เพรงพรหมข้ามภพ
บ้านเช่าหลังหนึ่งนำพาหล่อนให้พบกับเขา 'หลวงเดชาอักษร' ผู้ซึ่งกล่าวหาว่าหล่อนเป็นสตรีวิปลาสในคราวแรกที่ได้พบกัน อีกทั้งยังบอกว่าหล่อนหน้าตาเหมือนเจ้าสาวของเขาที่หายตัวไปเมื่อสามปีก่อน!
โชคชะตากำลังกลั่นแกล้งกับหล่อนหรือไร จึงทำให้หล่อนข้ามผ่านกาลเวลา มาโผล่บนเรือนของคุณหลวงผู้นี้ และจำต้องปลอมตัวเป็น 'แม่วาด' เจ้าสาวที่หายตัวไปของเขาอีกด้วย!

Tags: พีเรียด,รัตนโกสินทร์ตอนต้น,ลิขิตเหนือกาล

ตอน: บทที่ ๑ - คนหรือผี!

หายหน้าไปนาน กลับมาลงเรื่องนี้ต่อค่ะ มีการปรับพล็อตพอสมควรนะคะ :)


โปรย...

บ้านเช่าหลังหนึ่งนำพาหล่อนให้พบกับเขา 'หลวงเดชาอักษร' ผู้ซึ่งกล่าวหาว่าหล่อนเป็นสตรีวิปลาสในคราวแรกที่ได้พบกัน อีกทั้งยังบอกว่าหล่อนหน้าตาเหมือนเจ้าสาวของเขาที่หายตัวไปเมื่อสามปีก่อน!
โชคชะตากำลังกลั่นแกล้งกับหล่อนหรือไร จึงทำให้หล่อนข้ามผ่านกาลเวลา มาโผล่บนเรือนของคุณหลวงผู้นี้ และจำต้องปลอมตัวเป็น 'แม่วาด' เจ้าสาวที่หายตัวไปของเขาอีกด้วย!
.
.
.
--------------------------------------------------------------------------------------



ประตูทองเหลืองเก่าคร่ำกะดำกะด่างไม่น่าดูถูกผลักให้เปิดกว้างเพื่อให้หญิงสาวร่างกลมกลึงก้าวเท้าเข้าไปด้านใน คนเดินนำเป็นหญิงกลางคนร่างท้วมสวมเสื้อแขนกระบอกสีพื้น กระโปรงดำอัดพลีทยาวครึ่งเข่า และสวมแว่นกรอบดำทรงสี่เหลี่ยมช่วยปิดบังรูปหน้าที่ค่อนข้างกลมไว้ได้ ที่สะดุดตาคือทรงผมที่ถูกดัดเป็นลอนฟูฟ่องไปทั้งศีรษะ

“ราคานี้พิเศษสุดๆแล้วนะคะคุณน้อง ถูกมากกก...” เจ้าตัวลากเสียงยาวแหลม ก่อนจะโปรยยิ้มกว้างอวดฟันค่อนข้างเหลืองของตน “แถวนี้ไม่มีที่ไหนให้เช่าถูกเท่านี้แล้วล่ะค่ะ”

ผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘คุณน้อง’ เป็นสาวน้อยวัยยี่สิบต้นๆ รูปร่างแม้จะไม่ได้เพรียวตามสมัยนิยม หากก็ไม่ได้อวบอ้วนจนเกินพอดี เรียกได้ว่าท้วมนิดๆพอน่ารัก แก้มยุ้ยๆแดงปลั่งเพราะเดินมาจากสถานีรถไฟฟ้าไกลพอควร กอปรกับแดดยามบ่ายจัดจ้าเสียจนแทบแผดเผาผิวกายให้มอดไหม้

ข้าวหอมขยับปลายหมวกให้ต่ำลงขณะกวาดสายตามองตัวบ้านสีครีมสูงสองชั้น สองห้องนอน สองห้องน้ำด้วยความสนอกสนใจ ทางด้านหน้าเป็นสนามหญ้าที่แม้จะไม่เขียวชอุ่มแต่ก็ยังพอมองออกว่าได้รับการดูแลอย่างดี

“หนูรู้นะคะว่าถูก แต่...บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ ไม่เก่ามากด้วยทำไมคุณป้าถึงให้เช่าถูกจังล่ะคะ หนูสงสัยเรื่องนี้เรื่องเดียวแหละค่ะ”

‘คุณป้า’ ยังคงโปรยยิ้มเช่นเดิม หากข้าวหอมเห็นอาการกระตุกชัดเจน แม้แต่ดวงตาภายใต้แว่นยังฉายชัดถึงความตื่นตระหนกเล็กน้อย

“ก็แหม...ป้าเองมีบ้านเช่าอยู่หลายหลัง ได้เงินแต่ละเดือนก็มากเกินพอแล้ว ก็เลยอยากปล่อยบ้านเช่าให้กับคน...เอ่อ...” สุพรรณีหยุดชะงักเพียงเล็กน้อย กวาดตามองเสื้อยืดคอย้วยๆ กับกางเกงสีซีดขาดแหว่งวิ่นตรงเข่าและดูเก่าเก็บราวกับใช้มาเป็นสิบปีของคนตรงหน้าแล้วเอ่ยต่อด้วยเสียงหวานๆ และรอยยิ้มบาดใจ “กับคนที่การเงินไม่ค่อยคล่องตัวเท่าไหร่น่ะจ้ะ ถือว่าช่วยๆ กันไป”

คนฟังพยักหน้ารับรู้ ก่อนพยายามโปรยยิ้มอย่างเข้าใจไปให้ ทว่าในใจรู้ดี...เหตุผลที่อีกฝ่ายให้มานั้นเป็นเพียงการแก้ตัวไม่ใช่เหตุผลจริงๆ ที่ปล่อยบ้านให้เช่าในราคาที่แม้จะเป็นบ้านเช่าในต่างจังหวัดก็ยังเรียกว่าถูกมาก แต่บ้านหลังนี้อยู่กลางตัวเมือง อยู่ในแหล่งชุมชน สิ่งอำนวยความสะดวกพรั่งพร้อม แต่ราคาเช่ากลับถูกเหลือเชื่อ แต่ก็นั่นแหละ...แม้จะสงสัย หล่อนก็ทำๆ เป็นลืมๆ ไป เพราะอย่างน้อยบ้านหลังนี้ก็ทำให้หล่อนประหยัดค่ากินค่าอยู่ได้เยอะเลยทีเดียว

ไม่ว่าบ้านเช่าหลังนี้จะมีอะไรแอบแฝงอยู่ ไม่ว่าอันตรายแค่ไหน หล่อนก็จะลองย้ายมาอยู่สักพัก ทำสัญญาเช่าสักสองเดือน ถ้ามันไม่ ‘เวิร์ก’ จริงๆ ค่อยหาที่ใหม่ก็ยังไม่สาย

“ราคาเดิมเหมือนตอนที่หนูมาถามคราวที่แล้วใช่ไหมคะ”

“จ้ะ ราคาเดิมเลยจ้ะ”

สุพรรณีล้วงพัดในกระเป๋าถือแบรนด์เนมขึ้นมาคลี่ออกแล้วโบกสะบัดไปมาช่วยให้คลายร้อนลงไปได้บ้าง ยิ่งในยามนี้...ตอนที่ลุ้นระทึกว่าสาวน้อยตรงหน้าจะเช่าหรือไม่เช่า อากาศรอบกายก็ดูจะอบอ้าวยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“คุณน้องเข้าไปดูในบ้านอีกรอบก็ได้นะจ๊ะ เชิญจ้ะเชิญ”

“ไม่ล่ะค่ะ หนูเพิ่งเข้าไปดูเมื่อเดือนที่แล้วเอง คุณป้าไม่ได้เปลี่ยนอะไรข้างในใช่ไหมคะ”

คนถูกถามส่ายหน้าดิก ยืนยันเสียงเข้มว่าไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว จะพูดให้ถูกคือเจ้าหล่อนแทบจะไม่เหยียบย่างเข้าไปด้านในเลยด้วยซ้ำไป

ข้าวหอมเดินดูรอบๆ บ้านอีกสักพัก จึงพยักหน้าตกลงทำสัญญาเช่าในที่สุด

“ตกลงค่ะ ทำสัญญาสองเดือนตามที่ตกลงกันไว้ก่อนนะคะ...ลองอยู่ดูก่อน ถ้าหนูชอบที่นี่หนูจะต่อสัญญาอีก”

คุณสุพรรณีแทบจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ รีบฉวยแฟ้มสัญญาที่ใส่กระเป๋าถือมาด้วยออกมา แล้วยื่นให้หล่อนทันที

“ลองอ่านอีกรอบดูนะจ๊ะ สัญญายังเป็นฉบับเดิม ป้าไม่ได้เปลี่ยนตรงไหนเลยจ้ะ” พูดพลางยื่นปากกาลูกลื่นให้ หญิงสาวรับมาถือไว้ หมุนควงปากกาด้ามนั้นเล่นตามความเคยชิน พร้อมกับกวาดสายตาอ่านสัญญาฉบับนั้นอย่างคร่าวๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ทันทีที่อ่านถึงบรรทัดสุดท้าย หล่อนก็จรดปลายปากกาลงบนช่องลายเซ็นทันที อุปาทานหรือไรไม่ทราบได้ พลันที่ปากกาแตะลงบนกระดาษ กลิ่นหอมรวยระรินของดอกไม้ชนิดหนึ่งก็ลอยมาตามลม หล่อนขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นกวาดตามองไปรอบๆกลับเห็นเพียงสนามหญ้า และต้นมะม่วงสองสามต้นเท่านั้น หาได้มีต้นไม้ต้นใดที่สามารถส่งกลิ่นหอมจรุงจนซ่านซึ้งไปทั่วทั้งโสตนาสิกเช่นนี้ได้เลย

“คุณน้อง คุณน้องขา เป็นอะไรไปคะ”

เสียงของสุพรรณีปลุกให้หล่อนตื่นจากภวังค์ หญิงสาวกะพริบตาถี่เร็วก่อนจะส่ายหน้า พึมพำว่าไม่เป็นไร จากนั้นจึงเซ็นชื่อลงบนสัญญา เสร็จแล้วจึงยื่นส่งคืนให้อีกฝ่าย

“พรุ่งนี้หนูย้ายเข้ามาอยู่ได้เลยใช่ไหมคะ”

“ได้เลยจ้ะ ได้เลย ถ้าคุณน้องอยากได้คนช่วยขนของ โทร.บอกป้าได้เลยนะ ป้าจะให้คนของป้ามาช่วย”

ข้าวหอมพึมพำขอบคุณ หันกลับไปมองบ้านทรงโคโลเนียลสองชั้นสีครีม ตระหง่านอยู่กลางแสงแดดด้วยความรู้สึกประหลาด ลางสังหรณ์บางอย่างบอกหล่อนว่า หากก้าวเข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว ชีวิตของหล่อนจะต้องเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง!



ที่อยู่เดิมของข้าวหอมเป็นเพียงห้องเช่าเล็กๆ ราคาถูกแถบชานเมือง หล่อนอยู่ได้สบายไม่เดือดร้อน ถ้าที่ทำงานใหม่จะไม่อยู่ไกลจนทำให้การเดินทางมาทำงานใช้เวลานานเกินไป เพราะเหตุนี้หญิงสาวจึงจำเป็นต้องหาที่อยู่ใหม่ใกล้ๆ ที่ทำงานซึ่งเป็นร้านอาหารแห่งหนึ่งในละแวกนี้ โชคดีที่หล่อนได้มาเจอบ้านปล่อยเช่าหลังนี้เข้า ตอนแรกคิดว่าค่าเช่าคงแพงเกินตัวจนสู้ไม่ไหว เกือบจะตัดออกจากตัวเลือกแล้ว แต่ไม่รู้อะไรมาดลใจให้หล่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.หาเจ้าของ เพราะเหตุนี้หล่อนจึงได้รู้ว่าบ้านหลังนี้ปล่อยให้เช่าในราคาที่พอๆ กับห้องเล็กๆ ที่หล่อนเคยอยู่...เป็นบ้านเช่าที่ถูกมาก ถูกเกินไปจนหล่อนหวั่นใจจึงยังไม่กล้าตัดสินใจทำสัญญาเช่าตั้งแต่แรก แต่คนอย่างข้าวหอมก็ไม่มีทางเลือกอะไรมากนัก อะไรที่ประหยัดได้ก็ต้องประหยัด ดังนั้นเมื่อมาดูบ้านครั้งที่สองหล่อนจึงตกลงทำสัญญาเช่าโดยไม่ลังเลอีกต่อไป

เนื่องจากข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวและเสื้อผ้าของข้าวหอมมีไม่มากนัก หล่อนจึงปฏิเสธคุณสุพรรณีที่จะให้คนมาช่วยขน หญิงสาวมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับกระเป๋าเดินทางเก่าๆ หนึ่งใบ ยืนสำรวจตัวบ้านที่ดูเงียบสงบด้วยความรู้สึกกึ่งพอใจกริ่งเกรง หล่อนจ้องอยู่อึดใจจึงค่อยสูดลมหายใจลึกแล้วเดินมาที่ประตูเล็ก ไขกุญแจเรียบร้อยจึงผลักประตูบานนั้นให้เปิดออก สาวเท้าเข้าไปด้านใน เดินไปตามถนนปูด้วยตัวหนอนซึ่งทอดยาวสู่บนไดเตี้ยๆ หน้าประตูไม้บานใหญ่

ข้าวหอมเดินอย่างรีบเร่งจนมาหยุดอยู่หน้าประตูบานนั้น ไขกุญแจและเปิดประตู ฉับพลันนั้นลมเย็นพัดโชยมาปะทะผิวกายอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หล่อนไม่รู้ว่าลมพัดมาจากไหน หรือเข้ามาจากทิศทางใดของตัวบ้านเพราะประตูและหน้าต่างล้วนแล้วแต่ปิดสนิททุกบาน หญิงสาวเริ่มรู้สึกหวาดๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว จึงยืนละล้าละลังอยู่เช่นนั้น และยิ่งลังเลเมื่อเสียงของผู้เป็นเพื่อนผุดขึ้นมาในความคิด

‘ระวังนะเว้ยไอ้ข้าว! บ้านถูกๆ แบบนั้นแสดงว่ามันต้องมีอะไร ที่ฉันเตือนก็เพราะเป็นห่วงไม่ได้ตั้งใจจะขู่ให้แกกลัวหรอกนะ’

ข้าวหอมกลัวจริงๆ...เพิ่งจะมารู้สึกกลัวจนขนลุกกราวก็ตอนนี้เอง

ทว่า...ความที่เป็นคนจิตแข็งมาตั้งแต่เด็กทำให้หล่อนกัดฟันสู้ หลับหูหลับตาก้าวพรวดเข้าไปด้านใน ยืนคว้างอยู่กลางห้องโถงที่มีแชนเดอเรียราคาแพงห้อยย้อยลงมาจากเพดาน หญิงสาวค่อยๆ เปิดเปลือกตาข้างซ้ายเมื่อไม่พบความผิดปกติใดๆ จึงพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ส่ายหน้าและหัวเราะเบาๆ กับความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองก่อนจะกวาดตามองโดยรอบอย่างละเอียด ทางด้านซ้ายของห้องโถงเป็นบันไดโค้งทอดขึ้นสู่ชั้นบนของบ้าน ทางด้านหลังมีประตูเปิดออกไปสู่ห้องครัวและห้องรับประทานอาหาร ส่วนทางซ้ายเป็นห้องรับแขกและห้องนั่งเล่น

ห้องรับแขกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์วินเทจสีขาว ทั้งตู้โชว์ ตู้วางโทรทัศน์ หรือโต๊ะตัวยาวหน้าโซฟาบุหนังสีน้ำตาลอ่อนล้วนฉลุลวดลายงดงาม ที่ติดกันนั้นเป็นห้องนั่งเล่น ข้าวหอมเดาว่าเจ้าของบ้านเดิมคงตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อให้ลูกๆเข้ามานั่งเล่นหรือทำการบ้าน เห็นได้จากมีของเล่นวางเรียงรายอยู่ในตู้ส่วนหนึ่ง และเบาะรองนั่งทรงกลมขนาดใหญ่แบบสี่ห้าคนโอบวางชิดผนังอีกด้าน ใกล้ๆกันนั้นมีโต๊ะทรงเตี้ยรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าพับวางพิงผนังอยู่ หล่อนมองสำรวจอีกครู่จึงเดินกลับมาหิ้วหระเป๋าเดินขึ้นไปยังห้องนอนซึ่งมีอยู่สองห้องนอน หล่อนเลือกห้องทางปีกซ้ายที่เคยเข้ามาสำรวจแล้วเมื่อเดือนก่อน

ข้าวของในห้องไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ทั้งเตียงขนาดหกฟุตซึ่งวางชิดผนังห้องด้านหนึ่ง โต๊ะทรงเตี้ยข้างเตียงมีโคมไฟวางตั้งอยู่ อีกฟากของห้องจัดไว้สำหรับนั่งอ่านหนังสือมีตู้หนังสือกรุกระจกสูงเกือบจดเพดานวางชิดผนัง ใกล้ๆกันนั้นเป็นโซฟาบุหนังปรับเอนได้ มีโต๊ะกลมวางอยู่ข้างๆ และมีเก้าอี้ทรงเตี้ยอยู่ข้างใต้ที่ผู้เป็นเจ้าของคงใช้สำหรับเหยียบขึ้นไปหยิบหนังสือที่วางอยู่ชั้นบนสุดลงมาอ่าน

ถัดจากมุมอ่านหนังสือเป็นห้องเล็กๆ สำหรับเก็บเสื้อผ้าและแต่งตัว มีฝาไม้ฉลุลายกั้นอยู่ ด้านหลังฝานั้นคือห้องอาบน้ำและห้องน้ำสร้างแยกกัน ข้าวหอมเดินสำรวจรอบห้องอีกครั้งก่อนจะลงมือเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ จัดวางของใช้ส่วนตัวจนเรียบร้อยจึงทิ้งกายลงนั่งตรงปลายเตียง

ผ้าปูที่นอนสะอาดและเรียบตึงเพราะคุณสุพรรณีให้คนมาเปลี่ยนให้ตั้งแต่เมื่อวาน ที่นอนกับหมอนใบใหญ่ก็เป็นของใหม่เช่นกัน ด้วยเหตุนี้หล่อนจึงค่อนข้างพอใจเพราะไม่ต้องเสียเงินซื้อข้าวของเครื่องใช้ใหม่เข้าบ้านเลยสักอย่างเดียว

ข้าวหอมกำลังจะลุกขึ้นยืนเพื่อลงไปสำรวจห้องครัว กลิ่นหอมของอะไรบางอย่างก็ลอยมาแตะจมูกอีกครั้ง เป็นกลิ่นหอมเดียวกับที่หล่อนได้กลิ่นเมื่อวานนี้ไม่ผิดเพี้ยน ขนในกายที่นอนนิ่งสงบพลันลุกชันขึ้นมาอีกครา เจ้าตัวต้องยกมือขึ้นกอดอกเมื่อรู้สึกห้องทั้งห้องอุณหภูมิต่ำลงอย่างน่าประหลาด

ปกติหล่อนไม่กลัวผี เพราะไม่เคยได้พบได้เห็นด้วยตาของตัวเองสักครั้ง กระนั้นหล่อนก็ไม่เคยลบหลู่ จึงรีบยกมือไหว้ปะหลกๆ

“ใคร...หรืออะไรก็ตามที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ได้โปรดอย่ามาหลอกหลอนเลยนะคะ ข้าวแค่มาขอพักอาศัย ไม่ได้มาทำร้าย” ว่าพลางกวาดตามองซ้ายขวาอย่างหวั่นๆ ปากก็พูดต่อไป “เราอยู่ด้วยกันอย่างสันติเถอะค่ะ ไว้ข้าวไปวัดเมื่อไหร่จะอุทิศส่วนกุศลให้นะคะ”

กลิ่นหอมนั้นค่อยๆจางไป อุณหภูมิที่ลดต่ำก็ค่อยกลับมาเป็นปกติดังเดิม ข้าวหอมลอบระบายลมหายใจยาว ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ทว่าในวินาทีนั้น เข่าหล่อนแทบทรุดเมื่อเห็นอะไรบางอย่างรางๆ อยู่ตรงหน้า ละม้ายห้องห้องนั้นกลายเป็นห้องอีกห้องหนึ่งก็ไม่ปาน หล่อนพยายามเพ่งมองให้เห็นชัดๆ แต่ทุกอย่างก็แผ่วจางและวูบไหวไปมาราวกับไม่มีอยู่จริง

ข้าวหอมคิดว่าสายตาของตนเองผิดปกติจึงรีบหลับตา พักสายตาอยู่ครู่ เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ภาพประหลาดตรงหน้าก็หายไปเสียแล้ว

หญิงสาวถึงกับถอนหายใจเฮือกกับตัวเอง พร่ำบ่นอย่างหัวเสียว่า

“เพราะแกเลยยัยปิ่น! พูดกรอกหูฉันซะเห็นภาพหลอนเลย!”

บ่นพึมพำอีกสองสามประโยคแล้วรีบเดินออกจากห้องไป ถ้าเหลียวหันมามองสักนิด หล่อนคงได้เห็นชายร่างสูงใหญ่ผิวคร้ามคมสวมเสื้อแขนกระบอกและนุ่งโจงกระเบนสีน้ำเงินเข้มยืนอยู่ริมหน้าต่าง เท้าแขนลงกับขอบหน้าต่างไม้ ทอดสายตาเหม่อมองออกไปเบื้องนอก ชมวิวทิวทัศน์ที่เป็นลำคลองสายหนึ่งมีเรือแล่นผ่านสองสามลำ หาใช่ถนนลาดยางที่มีรถวิ่งพลุกพล่านเช่นทุกวันนี้ไม่




ข้าวหอมเดินลงมาสำรวจห้องครัว ทอดสายตาอย่างพอใจเมื่อคุณสุพรรณีจัดการซื้อเครื่องครัวไว้ให้อย่างครบครัน ทั้งหม้อ กระทะ ตะหลิว ทัพพี ไมโครเวฟ ตู้เย็น จานชามและช้อนส้อมอีกจำนวนหนึ่ง ของพวกนี้หญิงสาวไม่ต้องควักเงินจ่ายเอง เพราะเจ้าของบ้านเช่าใจดีตระเตรียมไว้ให้พร้อมสรรพ ดูท่าคงหาคนมาเช่าบ้านหลังนี้อยู่นาน พอมีคนหลงเข้ามาถึงได้ลดแลกแจกแถมเสียยกใหญ่

หล่อนกวาดตามองห้องครัวและห้องรับประทานอาหารเล็กๆ อีกครั้ง ก่อนหมุนตัวเดินจากมา ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา พบว่าถึงเวลาต้องไปทำงานแล้ว หล่อนจึงเร่งฝีเท้าเดินกลับขึ้นไปบนห้อง รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีดำลายแมวน้อยฉีกยิ้มกว้างอวดฟันขาวเป็นระเบียบ กับกางเกงยีนสีซีด ฉวยรองเท้าผ้าใบที่เก็บอยู่ในกล่องออกมา ก้าวฉับๆ มาที่โต๊ะเครื่องแป้ง หยิบหวีขึ้นมาหวีผมหยักศกเล็กๆ ของตนเองอย่างลวกๆ หันซ้ายขวาสำรวจความเรียบร้อยก็รุดออกจากห้องโดยเร็ว

หล่อนไม่ชอบแต่งหน้า แต่ถ้าจะแต่งก็พอแต่งได้ เพียงแค่ทาแป้ง ปัดบลัชออนและทาลิปสติก เท่านี้ถือว่าไม่ลำบากอะไร แต่ถ้าวันไหนคิดจะเขียนไอน์ไลเนอร์ เขียนคิ้ว หรือปัดมาสคาร่าล่ะก็ ต้องเผื่อเวลาแต่งหน้าไปอีกครึ่งชั่วโมงหรือชั่วโมงเต็มๆ อีกทั้งหล่อนยังเห็นว่าการแต่งงานเป็นการเสียเวลาโดยใช่เหตุ เพราะถึงอย่างไรพอไปถึงที่ทำงานหล่อนก็ต้องแต่งหน้าใหม่อยู่ดี แถมมีคนแต่งให้ ไม่ต้องลำบากแต่งเองอีกด้วย

ข้าวหอมเป็นคนขาว แม้ไม่แต่งหน้า แต่พอออกกำลังเล็กๆ น้อยๆ ผิวแก้มของหล่อนจะมีเลือดฝากตามธรรมชาติ ใบหน้าเปล่งปลั่งสดใสโดยไม่ต้องแต่งอะไรให้มากมาย เพียงแค่หล่อนวิ่งกระหืดกระหอบลงมาชั้นล่าง มาสวมรองเท้าคู่ใจอยู่หน้าประตู แก้มของหล่อนก็ปรากฏรอยระเรื่อแล้ว

ข้าวหอมไม่ใช่คนสวยจนหนุ่มๆ ต้องเหลียวมอง เรียกว่าหน้าตาธรรมดาแบบกลืนไปกับฝูงชนได้ง่ายๆ ยิ่งถ้าหล่อนอยู่ท่ามกลางหญิงสาวสวย ขาว หุ่นดีด้วยแล้ว แทบจะไม่มีหนุ่มคนไหนสังเกตเห็นหล่อนเลยด้วยซ้ำ แต่ข้าวหอมไม่เคยน้อยใจในสิ่งนี้ หล่อนไม่ได้ห่วงสวย ไม่เคยสนว่าจะมีผู้ชายมาสนใจ หรือจะมีแฟนเมื่อไร ตอนไหน เพราะเหตุนี้ตั้งแต่เกิดจนอายุยี่สิบสอง หล่อนก็ยังไม่เคยคบผู้ชายเลยสักคน แต่ก็พอรู้จักความรักบ้าง เพราะเคยแอบหลงรักรุ่นพี่นักกีฬาบาสเกตบอลของโรงเรียนในตอนที่หล่อนอายุสิบสามสิบสี่...เป็นปั๊บปี้เลิฟที่ไม่ได้ลึกซึ้งมากมายอะไร นานวันเข้าหล่อนก็ลืมๆ ไปเสียแล้ว แม้แต่หน้าตาของรุ่นพี่คนนั้น หล่อนก็แทบจำไม่ได้

ครั้งหนึ่ง ปิ่นมณีเคยถามหล่อนว่า

‘แกไม่อยากมีแฟนเหมือนคนอื่นๆเขาเลยหรือวะไอ้ข้าว’

คนที่เพิ่งคบกับแฟนใหม่คนที่สี่ถามอย่างสงสัยจริงจัง หนำซ้ำยังคะยั้นคะยอให้หล่อนไปออกเดตกับเพื่อนของแฟนเสียอีก แต่ข้าวหอมปฏิเสธท่าเดียว

‘ไม่เอาอะ อยู่คนเดียวก็ดีอยู่แล้ว อยากทำไรก็ทำ อยากไปไหนก็ไป ไม่ต้องมาคอยถามว่าไปที่นู่นดีไหม ที่นี่ดีไหม เดี๋ยวก็ต้องมานั่งรอให้เวลาว่างตรงกันอีก วันดีคืนดีเดี๋ยวก็ทะเลาะกัน เดี๋ยวก็ดีกัน สามวันดีสี่วันไข้เหมือนแกละก็’ หล่อนสั่นศีรษะจนผมกระจาย ‘ฉันขออยู่เป็นโสดไปจนตายดีกว่า!’

‘เออ! แล้วฉันจะคอยดู! ไอ้คนที่พูดแบบนี้น่ะแต่งงานก่อนเพื่อนทั้งนั้น!’

ข้าวหอมรับฟังด้วยความขบขัน อยากจะแย้งเพื่อนเหลือเกินว่า ชาตินี้หล่อนคงไม่มีวันได้แต่งงานหรอก เพราะแม้แต่เนื้อคู่ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ!

สามปีผ่านมา ข้าวหอมยังคงครองตัวเป็นโสด ไม่มีใครเข้ามา และหล่อนก็ไม่สนใจใคร ไม่รู้หัวใจมันด้านชาต่อความรักหรือเปล่าจึงไม่รู้สึกหวั่นไหวกับผู้ชายคนไหนเลย นานวันเข้าปิ่นมณีก็อดบ่นพึมพำจามประสาคนขี้บ่นไม่ได้

‘พี่ต้นดีกับแกจะตาย ทำไมแกไม่รับรักวะ’

‘ก็...ไม่ได้รัก’

‘ดีขนาดนั้นแกยังไม่รักอีกหรือวะ ถ้าเป็นฉันนะ รีบตะครุบตั้งแต่เขาเข้ามาจีบแล้ว!’ เจ้าหล่อนทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ก่อนใช้สองมือจับหน้าหล่อนไว้มั่น จ้องลึกเข้าไปในดวงตาแล้วถามทีเล่นทีจริงว่า ‘แกกำลังรอเทพบุตรตกจากสวรรค์อยู่รึไง’

‘อืม...ความคิดแกเข้าท่าดีนะ ถ้าวันไหนมีเทพบุตรสุดหล่อมาหล่นตุบลงตรงหน้าฉัน ฉันจะไม่ปล่อยให้หลุดมือเลยเอ้า!’

คนเป็นเพื่อนถอนใจเฮือก ส่ายหน้าอย่างระอาแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยไปเลย คงรู้ว่าพูดเรื่องนี้ปากเปียกปากแฉะสักเท่าไหร่ ข้าวหอมก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจ

‘หัวใจแกน่ะมันตายด้านแล้วไอ้ข้าว! อยากรู้จริงจริ๊งว่าผู้ชายคนไหนจะทำให้แกหลงรักได้’

นึกมาถึงตรงนี้หล่อนก็อดหัวใจกับตนเองไม่ได้ เกือบสามปีแล้วที่ปิ่นมณีรอแต่ก็ได้แต่รอแกร่วอยู่เช่นนั้น เพราะหัวใจของหล่อนไม่เคยหวั่นไหวกับผู้ชายคนไหนแม้สักคนจริงๆ

ข้าวหอมสูดลมหายใจลึก ดึงตัวเองตื่นจากภวังค์ พร้อมกับผูกเชือกรองเท้าให้เสร็จ เมื่อเรียบร้อยก็รีบรุดมาที่ประตูใหญ่ทางด้านหน้า ครั้นปิดประตูและเดินจากมา ภาพอาคารก่ออิฐถือปูนสองชั้นด้านหลังหล่อนกลับมีภาพอีกภาพหนึ่งซ้อนทับอยู่ ภาพชายหนุ่มผู้หนึ่งกอดหนังสือเล่มหนึ่งด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างไพล่ไว้ทางด้านหลัง และกำลังเดินทอดน่องราวกับเพลิดเพลินกับการชมวิวทิวทัศน์โดยรอบ



เนื่องเพราะร้านอาหารที่ข้าวหอมทำงานอยู่นั้นอยู่ไม่ห่างจากบ้านเช่านัก หล่อนจึงไม่จำเป็นต้องนั่งรถเมล์ แท็กซี่หรือขึ้นรถไฟฟ้า เพียงเดินไปตามทางเดินเท้าลงไปทางทิศใต้ประมาณสิบนาที แล้วเลี้ยวเข้าซอยซอยหนึ่ง เดินไปอีกประมาณไม่กี่นาทีก็ถึงจุดหมายแล้ว

เหงื่อที่ผุดพรายมาตามไรผมและภายในร่มผ้าทำให้ข้าวหอมอึดอัด แต่พอก้าวพ้นประตูไม้ของร้านอาหารเข้าสู่พื้นที่อันร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ ลมพัดโชยแผ่วเบา หล่อนจึงรู้สึกสบายขึ้น และยังหายใจหายคอได้คล่องขึ้นเมื่อควันจากท่อไอเสียรถยนตร์เบาบางลงจนแทบไม่ได้กลิ่น


ผ่านพ้นประตูทางเข้าซึ่งเป็นไม้สักมีหลังคาและมีป้ายติดว่าเรือนพิกุล กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกพิกุลที่ปลูกทั้งสองฟากฝั่งประตูก็ลอยโชยมากระทบโสตประสาท ด้านในยังมีต้นพิกุลอีกเกือบสิบต้นปลูกเรียงรายไปตามทางเดินอิฐ สู่ตัวอาคารเรือนไทยสองชั้นยกพื้นสูง มีการผสมผสานศิลปะฉลุฉลายขนมปังขิงตามขอบหน้าต่าง ประตู และระเบียง ชั้นบนเป็นร้านอาหารโดยแบ่งพื้นที่ตรงการสำหรับการแสดงนาฏศิลป์ ละครรำ และดนตรีไทย ส่วนชั้นล่างจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ของเก่าซึ่งผู้เป็นมรดกตกทอดของผู้เป็นเจ้าของ

เลยออกไปทางด้านหลัง เป็นสระน้ำขนาดใหญ่ ล้อมรอบด้วยโต๊ะอาหารเรียงรายเป็นระเบียบ สำหรับผู้ที่ต้องการทานอาหารซึมซับบรรยากาศอันเงียบสงบเพียงอย่างเดียว บริเวณโดยรอบเป็นต้นไม้สูงใหญ่ประดับไฟสีนวลเย็นตา เฉพาะยามเทศกาลเท่านั้นจึงจะเปลี่ยนเป็นไฟหลากสี

ข้าวหอมชอบร้านอาหารแห่งนี้เป็นพิเศษ...ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่ก้าวผ่านประตูเข้ามาเลยด้วยซ้ำ หล่อนโชคดีที่ได้มาทำงานที่นี่ ทั้งๆ ที่เรียนไม่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก คุณนฤมลผู้เป็นเจ้าของกลับใจดีรับหล่อนไว้

หล่อนกับคุณนฤมลพบกันเมื่อสองเดือนก่อน ตอนนั้นหล่อนกำลังลำบาก เพราะแขกในร้านอาหารที่ทำงานอยู่พยายามลวนลามหล่อน ไม่มีใครช่วยหล่อน หรือจะพูดให้ถูกคือไม่มีใครกล้าช่วยเพราะเกรงว่าจะถูกเจ้านายไล่ออก หล่อนเองก็ไม่กล้าทำอะไรรุนแรงเพราะไม่อยากหางานทำใหม่ ด้วยวุฒิการศึกษาในเวลานั้นทำให้หล่อนต้องคิดก่อนจะทำอะไรลงไป

ระหว่างที่ยืนใช้ความคิดอยู่ คุณนฤมลก็เดินอาดๆ เข้ามาด่าทอชายผู้นั้นแล้วกระชากมือของหล่อนออกโดยแรง อีกทั้งยังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.แจ้งตำรวจอีกด้วย กลุ่มชายวัยกลางคนที่กำลังเมาได้ที่ พอเห็นว่าคุณนฤมลเอาจริงก็รีบออกไปจากร้านแทบไม่ทัน

ครั้นผ่านพ้นเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน ข้าวหอมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะยกมือไหว้คุณนฤมลอย่างสำนึกในบุญคุณ

‘ขอบคุณมากค่ะคุณ ขอบคุณที่ช่วยหนู’

‘ระวังๆ หน่อยนะหนู ผู้ชายเดี๋ยวนี้ไว้ใจไม่ได้เลย’ เธอว่าพลางพินิจหล่อนอย่างตั้งอกตั้งใจ ‘หนูใช่คนที่รำเมื่อกี้ใช่ไหมจ๊ะ รำฉุยฉายพราหมณ์น่ะ’

‘ค่ะ’ หล่อนพึมพำตอบอย่างงงๆ เพราะเวทีการแสดงอยู่ไกลเพียงนั้น คุณนฤมลไม่น่าจะจำหล่อนได้

‘หนูรำสวย ฉันชอบ’

เป็นคำชมที่หล่อนได้รับมาตลอดห้าปีขณะที่เรียนอยู่ในวิทยาลัยนาฏศิลป ผลการเรียนของหล่อนแม้ไม่ได้เป็นที่หนึ่งของรุ่น ไม่ได้เด่นที่สุด แต่ก็อยู่ในอันดับต้นๆ เวลามีงานข้างนอก ครูมักจะเลือกหล่อนด้วยเสมอ หล่อนย่อมดีใจเพราะเมื่อรับงาน หล่อนก็จะได้ค่าจ้างด้วยแม้จะเป็นเงินเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม

ชีวิตของหล่อนไม่ได้สวยหรู หล่อนไม่ร่ำรวย และไม่มีครอบครัวอบอุ่นเหมือนใครอื่น แม่ของหล่อนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่หล่อนอายุแปดขวบ หลังจากนั้นเพียงปีเดียว พ่อของหล่อนก็แต่งงานใหม่กับน้ากรองกาญจน์

แม่เลี้ยงของหล่อนเป็นผู้หญิงสวย ช่างแต่งตัว ผมดัดเป็นลอนเงางาม ใบหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอางไว้แทบตลอดเวลา เสื้อผ้าของน้ากรองกาญจน์ถ้าไม่เป็นสีแดง ก็สีเขียว เหลือง ส้ม ส่วนใหญ่เป็นสีฉูดฉาดแบบที่หล่อนไม่ชอบ เล็บมือตัดเป็นระเบียบ แวววาม และมักจะเคลือบยาทาเล็บสีแดงไว้เสมอ เนื้อตัวจะประพรมน้ำหอมจนฉุน หล่อนนิ่วหน้าทุกครั้งเวลาเข้าใกล้หรือเดินผ่าน หล่อนไม่เข้าใจว่าพ่อของหล่อนหลงรักผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไร น้ากรองกาญจน์ไม่มีอะไรเหมือนแม่เลยแม้แต่นิดเดียว

แม่ของหล่อนอ่อนหวาน เรียบร้อย ไม่แต่งหน้าแต่งตัวจนจัดจ้าน ไม่พรมน้ำหอมจนต้องเบือนหน้าหนีเช่นนี้ ยามอยู่ใกล้แม่ หล่อนรู้สึกเหมือนนั่งริมแม่น้ำที่ลมเย็นพัดโชย แต่กับน้ากรองกาญจน์ หล่อนรู้สึกเหมือนมีกองไฟสุมตัวหล่อนอยู่ พ่อของหล่อนไม่รู้สึกเช่นนี้เลยหรือ

...เป็นคำถามที่หล่อนถามตัวเองอยู่เป็นประจำ แต่พอผ่านพ้นไปสามสี่ปี หล่อนก็เลิกสนใจ

ในเมื่อพ่อของหล่อนรักผู้หญิงคนนี้ หล่อนก็จำต้องยอมรับให้ได้

ตอนแรกข้าวหอมไม่คิดจะเรียนนาฏศิลป์ แต่เมื่อน้ากรองกาญจน์บอกว่าอยู่ใกล้บ้าน เดินไปเรียนได้ไม่เปลืองค่ารถ แถมตอนเย็นเลิกเรียนปุ๊บก็กลับบ้านได้เร็ว ไม่ต้องพะวงกับรถติด

‘กลับบ้านเร็วก็มาช่วยดูร้านให้กรองได้ ไม่ดีหรือคะคุณ’

พ่อเพิ่งเปิดร้านอาหารจำพวกสเต๊กมาได้สองปี โดยให้น้ากรองกาญจน์ดูแลร้าน ส่วนพ่อไม่มีเวลาดูแลเพราะมีงานประจำทำอยู่...กรรมการผู้จัดการบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งเป็นงานที่เงินเดือนไม่ใช่น้อยๆ เรียกว่าหล่อนอยู่ได้อย่างสบาย ไม่ลำบากเลยแม้แต่นิดเดียว

ทว่า...ชีวิตของหล่อนเปลี่ยนแปลงไปนับตั้งแต่น้ากรองกาญจน์เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกัน

พ่อของหล่อนหลงใหลผู้หญิงคนนี้มาก ไม่ว่าหล่อนจะพูดอะไร พ่อก็เชื่อหมดทุกอย่าง ความรัก ความสนิทสนมที่มีมาก่อนหน้านั้นเริ่มห่างหาย หล่อนรู้สึกเหมือนพ่อเป็นคนแปลกหน้า ยิ่งเมื่อน้ากรองกาญจน์มีลูกติดวัยกำลังน่ารัก พ่อก็หันไปเอาใจใส่เด็กคนนั้นมากกว่าหล่อน

ข้าวหอมรู้สึกเคว้งคว้างอยู่หลายปี จนปีที่หล่อนอายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์ ทุกอย่างยิ่งแย่ลงกว่าเดิม พ่อของหล่อนประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต หล่อนต้องอยู่ในความดูแลของน้ากรองกาญจน์ หล่อนต้องซักผ้า ล้างจาน ทำอาหาร ทำความสะอาดบ้านด้วยตัวเองตามคำสั่งของเธอเพื่อประหยัดค่าจ้างแม่บ้านแต่ละเดือน ยิ่งไปกว่านั้น น้ากรองกราญจน์ยังเอาสมบัติของพ่อไปเล่นพนัน เล่นหุ้นจนหมด และยังเป็นหนี้นอกระบบอีก จำต้องขายบ้าน ขายร้าน และย้ายมาอยู่ห้องเช่าเล็กๆ ราคาถูก ส่วนหล่อนก็ต้องหางานทำเพื่อนำมาเป็นค่าเทอม ค่าใช้จ่าย และช่วยแม่เลี้ยงของหล่อนใช้หนี้ด้วย ครั้นไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม หล่อนก็จำต้องออกจากโรงเรียน ในเวลานั้นหล่อนเพิ่งเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า

อีกหนึ่งปีถัดมา น้ากรองกาญจน์ได้แฟนใหม่ เป็นวิศวกรชาวต่างชาติ และย้ายออกจากบ้านไปอยู่กับเขาทันทีหลังจากคบกันได้เพียงสองเดือน แต่ก็ยังใจดีอยู่บ้างที่ชดใช้หนี้ของตัวเองจนหมด หล่อนต้องอยู่คนเดียวนับตั้งแต่นั้น ต้องหางานทำ ไม่ว่างานอะไรหล่อนก็ทำได้หมด ทั้งพนักงานเสิร์ฟ ล้างจาน แจกใบปลิว รับงานรำบ้างบางครั้ง เพิ่งจะมีงานมั่นคงขึ้นก็ที่ร้านแห่งนี้ แต่ค่าตอบแทนที่น้อยนิดอีกทั้งเจ้าของร้านยังเบี้ยวไม่จ่ายเงินเดือนเป็นเดือนสองเดือนทำให้หล่อนอยากหางานใหม่ โชคดีที่คุณนฤมลสนใจในตัวหล่อน

‘มาทำงานกับฉันไหม รับรองว่าค่าตอบแทนดี แต่ฉันไม่มีที่อยู่ให้นะ หนูต้องหาเอง’

ไม่ต้องเสียเวลาคิด ข้าวหอมตอบตกลงทันควัน และเพราะเหตุนี้ หล่อนจึงย้ายมาอยู่บ้านเช่าราคาถูกหลังนั้น

ความคิดของหล่อนสะดุดลงเมื่อแว่วเสียงคุณนฤมลดังขึ้นทางด้านหลัง

“หนูข้าว! ยืนเหม่ออะไรอยู่จ๊ะ” เอ่ยพลางกอดไหล่หล่อนเดินขึ้นไปยังชั้นสองของตัวอาคาร “เมื่อวานตอนที่ฉันไปส่งสตีฟ เขาชมหนูเปาะเลยน้า แถมยังฝากของขวัญมาให้ด้วย”

สตีฟเป็นชาวต่างชาติวัยหกสิบ ชื่นชอบรำไทยเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะยามที่หล่อนรำให้เขาดู

เขาไม่ได้ชอบหล่อนในเชิงชู้สาว แต่ชอบการแสดงของหล่อนมาก อีกทั้งยังเอ็นดูหล่อนเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง เวลาเขาแวะมาที่ร้านจึงมักเรียกหล่อนไปพบพูดคุย หรือไม่ก็มีของขวัญติดไม้ติดมือมาให้อยู่เสมอ

“ของขวัญหรือคะ?”

“จ้ะ” ตอบพลางยิ้มกว้าง แล้วรุนหลังหล่อนเข้าไปยังห้องสำนักงานซึ่งเปิดไฟสว่างอยู่แล้ว คุณนฤมลก้าวฉับๆ ไปนั่งตรงเก้าอี้ไม้ตัวยาววางชิดผนัง วางถุงหิ้วสีขาวที่ถือมาด้วยลงบนโต๊ะอย่างระวัง แล้วหยิบกล่องกล่องหนึ่งขึ้นมายื่นให้หล่อน

“ของหนูจ้ะ”

ข้าวหอมรับมาถือไว้ ก้มมองก็พบว่าเป็นกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินขนาดใหญ่กว่ามือหล่อนเล็กน้อย

“เปิดดูสิจ๊ะ”

หญิงสาวทำตาม ค่อยๆ เปิดฝากล่องอย่างระมัดระวัง สิ่งแรกที่กระทบตาหล่อนคือประกายทองแวววาวจากทับทรวงทองคำประดับเด่นด้วยทับทิมและมรกต เห็นคราแรกหล่อนตราพร่า และใจสั่นราวกับจะเป็นลม

ความผิดปกติในร่างกายทำให้หล่อนรีบเงยหน้าขึ้น แทนที่จะดีขึ้น หัวใจหล่อนแทบหยุดเต้นเมื่อพบว่าด้านหลังคุณนฤมลนั้นมีชายผู้หนึ่งยืนอยู่ หน้าตาเป็นอย่างไร หล่อนไม่ทันได้มอง เพราะในวินาทีถัดมา ตัวเขากลับโปร่งแสง และดูเลือนๆ จนแทบจะเลือนหายไปต่อหน้าต่อตาหล่อน

ข้าวหอมผงะถอยหลัง ดวงตาเบิกกว้างขึ้น ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม

ผู้ชายคนนี้...เข้ามาได้อย่างไร เป็นใคร และทำไมหล่อนจึงเห็นเขาอย่างรางเลือนเช่นนี้


...เป็นเพราะหล่อนตาพร่าจนมองภาพทุกอย่างเลือนไปหมด หรือสิ่งที่หล่อนเห็นไม่ใช่คน...แต่เป็นผี!



ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 พ.ค. 2559, 07:03:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 พ.ค. 2559, 10:07:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 1329





   บทที่ ๒ - อีกฟากหนึ่งของกาลเวลา >>
แว่นใส 9 พ.ค. 2559, 08:11:33 น.
เพิ่มตรงสร้อยนี่มั้ง


Zephyr 9 พ.ค. 2559, 16:39:55 น.
เอ ลดอายุนางเอกลงป่ะคะ เปลี่ยนเป็นรำด้วย
เดิมนางม้าดีดกะโหลกจะแย่
มีสร้อยเพิ่มมา สตีฟอีก
คุณหลวงออกนอกบ้านได้ด้วยแหะ คราวนี้
เราจำถูกเรื่องมั้ยเนี่ย อิอิ
ยังไงก็ติดตามค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account