ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม

เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา

.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ

ตอน: บทที่ ๔๑ .. เหตุผล ที่ถูกเผย




ความอดทนในการรอคอยใครบางคนของมัตติก์ค่อย ๆ ลดน้อยถอยลงนับตั้งแต่เภตราติดต่อมาเมื่อช่วงบ่าย พิจารณาจากน้ำเสียงร้อนรนที่ได้ยิน ทำให้คิดได้ว่า ท่าทางอะไร ๆ จะไม่ง่ายเสียแล้ว

อาการกระสับกระส่ายแทนที่ความสงบ นำพามาซึ่งความวิตกกังวลให้ย่างกราย มันย่อยห้วงเวลาจากชั่วโมงเป็นนาที ... จากนาทีเป็นวินาที

เสียงเครื่องยนต์ดีเซลกระหึ่มแว่วมาในโสต มัตติก์คลายสีหน้าเคร่งเครียดลง กายขยับพร้อมก้าวไปที่ประตูห้อง รอรับหน้าเจ้าของรถดอดจ์กำลังแรง

บ้านพักของทแกล้วมีขนาดเล็กกะทัดรัด ค่อนข้างเป็นส่วนตัว มีด้านหน้ากว้างขวางพอ จึงสามารถจอดรถคันใหญ่ได้ เพราะอยู่ห่างจากส่วนงานวิจัยของสถานี และบ้านพักเจ้าหน้าที่ รวมถึงพนักงานคนอื่น ๆ

แม้มัตติก์จะเป็นบุตรชายของหัวหน้าทีมวิจัย ฯ แต่น้อยคนที่จะได้รู้จัก 'ตัวตน' ของเขา นอกจากชื่อเสียงในฐานะรองประธานบริหารบอร์ดของมหาวิทยาลัย

บุคคลผู้มีส่วนสำคัญอย่างมาก ในการช่วยหาและมอบทุน แก่งานวิจัยของด็อกเตอร์เหม กาญจนรักษ์ สม่ำเสมอ หลังเข้ารับตำแหน่งแทนบิดาที่มุ่งมั่นกับงานภาคสนามมาตลอด

ชายหนุ่มหุ่นสะโอดสะองเปิดประตูเพียงครึ่งบาน กลับต้องชะงักทันทีเมื่อเครื่องยนต์รถดอดจ์สีดำดับสนิท ความแปลกใจไม่ใช่เกิดจากความผิดปกของพาหนะคลาสสิค หากแต่เป็นรถยนต์อีกคันที่แล่นเข้ามาจอดติดกันนั่นต่างหาก

ทแกล้วเปิดประตูรถก้าวออกมาจากทางด้านซ้าย ส่วนทางด้านขวามีหญิงสาวอีกคนก้าวลงมาเช่นกัน

มัตติก์นิ่วหน้าไม่พอใจ แต่เพียงครู่เดียวสามารถปรับสีหน้าให้ละมุนได้ในพริบตา แล้วก้าวขาพ้นประตูมาทักทาย โดยยังเก็บงำความขุ่นข้องและสงสัยมากมายไว้ในใจ

"คุณกล้า ... ใครครับ แล้วนั่น ... ที่ขับตามกันมาอีก"

คนถูกเรียกสบตาคนถาม พลางเหลียวไปทางหญิงสาวที่มาด้วยกันแต่แรก ก่อนย้ายสายตาไปทางด้านหลัง ซึ่งรถยนต์สีดำจอดต่อท้ายดอดจ์ของเขา แล้วหันมาสบตาชายหนุ่มคนเดิมอีกครั้ง

"คุณอยู่ก็ดีแล้ว เราคงมีเรื่องต้องคุยกัน ... ไม่น้อยเลย"

น้ำเสียงห่างเหินเฉยชา บ่งบอกความรู้สึกของทแกล้วอย่างไร ทำไมมัตติก์จะไม่รู้

แต่ที่เขาทำได้คือ ... ยิ้มรับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างขื่นจนขมในใจ เหมือนหลายปีที่ผ่าน ๆ มา




เมฆพัดชำเลืองไปทางเบาะโดยสารข้าง ๆ เห็นเภตราเอาแต่นั่งก้มหน้า ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาป้อย ๆ สลับกับสูดลมหายใจ แต่ดูท่าทางเดินหายใจจะไม่ค่อยสะดวกด้วยอาการคล้ายคนเป็นหวัดคัดจมูก

ชายหนุ่มบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรในอกมันตื้นตัน คับพองอัดแน่น จนอยากตะโกนออกมาดัง ๆ ให้สุดเสียง ทั้งอยากจะยิ้ม อยากหัวเราะ ... ไม่มีครั้งใดที่จะสับสนแบบนี้

ยกเว้น ความรู้สึกเดียว ที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน เมฆพัดไม่เคยสับสนกับมันเลย ... ความรักที่มีต่อเภตรา

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ... ก่อนที่จะได้รู้ และเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของเธอ เรื่องราวมันอาจจบลงอย่างเคย แล้วก็ได้แต่เงียบ เก็บงำมันเหมือนที่ผ่านมา

แต่เพราะคำพูดระบายความอัดอั้น คือคำสารภาพที่พรั่งพรูจากเภตรา เมื่อไม่ถึงชั่วโมงก่อนหน้า การลงเอยเพราะแรงอารมณ์ แรงปรารถนาที่เคยเกิดจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป

"เภา ... พี่ดีใจนะ ในที่สุดก็ยอมบอกพี่เสียที"

เมฆพัดชะลอรถของเธอที่เขายึดกุญแจมา และใช้เป็นพาหนะในการปรับความเข้าใจ ซึ่งอาจจะยังเรียกว่า 'ปรับความเข้าใจ' ไม่ได้เต็มปากเต็มคำ คงมีแต่เขาที่เข้าใจเธอฝ่ายเดียวในเวลานี้

ไม่นานหรอก ... เภตราจะได้เข้าใจเขาบ้าง

หญิงสาวนิ่งเงียบถึงไม่พูดอะไร แต่ก็มองมาให้เขารู้เห็น ว่ายังมีปฏิกิริยาตอบสนอง ไม่ทำให้ชายหนุ่มใจแป้วเพราะกลัวเธอจะหมางเมิน ให้ต้องง้องอนอีก

"คืนนี้ พี่จะไม่ไปส่งเภา ... และจะไม่ให้เภากลับบ้านด้วย"

"พี่พัด ... อย่าบ้านะ"

เภตราโวยวายขึ้นเสียงกับคำบอกของเมฆพัด ... ถ้าไม่ให้กลับบ้าน จะให้เธอไปอยู่ที่ไหน

"ไว้ใจพี่สักครั้งนะเภา ... มันอาจจะไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดีที่สุด แต่อย่างน้อย พี่อยากให้เภามั่นใจในตัวพี่ ... ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเรา มันไม่ใช่แค่ ... ความใคร่ ถึงแม้ตอนนี้ พี่จะรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ "

ทั้งคำพูดทั้งสายตาของเมฆพัดบอกความรู้สึกนั้นแก่เภตรา ซึ่งเขามั่นใจว่า เธอก็ไม่ต่างกัน และความตั้งใจที่จะพยายามไม่ทำอะไรนอกลู่นอกทาง ก็แทบจะทลายลง เมื่อเธอเลียริมฝีปากตัวเองที่แห้งผากเพิ่มความชุ่มชื้น

เธอไม่รู้หรืออย่างไรว่า ความปั่นป่วนกำลังก่อกวนเขาอีกระลอก

"เอาล่ะ ... พี่จะฝากเภาไว้กับแม่ แล้วก็จะได้คุยกับเพื่อนรัก ... หลังจากต่างคนต่างผิดใจกันเพราะ ... พี่"

เมฆพัดตัดบท และ พยายาม'ตัดใจ' ให้เ็ด็ดขาดกับความร้อนรุ่มภายใน ละอองชลน่าจะช่วยให้เภตราโล่งใจได้มากกว่า รวมถึงองก์อัมพุทด้วย

"แต่ ... "

"พี่ไม่เชื่อหรอกว่า เภาอยากจะกลับบ้าน ... ทั้ง ๆ ที่เรากำลังจะจบปัญหาได้"

"เภา ... เภาไม่รู้แล้วว่า ต้องทำอะไร คิดแต่ว่า แม่ของเภาจะเสียใจแค่ไหน ... กับลูกสาวที่ไม่รักดีคนนี้"

เภตรามองเมฆพัดจ้องลึกในดวงตาของเขา ความอัดอั้นท่วมท้นขอบตา กระทั่งไม่อาจกลั้นได้จึงปล่อยให้มันไหลอาบแก้ม

ชายหนุ่มยกมือของเขาประคองสองแก้ม ปลายหัวแม่มือไล้สายธารแห่งความรู้สึกที่ทะลักทลายตรงหน้า ก่อนจะโน้มตัวเองขยับใกล้เข้าไปอีกนิด แล้วรั้งเธอเข้ามาโอบปลอบโยนในอ้อมกอด

"พี่อาจจะทำอะไรแย่ ๆ มามาก ... แต่ขอให้เภาเชื่อพี่นะ ... ขอให้เชื่อว่า ทุกคำและการกระทำของพี่ พี่ไม่เคยไม่หวังดี ... ไม่เคยที่จะไม่รักเภา ตั้งแต่เราได้รู้จักกัน ... มันไม่เคยลดน้อยลงเลย"

เมฆพัดแทบกลั้นลมหายใจ เมื่อเภตราค่อย ๆ กอดรอบเอวของเขาแทนคำตอบ

คงไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว ... ถ้าเขาจะประกาศให้ใครต่อใครได้รับรู้ว่า เขาเต็มใจที่จะมีพันธะทางกฎหมายในอีกไม่เกิน ๓๖ ชั่วโมงข้างหน้า

โดยเฉพาะคนที่ควรรับทราบและเข้าใจเมฆพัด รองจากละอองชลคือ ... ‘คุณแม่ยาย’ ที่เขาต้องให้ความเคารพรักเสมอมารดาของตน





ท่าทางขององก์อัมพุทดูจะยังสับสนงุนงงในเหตุผล ที่ได้รับรู้ รับฟังจาก ‘ว่าที่เจ้าบ่าว’ ของเภตราเมื่อไม่ถึงชั่วโมง และพวกเขาก็เอ่ยลาแทบจะทันที ที่เห็นว่าชายหนุ่มต่างวัยทั้งสองคน คงมีบางอย่างต้องทำความเข้าใจต่อกันอีกไม่น้อย

นั่นจึงอาจเป็นสาเหตุให้เธอนั่งเงียบ ๆ เหมือนคนใจลอยตลอดทาง นับตั้งแต่พ้นเขตบ้านพักของสถานีวิจัย ฯ

หญิงสาวกุมมือตัวเองแน่น คลายออกหลังจากใช้แรงบีบ ราวกำลังทดสอบสติและความรู้สึกของตน จนชายหนุ่มต้องคอยเหลือบมองเป็นระยะ

ถ้าจะว่าไปในสถานการณ์นี้ วิชชุ์วิธูถือว่าเป็นคนนอก แต่ที่บังเอิญต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็เพราะเป็นห่วงองก์อัมพุทกว่าอื่นใด

“หนูพุด ... ยังช็อคอยู่หรือไง หืม ...”

คนถามหันไปทันเห็นองก์อัมพุทเม้มปาก พร้อมกันที่หัวคิ้วของเธอมุ่นเข้าหากันน้อย ๆ นัยน์ตาดำเคลื่อนไหวบอกความลังเล คล้ายกำลังไตร่ตรองในสิ่งที่อยากจะพูดออกมา

“พุด ... เอ่อ พุดแค่ ... พยายามทำความเข้าใจค่ะ พี่วิชชุ์ ...”

“เรื่องไหนล่ะจ๊ะ ... ถ้าคิดไม่ตกว่าเรื่องไหน พี่ว่า เราแวะหาอะไรรองท้องกันก่อนดีไหม”

วิชชุ์วิธูไม่ต้องการให้องก์อัมพุทเคร่งเครียด หรือ หมกมุ่นจนเกินเหตุ จึงเสนอทางเลือกอื่นให้ เผื่อจะช่วยรั้งเธอจากเรื่องราวของ ‘คนอื่น’

ไหล่ทางเบื้องหน้าร้านอาหารตามสั่ง กลายเป็นที่จอดพักรถชั่วคราว สำหรับสองหนุ่มสาวที่ผ่านทางมา

ลูกค้าที่นั่งตามโต๊ะค่อนข้างหนาตา อาจเพราะคำโฆษณาประเภท ‘ชี้ชวนมาชิม’ ที่แขวนขนาบชื่อร้าน จึงทำให้ร้านอาหารแห่งนี้คึกคักกว่าร้านใกล้เคียง

“พี่วิชชุ์เคยมาทานร้านนี้หรือคะ”

“เปล่า ...”

องก์อัมพุทมองรอบตัวพลางตั้งคำถาม เมื่อบริการหญิงวัยรุ่นคนหนึ่งเดินนำไปยังโต๊ะสำหรับสองที่ คำปฏิเสธแบบหน้าตายของวิชชุ์วิธู อาจไม่ทำให้รอยยิ้มของเธอปรากฏ ถ้าเขาจะไม่กระซิบข้างหูด้วยประโยคเหล่านี้

“... ผ่านไปผ่านมาหลายรอบ แต่ไม่กล้าเข้ามา เพราะกลัวว่าจะไม่อร่อยอย่าง ‘ป้ายนั่น’ การันตี”

“พี่ ... วิชชุ์”

หญิงสาวเหลียวมองซ้ายขวาลากเสียงเรียกชื่อปรามเบา ๆ อย่างเกรงว่าพนักงานร้านอาหารจะได้ยิน สิ่งที่เขากระซิบกระซาบอธิบาย ทั้ง ๆ ที่นึกขำไปด้วยเหมือนกัน

“มาเถอะ ใกล้ถึงโต๊ะเราแล้ว”

วิชชุ์วิธูสัมผัสข้อศอกองก์อัมพุทเพียงปลายนิ้ว เชิงเตือนให้เธอรู้ตัวว่า หากยังไม่ก้าวเดินไปข้างหน้า ก็อาจตกเป็นเป้าสายตาของใครได้

ความสุภาพระมัดระวังทุกอิริยาบถของชายหนุ่ม สร้างความประทับใจแก่องก์อัมพุท ซึ่งความรู้สึกนั้นถูกเผยผ่านดวงตาทอประกายไม่มีการซ่อนเร้นปิดบัง




องก์อัมพุทไม่อยากจะเชื่อเลยว่า การได้ใกล้ชิดกับวิชชุ์วิธูไม่กี่ชั่วโมง เธอรู้สึกได้ถึงความสุขใจ ในแบบที่ต่างจากความสุขที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน

แม้หญิงสาวไม่อยากจะคิดเพ้อฝันยาวไกล แต่จากท่าทีที่เขาปฏิบัติต่อเธอ มันก็ยากจะคิดเป็นอื่นไปได้อีก หากจะบอกว่า คนที่เป็นรักแรกเมื่อนานมา จะไม่รู้สึกเช่นเดียวกันอย่างจริงใจ ... จริงจัง

วิชชุ์วิธูทำให้เธอลืมอารมณ์ซึมเศร้า ห่วง ... หวง หวาดระแวง ยามที่รู้ว่า มีผู้หญิงอื่นอยู่ใกล้ ๆ ซึ่งจะว่าไป ต้นเหตุก็มาจากตัวเขานั่นแหละ

วิชชุ์วิธูอยู่เคียงข้างทุกครั้ง ในเวลาที่ปัญหารุมเร้า จนแทบจะคุมสติความคิดเอาไว้ไม่อยู่ และคอยปลอบประโลม ว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ... แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นมาตลอด

หักลบกลบกันแล้ว องก์อัมพุทจึงเลือกที่จะโยนความขุ่นข้องไร้เหตุผลทิ้งไป

เธอควรมองตัวตนของเขาที่สัมผัสได้ ณ ขณะปัจจุบัน

ความอบอุ่นอ่อนโยน ความปลอดภัยที่เธอได้รับ ... รวมถึงการปกป้องดูแลเป็นอย่างดี

“คิดอะไรอยู่ครับ ... หนูพุด”

หญิงสาวคงจะใช้ความคิดถึงสิ่งต่าง ๆ จนอีกฝ่ายเห็นว่าเธอเงียบผิดสังเกต ความห่วงใยในน้ำเสียงของเขา ก็เป็นอีกสิ่งที่เธอรับรู้ได้

“กำลังคิดว่า ... ทำไมพี่วิชชุ์ถึงใส่ใจกับพุดนักค่ะ”

“ต้องให้พี่บอกด้วยหรือ ... ว่าเพราะอะไร”

องก์อัมพุทไม่รู้ตัวเลยว่า รถยนต์จอดสนิทตั้งแต่เมื่อไร และเมื่อมองฝ่าความมืดนอกกระจก เธอยิ่งรู้สึกคุ้นสายตากับสถานที่อย่างยิ่ง

บ้าน !

“ถึงบ้านแล้วนี่คะ ...”

“จ้ะ ... หลังออกจากร้าน คุยกันได้นิดเดียว พี่เห็นหนูพุดเงียบไป คิดว่าคงเหนื่อยเลยไม่ได้ชวนคุยต่อ นี่ใจลอยไปถึงไหน หืม ... ขนาดถึงบ้านแล้วยังไม่รู้เลย”

“ก็ ... หลายเรื่องค่ะ พุดยอมรับเลยว่า เหนื่อยอย่างไม่เคยเป็น ...”

องก์อัมพุทยอมรับกับวิชชุ์วิธูตามตรง หญิงสาวก้มหน้าเม้มปากแล้วเงยขึ้นมองตาเขา เอ่ยบางคำที่เป็นความรู้สึกที่แท้จริงของเธอ

“ถ้าไม่มีพี่วิชชุ์ ... มันอาจจะไม่เป็นแบบนี้ พุดอาจจะ ... ไม่รู้สิคะ พุดคงรับมือได้ไม่ดี เหมือนเวลามีพี่วิชชุ์อยู่ด้วยก็ได้ ... ขอบคุณนะคะ ... พี่วิชชุ์”

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในนาทีนี้ องก์อัมพุทคิดว่า มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกเหนือความคาดหมาย เธอบรรลุนิติภาวะจนเลยเบญจเพส และพอจะรู้ด้วยตนเองว่า อารมณ์ความรู้สึกระหว่างหญิงชายเป็นเช่นไร

ความรู้สึกที่มันเอ่อท้นแบบนี้หรือเปล่า ... ที่เภตรามีต่อเมฆพัด พี่ชายของเธอ

แล้วเธอเล่า ... กำลังคาดหวังสิ่งใดอยู่

วิชชุ์วิธูขยับตัวเข้าหาองก์อัมพุทเล็กน้อย แล้วโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ทุกการเคลื่อนไหวของเขาดูเหมือนภาพช้าในสายตาของเธอ

กระทั่ง ...

มือใหญ่ของชายหนุ่ม ที่เธอรู้ว่าอบอุ่นแค่ไหน วางปุลงบนศีรษะลูบเส้นผมนุ่มสลวยของเธอแผ่วเบา ๆ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มน่าฟัง

“หนูพุด ... เมื่อก่อน พี่เคยคิดว่า เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเลย แต่ตอนนี้ ... พี่รู้แล้วว่า ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าเราเดินไปตามเส้นทางที่ถูกที่ควร”

องก์อัมพุทเห็นรอยยิ้มของวิชชุ์วิธูหลังจบประโยคนั้น ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เขากำลังขบขันอะไรเธออยู่หรือเปล่า

“เข้าบ้านกันเถอะ ... พี่จะพา ‘หนูพุดของพี่’ ไปส่งให้ถึงมือคุณแม่ เพื่อยืนยันความปลอดภัยของลูกสาวท่าน”

แต่ละคำของเขาซ่อนนัยยะจน ‘หนูพุดของพี่’ รู้สึกได้ว่า จู่ ๆ แก้มทั้งสองก็เห่อชาร้อนวูบวาบขึ้นมา พยักหน้าหงึกหงักอย่างว่าง่าย

นี่คงจะเป็นครั้งแรก ที่องก์อัมพุทเข้าใจความรู้สึก ‘รักมาก’ ของเภตราก็ว่าได้






องก์อัมพุทไม่คิดว่า คนที่เธอออกไปตามหาเมื่อเย็นทั้งสองคน จะอยู่ในบ้าน ... อยู่บนเรือนกับละอองชล ในเวลานี้

วิชชุ์วิธูมาส่งเธอจนถึงมือแม่ตามที่เขาพูด ต่างทักทายสนทนากันอยู่ครู่หนึ่งจึงลากลับ โดยบอกกับเธอว่า ไม่ต้องเดินไปส่งเขา เพราะคงมี ‘เรื่อง’ ต้องคุยทำความเข้าใจกับทางนี้มากกว่า

จนเสียงรถของเขาค่อยเคลื่อนห่างไปจนไม่ได้ยิน หญิงสาวจึงได้หันมาทางเมฆพัดและเภตรา แต่ก่อนที่จะพูดบางสิ่งที่ค้างคาใจ เธอใคร่ครวญถึงความรู้สึกเมื่อครู่ของตน ซึ่งมันช่วยให้เจ้าตัวเรียนรู้ที่จะยับยั้งชั่งใจได้

“ไปเภา ... ไปอาบน้ำ คืนนี้ค้างกับฉันนะ ...”

“พุด ... แก ... จะไม่ถาม อะไรฉันกับ ... พี่พัด เหรอ”

อาการตะกุกตะกักของเภตรา ทำให้องก์อัมพุทอมยิ้ม เหลือบมองไปทางพี่ชายของเธออีกหน ส่วนปากก็คุยกับเพื่อนของเธอราวไม่เคยผิดพ้องหมองใจกัน

“ไม่ ... แต่ฉันมีเรื่องที่อยากจะเล่าให้แกฟังเยอะเลย”

“อ้าว ... แบบนี้พี่ก็หมาหัวเน่าสิ ยัยพุด”

เมฆพัดกระเซ้าทีเล่นทีจริงกับน้องสาว หน้าใสใจชื้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

องก์อัมพุทไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วย เพราะละอองชลยังนั่งฟังลูก ๆ เย้าแหย่กัน สีหน้าฉายความสบายอกสบายใจ จนลูกตัวและ ‘ว่าที่สะใภ้’ รู้ด้วยสัญชาตญาณว่า ไม่ควรก่อเรื่องใด ๆ อีก

“แม่คะ ... พุดกับเภาไปอาบน้ำก่อนนะคะ แล้วก็อาจจะนอนเลย ... วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน”

“จ้ะ ...”

ละอองชลตอบรับสั้นเสียจนคนฟังใจแป้ว ถ้าใบหน้าของมารดาไม่มีรอยยิ้มประดับ อาจจะคิดได้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ล้วนอยู่ในสายตาท่าน ... ทุกเรื่อง

สองสาวพากันหลบฉากทันทีที่ได้รับอนุญาต ปล่อยให้ลูกชายคนโตคุยกับผู้เป็นแม่ต่อไปตามลำพัง





“คิดถึงเมื่อสมัย ม.ปลายเนอะ ... เภา”

องก์อัมพุทเปรยกับเภตราที่กำลังเช็ดผมให้แห้งด้วยผ้าขนหนู เธอทันเห็นอาการชะงักการทำกิจกรรมของเพื่อน แต่ก็แวบเดียวทุกอย่างก็กลับมาสู่สภาวะปกติ

“ทำไมเหรอ ...”

“ก็ ... ใครจะคิดล่ะว่า ...”

เจ้าของห้องจงใจลากเสียง เว้นระยะให้คนฟังลุ้นว่าเธอจะพูดอะไรต่อ ซึ่งดูเหมือนมันจะได้ผล เพราะเภตราหันมามองท่าทางตั้งใจฟัง

“กว่าที่ ‘เรา’ ใกล้จะสมหวัง ต้องรอเกือบ ๑๐ ปี”

“แกหมายถึงอะไรน่ะ พุด ... ฉันไม่เข้าใจ”

องก์อัมพุทในชุดนอนปาจามาสีน้ำตาลลายทาง นั่งอิงหมอนอยู่บนเตียงหลิ่วตายิ้มพรายให้เภตรา เธอตบที่นอนข้างตัว เป็นสัญญาณบอกเพื่อนให้มานั่งใกล้ ๆ

เภตราถอนใจกับท่าทางลับลมคมใน แต่เพราะอยากรู้จึงทำตามอย่างไร้เงื่อนไข

“เรื่องของฉัน ... เรื่องของแก ...”

“ฉัน ... กับพี่พัด ?”

“แกจะต้องลากคนอื่นมาเกี่ยวข้องทำไมให้มันวุ่นวายล่ะเภา ... คิด ๆ ดูแล้ว ฉันไม่อยากจะเชื่อหรอกว่า คนที่มั่นใจในตัวเองอย่างแก จะกลัวแม่ ... จนยอมให้ท่านจับคลุมถุงชนจริง ๆ”

องก์อัมพุทเปลี่ยนอิริยาบถมานั่งขัดสมาธิ จ้องตาเภตราตรง ๆ กึ่งบังคับไม่ให้เพื่อนหนีหน้าไปทางไหนได้

คืนนี้หญิงสาวตั้งใจจะ ‘เคลียร์’ ทุกอย่างให้รู้เรื่อง แม้จำใจต้องจับเจ้าจันใส่กรง ส่งมันไปนอนข้างนอกชั่วคราว

“หรือว่า ... คุณมัตติก์เขาต้องการใช้ประโยชน์จากแก”

“อะไรกันพุด ... ทำไมแกพูดแบบนี้”

สีหน้าที่เปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตาของคนถาม เริ่มเข้าเค้ากับเรื่องราวที่ได้รับรู้มา

“แกรู้อยู่แล้วใช่ไหมเภา ... เรื่อง ‘ว่าที่คู่หมั้น’ ของแก ... เป็นโฮโมเซ็กชวล”

คำถามจริงจังตรงประเด็นเรื่องมัตติก์ขององก์อัมพุท ตีแสกหน้าเภตราให้อ้าปากค้าง งันไปชั่วอึดใจ ... ไม่ต้องมีคำพูดหลุดจากปาก คนรุกเร้าก็สามารถพูดแทนใจได้ไม่ยาก

“เรื่องนี้ มันทำให้ฉันสงสัยด้วยว่า ถ้าไม่ใช่เขาฝ่ายเดียว ที่หาประโยชน์จากแก ... ก็หมายความว่า ต่างฝ่ายต่างสมประโยชน์กัน ... ใช่ไหม”

“แก ... จะบ้าหรือพุด ... เอาอะไรมาพูด”

“จะไม่ยอมรับหรือเภา ... แกกำลังจะบอกว่า คำพูดของคุณมัตติก์เชื่อไม่ได้ ... งั้นสิ”

องก์อัมพุทรุกไล่อย่างเป็นต่อ ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพราะว่า เธออยากได้ยินความจริงจากปากเพื่อนรัก เพื่อที่จะลบล้างความรู้สึกคลางแคลงให้หมดไป

“คุณกล้า ... พาแกไปพบคุณดิน ... สินะ”

เภตราหลบสายตาคาดคั้น แต่ก็ยอมพูดสิ่งที่คิดออกมา ผ่านไปราวนาทีเธอจึงหันกลับมาสบตาองก์อัมพุท

“ถ้าเป็นอย่างนั้น ... ฉันก็ไม่มีอะไรจะแก้ตัว ...”

“แก้ตัว ? ... แกไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ ... ก็แค่กลัว ... เหมือนที่ฉันเคยเป็น”

สองสาวมองตาหยั่งลึกในคำพูด และความรู้สึกกันและกัน แต่ก่อนที่จะมีใครบ่อน้ำตาแตก ทั้งที่มันมารื้นคลอเบ้า องก์อัมพุทก็โผเข้ากอดเภตราแน่น

“ทีหลัง ... อย่าทำแบบนี้อีก มีอะไรแกต้องบอกฉันนะเภา ... อย่าลืมสิว่า เราเป็นเพื่อนกัน ... เข้าใจไหม ... เพื่อนบ้า”

“อืม ... ฉันขอโทษ ... ขอโทษที่ทำอะไรไม่เข้าท่า ... แกก็อย่าเป็นเหมือนฉันแล้วกัน”

สองคนเพื่อนรักพยายามแล้วที่จะไม่หลั่งน้ำตา แต่พอปรับความเข้าใจกันได้ ต่างคนต่างก็มีน้ำใส ๆ อาบแก้ม

ภูเขาที่หนักอึ้งในอก เหมือนถูกยกหายวับไปในพริบตา

ปัญหาค่อยคลายออกทีละปม แต่มันคงยังไม่จบง่าย ๆ ... ทั้งองก์อัมพุทและเภตราต่างเข้าใจในข้อนี้ดี

















***************************************************









โปรดติดตามตอนต่อไป ...

ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม .. และขอขอบคุณสำหรับไลค์กำลังใจฮะ


คุณkaelek : ตอนนี้ ... น่าจะเคลียร์เรื่องส่วนตัวได้บ้างแล้วฮะ ... จะเด็กโง่ เด็กฉลาด ลองว่ารักแล้ว ดิ้นไม่หลุดฮะ หุหุ .. ขอบคุณคุณkaelek ฮะ



แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 เม.ย. 2559, 12:07:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 เม.ย. 2559, 12:07:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 1072





<< บทที่ ๔๐ .. เหตุผลที่ซ่อนเร้น   
kaelek 28 เม.ย. 2559, 20:33:21 น.
เคลียร์ใจกันแล้ว เหลือเคลียร์ปมกับคุณแม่ยาวสินะ สู้เขาเน้อพี่พัด


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account