ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม

เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา

.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ

ตอน: บทที่ ๔๐ .. เหตุผลที่ซ่อนเร้น




'นายพัด ... น่าสงสารนะครับ ที่เขาไม่รู้อะไรเลย'

หมายความว่าอย่างไร ประโยคนั้นของทแกล้ว ... รุ่นพี่ที่เขานับถือกำลังหมายถึงอะไร

เมฆพัดรู้สึกชาวาบในช่องอก อึดใจก็แล่นไปยังศีรษะแล้วย้อนกลับไหลลงสู่อวัยวะเบื้องล่าง หูของเขาไม่ได้ฝาดเฝื่อนแน่นอน กับคำว่า 'น่าสงสาร' คำพูดที่ยอกแสยงใจ ระคายโสตประสาทที่สุด

ชายหนุ่มเดินตามหลังเภตรามาห่าง ๆ ไม่อยากให้เธอคิดว่า เขางี่เง่าและกดดันมากกว่านี้ แค่ได้เห็นคนที่รักร่ำไห้ มีหรือที่หัวใจของเขาจะไม่ปวดร้าวไปด้วย

อาการเซื่องซึมยังปรากฏบนสีหน้านักวิจัยหนุ่มไม่ทันจางหาย ปัญหาที่ต้องสะสางก็ยังไม่พบทางออก ... แล้วประโยคนั้นของทแกล้ว ที่พูดถึงเขากับเภตราก่อนเดินจากไปอีกเล่า จะให้ตีความอย่างไรได้ ถ้าไม่ใช่มีเรื่องอื่นซึ่งมองไม่เห็นปิดบังซ่อนเร้นเขาอยู่

เมฆพัดสลัดอารมณ์หลากหลายรวมถึงความรู้สึกผิดท่วมท้นพ้นไปในเสี้ยวนาที มีเพียงความสงสัยใคร่รู้ต่อการ 'ไม่รู้อะไรเลย' ที่ถูกพาดพิง

คนเดียวที่จะไขข้อข้องใจทุกอย่าง ... ทั้งหมด ยืนนิ่งราวไร้วิญญาณอยู่ตรงหน้า

เภตราเท่านั้น ที่จะทำให้หม่นหมองมืดมัวกระจ่างขึ้นมาได้

ชายหนุ่มก้าวยาว ๆ ไม่กี่ก้าว ก็เคลื่อนตัวมาประชิดด้านหลังหญิงสาวร่างสมส่วน ที่ยืนเหม่อลอยราวไม่รู้สึกรู้สาต่อสิ่งรอบกาย

ความปรารถนาฉายชัดในดวงตาเข้มคม อารมณ์ดิบตามสัญชาตญาณไม่อาจหักห้าม แต่มันกลับถูกกดไว้ไม่ให้เผยตัวผิดที่ผิดเวลา

"เภา ..."

เมฆพัดเรียกชื่อผ่านริมฝีปากที่เริ่มมีไรหนวดเคราเขียวครึ้ม แม้จะแผ่วเบาเพราะเขายื่นหน้ามากระซิบที่ข้างหูเภตรา หากมีผลให้หญิงสาวถึงกับสะดุ้ง เมื่อผิวสัมผัสบอบบางปะทะไออุ่นจากลมหายใจของเขา

"พี่พัด !"

เภตราผงะอุทานอย่างเสียอาการเล็กน้อย กำลังจะเบี่ยงตัวออกห่างจากเมฆพัด แต่กลับช้ากว่าวงแขนที่โอบรวบรัดแน่นหนา

ชายหนุ่มถือโอกาสนี้ใช้มือข้างขวาควานหากุญแจรถที่เธอขับมา ขณะที่จับคลำเปะปะแทบจะทั่วเรือนร่าง เขาแอบอมยิ้มไปด้วยไม่ได้ เมื่อรู้สึกได้ถึงปฏิกิรยาสะท้านสั่นไหว แตะต้องไปตรงส่วนไหน ร่างกายของคนในอ้อมกอดก็เหมือนเกร็งกระตุกทันตา

แล้วการที่ต้องอยู่ในลักษณะท่าทางเช่นนี้ ใช่ว่าจะดีต่อเมฆพัดสักเท่าไหร่ เขาเองก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูน ก่อนที่เลือดในกายจะพลุ่งพล่าน 'อะไร ๆ ' ในเนื้อในตัวจะเริ่มหมดความอดทนอดกลั้น จึงขยับใบหน้าให้อยู่ระดับริมหูแล้วพูดเสียงราบเรียบ แต่น่าจะช่วยให้อะไรง่ายขึ้นมาสักหน่อย

"เอากุญแจรถมาให้พี่ ... หรือว่า อยากให้ใครมาเห็น เรา ... อยู่ในสภาพนี้"

"พี่พัดจะทำอะไร"

น้ำเสียงสั่นเทาถามเบา ๆ อย่างระมัดระวัง เป็นคำตอบแก่เมฆพัดได้อย่างดีว่า การบังคับข่มขู่ทางอ้อมได้ผลอย่างไร

"กุญแจ"

ชายหนุ่มไม่ตอบแต่ทวงสิ่งที่ต้องการเสียงแข็ง พร้อมกับขยับวงแขนรัดแน่นขึ้น เหมือนจะเตือนกราย ๆ ว่า อย่าชักช้า

เภตราพยายามแกะมือไม้ของเมฆพัดออกพัลวัน ทั้งที่มีแค่สองข้าง แต่ทำไมแขนของเขาถึงได้หนุบหนับ เป็นหนวดปลาหมึกรัดไล้ไปตามร่างกาย จนทำให้เธอปลดพันธนาการผิวเนื้อนี้ยากนัก

"พี่พัดก็ปล่อยก่อนสิคะ ... รัดแน่นแบบนี้ จะหายใจไม่ออกแล้ว"

หญิงสาวอุทธรณ์พลางบิดเบี่ยงตัวหวังจะให้หลุดจากอ้อมอกนี้เสียที แต่แล้วเธอก็ต้องยืนตัวเกร็งแข็งทื่อ อ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก เพราะจู่ ๆ ก็รู้สึกถึงสัมผัสผ่าวร้อนตรงหน้าขาใกล้สะโพก ... สัมผัสที่กระตุ้นทุกอณูขุมขนให้หวามไหวด้วยความรู้สึกล้ำลึกแสนคุ้นเคย ก่อนที่จะเลือนหายอย่างรวดเร็ว

"เจอสักที ... มากับพี่ ..."

เมฆพัดชูกุญแจรถขึ้นมาแกว่งไปมาตรงหน้า หลังจากควานหาได้จากกระเป๋ากางเกงของเภตรา แล้วคลายวงแขนเปลี่ยนอิริยาบถเป็นมือซ้ายจับจูงข้อมือขวาของเธอ สั่งให้ทำตามโดยไม่รอฟังคำคัดค้าน หรืออ่อนข้อต่อการขัดขืนใด ๆ





วิชชุ์วิธูพยายามต่อสายถึงองก์อัมพุทมากกว่า ๕ ครั้ง แต่ปลายทางมีเพียงเสียงไพเราะนุ่มนวลของหญิงสาว ตอบกลับผู้ใช้บริการอย่างเขา

"ขออภัยค่ะ หมายเลขที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ ..."

โทรศัพท์มือถือถูกตัดสายโดยไม่รอฟังภาษาสากล ที่แปลได้ความเช่นเดียวกับประโยคเมื่อครู่

ชายหนุ่มขับรถด้วยความเร็วมาตรฐาน มีบ้างที่เร่งเครื่องยนต์แต่ก็ได้แค่ระยะสั้น ๆ สภาพการจราจรขาเข้าบนถนนย่านตลิ่งชันขาออก แตกต่างจากถนนพหลโยธินขาเข้า หากสังเกตจากปริมาณรถรานานาชนิด อาจเนื่องด้วยวันนี้เป็นวันหยุด

วิชชุ์วิธูอดทนกับความเมื่อยล้ามากว่า ๔ ชั่วโมง เพื่อจะไปให้ถึงจุดหมาย แต่กลับต้องมาติดแหง็กบนถนน ที่อีกไม่กี่กิโลเมตรก็จะเข้าสู่เส้นพุทธมณฑล หรือจะว่าไป เขาอาจเลือกเส้นทางผิดแต่แรกก็ว่าได้

คำถามหนึ่งผุดขึ้นในใจ ... ทำไมวันนี้ อะไร ๆ ดูจะไม่เป็นใจกับเขาเสียเลย

ดวงตะวันเจิดจ้าคล้อยลง จนเกือบแตะขอบพื้นโลกตามเวลา วิชชุ์วิธูจึงชำเลืองมองนาฬิกาที่ข้อมือซ้าย ซึ่งกุมพวงมาลัยหลวม ๆ

“จะหกโมงครึ่งแล้ว”

ชายหนุ่มถอนหายใจระบายความอึดอัด ก่อนจะปรากฏรอยยิ้มที่เลือนหายจากใบหน้าร่วมครึ่งค่อนวัน

“น้องพุด ... พี่นึกว่า โกรธอะไรถึงไม่ยอมรับสายพี่”

วิชชุ์วิธูคว้าโทรศัพท์มาไว้ในมือทันทีที่เสียงเพลงสายเรียกเข้าดังขึ้น ทุกคำพูดตอบรับสื่อให้เห็นอาการง้องอน ไม่ว่าคู่สนทนาจะรู้สึกเช่นนั้นอยู่หรือไม่

“ขอโทษค่ะพี่วิชชุ์ ... มีเรื่องวุ่น ๆ ที่บ้าน เลยเพิ่งโทร.กลับ ... แล้วพี่วิชชุ์ เอ่อ ... งานเรียบร้อยหรือเปล่าคะ”

น้ำเสียงอ่อนเบาถามอย่างลังเล และชายหนุ่มก็รับรู้ได้ถึงแววกังวลที่เจือมา แต่กลับก่อให้เกิดความรู้สึกซึมซาบในหัวใจ เพราะไม่ว่า ‘หนูพุด’ ของเขา จะคิดหรือต้องการรู้อะไร นั่นคือความรู้สึกผูกพันห่วงใย ระหว่างคนสองคนไม่ใช่หรือ

“เรียบร้อยดีครับ ... พี่กำลังจะไปหาหนูพุด แต่อาจจะถึงค่ำนิดหน่อย ... รถติด ...”

“เอ่อ พี่วิชชุ์คะ ... ตอนนี้พุดไม่ได้อยู่บ้านค่ะ ... เรา ... กำลังออกมาตามพี่พัดกัน”

วิชชุ์วิธูฟังคำอธิบายอ้อมแอ้มขององก์อัมพุท เมื่อเธอพูดแทรกขึ้นมาทั้งที่เขายังพูดไม่จบ กระทั่งมาสะดุดกับเหตุผลบางประการที่ไม่ใช่ประเด็นในการ ‘ตามหา’ เมฆพัด

คำว่า ‘เรา’ ขององก์อัมพุท หมายถึงใครกัน

“ตามคุณพัด ... มีเรื่องอะไรหนูพุด เล่าให้พี่ฟังสิหนูพุด ... ตอนนี้อยู่ที่ไหน พี่จะช่วยอีกแรง”

แม้จะพยายามรับฟังอย่างใจเย็น มีเหตุมีผล ทว่า ระหว่างการรอคอยคำตอบ วิชชุ์วิธูรู้สึกหวั่นในอกลึก ๆ กับการที่ปลายสายคล้ายกับหันไปสนทนากับ ‘ใคร’ ที่เขาไม่มีโอกาสได้รู้ ... ได้เห็น

หนึ่งนาทีที่คาดเดาไปต่าง ๆ นานา กับการหันไปปรึกษาหารือขององก์อัมพุท เหมือนเนิ่นนานราวเวลาชะงักงัน กระทั่งได้ยินเสียงที่เคยสดใสเอ่ยออกมาอย่างเกรงใจ

“วันนี้พี่วิชชุ์เหนื่อยมาทั้งวัน ... พุดไม่อยากรบกวน ...”

“หนูพุด ... อย่าพูดแบบนี้กับพี่ อะไรที่เกี่ยวกับหนูพุด ... จะไม่มีคำว่า ‘เกรงใจ’ หรือ ‘รบกวน’ สำหรับพี่ ... สำหรับเรา เข้าใจไหม”

คำถามที่ไม่ใช่คำถาม แต่มันคือคำบอกย้ำอ่อนโยนว่า องก์อัมพุทมีความสำคัญต่อวิชชุ์วิธูแค่ไหน

และอีกเหตุผลที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ชายหนุ่มอยากรู้จริง ๆ ว่า ขณะที่เขาคุยอยู่กับเธอ ... คนที่ขันอาสาทำหน้าที่ที่ควรจะเป็นของเขา ไปอยู่แทนที่เขาได้อย่างไร






องก์อัมพุทวางสายจากวิชชุ์วิธู พลางชำเลืองมองทแกล้วที่อาสาขับรถออกตามเมฆพัดให้ ก่อนจะทิ้งตัวพิงพนักเบาะหนังในรถดอดจ์คันโตสีดำทะมึน ความอัดอั้นทำให้ต้องค่อย ๆ หลับตาผ่อนลมหายใจ กับปัญหาที่คิดว่าจะแก้ไขได้ไม่ยาก แต่กว่าจะรู้ว่าเธอคิดผิดถนัดก็ไม่ทันการแล้ว

หลังจากเธอลงจากเรือนแล้วพบว่า พี่ชายของเธอกับเภตรา พากันถอยรถออกนอกรั้วก่อนกลับรถตรงถนนหน้าบ้าน จากนั้นก็เร่งเครื่องทะยานออกไปตามเส้นทาง โดยไม่บอกกล่าวว่าจะไปไหนกัน

ความวิตกจึงตกมาอยู่กับองก์อัมพุทเป็นระลอก และกว่าจะรู้ว่า วิชชุ์วิธูโทรศัพท์ติดต่อมาหลายครั้ง เวลาก็ผ่านไปนับชั่วโมง

หญิงสาวพยายามโทร.ตามพี่ชายแทบจะทุกนาที เมื่อไร้ผลจึงโยนเครื่องมือสื่อสารของตัวเองลงกระเป๋า หันไปใช้โทรศัพท์ของละอองชลแทน เพราะคิดว่า ถ้าเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของแม่ เมฆพัดอาจจะยอมรับสาย ... แต่ก็เปล่า

“น้องพุด ... ลองโทร.หาคุณเภาหรือยัง”

“โทร.แล้วค่ะ แต่เหมือนปิดเครื่อง คงพี่พัดนั่นล่ะ ... ชอบทำอะไรบ้า ๆ อยู่เรื่อย”

คนเป็นน้องสาวตอบเพื่อนรุ่นพี่ของพี่ชายสีหน้าเคร่งเครียด ไม่รู้ว่าป่านนี้ทั้งสองคนจะไปถึงไหน เธอได้แต่ภาวนาขออย่าให้เมฆพัดทำอะไรที่แย่ไปกว่าที่เป็นอยู่เลย

“พี่กล้าพอจะนึกออกบ้างไหมคะว่า พี่พัดชอบไปที่ไหน ... หรือ ที่ที่น่าจะไป”

เมื่อจนแต้มองก์อัมพุทก็จำต้องข่มความน้อยใจ เอ่ยถามคนที่ร่วมงานกับพี่ชายของตนมานับสิบปี เพราะถ้าให้ยอมรับกันตรง ๆ เธอที่เป็นน้องสาวกลับไม่ค่อยรู้เรื่องส่วนตัวของเมฆพัดมากนัก

“เท่าที่รู้จักกันมาสิบกว่าปี พี่ชายน้องพุดค่อนข้างจริงจังกับงาน ... ถ้าไม่ขึ้นเขาเข้าป่า ก็มักอยู่เฝ้าสถานี ไม่ก็กลับบ้าน ...”

ทแกล้วรำลึกถึงลักษณะนิสัยนักวิจัยรุ่นน้องช่วงที่รู้จักกันแรก ๆ นับรวมถึงสมัยเรียน แล้วค่อยถ่ายทอดให้องก์อัมพุทฟัง ก่อนจะเสริมต่อจากที่ค้างไว้

“จนมาช่วง ๓-๔ ปีนี่ล่ะ ที่รู้สึกว่า พัดเขาดูผ่อนคลาย พอวันหยุดทีไรเป็นอยู่ไม่ติดที่ พี่เองก็นึกว่ากลับบ้านอย่างเคย ที่ไหนได้ ...”

หนุ่มใหญ่เล่าเพลินจนไม่ทันสังเกตอาการนิ่งเงียบผิดปกติของหญิงสาว ทำให้ไม่รู้เลยว่า คำเฉลยสุดท้ายของเขาจะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาแก่อีกฝ่าย ให้เธอชิงถามขึ้นมาว่า

“พี่กล้า ... จะบอกว่า พี่พัดกับเภา ... คบกันช่วงนี้หรือคะ”

สองข้างถนนเริ่มมีแสงสว่างจากไฟรายทาง แต่มันไม่สามารถส่องไปจุดหมายที่มืดมนได้ มีเพียงการรับทราบข้อมูลหลายๆเรื่องจากบุคคลนอกครอบครัว ... ที่น้องสาวร่วมสายเลือดยังไม่เคยรับรู้

“น่าจะเป็นอย่างนั้นนะน้องพุด ... แต่จะว่านายพัดไม่เคยคบหาใครก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะเมื่อก่อน พี่ก็เห็นมีคบ ๆ คุย ๆ กับผู้หญิงรุ่น ๆ เดียวกันอยู่ ... อืม ยังไงดีล่ะ คงด้วยเหตุผลบางอย่าง เลยห่าง ๆ กันไปมั้ง”

ยิ่งฟังองก์อัมพุทก็ยิ่งสับสนในความสัมพันธ์ของเมฆพัดกับเภตรา หญิงสาวยังคิดไม่ออกว่า มองข้ามช่วงเวลาตรงไหน ในเมื่อเธอถามเพื่อนถึงความรู้สึกที่มีต่อพี่ชายของตนบ่อยครั้ง และก็มีเพียงคำปฏิเสธกลับมา จนคิดว่าเพื่อนรักพอจะทำใจได้แล้ว อีกทั้งเรื่องราวก็ผ่านมานานหลายปี

กระทั่งความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมอง ... เภตราอาจเป็นมือที่สาม ทำให้เมฆพัดกับผู้หญิงคนก่อนหน้า ต้องยุติความสัมพันธ์ แล้วห่างหายไปจากชีวิต เปิดทางให้เพื่อนรักของเธอก้าวขึ้นมาแทนที่

องก์อัมพุทตกใจกับสมมติฐานร้าวฉานที่คิดได้ เพราะถ้าไม่ใช่เหตุผลนี้ เภตราก็ต้องเล่าเรื่องที่คบหากับเมฆพัดให้เธอฟังสิ

แต่การตบมือข้างเดียวนั้น ให้อย่างไรก็ไม่สามารถทำให้เสียงดังได้ ... องก์อัมพุทคงจะกล่าวโทษเพื่อนคนเดียวไม่ได้แน่

เมฆพัดเป็นอีกคนที่มีส่วนต้องรับผิดชอบ ... อย่างไรก็ต้องรับผิดชอบ ในเมื่อทุกอย่างมันเกินเลย ... ล่วงเลยมาไกลเกินจะถอยกลับได้
ถ้าไม่ติดตรงที่ว่า เภตรากำลังจะแต่งงานกับมัตติก์ !

“โอ๊ย ... อะไรกันเนี่ย”

หญิงสาวพึมพำฉุนเฉียวกับตัวเอง ถึงความสัมพันธ์สามเส้าอันยุ่งเหยิงและยุ่งยากขึ้นทุกที โดยลืมไปว่าเธอไม่ได้อยู่เพียงลำพัง เสียงที่ไม่เบานักจึงดึงความสนใจทแกล้วให้หันมาเหลือบมอง

“เป็นอะไรครับ น้องพุด ... คิดอะไรออกหรือ”

องก์อัมพุทเบนสายตาไปยังคนถาม จ้องหน้าทแกล้วนิ่งคล้ายกำลังคิดเพื่อตัดสินใจอะไรบางอย่าง และเธอก็ถามคำถามหนึ่งที่ทำให้คนฟังเผลอกำพวกมาลัยรถแน่น

“พี่กล้า ... รู้จักคุณมัตติก์ หรือเปล่าคะ”

คนถูกถามชำเลืองมองคนรอคำตอบไม่เต็มตา แล้วเบือนหน้าไปยังถนน ราวกับต้องใช้สมาธิขั้นสูงในการขับรถ

อึดใจใหญ่ทีเดียวกว่าองก์อัมพุทจะได้ยินเสียงทุ้มห้าวของทแกล้ว แต่เหมือนเธอจะจับน้ำเสียงแปร่ง ๆ ต่างจากวันทั้งวันที่คุยกันมาได้

“ถ้าอย่างนั้น เรื่องนายพัดกับคุณเภา ... เราพักไว้ก่อนไหม พี่คิดว่า พวกเขาอาจจะต้องการเวลา หรืออาจจะอยากปรับความเข้าใจกัน ... และถ้าน้องพุดพอจะไว้วางใจพี่ ... พี่จะพาไปหาคำตอบที่น้องพุดถามเมื่อกี้”

ไม่ใช่ว่าคนร่วมทางไม่ไว้ใจสารถีหนุ่มใหญ่ แต่การไปไหนมาไหนกับเขา โดยที่จุดหมายการเดินทางเปลี่ยนไปเช่นนี้ เธอก็ควรระมัดระวังตัวเองด้วย

ดังนั้น เพื่อที่จะได้ทุกคำตอบ องก์อัมพุทมองใบหน้าด้านข้างของทแกล้ว จนเขาต้องเบนสายตากลับมาอีกรอบ จึงได้เห็นแววตามุ่งมั่นไม่หวั่นเกรง

จากนั้นน้องสาวของเพื่อนที่หนุ่มใหญ่นึกเอ็นดู ก็หยิบโทรศัพท์มือถือกดหมายเลขทั้งสิบตัว แล้วต่อสายออกไปหาใครบางคน ก่อนจะยื่นเจ้าเครื่องบางซึ่งอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยี พร้อมคำบอกกล่าวที่บ่งบอกความเป็นตัวของตัวเอง ... ของเธอ

“พี่กล้าช่วยบอกพี่วิชชุ์ให้ด้วยค่ะ ... ว่าเราจะไปพบกันที่ไหน”






เมฆพัดเหลือบมองเภตราเป็นระยะนับตั้งแต่ขับรถพ้นเขตรั้วบ้าน ชายหนุ่มทราบดีว่า คนข้างกายรู้สึกอย่างไรกับการบังคับฝืนใจ แต่เขาไม่มีทางเลือกจริงๆ

“เภา ... โกรธพี่มากขนาดไม่อยากมองหน้า ไม่อยากพูดกับพี่สักคำเลยหรือ”

ทุกคำที่เอ่ยมาจากก้นบึ้งในใจของเมฆพัด มาจากความรู้สึกที่ประเดประดังจนแยกไม่ออกว่า เขาควรจะแสดงออกอย่างไรให้เธอรู้

“เภาคิดว่า พี่พัดจะเข้าใจ ... แต่ไม่เลย พี่พัดไม่ยอมเข้าใจอะไรเลย”

เภตราพูดทั้งที่เบือนหน้าไปทางกระจกซ้าย ไม่ยอมมองคนที่กำลังตัดพ้อ เพราะเธอกลัว ... กลัวว่าจะใจอ่อนยิ่งกว่าที่อ่อนอยู่ตอนนี้

เมฆพัดเม้มปากให้แก่คำตำหนิตรง ๆ ที่ไม่เคยคิดว่า บทเภตราจะใจแข็ง ก็แข็งจนเขาหวาดหวั่นใจเสียเอง ... หวั่นว่า ถ้าภายในวันนี้คุยกันไม่จบ ไม่เข้าใจ ... เขาจะต้องสูญเสียเธอไป ทั้งกาย และ หัวใจ

“พี่ก็อยากเข้าใจ ... พี่พยายามทำความเข้าใจเภามาตลอด แล้วเภาล่ะ เคยคิดจะทำให้พี่เข้าใจจริง ๆ บ้างไหม ...”

พอหญิงสาวโดนตัดพ้อต่อว่าจากน้ำเสียงแหบพร่า ก็ไม่สามารถทนเมินไม่มองเขาต่อไปได้ จึงหันมามองคนที่เธอรักมาตลอดให้เต็มตา

ชายหนุ่มมองเส้นทางเบื้องหน้า คำนวณระยะทางกับอัตราเร่งความเร็วในใจ ให้ทันกับที่จะหันไปสบสายตาคู่สวย ที่เหมือนจะฉ่ำชื้นไม่มีวันเหือดแห้ง และพร้อมหลั่งหยาดน้ำตาทุกเมื่อ

นั่นเองทำให้เมฆพัดตัดสินใจใช้สัญญาณไฟซ้าย ขอเทียบจอดบนไหล่ทางทันที บริเวณที่รถหยุดนิ่งจึงเยื้องจากใต้เสาไฟฟ้าอ่อนแสงต้นหนึ่งเล็กน้อย

“พี่พัดเคยเข้าใจความรักของเภาบ้างไหม ...”

เภตราถามได้แค่นี้ ก้อนสะอื้นก็ตีตื้นขึ้นมาสกัดคำพูดจนต้องหยุดกะทันหัน วิสัยทัศน์ในการมองใบหน้าเข้มคร้ามแย่ลงทุกขณะ พอ ๆ กับที่ความปวดร้าวภายในกลั่นเป็นหยาดน้ำกลบดวงตาจนพร่ามัว

“ตอนนั้น ... เภารักพี่พัดมาก ... รักมากจนกลัวว่า วันหนึ่งมันจะระเบิดออกมา เภาถึงรวบรวมความกล้า เอาความรักทั้งหมดที่มี ... ไปให้พี่พัด ... แต่แล้ว ...”

หญิงสาวสะอึกสะอื้นยกมือขึ้นปาดน้ำตาแรง ๆ ... แรงจนคนฟังทนเห็นไม่ไห้ รีบปลดสายรัดเข็มขัดนิรภัยจนเป็นอิสระ เอี้ยวตัวไปทางเธอนิดเดียวก็ยุดข้อมือไว้ได้

สัมผัสชื้น ๆ จากหลังมือเล็ก ๆ ในอุ้งมือใหญ่ ทำให้เมฆพัดเริ่มตระหนักได้ว่า คำพูดพรั่งพรูเมื่อครู่ ... เภตรากำลังจะบอกอะไรแก่เขา

“ ... แต่พี่พัดกลับปฏิเสธเภา ... ไม่แยแส ไม่ไยดีความรู้สึกของเภาเลย ... พี่พัดรู้ไหมว่า มันเจ็บแค่ไหน ... ยิ่งรักมาก เภายิ่งเจ็บ ... ยิ่งเจ็บ เภาก็ยิ่งจำ ... จำไม่ลืมเลยว่า คนที่เภารัก เขาไม่ได้รักเภา ...”

เภตราพูดถึงความรู้สึกในวันที่เจ็บช้ำอย่างไม่อาจห้ามตัวเองได้ ราวสายน้ำเชี่ยวทะลักทลายไหลบ่าไม่ว่าอะไรก็ยากจะหยุดเธอได้ และเมฆพัดก็ไม่คิดทำเช่นนั้น

เขาอยากฟัง ... อยากเข้าใจ อยากร่วมรับรู้ทุกความรู้สึกของเธอ ... ทั้งเมือก่อนและตอนนี้

ซึ่งเธอไม่เคยรู้หรอกว่า ... เขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน

“จนเรา ... ได้มาพบกันอีกครั้ง ...”

สองมือของเมฆพัดยังยึดกุมข้อมือทั้งสองข้างของเภตราไว้มั่น เท่ากับเปิดโอกาสให้น้ำตาร่วงรินเป็นสายตามแรงอารมณ์ ชายหนุ่มพยายามทำใจแข็งอย่างที่สุด เพราะถ้าเขายุติไว้เพียงเท่านี้ ก็คงไม่มีทางได้รับรู้อะไรอีกแล้ว

นัยน์ตาของหญิงสาวพร่าพราย แต่แสงไฟจากรถราที่ส่องสว่างผ่านไปมา ช่วยเติมประกายระยับวาววูบไหว อาการสะอื้นจนอกสะท้อน ก็คอยแต่จะดึงความตั้งมั่นในใจของชายหนุ่มให้พังทลาย

เมฆพัดหลับตาหายใจเข้าลึก ก่อนจะลืมตาพร้อมระบายความพลุ่งพล่านภายในออกไป สายตาจึงประสานกับนัยน์ตาพราวหยดน้ำของเภตราพอดี

“วันนั้น ... พี่พัดเมา ... เมามากจนน่าเป็นห่วง ... หึ ...”

อดีตเมื่อไม่นานหวนคืนอีกหน จังหวะที่เภตราเท้าความถึง ไม่รู้ว่า เธอหัวเราะเย้ยหยันตัวเอง หรือประชดเมฆพัด แต่มันก็ทำให้คนฟังใจกระตุกไม่น้อย

“โบราณเขาว่า ... อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา ... คืนนั้น ... เราสองคนคงเข้าตำรา ...”

“เภา ...”

เมฆพัดครางชื่อหญิงสาวตรงหน้า ที่เป็นทั้งรักแรก ... และรักเดียวของเขา ในใจมันร่ำ ๆ อยากบอกเธอเหลือเกิน ... ว่ามันไม่ใช่อย่างที่เธอคิด ... ตามที่เธอเห็น

“หลังจากคืนนั้น ... เภาก็รู้แล้วว่า ต่อให้พี่พัดไม่รักเภา ... เภาก็ห้ามใจไม่ให้รักพี่พัดไม่ได้ ... แต่คนเรา เจ็บแล้วต้องเรียนรู้ ...

“เภาถึงไม่คิดจะเรียกร้องอะไรจากพี่พัด ... ไม่ต้องการอะไร แม้แต่ความรักของพี่พัด ... เพราะเภากลัว ... กลัวที่จะต้องเสียมันไป แล้วเภาจะทนรับมันอีกไม่ไหว ... ต่อให้ต้องกลายเป็นคนหลอกลวง หลอกแม้กระทั่งตัวเอง ... เภาก็อยากจะเก็บมันไว้ ... คนเดียว ...”

น้ำตาของเภตราแห้งหายเมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เหมือนกับหัวใจของเมฆพัดที่กำลังจะหยุดเต้น แต่เขาก็ยังรอ ... รอคำสุดท้ายของเธอ

“แต่มันไม่ใช่ ... พี่พัดทำให้ทุกอย่างพังหมด ... พี่พัดมาบอกรักเภาทำไม ... เอาความรักที่เภาไม่เคยคิดจะได้ ... มาให้เภาทำไม ... ฮือ ๆ”

แล้วมันก็คงเป็นอย่างที่เภตราพูด ... เมฆพัดทำทุกอย่างพังหมด

นั่นก็เพราะพอคำถามสิ้นสุด หญิงสาวก็ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาจกลั้นไว้ได้อีก

จึงเป็นเวลาของเขา ที่จะทำทุกอย่างให้มันเข้ารูปเข้ารอยเสียที

แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น ... สิ่งที่เมฆพัดควรทำ และต้องทำในเวลานี้ มีเพียงอย่างเดียว

ชายหนุ่มคลายมือจากการยึดกุมข้อมือทั้งสองข้าง ออกแรงรั้งเพียงนิดเดียว คนขี้แยที่กำลังร่ำไห้น้ำตาเปรอะเปื้อนไปทั้งใบหน้า ก็ผวาเข้ามาอยู่ในอ้อมอกให้เขาได้ปลอบขวัญ ด้วยการกอดกระชับแนบแน่น แล้วจุมพิตกลางกระหม่อม รำพึงเบาๆทั้งที่ปลายจมูกกดแนบเส้นผมสูดกลิ่นหอมละมุนอย่างอดใจไม่ไหว


“โธ่เอ๊ย ... เด็กโง่ของพี่”










***********************************************








โปรดติดตามตอนต่อไป ...


ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม .. และขอบคุณทุกไลค์กำลังใจฮะ

คุณkaelek : น่าจะเรียกว่าเคลียร์ใจกันไปคู่นึงแล้วนะฮะ .. เหลือแต่เก็บรายละเอียด ..(มั้ง) ... ขอบคุณคุณkaelek ฮะ




แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 เม.ย. 2559, 06:05:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 เม.ย. 2559, 06:05:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 1107





<< บทที่ ๓๙ .. ไม่มีเหตุ ไม่มีผล   บทที่ ๔๑ .. เหตุผล ที่ถูกเผย >>
kaelek 17 เม.ย. 2559, 15:52:55 น.
ใจร้อนตลอดๆพี่พัด ..แต่ชอบแฮะประโยคสุดท้าย"เด็กโง่ของพี่" ที่มาของรักนะเด็กโง่ชิมะ.. คู่หนูพุดก็น่ารักจัง เข้าใจซึ่งกันและกันไม่ดราม่าแฮะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account