูอยู่ที่ไหนพี่ก็อยู่ที่นั่นค่ะ” ใบหม่อนเอ่ยอย่างมั่นใจ ไม่มีท่าทีลังเล หรือ ไม่เห็นด้วยอย่างตอนแรก ยังไงเสียเธอก็ทิ้งคุณหนูของเธอไม่ได้ ถ้าเกิดไปเจอเรื่องร้ายที่นั่นเธอจะได้ช่วยปกป้องคุณหนูของเธอได้
“รีบกินเถอะ สามโมงกว่าแล้ว กว่าจะไปถึงไร่สายลมท้องฟ้ามืดพอดี” ใบหม่อนพยักหน้ารับรีบจัดการอาหารในจาน เมื่อกองทัพสบายท้องแล้ว ก็เตรียมพร้อมออกเดินทาง สองสาวเจ้านายลูกน้องเดินออกจากร้านอาหาร กำลังจะเดินไปที่รถแต่เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายก็ดังขึ้น
...จบ๕๐%....
แวะเข้ามาอ่านแล้วช่วยกันคอมเม้นด้วยนะคะ
เรื่องเก่าอยู่ในขั้นปรับปรุง วันนี้ขอมาฝากนิยายเรื่องใหม่ไว้ด้วยนะคะ
หวังว่าทุกคนจะชอบ พบกันตอนต่อไปค่ะ
พัชรีพร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 เม.ย. 2559, 10:28:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 เม.ย. 2559, 00:38:05 น.
จำนวนการเข้าชม : 845
บทนำ (๑๐๐%) >> |