เปลวไฟกลางสายลม
เรื่อง เปลวไฟกลางสายลม

ทักทายเหล่ารีดเดอร์ที่แวะเข้ามา สำหรับเรื่องนี้จะเปิดเรื่องไว้
แล้วจะเริ่มลงให้หลังจากลงเรื่องอื่นแล้ว
ขอเปิดรอไว้ก่อน นิยายตัวเองก็ต้องบอกว่าสนุกแน่นอน
แต่สำหรับเหล่ารีดเดอร์ที่แวะเข้ามาก็ต้องรอติดตามกันนะคะ

สำหรับเขาเธอคือสายลมแห่งชีวิต
และสำหรับเธอ เขาคือเปลวไฟที่จุดประกายความหวังให้กับเธอ
ความรักของสายลมจะโอบอุ้มเปลวไฟ
ดั่งเปลวไฟที่จะมอบแสงสว่างให้กับเธอ ผู้เป็นดั่งสายลมแห่งชีวิตของเขา


เรื่องย่อ
เพลงวาโยได้พบกับผู้ชายที่ทุกคนเรียกว่าเศษสวะของสังคม การพบกันถึงสามครั้งเป็นตัวเชื่อมโยงของโชคชะตา เธอจึงยื่นมือช่วยเหลือเขา รับเขาเข้าสู่อ้อมกอดของสายลม ท่ามกลางความวุ่นวาย เขาคือคนที่ต่อสู่ไปพร้อมกับเธออย่างไม่หวั่นเกรง คือคนที่โอบประคองสายลมให้คงอยู่อย่างมั่นคง เป็นแสงสว่างเล็ก ๆ ที่แม้จะเทียบไม่ได้กับแสงของดวงอาทิตย์ แต่แสงสว่างเล็ก ๆ ของเขา กลับให้ความอบอุ่นกับเธอ เขาทำให้เธอมั่นใจว่าเพียงมีเขาอยู่ เธอจะปลอดภัยไร้กังวล


เขาเป็นเพียงผู้ชายที่ไร้ค่าที่เธอยื่นมือช่วยเหลือเขาถึงสามครั้ง
ในวินาทีที่ชีวิตของเขากำลังจะหลุดลอยไป เธอกลับยื่นมือเข้ามาและรับเขาเข้าสู้อ้อมกอดแห่งสายลม ไฟ คือชื่อใหม่ของเขาที่เธอมอบให้ เธอบอกว่าเขาจะเป็นดวงไฟแห่งชีวิตใหม่ จากนี้เขาคือคนใหม่ ไม่ใช่คนบ้าไร้ที่มา เขาคือคนของไร่สายลม และเขาเชื่อเธอว่าเขาคือไฟ คือคนของไร่สายลม นับจากวินาทีที่ลืมตาตื่นเขาสัญญากับตัวเองว่าทั้งชีวิต ทั้งลมหายใจ เขาจะมีไว้เพื่อเธอ จะดูแลเธอ ปกป้องเธอ หัวใจที่แข็งกระด้างที่มอบให้เธอไปแล้วจะไม่มีทางยกให้ใครอีก



ความรักของทั้งคู่เชื่อมโยงกันไว้ ความรักที่เริ่มจากเจ้านายและลูกน้อง
ก่อนจะแปรเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ จากคนละลมหายใจ
จะกลายเป็นลมหายใจเดียวกัน เปลวไฟจะอยู่ในอ้อมกอดของสายลม
และสายลมจะคอยพัดหาดวงไฟให้ลุกโชติช่วงตลอดไป


Tags: ไร่สายลม ความรัก การตามหา

ตอน: ตอนที่ ๒ (๑๐๐%)



แกรก

สองสาวหันไปมองพุ่มไม้ที่ขยับ และถอยหลังไปชิดกับผนังด้านหลัง สองสาวมองพุ่มไม้ที่โยกไหวคล้ายมีอะไรซ่อนอยู่ เพลงวาโยมองหน้าใบหม่อนสองสาวกำลังตัดสินใจว่าควรจะเดินไปดูให้หายสงสัยหรือเดินกลับไปทำความสะอาด

“ฉันว่าเรากลับเข้าไปข้างดีกว่า”

“แต่เราออกมาขนาดนี้ เราไม่ลองไปดูหน่อยเหรอคะ ว่าพุ่มไม้นั่นมีอะไร ถ้าไม่ดูพี่นอนไม่หลับแน่ ๆ”

“ไม่กลัวผีแล้วหรอหม่อน” เพลงวาโยยิ้มอย่างล้อเลียน

“พี่ไม่ได้กลัวนะคะคุณหนู พี่แค่ระแวง แต่พี่ว่ามันต้องไม่ใช่ผีแน่ เราน่าจะดูหน่อยจะได้รู้ว่ามันคือะไร

“แต่ถ้าเป็นงูล่ะ”

“งั้นเอาอย่างนี้นะคะคุณหนู” ใบหม่อนเดินไปหยิบท่อนไม้ที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมา

“พี่จะเอาไม้เขี่ยดู ไม่เข้าไปใกล้” เพลงวาโยอยากจะห้ามรองห้าม แต่ใบหม่อนเหมือนจะไม่ฟัง ความอยากรู้ขอบใบหม่อนดูท่าจะมีมากกว่าจึงรีบก้าวเท้าเข้าไป แต่ตั้งใจไม่เดินไปใกล้มากนัก และเอื้อมมือที่จับไม้เข้าไปเตรียมตัวเขี่ยพุ่มไม้นั่น ในขณะที่เพลงวาโยจ้องการกระทำของใบหม่อนตาไม่กระพริบ เหมือนเตรียมตั้งรับถ้าเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยใบหม่อนทัน

หมับ

“กรี๊ด!!!” เพลงวาโยที่กำลังเพ่งสมาธิไปที่พุ่มไม้ ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจเมื่อถูกใครบางคนคว้าไหล่ไว้ ในขณะที่ใบหม่อนเองก็ตกใจไม่แพ้กัน สัญชาตญาณเมื่อได้ยืนเสียงเจ้านายร้องจึงยกไม้ขึ้นจะตีคนที่ทำร้ายคุณหนู

“เดี๋ยว...นี่ผมดิน” สองสาวหันหลังกลับไปมองคนงานหน้าดุที่มายืนอยู่ด้านหลังพวกเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ คือนายดิน หรือ นายปถวีกำลังแตะต้องเนื้อตัวคุณหนูของใบหม่อน

“นายเอามืออกจากไหล่คุณหนูเดี๋ยวนี้นะ ทำไมนายเข้ามาไม่ให้สุ่มให้เสียง มาทำอะไรกลางค่ำกลางคืน หรือคิดอะไรไม่ดี” ใบหม่อนถามรัวไม่ชุดให้ปถวีได้ตอบ

“หยุดพูดได้หรือยังคุณพี่เลี้ยง ผมต่างหากต้องถามพวกคุณ มืดขนาดนี้ออกมาทำอะไรแถวนี้ หญ้าขึ้นเต็มแบบนี้อาจมีงูซ่อนอยู่ก็ได้”

“ก็...”

“พวกเราผิดเองค่ะ ฉันกับใบหม่อนเห็นเงาตะคุ้ม ๆ ตรงหน้าต่างเลยเดินออกมาดู แต่ไม่เห็นอะไร พอดีหันไปเห็นพุ่มไม้มันขยับแปลก ๆ เลย...” ปถวีหันไปมองพุ่มไม้ก่อนจะหยิบหินขึ้นมาก้อนหนึ่งและโยนใส่พุ่มไม้นั่นทันที

เมี้ยว

พลันลูกแมวตัวหนึ่งก็กระโดดออกมาจากพุ่มไม้ และวิ่งหายเข้าไปในความมืด สองสาวหันไปมองคนงานหนุ่มที่มองพวกเธอด้วยสายตาไม่ชอบใจกับการกระทำของพวกเธอ

“หมดเรื่องแล้วพวกคุณควรจะเข้าบ้าน”

“แล้วนายมาทำอะไรที่นี่ นายยังไม่ตอบคำถามฉันเลย” ใบหม่อนถามกลับไปอีกครั้ง

“คุณพายัพให้ผมเอาไม้กวาด ข้าวของทำความสะอาดมาให้ แล้วให้ตามคนมาช่วยคุณทำความสะอาดห้องสำหรับพักคืนนี้ เพราะเกรงว่าคืนนี้พวกคุณคงทำกันไม่ได้ และให้ผมเอาตะเกียง และเทียนมาให้พวกคุณ ตอนนี้พวกคุณเข้าบ้านได้แล้ว ก่อนไอ้ที่พุ่งออกมาจะไม่ใช่แมว”

“นี่...”

“พอแล้วหม่อน กลับเข้าไปด้านในเถอะ นายดินเขาก็พูดถูก แถวนี้มันรกร้างอาจมีอันตรายได้” เพลงวาโยดึงแขนให้ใบหม่อนตามมาเพื่อจะไม่ให้ต่อล้อต่อเถียงกับปถวีอีก เพราะพวกเธอผิดเต็ม ๆ ที่ออกมาเพ่นพ่านแบบนี้





“เมื่อคืนพี่นอนไม่ค่อยหลับเลย คุณพายัพไม่น่าให้นายหน้าดุมาเฝ้าเราหน้าบ้านเลยนะคะ เกิดนายนั่นหน้ามืดมาทำร้ายคุณหนูขึ้นมาจะทำยังไง แล้วไอ้ท่าทีเหมือนเจ้านายสั่ง ๆ นั่นอีก ไม่รู้จักที่ต่ำที่สุด”

“เราผิดนะหม่อน เขาเตือนเรามันก็ถูกแล้ว ถ้าเกิดเราเดินไปเจองู โดนงูฉกขึ้นมา คนที่จะลำบากคือพวกเรานะ รีบเดินเถอะเดี๋ยวพี่พายัพจะรอนะ” เพลงวาโยพูดและเร่งเท้าเดินกลับไปที่รถของพายัพที่จอดรออยู่ สองสาวตื่นแต่เช้ามาทำความสะอาดบ้านจนเรียบร้อย เหลือเพียงส่วนรอบ ๆ บ้านที่ให้คนงานมาถางหญ้าให้ หลังจากเคลียร์ที่หลับนอนของวกเธอเสร็จพายัพก็พาพวกเธอมาตลาดซื้อข้าวของที่จำเป็น

“ของใช้พี่ก็ว่ามันจำเป็น แต่ขนมพวกนี้ซื้อไปทำไมคะ”

“ให้คุณตา เรายังไม่ได้ขอบที่คุณตาให้ที่อยู่ที่กินเราเลย”

“พี่ว่าอย่าดีกว่า ท่านไม่ชอบคุณหนู ไปให้ท่านเห็นหน้าเดี๋ยวพาลจะโยนขนมพวกนี้ทิ้ง เสียดายของแย่”

“วันนี้ไม่รับสักวันคุณตาต้องรับ ฉันจะทำให้คุณตายอมรับฉัน มันคือสิ่งที่ฉันจะทำให้ได้ สักวันคุณตาจะหายโกรธพวกเรา” เพลงวาโยพูดและแย้มรอยยิ้มออกมา

“ไอ้บ้าตายแน่งานนี้ เล่นไปขโมยของใครไม่ขโมย ดันไปขโมยของเสี่ยเดชา ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าโง่หรือซวยดี” เพลงวาโยหันไปมองแม่ค้าที่เดินผ่านหน้าไป

“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณหนู”

“เปล่า รีบไปเถอะ เดี๋ยวพี่พายัพจะรอ” สองสาวหันหลังกำลังจะเดินไปต่อ แต่เสียงเอะอะโวยวายที่ดังมาจากด้านหลังทำให้เพลงวาโยหันกลับไปมอง แต่ดูเหมือนจะช้าไปเมื่อชายแต่งตัวมอซอคนหนึ่งกำลังวิ่งมาทางเธอในสภาพร่างกายที่สะบักสะบอมเต็มไปด้วยบาดแผล ใบหน้าที่รกไปด้วยหนวดเครามีความหวาดกลัว ใบหน้าแสดงถึงความขลาดกลัวภัยที่ตามหลังมา

“คุณหนูหลบค่ะ” ใบหม่อนจะคว้าดึงตัวคุณหนูให้หลบคนที่วิ่งพุ่งเข้ามา แต่ดูเหมือนจะช้าไปแล้วเมื่อชายจรจัดคนนั้นวิ่งชนคุณหนูของเธอกระเด็นล้มลงและตัวของชายคนนั้นเองก็ล้มลงอย่างคนหมดแรงเช่นกัน

“วิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือเลยหรือไง นี่มันไอ้บ้าที่คุณหนูเคยให้ข้าวนี่คะ” ใบหม่อนที่พยุงเพลงวาโยขึ้นตะโกนเสียงดัง เพลงวาโยเองก็จำชายคนนี้ได้ โดยเฉพาะเสื้อแขนยาวที่ดำที่เขาใส่คลุมตัวอยู่ เพลงวาโยมองชายจรจัดสติไม่ดีที่ตะเกียกตะกายลุกขึ้นและทำท่าจะวิ่งกระเพลกหนีไป แต่เพลงวาโยกลับจับแขนเขาไว้ ชายจรจัดคนนั้นมีท่าทีตกใจสะบัดมือเพลงวาโยออก จนเพลงวาโยเซไปด้านหลัง ใบหม่อนที่เห็นชายหนุ่มจรจัดทำร้ายคุณหนูก็เดินเข้าไปผลักเขาล้มลง

“หม่อน ไม่เอาน่า”

“แต่ไอ้บ้านี่มันผลักคุณหนูนะคะ”

“เขากำลังกลัว เราไปทำแบบนี้เขาจะยิ่งกลัว หม่อนถอยไปก่อน” เพลงวาโยไม่รู้ว่าตัวเองติดใจอะไรกับชายจรจัดคนนี้ ท่าทางของเขาก็ไม่ต่างจากคนบ้าสติไม่เต็มเต็งที่เธอเคยเห็นตามย่านต่าง ๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดให้เธอเข้ามาหาให้ความช่วยเหลือเขาโดยไม่กลัว คือ แววตาที่ไม่ได้เลื่อนลอยเหมือนคนบ้าทั่วไปที่เธอเคยเห็น เขาไม่เหมือนคนบ้าด้วยซ้ำ เขาเหมือนคนที่อยู่ในความหวาดกลัว แววตาเต็มไปด้วยความกลัว บางทีก็ทุกข์ระทม แต่เธอมองเห็นมากกว่านั้นคือดวงตาของคนที่ต้องการมีชีวิตอยู่ ของคนที่ไม่ยอมจากไปง่าย ๆ แม้จะมีความขลาดกลัวฉาบไว้ แต่เธอมองเห็นความทุกข์ระทมและต้องการปลดปล่อยของเขา นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอยื่นมือช่วยเหลือโดยไม่กลัวว่าเขาอาจจะคลุ้มคลั่งทำร้ายเธอ เพลงวาโยเดินไปหยุดยืนตรงหน้าชายจรจัด เขามีท่าทีตื่นกลัวขยับตัวถอยหนี ร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลสั่นเทา ดวงตาคมกล้าไม่ได้มีท่าทีลดความระแวงลง เพลงวาโยขยับตัวจนมาหยุดอยู่นั่งยอง ๆ ลงข้าง ๆ เขา มือเรียวคว้าหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมาและส่งให้เขาด้วยรอยยิ้มอบอุ่นจริงใจ

“นายจำฉันได้ไหม ฉันที่ให้ข้าวนายเมื่อวานไง แล้วก็ให้เสื้อตัวนี้ด้วย” ชายจรจัดมองเพลงวาโยด้วยแววตาสั่นกลัวเหมือนกำลังพิจารณา รอยยิ้มที่ส่งให้เต็มไปด้วยมิตรไมตรีทำให้มันวางใจลง แต่ก็ยังขยับตัวหนีเมื่อดวงตาที่เต็มไปด้วยความขลาดกลัวไปสบกับใบหม่อนที่ตีหน้ายักษ์อยู่ด้านหลัง

“นายไม่ต้องกลัวฉันนะ ฉัน...”

“เจอสักทีนะไอ้บ้า” เพลงวาโยหันไปมองกลุ่มชายฉกรรจ์นับสิบคนที่กำลังยืนออกันอยู่ด้านหลังของเธอ เพลงวาโยพอจะเดาออกแล้วว่าชายจรจัดคนนี้หนีใครมา พวกมันคนหนึ่งที่เหมือนจะเป็นหัวโจกของกลุ่มเดินเข้ามากระชากตัวชายจรจัดให้ลุกขึ้น
“นี่คุณจะทำอะไรเขาน่ะ” เพลงวาโยถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ใบหม่อนที่ยืนหน้าเสียอยู่ด้านหลังพยายามห้ามคุณหนูไว้ไม่ให้ไปยุ่งกับเรื่องของชาวบ้านเขา จนตัวเองต้องเดือดร้อน

“อย่ามายุ่งดีกว่า”

“แต่พวกคุณกำลังทำร้ายเขา”

“ไอ้บ้านี่มันเข้าไปขโมยของในบ้านเสี่ยเดชา”

“ขโมย” เพลงวาโยหันไปมองหน้าชายจรจัดคนนั้นที่ส่ายหน้าเหมือนปฏิเสธข้อกล่าวหา

“เขาขโมยอะไร” ชายฉกรรจ์เหล่านั้นไม่มีใครตอบ แต่แววตาของเขากำลังไม่พอใจเพลงวาโยที่กำลังสอดมือเข้ามายุ่งให้สิ่งที่ไม่ควรยุ่ง

“ถ้าเขาขโมยทำไมไม่แจ้งตำรวจ ทำไมต้องทำร้ายเขาจนสภาพสะบักสะบอมแบบนี้ พวกคุณก็ดูสติดี ทำไมรุมทำร้ายคนสติไม่ดีแบบนี้คะ”

“คุณหนู”

“ไอ้บ้านี่มันขโมย...”

“ถ้าเขาผิดจริงก็แจ้งตำรวจ แต่ถ้าทำแบบนี้ฉันจะแจ้งตำรวจจับพวกคุณข้อหาทำร้ายร่างกาย ฉันคิดว่าคงมีกล้องวงจรปิดแถวนี้เก็บภาพที่พวกคุณรุมทำร้ายเขาได้ และมันจะเป็นหลักฐานจับพวกคุณ” เพลงวาโยพูดออกไปด้วยสีหน้าจริงจัง ใบหน้าไม่ได้แสดงถึงความกลัวชายฉกรรจ์ที่พร้อมจะถือมีดเข้ามาปาดคอเธอเลย

“เธอรู้ไหมพวกเราเป็นลูกน้องของใคร” เมื่อพวกนักเลงประจำถิ่นเถียงไม่ได้ก็เริ่มตั้งท่าข่มขู่สาวน้อยท่าทางเปราะบาง แต่แววตาอ่อนโยนนุ่มนิ่มไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัว ยังคงมองพวกเขาด้วยแววตาเฉยชา

“ฉันไม่รู้ ว่าพวกคุณเป็นลูกน้องของใคร แต่พวกคุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้กับใคร”

“น้องสาวพี่ขอเตือนนะ อย่ามายุ่งถ้าไม่อยากเดือดร้อน น้องรู้ไหมว่าการสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องคนอื่นผลลัพธ์มันจะเป็นยังไง” คำข่มขู่ของเขาไม่ได้ทำให้เพลงวาโยตื่นกลัว เพลงวาโยคิดว่าตัวเองอยู่ในที่แจ้งยังไงพวกเขาก็คงไม่กล้าทำอะไรผู้หญิงในสถานการณ์แบบนี้ แต่ดูเหมือนเพลงวาโยจะประเมินพวกนักเลงพวกนี้ต่ำไปสักนิด แต่ใบหม่อนพอจะเดาได้ว่าคนพวกนี้คงเป็นนักเลวประจำถิ่น ถ้าเกิดจะทำอะไรพวกเธอจริง ๆ พวกมันคงไม่แคร์สายตาประชาชนแถวนี้แน่นอน

“ข่มขู่ ดิฉันก็แจ้งความจับได้นะคะ เอาเป็นว่าเขาขโมยอะไรมา ฉันจะชดใช้ให้ สภาพเขาแบบนี้พวกคุณทำร้ายเขาไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าพวกคุณบอกมาว่าเขาไปขโมยอะไร ฉันจะชดใช้ให้”

“เอ่อ...” พวกมันมีท่าทีอ้ำอึ้งพูดไม่ออก

“พอได้แล้วไอ้คม” เสียงทุ้มแหบห้าวดังมาจากด้านหลังกลุ่มนักเลงประจำถิ่น พวกมันแหวกทางให้หนุ่มใหญ่วัยกลางคนเดินเข้ามา ลักษณะท่าทางของหนุ่มใหญ่วัยกลางคนคนนี้ท่าทางดูทรงอิทธิพล มีอำนาจ ทำให้เพลงวาโยพอเดาได้ว่าเขาคงเป็นผู้มีอิทธิพลในย่านนี้ ท่าทางแต่งตัวภูมิฐาน บ่งบอกว่าเขาคงเป็นคนในเมืองที่เข้ามาทำธุรกิจในอำเภอแถบนี้

“เสี่ยครับ ไอ้บ้านี่ไงครับ ที่เข้าไปขโมย...”

“ช่างมันเถอะ ของก็ได้คืนแล้ว ท่าทางไม่เต็มเต็งแบบนี้ไปเอาเรื่องให้เสียเวลาทำไม ผมขอโทษคุณแทนลูกน้องผมด้วยที่เสียมารยาท ผมไม่เคยเห็นหน้าคุณสองคน เข้ามาอยู่ไหมเหรอครับ”

“ครับเธอพึ่งเข้ามาอยู่ใหม่ เป็นคนของไร่สายลม” พายัพที่เดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ใบหน้าเขาดูเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเห็น ยามหันไปมองเศรษฐีใหญ่ของอำเภอใบหน้าที่เย็นชาอยู่แล้วยิ่งเย็นชาขึ้นทับทวีคูณ

“อ่อ...คนของไร่สายลม ผมไม่ได้แวะไปที่นั่นตั้งนานแล้ว คุณมารุตสบายดีนะครับคุณพายัพ”

“ครับคุณตาสบายดี”

“เรื่องที่ยื่นขอเสนอไปคุณมารุตจะไม่รับจริง ๆ เหรอครับ”

“พวกเราทำไร่ทำสวนมีเงินมีทองใช้อยู่แล้ว ไม่อยากเงินเพิ่มหรอกครับ”

“แต่ดูเหมือนสองสามปีมานี้ไร่ขาดทุนไม่ใช่เหรอครับ”

“มันเรื่องของภายใน พวกเราสามารถจัดสรรกันได้ ไม่ต้องขายที่ให้พวกนายทุนเอาไประยำตำบอน เป็นแหล่งการพนันหรอกครับ” เสี่ยเดชายิ้มมุมปากก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเสียงดัง

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า แต่บ่อนผมคนงานของคุณก็เข้าไปใช้บริการประจำ โดยเฉพาะคนเก่าคนแก่ของไร่ เอาล่ะ เดี๋ยวผมมีธุระต้องไปทำต่อ ยังไงฝากบอกคุณมารุตอีกครั้งว่าข้อเสนอผมยังเหมือนเดิม ถ้าเงินไม่พอก็ขายที่ให้ผม แค่แบ่งมาขายนิดหน่อยคงไม่ได้ทำให้ไร่แย่ลง ดีกว่าเอาไปลงกับต้นไม้ที่ให้ผลกำไรไม่ได้ นี่ผมหวังดีนะครับ”

“ขอบคุณครับสำหรับความหวังดีของเสี่ย พวกเราไม่จนตรอกจนถึงขั้นนั้นแน่นอนครับ”

“หึ...กลับ” ชายฉกรรจ์หันไปมองชายจรจัดที่ยังนั่งก้มหน้าตัวสั่นก่อนจะเดินตามเสี่ยเดชาไป

“เขาเป็นใครคะพี่พายัพ” เพลงวาโยถามเพราะรู้สึกไม่ชอบผู้ชายลักษณะท่าทางไม่น่าไว้วางใจคนนี้ ความภูมิฐานสุขุมรอบคอบดูเหมือนหน้ากากที่ใส่ซ่อนใบหน้าของจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เอาไว้

“เสี่ยเดชา เป็นเศรษฐีที่เข้ามาลงทุนในอำเภอเมื่อสี่ห้าปีก่อน เขามาในคราบนักบุญช่วยเหลือชาวบ้าน ก่อนจะครอบงำความคิดของชาวบ้านส่วนหนึ่งได้และหลอกให้พวกเขาขายที่ให้ตัวเอง ตอนนี้เขาเที่ยวกว้านซื้อที่ดินแถว ๆ นี้ไปทั่ว จนคนรู้กิตติศัพท์ความเจ้าเล่ห์เพทุบายของเขากันไปหมด”

“เขาเป็นคนไม่ดีเหรอคะ” เพลงวาโยถามอย่างใคร่รู้

“ไม่รู้สิ แต่ถ้าเขาอยากได้ที่ดินตรงไหนมักจะมีวิธีบีบเจ้าของที่เสมอ มีชาวบ้านหลายรายที่ยอมขายที่อย่างไม่มีสาเหตุทั้งที่ตอนแรกก็ค้านหัวชนฝา”

“เขาอยากได้ที่ดินเราเหรอคะ เขาจะเอาไปทำอะไรคะ ที่ดินเราส่วนใหญ่ก็เป็นสวนผลไม้”

“สร้างสนามกอล์ฟ รีสอร์ท หรือไม่ก็อาจจะขายให้พวกฝรั่งนายทุน พี่ก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ช่วงสามสี่ปีมานี้หมู่บ้านเนินทุ่งทองของเรามีสถานที่ท่องเที่ยวสวย ๆ เปิดให้เข้าเที่ยวชม มีรายได้เข้าหมู่บ้านเดือนหนึ่งเป็นแสน ๆ และที่ดินของเราเป็นพื้นที่ทองที่สามารถตัดถนนเข้ามาได้ ถ้าเอาไปอีกหน่อยจะสร้างถนนที่นั่นอาจจะขายได้หลายตังค์เลยล่ะ แต่ก็มีข่าวแว่ว ๆ ว่าเขาจะเอาไปเปิดบ่อนเถื่อน” เพลงวาโยอ้าปากค้าง

“แล้วตำรวจ”

“ตำรวจแถวนี้ไม่กล้าไปยุ่งกับเสี่ยหรอก เสี่ยมีญาติเป็นนักการเมือง คนก็กลัวเกรงรวมถึงตำรวจแถวนี้ที่ไม่กล้าเข้าไปยุ่ง พี่ถึงบอกถ้าเขาอยากได้ที่เราเขามีวิธีข่มขู่ที่ตำรวจไม่กล้าเข้ามายุ่ง”

“แล้วที่ของคุณตาจะปลอดภัยไหมคะ”

“ก็ปลอดภัยจนกว่าเขากระหายอยากจะได้มันจริง ๆ เมื่อนั่นเขาคงหาวิธีบีบพวกเรา วันนี้เราไปขวางเขาไว้ พี่ว่าเขาคงจะลิชชื่อลมไว้แน่นอน”

“แค่คนบ้าคนเดียวถึงกับลิชชื่อเลยเหรอคะ” ใบหม่อนถาม

“อยู่ที่คนบ้าที่หม่อนว่าไปขโมยอะไรมา เขาถึงตามมาเอาเรื่อง และที่เขายอมถอยไม่ใช่เพราะเรามาขัดขวางเขาได้ แต่เพราะเขาคงได้ของเขาคืนแล้ว ไอ้หมอนี่ถ้าไม่ใช่คนสติไม่ดีพวกนั้นคงไม่ยอมเลิกราง่าย ๆ” เพลงวาโยหันไปมองต้นเหตุของความวุ่นวายในวันนี้ เธอค่อย ๆ นั่งคุกเข่าลงกับพื้นและยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนสีฟ้าให้กับเขา

“ทีหลังอย่าไปยุ่งกับพวกเขา ทางที่ดีรีบไปจากที่นี่นะ” คนสมองทึ่มมีสีหน้าไม่เข้าใจ ทำเพียงจ้องมองหญิงสาวที่โผล่เข้ามาช่วยเขาไว้ ก่อนจะก้มมองผ้าเช็ดหน้าที่เธอยื่นให้อย่างไม่กล้ารับ

“รับไปเถอะ ฉันให้ ตัวนายมีแต่แผล ไปหาหมอไหม” แต่ชายคนนั้นยื่นมือไปดึงผ้าเช็ดหน้าผืนสีฟ้าออกจากมือเพลงวาโย เพลงวาโยทำท่าจะจับตัวเขา แต่ชายจรจัดมีท่าทีตกใจเมื่อมีคนจะจับตัวเขา ผงะตัวถอยหลังหนีหมุนตัวลุกขึ้นและวิ่งกระเผลกหนีไปทันที

“อะไรของมัน ขอบคุณสักคำหนึ่งก็ไม่มี แล้วยังมาวิ่งหนีอีก”

“จะเอาอะไรกับเขา ท่าทางเขาก็ไม่ใช่คนปกติหม่อนยังจะหาเรื่องเขาอีก” เพลงวาโยยิ้มที่พี่เลี้ยงเธอดูเหมือนจะเกลียดคนบ้าคนนี้เอามาก ๆ ทั้งที่ก็พึ่งเคยเจอเขาไม่กี่ครั้ง เพลงวาโยก้มมองลงไปที่พื้นเมื่อแสงแดดกระทบกับของสิ่งหนึ่งที่ตกลงบนพื้น เพลงวาโยก้มลงหยิบสร้อยเงินที่ตกอยู่ขึ้นมา ที่ตัวจี้ของสร้อยเงินถูกหลอมตีเป็นแผ่นเหล็กแบน ๆ เป็นรูปเปลวไฟ ที่ด้านหลังแผ่นเหล็กสลักอักษรไว้ว่า...ไฟ... เพลงวาโยมองอักขระบนแผ่นเหล็กอันเล็ก และเงยหน้ามองตามหลังของชายจรจัดที่วิ่งเลี้ยวหายลับไป

“พี่ไม่ชอบไอ้บ้านั่นเลย เกือบทำคุณหนูของพี่ซวยแล้ว คุณหนูไม่หน้าเข้าไปช่วยมันเลย แล้วถ้าพวกเสี่ยเดชาอะไรนั่นโมโหทำร้ายเราขึ้นมาจะทำยังไง”

“เขาไม่กล้าหรอกน่า อย่างที่พี่พายัพบอก แม้เขาจะเส้นใหญ่ แต่การมีเรื่องอาจทำให้เขาถูกจับตามองได้ง่ายขึ้น เลี่ยงจะมีเรื่องไว้จะดีกว่า นี่ก็จะบ่ายแล้ว ลมว่าเรากลับเถอะค่ะพี่พายัพ เราออกมานานแล้ว”

“ครับ ว่าแต่ทำไมลมต้องไปช่วยนายคนนั้นด้วย ปกติน้องลมช่วยคนบ้าแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า”

“คุณหนูช่วยค่ะ ตอนอยู่กรุงเทพเห็นคนจรจัด คนบ้า ชอบซื้อน้ำขนมไปวางให้เขา แต่ไม่เคยช่วยใครขนาดเสี่ยงต่อตัวเองแบบนี้ ไอ้บ้านี่น่าจะมีบุญมากที่คุณหนูของพี่กลายร่างเป็นนางฟ้าไปช่วยมันขนาดนี้” ใบหม่อนโพล่งแทรกขึ้นมา เพลงวาโยยิ้มกับคำพูดของพี่เลี้ยงสาวที่เหมือนจะยังอคติกับชายจรจัดคนนั้นไม่เลิก

“ลมก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องช่วยเขา แต่ลมรู้สึกว่าเขาไม่เหมือนคนบ้าที่เร่ร่อนพเนจรทั่วไป แถมบาดแผลตามร่างกายเขามันฉกรรจ์มากนะคะ มันไม่ใช่แค่โดยทำร้ายธรรมดา มันเหมือนโดนทรมานมากกว่า เขาดูน่าสงสารมาก แล้วตอนที่ลมมองตาเขาครั้งแรก มันแปลก ๆ...ลมก็บอกไม่ถูก ลมเจอคนที่จิตไม่ปกติหลายรูปแบบแต่ดวงตาของเขามันไม่เหมือนคนจิตไม่ปกติพวกนั้นนะคะ มันไม่เหมือนคนหลุดโลก หลุดลอย แววตาของเขาเหมือนคนที่กำลังขอโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ เขามีบางอย่างที่ทำให้ลมไม่สามารถมองข้ามไปได้จนลมต้องยื่นมือช่วยเขา” เพลงวาโยก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงช่วยเขาขนาดนี้ รู้แต่ว่าเธอต้องช่วยเขาเท่านั้น

“ลมนี่เป็นคนดีเหมือนคุณตาเลยนะ คุณตาก็ชอบช่วยเหลือคนอื่นแบบลม”

“คุณแม่ชอบบอกลมเสมอ ลมเกิดมามีโอกาส มีอะไรหลายอย่างพร้อมกว่าคนอื่น มีครอบครัวที่อบอุ่น ลมได้สิ่งดี ๆ มาหลายอย่าง ลมต้องรู้จักแบ่งสิ่งดี ๆ ให้คนอื่นบ้าง คุณแม่ไม่สามารถมองคนที่ทุกข์ยากกว่าตัวเองแล้วปล่อยผ่านได้ ลมก็ได้รับมันมาจากแม่ การเห็นคนทุกข์ยากถ้าลมสามารถช่วยได้ในขอบข่ายที่ตัวเองทำได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่มันมากไปลมจะหยุดทันที ลมไม่ใช่คนโลกสวยที่จะเป็นแม่พระได้ทุกครั้งอย่างที่หม่อนบอกหรอกนะคะ” เพลงวาโยพูดและหันไปมองใบหม่อนที่มีสีหน้าไม่เชื่อในสิ่งที่คุณหนูพูด

“พี่ถึงบอกว่าลมเหมือนคุณตา”

“ถ้าเหมือนก็หวังว่าสิ่งที่ลมพยายามทำคุณจะมองเห็นโดยเร็ววันนะคะ ขอบคุณมากค่ะ” เพลงวาโยเอ่ยขอบคุณเมื่อพายัพเปิดประตูรถให้เธอขึ้นไปนั่ง เมื่อทุกคนพร้อมรถก็มุ่งตรงกลับไร่สายลมทันที


...ติดตามตอนต่อไป...



พัชรีพร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 เม.ย. 2559, 18:09:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 เม.ย. 2559, 18:09:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 820





<< ตอนที่ ๒ (๕๐%)   ตอนที่ ๓ (๕๐%) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account