เปลวไฟกลางสายลม
เรื่อง เปลวไฟกลางสายลม

ทักทายเหล่ารีดเดอร์ที่แวะเข้ามา สำหรับเรื่องนี้จะเปิดเรื่องไว้
แล้วจะเริ่มลงให้หลังจากลงเรื่องอื่นแล้ว
ขอเปิดรอไว้ก่อน นิยายตัวเองก็ต้องบอกว่าสนุกแน่นอน
แต่สำหรับเหล่ารีดเดอร์ที่แวะเข้ามาก็ต้องรอติดตามกันนะคะ

สำหรับเขาเธอคือสายลมแห่งชีวิต
และสำหรับเธอ เขาคือเปลวไฟที่จุดประกายความหวังให้กับเธอ
ความรักของสายลมจะโอบอุ้มเปลวไฟ
ดั่งเปลวไฟที่จะมอบแสงสว่างให้กับเธอ ผู้เป็นดั่งสายลมแห่งชีวิตของเขา


เรื่องย่อ
เพลงวาโยได้พบกับผู้ชายที่ทุกคนเรียกว่าเศษสวะของสังคม การพบกันถึงสามครั้งเป็นตัวเชื่อมโยงของโชคชะตา เธอจึงยื่นมือช่วยเหลือเขา รับเขาเข้าสู่อ้อมกอดของสายลม ท่ามกลางความวุ่นวาย เขาคือคนที่ต่อสู่ไปพร้อมกับเธออย่างไม่หวั่นเกรง คือคนที่โอบประคองสายลมให้คงอยู่อย่างมั่นคง เป็นแสงสว่างเล็ก ๆ ที่แม้จะเทียบไม่ได้กับแสงของดวงอาทิตย์ แต่แสงสว่างเล็ก ๆ ของเขา กลับให้ความอบอุ่นกับเธอ เขาทำให้เธอมั่นใจว่าเพียงมีเขาอยู่ เธอจะปลอดภัยไร้กังวล


เขาเป็นเพียงผู้ชายที่ไร้ค่าที่เธอยื่นมือช่วยเหลือเขาถึงสามครั้ง
ในวินาทีที่ชีวิตของเขากำลังจะหลุดลอยไป เธอกลับยื่นมือเข้ามาและรับเขาเข้าสู้อ้อมกอดแห่งสายลม ไฟ คือชื่อใหม่ของเขาที่เธอมอบให้ เธอบอกว่าเขาจะเป็นดวงไฟแห่งชีวิตใหม่ จากนี้เขาคือคนใหม่ ไม่ใช่คนบ้าไร้ที่มา เขาคือคนของไร่สายลม และเขาเชื่อเธอว่าเขาคือไฟ คือคนของไร่สายลม นับจากวินาทีที่ลืมตาตื่นเขาสัญญากับตัวเองว่าทั้งชีวิต ทั้งลมหายใจ เขาจะมีไว้เพื่อเธอ จะดูแลเธอ ปกป้องเธอ หัวใจที่แข็งกระด้างที่มอบให้เธอไปแล้วจะไม่มีทางยกให้ใครอีก



ความรักของทั้งคู่เชื่อมโยงกันไว้ ความรักที่เริ่มจากเจ้านายและลูกน้อง
ก่อนจะแปรเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ จากคนละลมหายใจ
จะกลายเป็นลมหายใจเดียวกัน เปลวไฟจะอยู่ในอ้อมกอดของสายลม
และสายลมจะคอยพัดหาดวงไฟให้ลุกโชติช่วงตลอดไป


Tags: ไร่สายลม ความรัก การตามหา

ตอน: ตอนที่ ๓ (๕๐%)




ลิขิตแห่งโชคชะตา



เพลงวาโยถือหม้อต้มยำเดินตรงไปที่บ้านใหญ่ในเช้าของวันที่หกของการมาอยู่ที่ไร่สายลม ใครจะคิดว่าเผลอแปบเดียวผ่านไปหกวันแล้วที่เธอมาอยู่ไร่ แต่เธอไม่เคยได้พบหน้าคุณตาเลยสักครั้ง ทุกวันเธอจะทำอาหารไปส่งให้คุณตา มีเพียงวันแรกที่มารุตไม่แตะอาหารที่เธอทำและยังสั่งให้ไปเททิ้ง หลังจากวันนั้นเพลงวาโยก็ยังทำอาหารมาอีก แต่ครั้งนี้ไม่ให้บอกคุณมารุต ซึ่งพอไม่รู้ก็ไม่มีเหตุการณ์ทิ้งอาหารให้เห็นอีก แม้มารุตจะไม่รู้ว่ากับข้าวหลาย ๆ อย่างบนโต๊ะเธอเป็นคนทำ แต่เพลงวาโยก็พอใจเมื่อคุณตาของเธอยอมตักชิมมัน ความสุขใจเล็ก ๆ ของเพลงวาโยเป็นความขัดใจเล็ก ๆ ของใบหม่อนที่คิดว่าทำแบบนี้ไปเมื่อไหร่คุณมารุตจะเห็นใจ แต่อะไรก็แล้วแต่ที่เพลงวาโยออกปากทำให้ คุณมารุตจะไม่พอใจไปเสียทุกอย่าง จนใบหม่อนเองก็โมโหหงุดหงิดแทนเจ้านายสาว

“พี่ช่วยถือค่ะ”

“ฉันถือเอง เดี๋ยวหม่อนทำหก”

“พี่ไม่ใช่คนซุ่มซ่ามนะคะคุณหนู ให้พี่ถือดีกว่า เกิดคุณหนูเดินแล้วสะดุดล้มทีนี้ไม่ต้องถึงโต๊ะคุณมารุตพอดี” เพลงวาโยยังคงถือชามในมือเองและเดินต่อไป ในขณะที่ใบหม่อนได้แต่เดินตาม ใครบอกคุณหนูของเธอไม่ดื้อ ดื้อเงียบเห็น ๆ

“เราอยู่ที่นี่มาเกือบอาทิตย์แล้วคุณมารุตยังไม่ออกมาพบคุณหนูเลย ทำอาหารไปให้ท่านก็ไม่รู้ว่าคุณหนูเป็นคนทำ พี่ว่าเรากลับบ้านกับดีไหมคะ”

“ไม่ได้ เรากลับไม่ได้หรอกนะหม่อน เชื่อฉันสิว่าทุกอย่างต้องดีขึ้น”

“อ้าวสองสาวมาแต่เช้าเชียว ถืออะไรมาด้วย มาพี่ช่วย” พายัพแสดงน้ำใจต่อน้องสาวที่กำลังถือหม้อที่มีไอร้อนลอยออกมา แต่เพลงวาโยส่ายหน้าไม่ยอมให้ใครช่วยถือยังคงมั่นใจว่าตัวเองถือได้สบายมาก

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวลมถือเอง พี่พายัพต้องไปดูคนงานเก็บข้าวโพดไม่ใช่หรอคะ”

“ถ้าอย่างนั้นเดินระวังหน่อยละ อีกประมาณครึ่งชั่วโมงคุณตาน่าจะลงมาทานข้าว รีบเข้าไปเถอะ” เพลงวาโยพยักหน้ารีบเดินไปอ้อมไปเข้าทางหลังบ้าน

“หม่อนเปิดประตูสิ” ใบหม่อนเดินไปเปิดประตูตามที่สั่งและเดินนำเข้าไปข้างใน

“คุณลม มาแต่เช้าเชียว วันนี้ทำอะไรมาคะ”

“ต้มจืดหมูค่ะ ให้คุณตาแล้วก็เผื่อทุกคนในบ้านด้วยค่ะ”

“ขอบคุณมากค่ะ กับข้าวคุณลมอร่อยทุกอย่าง คุณมารุตตักทานเยอะกว่ากับข้าวของป้าอีกนะคะ น่าเสียดายที่ไม่ได้อวดว่าเป็นฝีมือของคุณลม” เพลงวาโยยิ้มเมื่อรู้ว่าอาหารของเธอถูกปากมารุต แม้จะไม่ได้ออกหน้าว่าตัวเองเป็นคนทำ แต่แบบนี้ก็ดีกว่าที่อาหารของเธอถูกโยนทิ้งถังขยะ

"ลมช่วยตักใส่ชามนะคะ" ป้าน้อยพยักหน้าเป็นการตอบรับให้หลานสาวเจ้านายช่วย เพลงวาโยเดินไปหยิบชามและตักต้มจืดใส่ชาม และช่วยป้าน้อยจัดเตรียมอาหารสำหรับเสิร์ฟในตอนเช้า ป้าน้อยถือข้าวของไปจัดที่โต๊ะโดยมีเด็กรับใช้อีกสองคนถือของตามไป เพลงวาโยถือชามต้มจืดของตัวเองเดินตามไปที่โต๊ะอาหารที่มารุตยังไม่ลงมาจากห้อง

“วันนี้คุณพายัพออกเช้า คุณตาก็ทานข้าวคนเดียวใช่ไหมคะ”

“ค่ะ ถ้าวันไหนคุณพายัพอยู่ก็จะรอทานพร้อมคุณมารุต”

“เมื่อวานแกงส้มคุณตาว่ายังไงบ้างคะ”

“คุณมารุตน่าจะชอบ คราวหน้าทำแกงส้มดอกแคก็ดีนะคะ ปกติคุณมารุตทานอะไรก็ไม่ได้ไม่เรื่องมาก แต่คุณมารุตชอบท่านแกงส้ม สมัยคุณกัลยังไม่เสียทำให้ทานแทบทุกมื้อ ไม่มีเบื่อเลยค่ะ แต่ป้าว่าต้มจืดชามนี้คุณมารุตก็น่าจะทานหมดแน่นอนค่ะ” เพลงวาโยที่ยืนฟังอมยิ้มไม่ใช่เพราะคำชม แต่เพราะได้ฟังเรื่องของคุณตา

"คุณตารักคุณยายมากใช่ไหมคะ"

"ใช่ค่ะ รักมากและหวงมากด้วย คุณมารุตแต่ก่อนยังไงตอนนี้ก็อย่างนั้น ไม่ใช่คนปากหวาน ออกจะปากร้ายหวานผ่าซากด้วยซ้ำ แต่ท่านก็ไม่เคยทำให้คุณกัลเสียใจเลยนะคะ ตอนนั้นไร่ของเรามีความสุขมาก ๆ ตอนมีคุณวายุตาคุณมารุตแทบจะปิดไร่เลี้ยงเลยนะคะ ท่านรักคุณวายุตามาก และคุณก็เหมือนคุณวายุตามาก ถ้าอยากได้โอกาสอีกครั้งคุณต้องอย่ายอมแพ้นะคะ คุณท่านไม่ใช่คนโกรธใครนาน ป้าจะช่วยอีกแรง" ป้าน้อยมองใบหน้าที่ถอดพิมพ์ของมารดามาของเพลงวาโย สิ่งที่เพลงวาโยมีมากกว่าวายุตาคือความมุ่งมั่น และไม่ยอมแพ้ ถ้าตอนนั้นวายุตาลองสู้อีกสักครั้งไม่เลือกหนี เรื่องคงไม่เลวร้ายแบบวันนี้

“คุณมารุต” ป้าน้อยหันไปเห็นเจ้านายที่กำลังยืนอยู่ที่ชานบันได ใบหน้าอ่อนล้าแต่พยายามแสดงความเข้มแข็งออกมา ป้าน้อยหันไปมองเพลงวาโยสลับกับเจ้านาย ไม่รู้ว่ามารุตมายืนอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่แล้ว และได้ยินเธอพูดอะไรไปบ้าง แต่จากสายตาของมารุตที่กำลังมองไปทางหลานสาว แววตาเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด เพลงวาโยที่กำลังยืนช่วยจัดโต๊ะ หันไปมองด้านหลังด้วยความตกใจ เพราะบรรยากาศอึมครึมชวนให้รู้สึกไม่สบายใจ ทำให้เพลงวาโยขยับตัวถอยไปยืนอยู่มุมห้องข้าง ๆ เด็กรับใช้อีกสองคน

“เอ่อ...วันนี้คุณลมเธออยากมาช่วยจัดโต๊ะอาหารค่ะ”

“พายัพออกไปแล้วเหรอ” มารุตเอ่ยปากถามถึงหลานชาย โดยไม่สนใจสิ่งที่ป้าน้อยกำลังจะบอก

“ค่ะ พึ่งออกไปสักครู่ ดิฉันให้คนเตรียมปิ่นโตไว้ให้แล้ว” มารุตนั่งลงที่โต๊ะไม่ปลายตามองไปที่เพลงวาโยอีก ไม่พูดถึงการมีตัวตนในบ้านของเพลงวาโย การไม่พูดไม่มองยิ่งทำให้เพลงวาโยรู้สึกไม่สบายใจ และเสียวสันหลังแปลก ๆ เพลงวาโยแอบเหลือกตาขึ้นสังเกตมารุตที่กำลังตักอาหารเข้าปาก บนโต๊ะมีกับข้าวอยู่ห้าอย่างรวมชามต้มจืดของเธอก็เป็นหกอย่าง มารุตตักกับข้าวทุกชามบนโต๊ะ แต่กลับไม่ยอมตักต้มจืดฝีมือเพลงวาโยแม้แต่น้อย จนทานไปได้สักพักมารุตก็รวบช้อนเป็นอันเสร็จมื้อเช้า ต้มจืดที่ไม่ได้พร่องไปทำให้เพลงวาโยพอจะเข้าใจว่ามารุตน่าจะเข้ามาได้ยินตอนเธอคุยกับป้าน้อยพอดี เพลงวาโยก้มหัวโค้งนิด ๆ ทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง แต่ขยับเท่าไปได้แค่นิดเดียว พายุที่ก่อตัวตั้งแต่ก่อนกินข้าวก็พัดขึ้น

เพล้ง!!!

“คุณหนู” ใบหม่อนดึงตัวเพลงวาโยหลบชามที่มารุตปัดลงจากโต๊ะ

“ต่อจากนี้ไม่ได้สั่งก็ไม่ต้องขึ้นมาที่นี่ อาหารพวกนี้ก็ไม่ต้องทำมาอีก และจำไว้เธอไม่ได้อยู่ที่นี่ในฐานะหลานสาว เพราะฉันไม่มีหลานสาว” เพลงวาโยกุมมือทั้งสองข้างที่จับประสานกันไว้แน่น

“คุณตา...”

“ห้ามเรียกฉันว่าคุณตาอีก เพราะฉันไม่มีหลานสาว และถ้าอยากจะอยู่ที่นี่ต่อไป จากนี้เธอต้องทำงาน เธอต้องอยู่ที่นี่ในฐานะคนงาน”

“คุณตา...” เพลงวาโยยังไม่ได้พูดอะไรออกมา มารุตก็พูดแทรกต่อในทันที

“เลือกเอาจะอยู่ที่นี่ต่อหรือไปจากที่นี่ ถ้าจะอยู่ที่นี่ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปเธอต้องเข้าทำงานในไร่ ทำทุกอย่างที่คนงานทำกัน และต้องไม่ให้ใครรู้ว่าเธอเป็นลูกสาวของวายุตา ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรห้ามอ้างชื่อฉัน ห้ามอ้างว่าเป็นหลาน ถ้าเธอสามารถพิสูจน์ตัวเอง ทำให้คนงานยอมรับเธอ ฉันอาจจะให้โอกาสเธอ ยกโทษให้แม่ของเธอ”

“คุณตา...”

“ทำได้ไหม ถ้าทำตัวเป็นคนกรุงคิดอยู่ที่ไร่กินข้าวกินน้ำฟรี ๆ ก็กลับไปเถอะ ที่นี่ไม่ต้องการคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ที่นี่ต้องการคนขยัน ถ้าทำได้ก็อยู่ต่อ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็แพ็คกระเป๋ากรุงเทพไป” เพลงวาโยก้มหน้านิ่งไม่ตอบสิ่งใด เธอหายใจเข้าหายใจออกลึก ๆ อย่างใจเย็น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับมารุต มุมปากยกขึ้นยิ้มน้อย ๆ เป็นรอยยิ้มของคนที่มีความมั่นใจ ดวงตาแบบเดียวกับมารดาวายุตา ยิ่งมองก็ยิ่งปวดใจผสมไปกับเจ็บใจ

“ได้ค่ะ ต่อจากนี้ลม...เอ่อ...ดิฉันจะเป็นคนงานของไร่นี้ แล้วคุณตา...เอ่อ...คุณมารุตจะให้โอกาสฉันจริง ๆ ใช่ไหมคะ”

“ภายในสามเดือนถ้าเธอทำงานทุกอย่างได้โดยไม่มีปัญหา ฉันจะให้โอกาสเธอได้อยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ก็ได้ แต่ถ้าสามเดือนเธอทำไม่ได้ก็กลับกรุงเทพไปซะ”

“ได้ค่ะ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ฉันจะเป็นคนงานของไร่สายลม”

“น้อยเก็บโต๊ะ ส่วนเธอทำความสะอาดบนพื้นให้เรียบร้อย และทำเอง ถ้ายังติดชีวิตคุณหนูเธออย่าหวังว่าจะใช้ชีวิตในไร่นี้ได้” พูดจบมารุตก็เดินออกไปนอกบ้าน ในขณะที่ใบหม่อนเดินไปหยิบผ้าจะมาช่วยเก็บ

“ไม่ต้องฉันทำเอง คุณตา....สั่งฉัน ต่อจากนี้หม่อนทำงานของหม่อนเถอะ ฉันจะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง”

“คุณตาของคุณหนูใจร้ายจังนะคะ ปัดลงมาได้ยังไง นั่นชามกระเบื้องนะคะ ถ้าเกิดคุณหนุอยู่ใกล้กว่านี้เศษชามนั่นกระเด็นมาบาดจะทำยังไง พี่ว่าทำเกินไปแล้วนะคะ”

“เรื่องแค่นี้อย่าตื่นตูมไปเลยน่า หม่อนไปช่วยอ้อยเก็บโต๊ะเถอะ ไม่ต้องห่วง ทางนี้ฉันเก็บแปบเดียว” เพลงวาโยหยิบไม้ถูกพื้นและก้มตัวลงนั่งใช้มือโกยเศษอาหารใส่ถังขยะ และเริ่มทำความสะอาดบนพื้นอย่างใจเย็น ไม่มีท่าทีโกรธเคือง เจ็บใจ หรือเสียใจออกมา

“ทำไมคุณหนูยังอารมณ์ดีได้อยู่ล่ะคะ นี่คุณมารุตทำกับคุณหนูขนาดนี้ ให้คุณหนูไปทำงานกับพวกคนงานได้ยังไงกัน แดดก็ร้อน เกิดคุณหนูไม่สบายขึ้นมาจะทำยังไง แล้วคนงานพวกนั่นจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ ไปในฐานะคนอื่นคุณหนูไม่กลัวพวกเขาจะรับน้องเหรอคะ คุณหนูยังจะยิ้มได้อีกเหรอคะ” รอยยิ้มขัน ๆ บนใบหน้าของคุณหนูยิ่งทำให้คนโมโหง่ายรู้สึกหงุดหงิดใจ

“แค่นี้ก็ถือว่าดีแล้วนะหม่อน ถ้าคุณตาไม่พอใจเราจริง ๆ คงไล่เราไปแล้ว”

“แต่ถ้าพอใจพวกเราทำไมยังให้...”

“ท่านไม่ได้แกล้งเราหรอกนะหม่อน ถ้าเราผ่านมันไปได้ในสามเดือนนี้ รับรองว่าคุณตาจะต้องยอมรับในตัวพวกเราแน่ เราต้องพิสูจน์ว่าเราสามารถทำทุกอย่างในไร่ได้ ฉันจะพิสูจน์ให้คุณตาเห็นว่าฉันจริงใจตั้งใจแค่ไหน ถ้าเราพิสูจน์ได้ฉันเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น”

“คุณหนู” ใบหม่อนพูดเสียงอ่อนใจเมื่อเห็นคุณหนูไม่มีท่าทีถอดใจ และดูจะมีกำลังใจฮึกสู้ขึ้นไปอีก

“คุณลมคะ วันนี้ดินจะเข้าไปส่งผลไม้ในเมือง คุณพายัพฝากให้มาบอกว่ารถของคุณหนูซ่อมเสร็จแล้ว วันนี้คุณหนูติดรถไปเอาได้เลยนะคะ”

“จ๊ะ ขอบใจมาก”

“ให้พี่ไปเอาคนเดียวก็ได้นะคะ”

“ฉันไปด้วยนี่แหละดีแล้ว ขืนปล่อยให้หม่อนไปกับดินเขาคนเดียว ก็ไปทะเลาะกับเขาอีก ถ้ามีเวลาฉันจะลองไปสำรวจในหมู่บ้านดูบ้าง มาที่นี่เกือบอาทิตย์ยังไม่ได้ลองเข้าไปในหมู่บ้านเลย หม่อนรีบเก็บโต๊ะอาหารเถอะ เดี๋ยวดินมาเราจะได้รีบไปกัน”

“ค่ะ คุณหนู”




ภายในรถปิ๊กอัพคันใหญ่เงียบไปตลอดทาง พลขับรถไม่ใช่คนช่างพูดออกแนวเงียบขรึม โลกส่วนตัวสูง ในขณะที่พี่เลี้ยงสาวช่างจ้อของเพลงวาโยที่นั่งคู่อยู่ด้านหน้าเขม่นปถวีตั้งแต่วันแรกที่เจอ จึงเก็บบวกเงียบแต่ทำตาขวางตลอดทาง เพลงวาโยแอบยิ้มและส่ายหน้าน้อย ๆ กับความอคติในใจของใบหม่อน

“ยังไงนายส่งพวกฉันที่อู่จอดรถ พอส่งผลไม้เสร็จนายกลับไปได้เลย เดี๋ยวพวกเราขับรถกลับกันเอง” เพลงวาโยพูดสร้างบรรยากาศเพ่อทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดลง

“นายทำงานที่ไร่มานานหรือยัง แล้วมาทำงานที่นี่ได้ยังไง” ปถวีเหลือตามองหญิงสาวที่ถามเขาจากกระจกหลัง ยังไม่ตอบไปในทันที ใบหม่อนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เกิดความหมั่นไส้

“คุณหนูฉันถามก็ตอบไปเถอะ คุณหนูไม่เอาข้อมูลนายไปใช้ทำเรื่องแย่ ๆ หรอก”

“พ่อผมเป็นหัวหน้าคนงานเก่าครับ หลังพ่อตายผมอายุได้สิบขวบคุณมารุตเมตตาให้ผมอยู่ในไร่ต่อ อยู่ในการดูแลของป้าน้อย คุณมารุตส่งเสียเงินให้เรียนจนจบ”

“นายจบอะไร”

“ผมจบเกษตรครับ”

“นายจบปริญญาตรีเลยหรอ” ใบหม่อนมีสีหน้าไม่เชื่อว่าผู้ชายหน้าตาเถื่อนโหดอย่างเขาจะเรียนสูงขนาดนี้

“แล้วทำไมนายไม่ไปหางานที่อื่นทำ ทำไมมาทำงานที่ไร่ล่ะ นายน่าจะไปลองสมัครงานดี ๆ ได้ อย่างพวกข้าราชการอะไรแบบนั้น” คำถามของเพลงวาโยทำให้ปถวีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบด้วยใบหน้านิ่งขรึมเช่นเดิม

“ก่อนพ่อผมจะเสีย พ่อสั่งว่าให้ช่วยดูแลไร่ ดูแลคุณมารุต ผมสัญญาแล้ว ผมจึงอยู่ที่นี่ต่อ และใช้ความรู้ทีเรียนมาช่วยคุณพายัพทำงาน” เพลงวาโยยิ้มกับคำตอบที่ยาวกว่าทุกวันของปถวี

“นายเป็นคนดี”

“คุณหนูอย่าด่วนตัดสินอะไรง่าย ๆ สิคะ ฟังหมอนี่พูดนิดเดียวก็บอกแล้วว่าเป็นคนดี ของแบบนี้ต้องดูกันไปยาว ๆ ค่ะ นี่ใกล้ถึงอู่ซ่อมรถหรือยังล่ะ” ใบหม่อนถามเมื่อขับเข้าตัวเมืองมาได้สักพัก

“ใกล้แล้ว ร้านอยู่ซอยข้างหน้า” ปถวีเงียบเสียงลงเมื่อรถเลี้ยวเข้าไปในซอยเล็ก ๆ ที่ตั้งของอู่ซ่อมรถ ขับรถเข้าๆปไม่ถึงสิบนาทีรถปิ๊กอัพก็จอดลงที่หน้าอู่ซ่อมรถ

“เดี๋ยวผมเข้าไปจัดการเรื่องรถให้คุณรอตรงนี้สักครู่นะครับ” นายดินเดินเข้าไปในอู่ซ่อมรถเข้าไปคุยกับช่างซ่อมรถดูสนิทสนมคุ้นเคยกัน ปถวีเดินตามช่างซ่อมรถเข้าไปและลองสตาร์ทรถเพื่อเช็คความเรียบร้อยและขับมาจอดด้านหน้าอู่จอดรถ

“นี่ครับกุญแจ”

“แล้วค่าซ่อมล่ะคะ”

“คุณพายัพจัดการเรียบร้อยแล้วครับ คุณสองคนคงกลับเองได้ใช่ไหมครับ”

“มายังมาได้ จะกลับไปถูกได้ยังไง” เพลงวาโยส่ายหน้าให้กับจอมหาเรื่อง และคิดว่าควรจะแยก

“ใบหม่อนพอแล้วน่า ขอบใจนายมาก ค่าใช้จ่ายขอฉันจ่ายเองดีกว่า ฉันไม่อยากรบกวนพี่พายัพ” เขามีท่าทีเหมือนไม่แน่ใจ ในเวลานี้สำหรับคนไร่สายลมพายัพคือหลานของมารุต และทุกคนเชื่อคำสั่งจากเขาเป็นสำคัญ แต่เมื่อมาเจอคุณหนูของไร่ออกคำสั่งทำให้ปถวีมีความไม่แน่ใจว่าควรเชื่อไหม

“ฉันจะไปคุยกับพี่พายัพเอง” น้ำเสียงนุ่มหูแม้จะไม่ได้ตะคั้นตะคอกออกคำสั่ง แต่มันกลับทำให้ปถวียอมยื่นใบเสร็จนั้นให้กับเพลงวาโย เพลงวาโยเปิดกระเป๋าสตางค์หยิบเงินจำนวนหนึ่งให้ส่งให้กับพายัพพร้อมใบเสร็จ

“ฉันกับใบหม่อนจะแวะไปตลาดก่อน ขอบใจมากที่พามาส่งนะ”

“ไปขอบคุณทำไมคะ”

“พอแล้วน่า มาเราจะได้รีบกลับ เดี๋ยวกลับช้าไม่ได้แวะเข้าหมู่บ้านนะ” ใบหม่อนยอมเดินตามเพลงวาโยขึ้นรถไป เพลงวาโยเป็นผู้อาสาขับรถมุ่งหน้าไปที่ตลาดเนินมะปราง

“คุณหนูจะซื้ออะไรคะ เดี๋ยวเราไปแวะซื้อที่ตลาดในหมู่บ้านไม่ดีกว่าเหรอคะ”

“ฉันจะแวะไปซื้อเมล็ดพันธุ์พืชน่ะ”

“เมล็ดพืชหรอคะ ไร่ก็ปลูกผลไม้เยอะแยะคุณหนูจะซื้ออะไรไปปลูกอีกคะ”

“ฉันจะลองทำสวนผักที่บ้านพักดู เมื่อวานฉันเดินดูรอบ ๆ บ้านแล้ว มีพื้นที่ว่างเยอะ แล้วก็จะซื้อพวกเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ด้วย”
“พี่ว่าเราซื้อต้นมันไปลงดินดีกว่า เกิดปลูกไม่โตขึ้นมาเสียดายเงินเอานะคะ”

“ฉันอยากลองปลูกเองมากกว่า ผลแห่งความพยายามจะทำให้เราภาคภูมิใจทำให้สิ่งที่ฉันกำลังทำดูมีความหมายมากยิ่งขึ้น ฉันเป็นหลานของคุณตา แม้แต่พืชธรรมดายังปลูกไม่ได้ แล้วไร่ทั้งไร่ฉันจะทำอะไรเป็น” ใบหม่อนไม่กล้าที่เถียงคุณหนู ได้แต่นั่งเงียบไปจนรถเลี้ยวจอดลงที่หน้าตลาด ใบหม่อนเปิดประตูลงจากรถและเดินตามหลังเพลงวาโยไป แต่ระหว่างนั้นใบหม่อนก็กวาดตามองหาใครบางคน

“มองหาอะไรใบหม่อน”

“ก็หาไอ้บ้าไงคะ”

“มองหาทำไม ไม่ชอบเขาไม่ใช่หรอ”

“ใครบ้างชอบคนบ้าค่ะคุณหนู และที่พี่มองหา ก็เพราะถ้ามันอยู่แถวนี้พี่จะพาคุณหนูเดินหนี พี่จะไม่ให้คุณหนูเข้าไปใกล้มันอีกแน่ เจอมันทีไรต้องมีเรื่องทุกที”

“ใบหม่อนอคติ”

“คุณหนูไม่เข้าใจหรอกค่ะ รีบไปซื้อของก่อนจะเจอมันดีกว่า” เพลงวาโยไม่ได้เดินเข้าไปในตลาดสด แต่เดินตรงไปทางเลียบถนน เมื่อวานเธอลองถามพายัพเรื่องร้านที่ขายเมล็ดพรรณพืช พายัพแนะนำร้านขายต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากตลาด หลังจากเลือกเมล็ดพันธุ์พืชที่ต้องการได้เพลงวาโยก็แวะเข้าไปซื้อของในตลาด ก่อนจะเตรียมตัวกลับไร่ ขณะที่มือเล็กกำลังจะเปิดประตูเข้าไปนั่งที่ฝั่งคนขับ เพลงวาโยมองไปอีกฟากของถนน เธอเห็นร่างคุ้นตากำลังเดินโซซัดโซเซข้ามถนน แต่แล้วรถคันหนึ่งกับวิ่งสวนเลนมาด้วยความเร็วสูง

“นาย!!!” เพลงวาโยร้องเตือนแต่ดูเหมือนจะไม่ทัน เพราะอาการที่ดูเหม่อลอย ท่าทางดูอ่อนแรงทำให้ชายคนนั้นไม่สามารถหลบรถที่วิ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงนั่นพ้น

โครม!!!


....จบ ๕๐%...



พัชรีพร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 พ.ค. 2559, 19:15:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 พ.ค. 2559, 19:15:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 748





<< ตอนที่ ๒ (๑๐๐%)   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account