เพรงพรหมข้ามภพ
บ้านเช่าหลังหนึ่งนำพาหล่อนให้พบกับเขา 'หลวงเดชาอักษร' ผู้ซึ่งกล่าวหาว่าหล่อนเป็นสตรีวิปลาสในคราวแรกที่ได้พบกัน อีกทั้งยังบอกว่าหล่อนหน้าตาเหมือนเจ้าสาวของเขาที่หายตัวไปเมื่อสามปีก่อน!
โชคชะตากำลังกลั่นแกล้งกับหล่อนหรือไร จึงทำให้หล่อนข้ามผ่านกาลเวลา มาโผล่บนเรือนของคุณหลวงผู้นี้ และจำต้องปลอมตัวเป็น 'แม่วาด' เจ้าสาวที่หายตัวไปของเขาอีกด้วย!

Tags: พีเรียด,รัตนโกสินทร์ตอนต้น,ลิขิตเหนือกาล

ตอน: บทที่ ๒ - อีกฟากหนึ่งของกาลเวลา




สยาม , พ.ศ. ๒๓๘๒

ดาบที่วางอยู่บนโต๊ะเป็นดาบยาวโค้ง สันดาบหนาก่อนลาดลงเป็นรูปลิ่มตรงส่วนปลายกลายเป็นดาบอันคมปลาบ ปลายดาบแหลมและงอนเล็กน้อยเป็นลักษณะของดาบหัวปลาซิวซึ่งนิยมกันในสมัยรัตนโกสินทร์ ด้ามดาบแกะสลักคำว่า ‘พลอย’ รอยสลักค่อนข้างลึกและยังชัดเจนอยู่ราวกับเพิ่งได้รับการสลักมาเมื่อไม่นานนี้ มองเพียงผิวเผินย่อมรู้ว่าดาบนี้เป็นดาบใหม่ แทบไม่ผ่านการใช้งานเลยด้วยซ้ำ ดูได้จากคมดาบที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์มีรอยบิ่นเพียงสองสามรอย ในขณะดาบที่วางข้างๆ ทั้งเก่าคร่ำ และมีรอยบิ่นเกือบสิบรอย แสดงถึงการใช้งานมาอย่างสมบุกสมบัน ตรงด้ามดาบได้สลักคำว่าบุญไว้ ส่วนปลายดาบนั้นมีลักษณะต่างออกไป คือปลายดาบคล้ายมีดโต้[1] เรียกกันว่าดาบหัวปลาหลด ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยกรุงศรีอยุธยา

ยังมีดาบอีกเล่มที่ชายผู้หนึ่งถืออยู่ มือข้างหนึ่งกำด้ามดาบไว้ แล้วใช้ผ้าผืนเล็กบรรจงเช็ดปลายดาบด้วยมืออีกข้างหนึ่งอย่างระมัดระวัง ดาบเล่มนี้น่าจะใช้งานมาพอสมควรแล้ว ดูได้จากรอยบิ่นตรงคมดาบซึ่งมีอยู่หลายรอย ส่วนด้ามดาบไม่มีรอยสลักใดๆ ทั้งสิ้น

เขานั่งเช็ด ทำความสะอาดอย่างตั้งใจจนเสร็จ จึงนำดาบทั้งสามเล่มกลับไปวางบนแท่นวางซึ่งแขวนติดข้างฝาในระดับสูงเหนือศีรษะเล็กน้อย วางดาบทั้งสามเรียงกันเรียบร้อย ยังไม่ทันได้ขยับตัวไปไหน เสียงตึงตังด้านนอกห้องก็ทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว

เสี้ยวขณะนั้นเอง เสียงแหบห้าวของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น

“คุณหลวงขอรับ! แย่แล้วขอรับคุณหลวง!”

น้ำเสียงร้อนรนปนเหนื่อยหอบทำให้คิ้วที่ขมวดเข้าหากันยิ่งผูกกันเป็นปม ดวงตาดำจัดล้อมกรอบด้วยแพขนตายาวหรี่ลงเล็กน้อยอย่างใช้ความคิด ก่อนผู้เป็นเจ้าของจะสาวเท้ายาวๆ ตรงไปยังประตูห้องซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่ง เขาถอดดาลประตูออกอย่างว่องไว และเมื่อเปิดประตูก็เห็นชายร่างผอมผู้หนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าแดงก่ำ

“เป็นเรื่องอีกแล้วขอรับคุณหลวง!”

“กระไรของเอ็งวะไอ้มิ่ง” สุ้มเสียงละม้ายหงุดหงิด หากสีหน้ายังเรียบเฉยราวกับมิได้รู้สึกอันใด “เรื่องใหญ่โตอันใดถึงได้วิ่งหน้าตาตื่นมาหาข้าเช่นนี้”

พร้อมกับถาม ดวงตาของเขาพลันสว่างวาบขึ้นมาราวระลึกได้

“หรือว่าคุณน้า...” ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรมากกว่านั้น เพราะเพียงสบตากับอีกฝ่ายก็เข้าใจเรื่องราวทุกอย่างโดยไม่ต้องเสียเวลาอธิบายใดๆ "อีกแล้วรึ"

ชายหนุ่มถอนใจหนักหนึ่งครา ก่อนพยักหน้า

“ไป! รีบไป!”

ได้ยินดังนั้น นายมิ่งก็ผุดลุก รีบเดินจ้ำอ้าวนำหน้า ลงจากเรือนตรงไปยังท่าน้ำทันที

เรือพายอันเป็นพาหนะสัญจรของผู้คนในสมัยนั้นจอดอยู่ตรงบันไดท่าน้ำ ทั้งสองรีบขึ้นเรือ และเมื่อนั่งเรียบร้อยแล้ว นายมิ่งก็รีบจ้วงพายอย่างไม่รีรอ

“ทางนู้น มิรู้จักทำอันใดแล้วขอรับ ถูกไล่ตะเพิดออกมาหมด นี่คุณหญิงก็อยู่ในห้องเพียงลำพัง มิรู้ว่าจักเกิดกระไรขึ้นฤๅไม่”

ประโยคท้ายหายไปในลำคอราวกับผู้พูดไม่ปรารถนาจะพูดมันออกมา

“แล้วตามหมอแล้วรึ”

“ป้าผาดให้ไอ้ทองมันไปตามแล้วขอรับ แต่...คุณหลวงก็รู้ คราวที่แล้วตามหมอมาก็หาช่วยได้ไม่ มีแต่คุณหลวงเพียงคนเดียวขอรับที่ช่วยได้”

คนฟังทำสีหน้าหนักใจพลางพยักหน้า นิ่งไปครู่หนึ่งจึงเอี้ยวตัวไปถามคนที่นั่งด้านหลัง

“ได้ข่าวแม่วาดบ้างฤๅไม่”

คนถูกถามส่ายหน้า แล้วบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ

“ทางข้าก็หาได้ข่าวคราวอันใดไม่...สามปีแล้วหนาไอ้มิ่ง จู่ๆ แม่วาดก็หายตัวไป ตามหาร่องรอยมิพบเช่นนี้ เป็นเพราะเหตุใดกัน” เขาถอนใจเป็นคำรอบสอง “สงสารก็แต่น้าอร กินมิได้นอนมิหลับจนล้มป่วยสติมิอยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้ ทางรักษาคุณน้า ข้ามิเห็นหนทางใดนอกจากให้แม่วาดกลับมา”

หนทางนี้แม้จะแก้ปัญหาได้ หากคนพูดก็รู้ดีว่าเป็นไปได้ยากยิ่งนัก

...สามปีอันไร้ร่องรอย หากแม่วาดปรากฏตัวอีกครั้งก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว



ใช้เวลาไม่นานเมื่อไอ้มิ่งพายเรือขึ้นเหนือมาประมาณร้อยเมตรก็ถึงจุดหมาย เรือนไทยห้าหมู่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแมกไม้ ต้องเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณห้าสิบเมตร ทั้งสองเร่งฝีเท้าจนเกือบเป็นวิ่ง ในขณะที่บ่าวไพร่เดินกันขวักไขว่ บ้างก็วิ่งจนแทบจะชนกัน ใครคนหนึ่งพอหันมาเห็นผู้มาเยือน ก็รีบพาร่างตุ้ยนุ้ยของตนเองวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา

“คุณหลวงเจ้าขา!”

ป้าผาดหายใจหอบ อ้าปากพะงาบๆ อวดฟันสีดำของตน

“รีบเถิดเจ้าค่ะ คุณหญิงมิยอมให้ใครเข้าไปเลยเจ้าค่ะคุณหลวง”

“แล้วหมอเล่า มาหรือยัง”

“มาแล้ว แลเพิ่งกลับไปเมื่อครู่เจ้าค่ะ” นางยกผ้าซับน้ำหมากสองสามครั้ง ก่อนส่ายหน้า “เหมือนทุกครั้งแหละเจ้าค่ะ” ครั้นขึ้นมาถึงชานเรือน นางจึงหันมามองคนที่เดินตามหลังด้วยแววตาขอบคุณ “คุณหลวงมาเช่นนี้ อิฉันก็เบาใจ”

หารู้ไม่ว่าประโยคนั้นทำให้คนฟังหนักใจไม่น้อย เพราะถึงแม้คราก่อนๆ เขาช่วยให้คุณหญิงอร ‘สงบ’ ลงได้ แต่ครานี้จะเป็นเช่นไรเขาก็หารู้ไม่

ชายหนุ่มแตะมือป้าผาดแผ่วเบา ก่อนเร่งฝีเท้าตรงไปยังห้องนอนของคุณหญิงอร ตรงหน้าห้องมีบ่าวไพร่มานั่งออกันหลายสิบคน บ้างก็เป็นห่วงเป็นใย บ้างก็อยากรู้อยากเห็นมากกว่าอื่นใด ครั้นคนเหล่านั้นหันมาเห็นเขาก็พากันขยับแหวกเป็นช่องตรงกลางให้เขาเดินเข้าไปได้สะดวก

ชายหนุ่มเดินไปถึงประตู ไม่ต้องเงี่ยหูฟังก็ได้ยินเสียงคนที่อยู่ข้างในชัดเจน...เสียงร้องไห้ เสียงสะอื้น คร่ำครวญ และกรีดร้องอย่างเจ็บปวด เป็นเวรกรรมอันใดหนอ คุณหญิงอรจึงกลายเป็นเช่นนี้ได้ หากจะโทษก็คงต้องโทษแม่วาดที่หายตัวไปเมื่อสามปีก่อน

คืนเข้าหอที่มีเพียงเจ้าบ่าวอยู่ลำพังในห้องเพียงผู้เดียว...ส่วนเจ้าสาวหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย!

แม่วาดหายไปไหน เกิดเหตุร้ายแรงอันใดขึ้นฤๅไม่ สามปีผ่านมาแล้วเขาก็ยังไม่อาจสืบรู้ และอาจจะไม่รู้ต่อไปจนกว่าเจ้าสาวของเขาจะกลับมา

“คุณน้าขอรับ” เขาเคาะประตูห้องแล้วใช้น้ำเสียงอ่อนโยนกับท่าน “กระผมเองขอรับ”

มีความเงียบงันในห้องนั้นอยู่อึดใจ ก่อนจะได้ยินเสียงข้าวของร่วงหล่น ตามมาด้วยเสียงฝีเท้า และเสียงกระซิบถามร้อนรน

“พ่อเดช พ่อเดชใช่ฤๅไม่”

“ใช่ขอรับคุณน้า กระผมเองขอรับ”

สิ้นเสียงนั้น ประตูห้องก็เปิดออก สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ปรากฏกายต่อหน้าเขา คุณหญิงอรผอมลงมาก หน้าซูบตอบซีดเซียวจนแทบไร้สีเลือด ดวงตาบวมเป่งและแดงก่ำ คงเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก

“กระผมมาแล้วขอรับ”

เขาแตะมือลงบนต้นแขนของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา และระมัดระวัง เพียงแค่นั้นคุณหญิงอรก็สะอื้นไห้แล้วโผเข้ากอดรัดเขาราวกับต้องการยึดเขาไว้เป็นที่พึ่ง

“พ่อเดช ชะ...ช่วย ช่วยแม่...ตามหา...ละ...ลูกวาดด้วย ช่วยด้วย...”

“ขอรับ กระผมตามหาทุกวันเลยขอรับ” ว่าพลางประคองคุณหญิงอรเข้าไปในห้อง ซึ่งบัดนี้ข้าวของหล่นเกลื่อนกลาดกระจัดกระจายไปหมด “กระผมเชื่อว่าสักวันเราจ้องเจอแม่วาดขอรับ”

“สักวัน...วันไหนเล่า อีกนานแค่ไหน หืม พ่อเดช”

อีกนานแค่ไหน เขาคิดว่า...ไม่มีวัน แต่จะให้ตอบไปตามตรง เขาก็เกรงว่าคนตรงหน้าจะอาละวาดขึ้นมาอีก ชายหนุ่มจึงโปรยยิ้ม...เป็นยิ้มที่น้อยคนนักจะได้เห็น

“อีกไม่นานดอกขอรับ”

“จริงรึ” ผู้สูงวัยกว่าถามเสียงสั่น ดวงตาวาบขึ้นด้วยความหวัง “พ่อเดชพูดจริงๆ รึ”

“เชื่อใจกระผมฤๅไม่ขอรับ”

เมื่อคุณหญิงพยักหน้า เขาก็ใช้มือบีบมือของท่านเบาๆ

“ถ้าเชื่อกระผมก็นอนพักเสียขอรับ” คุณหญิงสงบลงบ้าง แต่ยังฮึดฮัดดื้อดึงอยู่เล็กน้อย เขาต้องใช้เวลาปลอบอีกสักพักใหญ่ ท่านจึงยอมนอนลงบนเตียงแต่โดยดี

“อีกไม่นาน กระผมจักพาแม่วาดกลับมาหาคุณน้า”

ราวกับหมดสิ้นความกังวลใดๆ คุณหญิงอรค่อยๆ ผิดเปลือกตา น้ำตายังซึมอยู่ตามขนตายาวงอน ‘พ่อเดช’ หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาบรรจงซับให้อย่างเบามือ นานเท่านานกว่าลมหายใจของท่านจะสม่ำเสมอ เขาทอดถอนใจอีกครา แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กวาดตามองทั่วห้องอีกพักหนึ่งก่อนจะจรดปลายเท้าตรงไปยังประตู แต่ชั่วขณะนั้นเอง ปลายหางตาของเขากระทบกับสิ่งแปลกประหลาด

คลับคล้ายเป็นสตรีผู้หนึ่ง ใครที่ไหนหารู้ไม่ แต่หล่อน...มาปรากฏตัวอยู่ในห้องนี้ได้เยี่ยงไร!

เขารีบหันไปมองทันได้เห็นสตรีผู้นั้นยืนอยู่กลางห้องและกำลังเงยหน้ามามองเขา

ครั้นตาสานสบตา หล่อนก็ผงะถอยหลัง ดวงตากลมโตวาววามเบิกกว้างเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

ริมฝีปากอิ่มเต็มเผยออ้า และค้างอยู่เช่นนั้น จนแมลงวันแทบจะลอยเข้าไปอยู่รอมร่อ

หล่อน...เสมือนคนรู้จัก และเสมือนคนแปลกหน้าในคราวเดียวกัน

ใบหน้าที่เขาเห็นในตอนนี้ แม้จะรางเลือนแต่เขาก็จำได้ว่ามันคือใบหน้าของแม่วาด...เจ้าสาวของเขาที่หนีคืนแต่งงานเมื่อสามปีที่แล้ว

แต่หล่อนกลับไม่เหมือนเสียทีเดียวเพราะผ้าผ่อนที่หล่อนสวม อีกทั้งท่าทางของหล่อน ผิดแผกไปอย่างสิ้นเชิง

...ก็จะมีสตรีใดเล่าที่สวมผ้าผ่อนแปลกตาและทำท่าทางไม่สำรวมกิริยาเช่นนี้

หล่อนเป็นใครมากจากไหน แล้วปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เวลานี้ และต่อหน้าเขาได้อย่างไรทั้งที่ประตูปิดอยู่

เขาไม่เชื่อเรื่องภูตผี แต่เขาก็ไม่ลบหลู่ ดังนั้นการปรากฏตัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของสตรีผู้นี้ จะคิดเป็นอื่นใดได้อีก

หรือ...ที่เขาโจษจันกันว่าคุณหญิงอรถูกผีสิงจะเป็นเรื่องจริง!





กรุงเทพมหานคร , พ.ศ.๒๕๕๙

ข้าวหอมตกใจแทบสิ้นสติ

หล่อนไม่เคยพบเจอเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้มาก่อนเลย...จะว่าหล่อนทำงานหนักจนเห็นภาพลวงตาก็ไม่น่าจะใช่ หล่อนไม่น่าจะจินตนาการถึงผู้ชายที่หล่อนไม่เคยพบหน้ามาก่อนอย่างชัดเจนเช่นนี้ได้ ยิ่งเขาสวมชุด ‘โบราณ’ ราวกับนักแสดงละครพีเรียดเช่นนี้ด้วยแล้วก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่

แล้วเขาจะเป็นใครไปได้...

ไม่ใช่คน ไม่ใช่ภาพในจินตนาการ ไม่ใช่ภาพลวงตา กอปรกับร่างกายที่บางคราชัดเจน บางคราโปร่งแสงด้วยแล้ว คำตอบที่หล่อนหาได้ในตอนนี้มีเพียงข้อเดียว...เขาไม่ใช่คน!

ข้าวหอมเบิกตาโตและยิ่งปากอ้ากว้างกว่าเดิมขณะให้ข้อสรุปกับตนเอง

จริงล่ะหรือ? ที่หล่อนเห็น ไม่ใช่คนแต่เป็น...ผะ...ผี!!

หล่อนตัวแข็งค้าง จ้องชายผู้นั้นเขม็ง...เปล่าหรอก ไม่ได้อยากจะจ้องเอาๆ แบบนี้หรอกนะ แต่ไอ้ตาเจ้ากรรมมันกลับเบนหลบไปทางไหนมาได้เลย ตัวของหล่อนก็เช่นกัน ณ ตอนนี้ แม้แต่ขยับขาก็ยังทำไม่ได้ ราวกับหล่อนเป็นตะคริวไปทั้งตัวแล้ว!

ไอ้ข้าวเอ๊ย! จะมาเห็นผีเอาทำไมตอนนี้วะ!...อายุก็ยังไม่ถึงเบญจเพสนี่หว่า ทำไมถึงซวยงี้วะ!

เจ้าหล่อนคงจะพร่ำบ่นในใจเช่นนั้นไปอีกนานถ้าไม่เพราะคุณนฤมลร้องทักอย่างตกอกตกใจ

“หนูข้าว เป็นอะไรนั่น!” ถามพลางโผเข้ามาเขย่าตัวหล่อน “เป็นอะไร ไม่สบายตรงไหน”

วินาทีนั้นหล่อนจึงได้สติ กะพริบตาเพียงหนึ่งครั้ง ภาพ ‘ผี’ ตนนั้นก็หายไปจากคลองจักษุของหล่อนเสียแล้ว

ข้าวหอมพรูลมออกจากปากอย่างโล่งอก ขณะที่หัวสั่นคลอนตามแรงเขย่าของคุณนฤมล

“หนูข้าว! ได้ยินฉันไหม หนูข้าว!”

หล่อนไอโขลกๆ พลางส่งเสียงอือออ เสียงของหล่อนแหบแห้งราวกับเพิ่งวิ่งหนีอะไรสักอย่างอย่างสุดชีวิตมาหลายกิโลเมตร

“มะ...ไม่เป็นไร...ละ...แล้วค่ะ” พอคุณนฤมลหยุดเขย่าตัวหล่อน ข้าวหอมก็สูดลมหายใจลึก เอ่ยด้วยเสียงที่ชัดเจนขึ้น “หนูไม่เป็นไรค่ะ เมื่อกี้แค่ตกใจอะไรบางอย่าง”

“ตกใจอะไรจ๊ะ”

ข้าวหอมไม่กล้าบอกความจริง เกรงว่าคุณนฤมลจะมองว่าหล่อนเป็นบ้า หรือไม่ก็เป็นเด็กขี้โกหก หล่อนจึงได้แต่ยืนด้ำอึ้งอย่างคิดหาคำตอบที่เหมาะสมกว่าเห็นผีตัวเป็นๆ โชคเข้าข้างหล่อนเมื่อเสียงโทรศัพท์ของคุณนฤมลดังขึ้นอย่างพอดิบพอดี เธอรีบกดรับ พูดคุยกับทางปลายสายสองสามประโยคก็ลืมเลือนเหตุการณ์เมื่อครู่ไปเสียสิ้น

“สตีฟน่ะจ้ะ เขาถามว่าหนูข้าวชอบของขวัญที่เขาให้ไหม”

คำถามนั้นทำให้หล่อนรู้สึก...เจ็บ

หล่อนกำทับทรวงเสียแน่นจนขอบแหลมๆ ของมันแทงเข้าไปในเนื้อของหล่อน ข้าวหอมรีบคลายมือ จึงได้เห็นเลือดซิบๆ อยู่สองสามจุด

“ว่าไงจ๊ะ หนูข้าวชอบหรือเปล่า”

“ชอบค่ะ ชอบมาก” หล่อนละล่ำละลักตอบ รีบนำทับทรวงเก็บในกล่องตามเดิม “ฝากขอบคุณคุณสตีฟด้วยค่ะ ไว้พบกันคราวหน้า หนูจะตอบแทนสำหรับของขวัญล้ำค่าชิ้นนี้”

พูดจบก็รีบขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมแสดงในคืนนี้ แล้วรีบผลุนผลันออกไปอย่างรวดเร็วไม่ทันให้คุณนฤมลได้ทันร้องเรียกหรือทักท้วง

ข้าวหอมขึ้นรำฉุยฉายพราหมณ์ด้วยใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก แม้การรำของหล่อนจะงดงามไม่มีที่ติ แต่สีหน้าและสายตาเป็นกังวลจนคุณนฤมลอนุญาตให้หล่อนกลับบ้านเร็วกว่าปกติ

“ฉันว่าหนูไม่สบายแน่เลย วันนี้พอแค่นี้ดีกว่า กลับไปพักผ่อนเถอะ”

“หนูยังไหวค่ะ”

แม้หล่อนจะยืนยันเช่นนั้น แต่คุณนฤมลไม่เห็นด้วย ไล่หล่อนกลับท่าเดียว

“ฉันไม่อยากถูกว่าว่าเป็นเจ้านายใจร้าย ใช้แรงงานเด็กราวกับทาสหรอกนะ ไปเถอะ รีบกลับไปพักผ่อนซะ ถ้าพรุ่งนี้ไม่ไหวก็หยุดได้ ฉันไม่ว่าหรอก”

ข้าวหอมไม่ดื้อดึงอีก หล่อนรีบยกมือไหว้ เอ่ยขอบคุณ ก่อนเข้าห้องแต่งตัวไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดเดิม เมื่อเรียบร้อยดีแล้วจึงเร่งฝีเท้ากลับไปยังบ้านเช่าของตนเอง

ข้าวหอมรู้ว่าตัวเองไม่ได้ไม่สบาย หล่อนแค่รู้สึกเพลียและยังตกใจกับการเห็น ‘ผี’ ครั้งแรกของตัวเองก็เท่านั้น

ไม่หรอก...ที่หล่อนเห็น บางทีอาจจะไม่ใช่ผี หล่อนอาจจะจินตนาการเอาเอง หรือตาพร่าจนเห็นเป็นคนคนหนึ่งก็เท่านั้น ถ้าได้นอนเต็มอิ่มสักคืน ก็คงหายดีกระมัง

ได้แต่ปลอบใจ และปลุกปลั่นกำลังใจของตนเอง

...ไม่เอาน่าไอ้ข้าว ไม่นอยด์ดิวะ มันไม่มีอะไรหรอก แกแค่เหนื่อยเว้ย!!

เดินมาถึงหน้าบ้านพอดี หล่อนควานหากุญแจในกระเป๋า และใช้มืออีกข้างนวดท้ายทอยของตนเอง ขณะใช้มือข้างขวาไขกุญแจประตู

“ตื่นๆๆ!” เมื่อไขกุญแจเรียบร้อย และก้าวเข้าไปในอาณาเขตบ้านเช่าหลังนั้น เจ้าหล่อนก็ยกสองมือตบแก้มตัวเองเบาๆ “แกจิตแข็งนะเว้ย อย่าให้เรื่องแค่นี้มาทำให้แกอ่อนแอดิวะ!”

แม้จะบอกตัวเองเช่นนั้น แต่หล่อนกลับรู้สึกหวาดๆ เมื่อบรรยากาศอันวังเวงจู่โจมเข้าใส่หล่อนอย่างไม่ทันให้ได้ตั้งตัว

ข้าวหอมไม่รู้ว่าตนเองคิดมากเกินไปหรือเปล่า ยามเมื่อก้าวเท้าเข้ามาในอาณาเขตบ้านหลังนี้ ทุกอย่างรอบกายจะเงียบสงบ...ไม่ใช่สิ เงียบสงัดจนทำให้ใจสั่น

ข้าวหอมรู้แล้วว่าทำไมค่าเช่าถึงได้ถูกนัก ตอนกลางวันน่ะไม่เท่าไรหรอก แต่ตอนกลางคืนนี่สิ...มองตัวบ้านทีไรก็รู้สึกหวาดผวาทุกครั้ง นี่ถ้าหล่อนมองเห็นภาพหลอนอีกครั้งคงได้วิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงจนกู่ไม่กลับเป็นแน่!

หญิงสาวสูดลมหายใจลึก ตั้งสติอยู่กับตัวเอง ก่อนจะไขกุญแจประตูไม้ สาวเท้าเข้าไปในบ้าน ล็อกเรียบร้อย แล้วตรงดิ่งขึ้นขึ้นห้องนอนของตนเองทันที

...รีบอาบน้ำรีบนอนดีกว่า จะได้สดชื่น

บอกตัวเองพร้อมกับเปิดประตู ก้มหน้าก้มตาเดินดุ่มเข้ามากลางห้อง ต่อเมื่อเงยหน้าเพื่อมองไปที่เตียงก็ต้องชะงัก ยืนอ้าปากค้าง...อีกครั้ง

อีกแล้วหรือ! แกเห็นภาพลวงตาอีกแล้วหรือไอ้ข้าว!

ตาโตๆ ของหล่อนยิ่งเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าใครคนนั้นหน้าตาเหมือนกับคนที่หล่อนเห็นที่เรือนพิกุล...

ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิวคร้ามคม สวมเสื้อผ่าอกติดกระดุมสีขาว และนุ่งโจงกระเบนสีเข้ม

ส่วนทรงผม...ดูแปลกตาไม่น้อย เพราะเขาโกนรอบศีรษะ เหลือไว้ตรงกลางกระหม่อมและหวีแสกตรงกลาง แล้วหน้าตานั่นอีก เหมือนไปโกรธใครมาสักร้อยชาติ

ข้าวหอมกะพริบตาถี่เร็ว ยกมือขยี้ตาอีกสองสามครั้ง ภาพผู้ชายคนนั้นก็ยังไม่เลือนหายไป ตัวของเขาก็ไม่ได้โปร่งแสงเหมือนที่หล่อนเห็นก่อนหน้านี้

เขาเหมือนคน...คนที่มีเลือดเนื้ออย่างเราๆ นี่แหละ ไม่ใช่ผีหรอก!

พลันที่หล่อนคิดเช่นนั้น เสียงหนึ่งในใจก็คัดค้าน

แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เรือนพิกุลเล่า จะอธิบายว่าอย่างไร!

เถอะ! จะอะไรก็ช่าง! ตอนนี้มีเหตุฉุกเฉินให้จัดการเสียก่อน เพราะถ้าผู้ชายตรงหน้าหล่อนเป็นคน หนำซ้ำอาจจะเป็นโจรด้วย นั่นย่อมหมายความว่า...ชีวิตหล่อนกำลังตกอยู่ในอันตรายน่ะสิ!

ข้าวหอมกลืนก้อนแข็งๆ ในลำคออย่างยากเย็น แล้วชูกำปั้นหรา

“ออกไปจากบ้านฉันนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งตำรวจ!”







คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นโจรมองคนที่เดินก้มหน้าก้มตาเข้ามาในห้องอย่างไร้มารยาทด้วยสายตาคมกริบ คิ้วเข้มเหนือดวงตาดำลึกขมวดเข้าหากันน้อยๆ เมื่อภายใต้แสงตะเกียงอันสลัวราง ใบหน้าของอีกฝ่ายคือใบหน้าที่เขาแสนคุ้นเคย

คุ้น...เพราะเพิ่งพบหน้ากันเมื่อไม่กี่เพลาก่อนหน้านี้

และคุ้น...เพราะใบหน้าของหล่อนละม้ายกับใบหน้าของแม่วาดเหลือเกิน

จะมีต่างไปบ้างก็ตรงโครงหน้าที่ค่อนข้างกลม แก้มยุ้ยแดงระเรื่อราวเด็กแรกเกิด ดวงตาดำขลับของหล่อนวาววะวับด้วยน้ำหล่อเลี้ยงใสบริสุทธิ์นับว่าเป็นจัดเด่นที่สุดบนใบหน้าแสนธรรมดานั้น รูปร่างของหล่อนกลมกลึงไม่ต่างจากสตรีคนอื่นๆที่เขาเคยพานพบ หากผิวพรรณกลับขาวเนียนกว่าเล็กน้อยประหนึ่งว่าเจ้าตัวมิเคยออกแดดเลยกระนั้น ส่วนผมของเจ้าหล่อนปล่อยยาวสยายดูคล้ายกับสตรีกรุงเก่า ซึ่งบัดเดี๋ยวนี้มีสตรีไม่กี่คนที่จักไว้ผมยาวในลักษณะนี้

และเหนืออื่นใด...ที่ทำให้เขางุนงง สงสัย คลางแคลง และประหลาดใจเป็นล้นพ้นคือท่วงท่าของหล่อนกลับคล้ายบุรุษมากกว่าสตรี!

สตรีผู้นี้คือผู้ใดกัน ไฉนจึงมาอยู่ในห้องหนังสือของเขาในยามวิกาลเช่นนี้ได้

และที่แย่ยิ่งกว่านั้น คือตัวตนของหล่อน บางคราก็แจ่มชัดเหมือนคนปกติทั่วไป หากบางครากลับเลือนรางละม้ายโปร่งแสงราวมิใช่คน!

ข้อหลังนี้เขาเห็นว่าคงอ่านหนังสือมากเกินไปจนตาพร่าจึงมองเห็นสตรีผู้นี้เป็นภาพขาวจางๆ เสียอย่างนั้น

ยังไม่ทันประมวลภาพ ประมวลเหตุการณ์และให้คำตอบต่อข้อสงสัยของตนเอง สตรีประหลาดผู้นั้นก็ยกกำปั้นขึ้นทั้งสองมือ ตั้งหน้าราวกับนักมวยที่เตรียมพร้อมสู้กับคู่แข่ง หล่อนจ้องเขาเขม็ง ดวงตาเกรี้ยวกราด ไม่ไว้ใจ หวาดระแวง และตื่นกลัว

และถ้อยคำที่หล่อนเปล่งออกมาช่างแปร่งหู และคำที่ใช้ก็ช่างประหลาดเสียยิ่งนัก

“ออกไปจากบ้านฉันนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งตำรวจ!”

บังเกิดความเงียบอย่างน่าอึดอัดอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนหลวงเดชาอักษรจะเปล่งเสียงถามออกไปอย่างดุดันว่า

“หล่อนเป็นใคร มาอยู่บนเรือนฉันได้เยี่ยงไร” ชายหนุ่มกวาดตามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ดวงตาดำจัดหรี่ลงอย่างประเมิน “ลักลอบเข้ามาเช่นนี้ จักมาขโมยของหรือมีจุดหมายอันใดกัน”

คนตรงหน้ายังยืนกะพริบตาปริบๆ เบิกตามองจ้องเขาแบบที่ไม่เคยมีสตรีคนใดทำมาก่อนแม้สักคน

คนถูกมองชักจะหงุดหงิด คิ้วเข้มพาดเฉียงขมวดเข้าหากันจนแทบเป็นปม สุ้มเสียงที่เอื้อนเอ่ยถัดมาจึงเกรี้ยวกราดกว่าเดิม

“หากหล่อนมิตอบ ฉันคงจักต้องให้ทางการมาจับตัวหล่อนไปสืบสวนเสียเดี๋ยวนี้!”

“อะไร! คุณต่างหากที่ต้องถูกตำรวจจับ เพราะที่นี่บ้านฉัน ไม่ใช่บ้านของคุณ!”

โพล่งออกไปแล้วก็ต้องยืนอึ้งกับคำพูดของตัวเอง จริงล่ะหรือที่บ้านนี้เป็นบ้านของหล่อน ในเมื่อห้องที่ปรากฏในคลองจักษุของหล่อนเวลานี้แปลกตาไปอย่างสิ้นเชิง

จากห้องปูนฉาบสีครีม กลายเป็นห้องไม้ขัดมันเงาวับ

เตียงนอนขนาดใหญ่ชิดผนังแปรเปลี่ยนโต๊ะทำงานไม้ ที่ด้านหลังเป็นตู้หนังสือกรุกระจกสูงเกือบจรดเพดาน

ที่นี่...คือห้องของหล่อน จริงล่ะหรือ?!

ข้าวหอมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น เมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่าสภาพรอบกายมันผิดแผกไปจากปกติ

งานนี้คงไม่ได้โดนโจรขึ้นบ้านเสียแล้ว แต่อาจจะเป็น...

ยิ่งคิดก็ยิ่งขนลุกเกรียว รู้สึกหนาวขึ้นมาทันควันทั้งๆ ที่ไม่มีลมแม้แต่หอบเดียวพัดผ่านหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้เพียงน้อยนั้นเลย

จริงอยู่ที่ข้าวหอมทำใจไว้ตั้งแต่เนิ่นๆแล้วว่าอาจจะได้พบสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างไม่คาดฝัน หล่อนแน่ใจว่าตัวเองพร้อมเผชิญหน้ากับมัน แต่เอาเข้าจริง ทุกอย่างที่หล่อนประสบในตอนนี้มันสั่นประสาทเกินไปจนทำให้หล่อนขวัญผวา

หญิงสาวมองไปรอบห้องอีกครั้ง แล้วต้องกลืนน้ำลายเอื้อกเป็นคำรบสอง เมื่อพบว่าห้องนั้นยังเป็นห้องไม้ขัดมันเงาวับอยู่เช่นเดิม

หรือหล่อนเข้าบ้านผิด?

บ้าน่า! จะเข้าบ้านผิดได้ยังไงล่ะ!

แม้ว่าใจหนึ่งจะเถียงเช่นนั้น เจ้าตัวก็ยังอุตส่าห์โพล่งถามออกไปด้วยเสียงกระโชกโฮกฮากเพื่อกลบความกลัวของตัวเอง

“ที่นี่ที่ไหน”

“หล่อนมิรู้ว่าที่นี่ที่ไหน แล้วขึ้นมาบนเรือนนี้ได้เยี่ยงไร”

ใบหน้าคมสันกระด้างขุ่นเคืองใจเฉกเช่นดวงตาดำจัดล้อมกรอบด้วยแพขนตายาวราวอิสตรีคู่นั้น มันจ้องหล่อนอย่างประเมิน ไม่ไว้วางใจ และระแวดระวังเต็มเปี่ยม

“ตกลงหล่อนเป็นผู้ใด แล้วขึ้นมาทำอันใดในห้องของฉัน”

สติที่กระเจิดกระเจิงก่อนหน้านี้หวนกลับคืนมาแล้ว ข้าวหอมเริ่มประมวลภาพที่ตัวเองเห็น ทั้งสภาพแวดล้อม การใช้ตะเกียง การแต่งกาย และถ้อยคำที่เขาใช้ล้วนบ่งบอกว่าเขาไม่ใช่คนในยุคสมัยของเธออย่างแน่นอน

คงเป็น...ใครคนหนึ่งที่เคยอาศัยอยู่ในบริเวณนี้มาก่อน นานเท่าใดก็ยากจะคาดเดา

ยังไม่ทันที่หล่อนจะคิดการณ์สิ่งใด ใครคนนั้นก็ย่างสามขุมเข้ามาหา ถามอย่างคาดคั้น ด้วยเสียงห้าวลึกทรงอำนาจ

“ตกลงว่าหล่อนเป็นผู้ใด เหตุใดจึงขึ้นมาบนเรือนแลเข้าห้องฉันมาโดยมิได้รับอนุญาตเยี่ยงนี้!”

คนที่ขวัญหนีดีฝ่ออยู่แล้วเริ่มอยู่ไม่สุข เพราะรู้ว่าเจอดีเข้าให้เสียแล้ว...เขาไม่ใช่โจร อีกทั้งยังไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นผีตัวเป็นๆ ต่างหาก!

หล่อนยืนตัวแข็งขยับเขยื้อนไม่ได้ ขณะที่เขาสาวเท้าเข้ามาหาหล่อน...อย่างช้าๆ สองมือไพล่ไว้ทางด้านหลังแต่หล่อนกลับรู้สึกถึงการคุกคามอย่างประหลาด

“หล่อนใช่แม่วาดฤๅไม่”

แม่วาด...ใครกัน? หล่อนขมวดคิ้ว ถามตัวเองในใจ

ทั้งสองมองสบตากันและกัน นานพักใหญ่ทีเดียวกว่าคนหนึ่งจะสั่นศีรษะจนผมกระจาย แล้วโพล่งออกมาด้วยเสียงอันดัง

'”ตาฝาด! ตาฝาดแน่ๆ!”

ส่วนอีกยิ่งขมวดคิ้วไม่พอใจกิริยาเสมือนไม่ได้รับการสั่งสอนของคนตรงหน้า

“ไม่ว่าหล่อนจักเป็นใคร จักใช่แม่วาดฤๅไม่ ก็จงไปเสียเถิด หรือถ้าหล่อนเป็นผี...ก็จงอยู่ส่วนผี อย่ามาหลอกหลอนผู้คนให้มีบาปติดตัวอีกเลย”

คนถูกหาว่าเป็นผีเบิกตาโตเท่าไข่ห่าน ตาวาวจ้า ก่อนจะลืมตัวก้าวเท้าสวบๆ เข้าไปหาคนตรงหน้า

“ใคร! คุณว่าใคร? ฉันไม่ใช่ผีนะ คุณนั่นแหละ...ผี!”

หล่อนหงุดหงิดเสียจนไม่คิดจะหาคำตอบว่าอีกฝ่ายจะเป็นผี เป็นเพียงภาพลวงตา หรือหล่อนเห็นภาพหลอนและกำลังสติเลอะเลือน

“ผีตัวโตหัวโต หน้าตาอย่างกะยักษ์!”

กว่าจะรู้ตัวว่าเผลอด่า 'ผี' ไป ทุกคำพูดก็พรั่งพรูออกไป ไม่อาจห้ามทันเสียแล้ว ครั้นเห็นอีกฝ่ายขบกรามแน่นราวกับโมโมเป็นนักหนา หล่อนก็ใจหายวาบ

ตายละวา! คราวนี้จะโดนผีหักคอเสียแล้วล่ะมั้ง ไอ้ข้าว!




[1] มีดโต้ : มีดขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก ใบมีดมีรูปร่างคล้ายน้ำเต้าผ่าเสี้ยว หัวโต สันหนา โคนมีดแคบ ด้ามทำด้วยไม้เป็นบ้องต่อออกไปจากตัวมีด ขนาดสั้นพอมือกำ มีดโต้ขนาดใหญ่และกลาง ใช้ฟันหรือผ่าทั่วไป ขนาดเล็กใช้กรีดหรือผ่าทุเรียนเป็นต้น, พร้าโต้ หรือ อีโต้ ก็เรียก


สนใจสั่งรูปเล่มได้ที่ www.sasiaksorn.com นะคะ







ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 พ.ค. 2559, 07:16:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 พ.ค. 2559, 15:08:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 1439





<< บทที่ ๑ - คนหรือผี!   บทที่ ๓ - ผีขี้เก๊กกับสตรีวิปลาส >>
แว่นใส 10 พ.ค. 2559, 07:42:08 น.
เจอกันแบบผลุบ ๆ โผล่ ๆ เนอะ


Zephyr 15 พ.ค. 2559, 15:56:21 น.
ต่างคนเข้าใจไปกันเอง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account