คืนค่ำร่ำพิศวาส
สองผีพี่น้อง เลวิส... แวมไพร์(ผีดูดเลือด) ลมเหนือ... ผีเฮี้ยน! อยู่ตึกผีสิง VS กาฬวาร... เด็กสาวยากจนเป็นสาวพรหมจรรย์ มีพลังจิตบริสุทธิ์ เธอช่วยพวกเขากลับเป็นมนุษย์ กลายเป็นเพื่อนบริสุทธิ์ใจต่อกัน สองพี่น้องต่างบิดาแต่รักกันมาก เวลาผ่านไปเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ได้เจอเธออีกหนต่างหลงรักผู้หญิงคนเดียวกัน...เลือกรักไม่ได้หนึ่งหญิงสองชาย (อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคน)
Tags: หวานแหวว, ซึ้ง, รักแฟนตาซี, ไตรติมา, ผี, แวมไพร์, ตลก, หล่อ, โรแมนติค,

ตอน: ตอน 31 ตอนพิเศษส่งท้ายไพบูลย์สุข (จบบริบูรณ์)


............ห้าสิบห้าปีถัดมา ยามเย็นปลายฤดูใบไม้ร่วง นครลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา

บ้านหลังใหญ่สองชั้นสีขาวเก่าแก่ซึ่งถูกปลูกสร้างมานานเป็นของตระกูลลูอิส บัดนี้ถูกซ่อมแซมให้ดูใหม่เหมือนสมัยเพิ่งก่อสร้างเมื่อหนึ่งร้อยเจ็ดปีมาแล้ว สวนบริเวณบ้านครึ้มไปด้วยต้นไม้ที่เติบโตสูงใหญ่กว่าแต่ก่อน

สาวสวยพกพาความตื่นเต้นเต็มหัวใจ ในมือถือกระติกน้ำแข็งใบเล็ก ก้าวเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ ไฟฟ้าถูกเปิดส่องสว่างขึ้น แม้กระนั้นบรรยากาศยังเงียบเชียบวังเวงเหมือนไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ แต่เธอไม่หวั่นกลัวต่อสิ่งรอบข้าง ตรงดิ่งเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง จุดมุ่งหมายคือห้องนอนที่ถูกผนึกปิดสนิทของเลวิส!

“ปู่ทวดยูชิยะให้ออกคำสั่งสองครั้ง ครั้งแรกประตูจะปรากฏขึ้นมา ครั้งที่สองประตูจะเปิดออก เวลาส่งเสียงต้องรวบรวมสมาธิให้ดี ไม่งั้นจะไม่ได้ผล” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง มองหาประตูไม่เห็นเลย มีแต่ผนังราบเรียบไปตลอดโดยปราศจากรอยต่อ เพราะยูชิยะผนึกไว้ด้วยเวทมนต์ เธอรู้สึกตื่นเต้นจนเกินไป เลยต้องใช้เวลาสงบใจชั่วครู่หนึ่ง สูดลมหายใจเข้าปอดอย่างลึก... แล้วจึงส่งเสียงปานกลาง ไม่ตะโกนดังและไม่แผ่วเบาเกินไป

“เราเอวาตาร จงเปิดประตู”

และได้เห็นผลทันตา ประตูปรากฏขึ้นต่อหน้า... ทำให้ดีใจจนกลั้นไม่อยู่ หัวเราะออกมาพร้อมกับส่งเสียงสั่งอีกครั้งอย่างเร็วปรื๋อ

“หึ หึ... เราเอวาตาร จงเปิดประตู”

จากนั้นเธอรีบหมุนลูกบิดประตู มันกลับไม่เปิดอยู่เช่นเดิม

“อ้าว...” เธออุทาน “ประตูทำไมไม่เปิดล่ะ อีกครั้งเดียวก็จะสำเร็จแล้ว”

นึกได้ว่าต้องตั้งสมาธิให้แน่แน่ว แล้วพยายามรวบรวมสมาธิตั้งใจสั่งออกคำสั่งอีกครั้ง

“เราเอวาตาร จงเปิดประตู”

คราวนี้ได้ผล ประตูเปิด... ปรากฏสิ่งที่ทำให้ตื่นตาตื่นใจ ความอลังการของเทียนไขสีขาวนับร้อยแท่งตั้งเรียงรายเป็นแถวล้อมรอบห้องนอน มันทยอยจุดไฟให้ตัวเองส่องสว่างขึ้นทีละแท่ง ทำให้เธอเกิดอาการขนลุกไปทั่วร่าง และเริ่มมีเหงื่อซึมออกทุกรูขุมขนทั้งที่อากาศแสนเยือกเย็น เธอเดินเข้าไปใกล้เตียงนอนขนาดคิงส์ไซด์ เพ่งพินิจบนเตียงนั้นมีชายหนุ่มนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ เรือนร่างใหญ่ในชุดเชิ้ตสีขาวเนื้อผ้าบางเบา ผิวขาวซีดเจือชมพูจาง หน้าอกกว้างล่ำสันสมมาดแมน

เลวิส... เหมือนคนนอนหลับสนิท นิ้วเพรียวยาวของหญิงสาวลูบไล้ไปที่ดั้งจมูกโด่งราวเทพเจ้ากรีก เรื่อยมาจนถึงกลีบปากสีพีชหวานอิ่มหนา เคลิบเคลิ้มในความหล่อเหลาของชายหนุ่ม ผู้หยุดอายุอยู่ที่ยี่สิบเจ็ดปี

‘อยากให้เรือนร่างสูงใหญ่นี้มีชีวิต ลุกตื่นขึ้นมายืนเคียงข้างเรา เขาคงเท่ห์มาก...’

เธอเปิดกระติกน้ำแข็ง หยิบแก้วไวน์ออกมา ของเหลวที่บรรจุอยู่ครึ่งแก้วคือ... เลือดของสาวบริสุทธิ์!

เลือดมนุษย์สด ๆ ถูกเทลงจากแก้วไวน์จ่อผ่านกลีบปากอิ่ม

เรียวปากนั้นเริ่มขยับค่อย ๆ กลืนกินลงผ่านลำคอ เพียงชั่วแวบหนึ่งได้เปล่งแสงสีขาวสว่างวาบฉาบไปทั่วทั้งเรือนร่าง ...และแล้วร่างใหญ่โตนั้นค่อยลืมตา ...ฟื้นคืนชีพแวมไพร์!

“ปู่ทวดยูชิยะให้ฉันมาปลุกคุณ เลวิสหลับสนิทมาตั้งนานสมควรตื่นได้แล้ว ฉันเป็นหลานคนสุดท้องของปู่ฮคคุ ปีนี้ฉันอายุยี่สิบแล้วนะคะ ชื่อจริง เอวาตาร เรียกชื่อเล่น เอวา ก็ได้ค่ะ” หญิงสาวกล่าวเจื้อยแจ้วแนะนำตัว ยิ้มละมัยและมองจ้องดวงตาคู่นั้น ซึ่งทอประกายคล้ายมหาสมุทรสุดลึกล้ำฉ่ำหวานสีครามคล้ำเข้ม แล้วนึกในใจ...

‘ว้าว... เลวิสตัวจริงหล่อ... หล่อกว่าในรูปถ่ายสมัยก่อนซะอีก’

“เอวาตาร...” เลวิสทวนชื่อนั้นซ้ำ จำได้ถึงช่วงเวลาก่อนเก่าที่เขาเคยหลับฝันเห็น... “อา... เธอนั่นเอง” มองดูใบหน้านวลนั้นละม้ายคล้ายกาฬวาร ดวงตาสีน้ำตาลฉายแววร่าเริงสดใส ขนตางอนยาวเป็นแพ คิ้วโค้ง จมูกไม่โด่งมากหากแต่ได้รูปสวยเหมาะสม เรียวปากอิ่มน้ำแต่งแต้มด้วยสีโอล์ดโรส แก้มเปล่งปลั่งชมพูระเรื่อ ผมสีโกโก้ยาวตรงลงปรกบ่า สวยเนี้ยบและหุ่นสูงกว่ากาฬวารเล็กน้อย ให้รู้สึกพึงพอใจในตัวเธอ พร้อมกับจับกระแสความรู้สึกสาวสวยได้ เธอรัก... ตั้งแต่แรกพบเขา

“ใช่ค่ะ เป็นชื่อที่ปู่ทวดยูชิยะตั้งให้ มาจากคำว่า... อวตาร”

“เลือดที่ให้ฉันดื่ม เป็นเลือดของ? ...”

“เลือดฉันเองค่ะ ปู่ทวดบอกว่าเลือดสาวพรหมจรรย์จะให้พลังกับเลวิส โดยเฉพาะเลือดฉันจะเสริมพลังให้อย่างมากมาย จนถึงขั้นฝึกจิตสำเร็จ”

“อืม... รู้สึกถึงพลังที่เพิ่มขึ้นในตัวฉัน ขอบคุณมากเอวา เธอมีเลือดเนื้ออบอุ่นนุ่มนิ่ม เป็นมนุษย์ผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบมา”

เลวิสลุกขึ้นมายืนใกล้ จับมือเอวาตารไว้ทั้งลูบคลำบีบกำราวกับย้ำให้แน่ใจ บอกตัวเองได้ว่าเธอนั้นมีตัวตนอยู่จริง แล้วค่อยบรรจงจุมพิตมือน้อยนั้นเพียงแผ่วผิว และเมื่อเขามองตาเธอ...

“ดวงตาคุณสวยมาก เลวิส... แค่มองตาคุณฉันแทบหยุดหายใจไปเลยล่ะ”

“เธอเหมือนกาฬวารมาก เอวา... คิดถึงเหลือเกิน...” ว่าแล้วจึงดึงร่างสาวน้อยเข้ามาซบอกตนเองอย่างหน้าตาเฉย แต่กระนั้นเอวากลับไม่มีทีท่าขัดขืน เหตุเพราะตั้งแต่แรกเห็น... เธออยากจะผวาเข้าหา ซบอิงแอบแนบอกกว้างใหญ่ของเขาอยู่แล้ว

“ปู่ทวดยูชิยะเคยบอก ฉันเหมือนย่ากาฬวารทั้งนิสัยใจคอด้วย ฉันรู้... เลวิสรักย่ากาฬวารมาก เคยแต่งงานกัน แต่ต้องเสียสละให้ปู่ฮคคุ เข้าสู่ภาวะจำศีล อยู่ที่นี่อย่างเดียวดายนานแสนนาน น่าสงสารเลวิส...” พูดไปพร้อมน้ำตาคลอ...

เลวิสยิ้มอย่างอ่อนโยน “เด็กเอ๋ยเด็กดี... ถ้าสงสาร... อยู่ที่นี่กับฉันเถิดนะ ฉันจะได้ไม่เหงาอีกต่อไป”

“ฉันจะมาเรียนต่ออยู่แล้ว เพราะก่อนหน้านี้ตั้งใจว่าถ้าเลวิสฟื้นคืนชีพ ฉันจะมาอยู่กับคุณ” และคราวนี้เอวาตารเป็นฝ่ายกอดเลวิสแน่น



............ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลือร้ายท้าทายกาลเวลากำลังนั่งเล่นในสวน เพื่อรอคอยการกลับมาของเด็กสาวที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมาหลายปี ป่านนี้เธอคงเติบโตเป็นสาวเต็มตัวและสวย...

“เพิ่งมาจากหอพักสินะ ยินดีต้อนรับกลับบ้านตระกูลลูอิส” ยูชิยะพูดกับมารีนทันทีที่พบหน้า เธอสาวเธอสวยจนใจละลาย ไม่อาจละสายตาแม้เพียงเสี้ยววินาที ดีใจที่ได้พบหน้า... ความสาวสะพรั่งเปล่งปลั่งส่งออร่าออกมา ผิวขาวนวลผ่อง ผมยาวสีดำรวบเกล้าไรผมปรกหน้าผากเนียน คิ้วหนาตาคมสวยเฉียบเฉี่ยว แก้มอิ่มระเรื่อเลือดฝาดออกชมพู ดูจมูกโด่ง เรียวปากเล็กรูปกระจับเคลือบสีกุหลาบแดง แต่งแต้มใบหน้าในโทนสีเข้ม ให้ภาพลักษณ์ดูลึกลับชวนหลงใหล

“ยูชิยะ... มาตั้งแต่เมื่อไหร่” มารีนเสียงดังทักทายตอบไป ใจตื่นเต้น... ตื่นเต้นดีใจที่ได้พบหน้ากัน

“มาถึงเมื่อวาน ...มาส่งเอวาน่ะ เป็นไงบ้างเรื่องการสอบ”

“สอบปลายภาคเทอมสุดท้าย ฉันสอบผ่านหมดเรียนจบแล้ว เหลือแต่รอรับปริญญาเท่านั้น”

“ว่าจะมารับกลับเมืองไทย ไปรับมรดกบ้านโองาว่าที่นั่นรอเธออยู่”

“อืม... คิดถึงที่นั่นเหมือนกัน จากมาตั้งแต่เรียนจบม.ต้น ผ่านมานานตั้งแปดปี”

“ตอนนั้นเธอยังดูเด็กอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นสาวและสวยมาก” ยูชิยะทอดสายตามองจ้อง แววตาเต็มไปด้วยความรักใคร่พิศวาส เช่นเดียวกับสายตาที่เธอมองจ้องเขา

“แหม... ปู่ทวดยูชิยะไม่เบานะ เจอหน้าพี่มารีนก็จีบเลย” เอวาตารพูดหยอกเย้าเมื่อออกมาในสวน ...เห็นเข้าพอดี

“เอวาเรียกยูชิยะซะแก่... ไม่สุภาพเลย” มารีนตำหนิน้องสาว พลันเห็นเลวิสเดินตามติดเอวามาด้วย “ฮ้า... ปู่เลวิส ฟื้นคืนชีวิตแล้ว? ...นี่ตัวเป็น ๆ จริง ๆ หรือนี่” มารีนต้องร้องทัก ...ตาเบิกโตด้วยแปลกใจยิ่ง

“พี่มารีนเรียกเลวิสเฉย ๆ สิ เสียมารยาทเรียกปู่... เลวิสไม่แก่เสียหน่อย” สองสาวต่างกล่าวตำหนิกันไปมา ต่างรู้ตัวตนของคนที่ตัวเองแอบปลื้มเป็นอย่างดี

“เธอตัดสินใจอยู่ที่นี่หรือเอวา แล้วบ้านโองาว่าล่ะ”

“บ้านนั้นเป็นของพี่มารีนคนเดียว ฉันไม่เกี่ยวด้วย” น้องสาวกล่าวลอยหน้าลอยตาอย่างน่าเอ็นดู

เฉพาะที่ได้รับมรดกเงินฝากประจำในธนาคารมากมายหลายร้อยล้านนั้น แค่ดอกเบี้ยก็กินใช้ทั้งชาติไม่หมดแล้ว จึงไม่ยึดติดต้องการบ้านหลังนั้น อยากยกให้เป็นสมบัติของพี่สาวตนเพียงคนเดียวมากกว่า

“เราเป็นพี่น้องกัน บ้านนั้นต้องเป็นของเธอด้วยเอวา ตามพินัยกรรมของพ่อให้เราสองคนเป็นเจ้าของบ้านร่วมกัน”

มารีนเป็นสาวรักความยุติธรรม เธอไม่เคยนึกละโมบโลภมากอยากได้สมบัติไว้ครอบครองเพียงคนเดียว โดยเฉพาะธุรกิจค้าเพชรพลอยทั้งนำเข้าและส่งออกนั้นนับเป็นงานหนัก ใจอยากได้น้องสาวมาช่วยบริหารธุรกิจด้วยกัน นับจากบิดามารดาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตพร้อมกันเมื่อปีก่อน ทิ้งทรัพย์สินไว้มากมายให้สองศรีพี่น้องต้องรับทั้งมรดก และรับผิดชอบธุรกิจมูลค่ามหาศาล

“เอวาต้องอยู่ที่นี่และแต่งงานกับเลวิส บ้านโองาว่าเป็นของมารีนเท่านั้น และมารีนต้องแต่งงานกับเจ้าบ่าวที่เขารออยู่”

คำประกาศจากยูชิยะเปลี่ยนความสนใจจากเรื่องมรดก กลายมาเป็นเรื่องทางเดินชีวิตที่ยอมให้ใครมาลิขิตไม่ได้

“ยูชิยะจะมาเจ้ากี้เจ้าการบงการชีวิตฉันไม่ได้นะ ฉันไม่ยอมหรอกเพราะฉันมีคนที่รัก เอ่อ...ที่ชอบแล้ว” มารีนขึ้นเสียงเถียงทันควัน

ยูชิยะตวัดสายตามอง ลมเพชรหึงขึ้นตึงเต็มใบหน้า พูดจาเกรี้ยวกราดทันที

“ผู้ชายคนนั้นเป็นใครฉันไม่สน ถ้าเธอไม่ยอมแต่งงานโดยดี ฉันจะใช้อำนาจบังคับ”

“ยูชิยะใจร้าย” มารีนต่อว่า ทำหน้าง้ำหน้างอไม่พอใจเม้มปากเงียบไว้ไม่พูดต่อ แต่นึก...

‘ทั้งที่มีฤทธิ์เดชราวกับผู้วิเศษ ไม่รู้ใจกันรึไง... เรามีใจรักแต่เขา เราจะไม่ยอมแต่งงานกับผู้ชายอื่น’

แท้จริงยูชิยะยังคงอ่านใจได้ ...จึงยิ้มกรุ้มกริ่ม

“รักใครชอบใคร จะได้แต่งงานกับคนนั้นนั่นแหละ” ยูชิยะว่าอย่างนั้น แถมส่งสายตาหวานหวามด้วยความเจ้าชู้มองจ้องสาวสวย

มารีนให้ขวยเขิน ชำเลืองมองตาปริบ ๆ แอบดีใจเล็ก ๆ

‘บางทียูชิยะอาจล่วงรู้ความรักที่ซ่อนไว้ในใจเรา’



............เพราะรู้สึกถึงพลังที่เพิ่มขึ้นมาเปี่ยมล้น เลวิสจึงปิดห้องชั้นบนที่เป็นโซนของเขา เก็บตัวเงียบห้ามผู้ใดรบกวน เพื่อฝึกฝนพลังจิตจนสำเร็จ

ในคืนที่เจ็ด... เกิดสายฟ้าฟาดลงมายังห้องดังกล่าว ร่างของเลวิสสลายกลายเป็นผงเถ้าธุลีไปในทันทีที่โดนฟ้าผ่า

“เปรี้ยง...” เสียงสายฟ้าฟาดดังแรง สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งผืนแผ่นดิน จนคนในบ้านหลังใหญ่หูดับไปตามกัน

เอวาตารเป็นกังวลสุดชีวิต คิดห่วงแต่เลวิสและรีบวิ่งขึ้นมาดู เห็นเตียงนอนที่สวยงามตกอยู่ท่ามกลางกองเพลิงกำลังลุกไหม้ไฟลามท่วม รวมทั้งชุดที่เลวิสสวมใส่ อารามตกใจใช้มือกระชากผ้าปูโต๊ะ คว้าติดมือมาโดยไม่สนใจ อะไรบนโต๊ะจะตกแตกเสียงดังเกรียวกราว ช่างมัน... รีบฟาดผ้าตบตีเปลวไฟที่ไหม้ชุดเสื้อผ้าอย่างไม่ยั้ง ...จนกระทั่งสายฝนภายนอกเริ่มโปรยละอองกระเด็นเข้ามาภายในห้องให้ไฟมอดดับ ทุกอย่างสงบลงคงมีสิ่งที่หลงเหลือ... เห็นแต่ฝุ่นธุลี! แหงนมองเพดานเป็นรูโหว่ ทิ้งร่องรอยเกรียมไหม้จากสายฟ้าที่ผ่าลงมา

“เลวิส เลวิส เลวิส...” เอวาตารตะโกนเรียกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตื่นตะหนกตกใจกลัวว่าเขาอาจจะถูกฟ้าผ่าตายไปแล้ว เมื่อไม่เห็นตัวเขาแม้แต่เงาก็ใจเสีย...

“เลวิสคุณถูกฟ้าผ่าตายแล้ว จริง ๆ เหรอ? ทำไมตายง่ายดาย ชีวิตฉันเกิดมาเพื่อคุณคนเดียว จะทิ้งฉันไว้อย่างนี้นะหรือ ฮือ ฮือ ฮือ...” เธอส่งเสียงร้องไห้ น้ำตาเป็นสายไหลหลั่งรินหยดราดรดลงผสมไปในเถ้าธุลีบนเศษผ้าชุดที่ไหม้ไฟ

ฉับพลัน! ...ราวเกิดปาฏิหาริย์ ได้กลิ่นหอมพร้อมควันสีขาวลอยฟุ้งขึ้น สายลมเยือกเย็นพัดเข้ามา กลายเป็นลมหมุนพัดพาควันลอยเวียนวนเป็นเกลียว กลุ่มควันเพิ่มทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายรูปร่างเหมือนคน แวบหนึ่งเหมือนเห็นร่างของเลวิส ปรากฏขึ้นอย่างลางเลือนแต่เพียงช่วงวูบเดียว แล้วกลับหายวับไปกับตา เอวาตารได้แต่ยืนงงอยู่เพียงลำพัง

“เอ๊ะ! ...นี่มันเกิดอะไรขึ้น”



............เลวิสลืมตาขึ้น เห็นร่างกายตนเรืองแสงขาวนวล ผิวพรรณละเอียดอ่อน ร่างกายสบายเบาราวไร้น้ำหนัก สภาพของห้องได้เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน ดูโอ่อ่ากว้างใหญ่และสว่างไสว ประดับประดาด้วยแก้วเจียระไนหลากสีสะท้อนแสงวิบวับ ทันใดประตูใหญ่ในห้องเปิดออก

“จุติใหม่เป็นแวมไพร์เทวะ ที่นี่คือวิมานบนดินของนายสินะ ...ช่างงดงามยิ่งนัก ฉันมาแสดงความยินดีที่นายได้จุติเกิดใหม่อยู่ในสรวงสวรรค์เหมือนกัน”

“โอ้โฮ! นายเป็นเทวดาอย่างนั้นหรือ ...ฮคคุ” เลวิสอุทาน เมื่อเห็นเทพบุตรหนุ่มผู้มีรัศมีเรืองรอง ใบหน้างดงามกว่ามนุษย์โลก แล้วจึงจำได้...

“ใช่แล้วเลวิส วิมานของฉันอยู่เบื้องบน แต่วิมานของนายอยู่ร่วมกับโลกมนุษย์ นายสามารถเข้าออกประตูสวรรค์ได้ทุกเมื่อ เพียงกำหนดจิตตั้งใจให้นิ่งเท่านั้น ทั้งฉันและกาฬวารเอาใจช่วยนาย คอยทำบุญให้เสมอตลอดชั่วชีวิต และผลบุญนั้นช่วยฉัน... ได้ขึ้นสวรรค์ด้วย ตอนนี้นายมีญาณพิเศษ หยั่งรู้ทั้งอดีตและอนาคต ลองใช้มองอดีตชาติของพวกเราสิ”

“หลายภพชาติที่ผ่านมา ฉันกับนายเคยเกิดเป็นพี่น้องกัน บางชาตินายตายก่อน บางชาติฉันก็ตายก่อน ส่วนกาฬวาร... ทุกภพชาติเกิดเป็นคู่ครองของเราสองคน”

“ถูกแล้วเลวิส เราสองคนตั้งจิตอธิษฐานไว้เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง ขอให้มีความสุขตลอดกาล ชาตินี้บุญที่ทำมาพาให้ได้เสวยสุขสมดังคำอธิษฐาน แต่คำอธิษฐานของกาฬวารต่างจากพวกเรา ขอให้ได้สร้างสมบุญบารมี หลุดพ้นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด”

“แล้วตอนนี้กาฬวารเกิดอยู่ที่ไหน”

“ชาติก่อนทั้งฉันและกาฬวารตายลงด้วยโรคลมปัจจุบันทันด่วน ตายเกือบจะพร้อมกันในวัยหกสิบหกสิบเอ็ด ฉันจุติอยู่บนวิมานทันที เช่นเดียวกับกาฬวาร แต่กาฬวารมีจิตใจพะวงอยู่กับนายมาก ดวงจิตแบ่งภาคลงไปเกิดในโลกมนุษย์”

“เกิดเป็นใคร?”

“เอวาตาร... ถึงเวลาที่นายจะได้สมหวังในความรัก รักเดียวใจเดียวกับหญิงสาวบริสุทธิ์ที่เกิดมาเพื่อนายทั้งชีวิต”

“นายไม่เสียใจเสียดายหรือว่าอิจฉาฉัน ไม่หึงหวงกาฬวารบ้างเลยหรือ”

“ไม่เลย ฉันยินดีและอนุโมทนาให้กับอีกภาคของกาฬวาร เธอจะได้สะสมบุญบารมีเพิ่มมากขึ้นเมื่ออยู่โลกมนุษย์ และฉันหวังว่านายจะยอมปล่อยให้เอวาตารได้ไปถือศีลบำเพ็ญเพียรตามกาลเวลาอันควร ไม่เอาแต่กักตัวไว้เหมือนกาฬวารเมื่อชาติก่อน เพราะตอนฉันกับกาฬวารอยู่ด้วยกัน ฉันไม่เคยขวางหนทางสร้างบุญกุศลของกาฬวารเลย มีแต่จะส่งเสริมและคอยทำบุญตามไปด้วย” เทวารูปงามแผ่กระแสจิตเมตตา จนแวมไพร์เทวะรับรู้ได้อย่างเต็มเปี่ยม

“นายรักฉัน เป็นความรักอย่างญาติมิตรที่ผูกพันปรารถนาดี”

“ฉันดีใจที่นายรับความรู้สึกได้ กาฬวารยังมีอีกภาคหนึ่งอยู่บนสวรรค์ในทิพย์วิมานของเรา แต่อยู่ในภาวะจำศีลเพียงครึ่งวันเท่านั้น รู้ไหมหนึ่งวันบนสวรรค์เท่ากับหนึ่งร้อยปีโลกมนุษย์ เพราะฉะนั้นครึ่งวันจึงเท่ากับห้าสิบปี เป็นเวลาที่เอวาตารจะใช้ชีวิตอยู่กับนาย หลังจากนั้นกาฬวารจะพ้นภาวะจำศีล ฉันรอได้ไม่นานเลยสำหรับฉัน ขอให้นายมีความสุขกับเอวาตาร ขอเธอแต่งงานซะเถิด ไม่มีอุปสรรคสำหรับนายแล้ว”

“ฉันแพ้ใจของนาย รักจากใจที่มีแต่ให้โดยไม่หวง... นายผูกพันรักภักดีกับกาฬวารตลอดทุกภพทุกชาติ”

“นายเหมือนกันไม่ใช่เหรอ เราต่างรักด้วยศรัทธาในกาฬวาร เธอเวียนว่ายตายเกิดเพื่อให้ความสุขและคอยช่วยเหลือพวกเรา มีแต่ความรักผูกพันหวังดี จนกว่าจะถึงวันนำพาพวกเราไป... สู่หนทางหลุดพ้นทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด”

“ฉันจะแต่งงานกับเอวา ถึงแม้รักใคร่พิศวาสขนาดไหนจะทนข่มใจ ต่อไปจะไม่กักตัวถ้าเธออยากไปทำบุญถือศีลที่วัดจะกี่วัน ฉันจะปล่อยตามใจเธอ และจะทำบุญร่วมด้วย ระหว่างนั้นฉันจะฝึกจิตให้บริสุทธิ์ ฉันไม่อยากสิ้นภพจบชาติไปตกนรก ฉันรู้... เหตุเพราะเศษบาปกรรมที่เคยทำลายชีวิตผู้อื่น ส่งผลให้ฉันไม่อาจกลายเป็นเทวดาชั้นสูง ต้องเป็นแวมไพร์อยู่ครึ่งหนึ่ง ถึงร่างกายจะงดงามเช่นเดียวกับเทพบุตร แต่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความโหยหิวเฉกเช่นอสุรกาย”

“รู้ไหมนายกินอาหารทิพย์ได้ เพราะฉะนั้นเวลาหิวให้เข้ามาในทิพย์วิมานของนายแห่งนี้ แล้วกินอาหารทิพย์ อย่าทำบาปด้วยการดื่มเลือดมนุษย์อีกเลย ส่วนบาปแห่งการฆ่าที่ผ่านมา ขอให้นายทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับชีวิตที่ตกล่วงไปเหล่านั้นเสมอ นายอาจได้รับการอโหสิ ไม่ต้องไปตกนรก”

“เข้าใจแล้ว ...ต่อไปฉันจะทำแต่ความดี ทำบุญกุศลให้มาก เพื่ออุทิศให้ผู้ที่ฉันเคยทำลายชีวิตเหล่านั้นไป”

“ฉันขออนุโมทนากับนายด้วย และฉันจะจัดพิธีวิวาห์ให้นายกับเอวาตาร” เทวดาบอก เปี่ยมไปด้วยกระแสจิตเมตตา วาดมือเวียนวงกลมกลายเป็นเหมือนกระจกใสบานใหญ่ เห็นเอวาตารนั่งอยู่ในโลกมนุษย์นั้น “ฉันจะสะกดให้หลับ ดึงเจตภูติของเอวาตารมาเข้าพิธีวิวาห์ที่นี่”



............เอวาตารยังคงครุ่นคิด... สงสัยในเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้น นั่งอยู่ในห้องของเลวิส จู่ ๆ รู้สึกง่วงนอนขึ้นมากะทันหัน หลับฝัน...

เบื้องหน้ามีแต่ความมืดเวิ้งว้าง ส่วนเบื้องหลัง... ได้ยินเสียงกังวานใสที่ไม่คุ้นหูเรียกชื่อเธอ จึงหันหลังไปมองเห็นหนุ่มรูปงามกว่าหนุ่มใดในโลก

“มาทางนี้ เอวาตาร...”

“เหมือนคุณปู่ฮคคุที่เห็นในรูปถ่ายเลย แต่หล่อกว่าหนุ่มกว่าคุณปู่หลายเท่า” เอวาตารเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ไม่มีญาณหยั่งรู้ ไม่สามารถระลึกชาติ เธอมีเพียงความทรงจำในชาตินี้ที่นึกได้เท่านั้น ตะลึงมองร่างที่มีรัศมีเรืองรอง ด้วยความตื่นตาตื่นใจ...

“ฉันเป็นเทวดา เธอคือหลานฉัน ถึงเวลาเธอจะได้เข้าพิธีวิวาห์กับคนที่เธอรัก ฉันจะเนรมิตชุดเจ้าสาวให้” ว่าแล้ว วาดมือไปจากบนลงล่าง ชุดที่เอวาตารสวมใส่ จู่ ๆ ฉับพลันเปลี่ยนเป็นชุดเจ้าสาวสีขาวงามล้ำเหลือจะกล่าวคำพรรณนา

“โอ้โฮ้... อัศจรรย์จริง ๆ เลย” เอวาตารอุทาน ตาโต...

“เดินมากับฉันสิ” เทวดายื่นมือให้เธอจับ แล้วจูงเดินไปตามทางที่เรืองแสงสีขาว สองข้างทางมืด... แต่กลับประดับด้วยแสงสีชมพู ไม่ต่างกับแสงเทียนนับร้อยนับพันเรียงราย เรื่อเรืองราวแสงดาวพราวพราย

“คืนนี้สวยจัง” เอวาตารชื่นชม เดินไปจนถึงที่เลวิสยืนรออยู่ ตรงนี้สว่างไสวและสวยงาม ประดับด้วยดอกไม้ในแจกันขนาดใหญ่สูงเท่าตัวคน เขาอยู่ในชุดเจ้าบ่าวสีขาว ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย ตรงที่ดูอ่อนเยาว์ราวกับเด็กหนุ่มวัยรุ่น!

“เลวิสคุณยังไม่ตาย...” เอวาตารพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระคนดีใจ จนมีน้ำตาคลอ...

หน้าแท่นแก้วใสมีโคมใหญ่ ในใจกลางวางแหวนแต่งงาน...

“แต่งงานกับฉันนะ เอวา”

“ตกลงค่ะ” เอวาตารมัวตื่นเต้นดีใจกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน กระนั้นยังรีบตอบรับทันที ด้วยความรักท่วมท้น

“สวมแหวนให้เอวาสิเลวิส เอวาสวมแหวนให้เลวิสด้วย และกล่าววาจาสัตย์สาบานต่อกัน ฉันเป็นพยานให้ในพิธีแต่งงานศักดิ์สิทธิ์นี้” เทวดาบอก จากนั้นเลวิสสวมแหวนให้เอวาตาร ต่อจากนั้นเอวาตารจึงสวมแหวนให้เลวิส

“ผม... เลวิสจะดูแลและรักเอวาตารไปตลอดชั่วชีวิต”

“ฉัน... เอวาตารจะดูแลและจงรักภักดีต่อเลวิสเพียงคนเดียว ตราบจนสิ้นลมหายใจของฉัน”



............เอวาตารรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เพราะได้รับจุมพิตที่หน้าผาก จึงลืมตาดูว่าใครกันที่ทำอย่างนั้น

“เลวิส... คุณยังไม่ตายจริง ๆ ด้วย ดีใจเหลือเกิน ฉันฝันดีล่ะ ฝันดีมากจนไม่อยากตื่นเลย ฝัน... ได้เข้าพิธีแต่งงานกับเลวิส”

“หึ หึ...ไม่ใช่ความฝันหรอก ดูแหวนนี่สิ” เลวิสหัวเราะเบา ๆ ในใจเต็มไปด้วยความสุข จับมือซ้ายยกชูให้ดูแหวน ทั้งเขาและเธอสวมแหวนแต่งงานที่นิ้วนางข้างซ้ายเหมือนกัน

“เอ๋... แอบมาใส่ให้ตอนไหนนี่”

“ยังไม่เชื่ออีก ...อย่างนั้นลุกขึ้นมาดูในสวนสิ”

เอวาตารมองจากหน้าต่าง ท่ามกลางความมืด... ในสวนนั้นแพรวพราวละลานไปด้วยแสงสีชมพู นับร้อยนับพันดวงราวกับดวงดาวบนดิน

“โอ้โฮ... มหัศจรรย์... สวยจริง ๆ แปลกมากอย่างกับในฝัน ...นี่เป็นความจริงหรือนี่ แสงเหล่านี้ไม่ใช่โคมไฟ ทั้งล่องลอยและเคลื่อนไหวอย่างกับเต้นระบำ... มันเกิดจากอะไร?”

“เทวา... มาอวยพรให้เราสองครองคู่อยู่ด้วยกันอย่างเป็นสุข ตอนนี้คงกำลังมองดูอยู่บนสวรรค์ด้วยความยินดี”

“ถ้าอย่างนั้นที่ฉันเห็น... คุณปู่ฮคคุเป็นเทวดา นั่นเป็นความจริงนะสิ”

“ใช่แล้วเป็นความจริงทั้งหมด เทวดาเนรมิตพิธีวิวาห์ให้เราสองคน ดึงเจตภูตของเอวาเข้าไปในสวรรค์ เพราะร่างกายมนุษย์ไม่สามารถผ่านเข้าประตูสวรรค์ได้”

“โอ... นี่ฉันได้แต่งงานกับเลวิสแล้ว ไม่ใช่ความฝัน เลวิส... ฉันจะทำตามคำปฏิญาณที่ให้ไว้กับคุณ จะจงรักภักดีแต่คุณคนเดียวไปจนตลอดชั่วชีวิต ตราบสิ้นลมหายใจ...” เอวาตารดีใจมาก โผเข้ากอดซบในอ้อมอกเลวิส เขาเองโอบกอดรับเธอไว้เช่นกันและให้สัญญา...

“เอวา... ฉันจะรักแต่เธอเท่านั้นไม่มีวันเปลี่ยนใจ และจะดูแลเธอไปตลอดชีวิต”



เลวิสลมเหนือและกาฬวารเวียนว่ายตายเกิดกี่ภพชาติหมุนเวียนเปลี่ยนไป... จิตวิญญาณพวกเขาจะไม่ขาดความรักใคร่ผูกพันอันมีให้ซึ่งกันและกันตลอดกาล จวบจนกว่าจะถึงกาลสิ้นภพจบสังสารวัฏอันนานไกล...



จบบริบูรณ์


______________________...oooooOOOooooo...______________________
.
.
ติดตามเพจ ไตรติมา FACEBOOK ===>>
https://www.facebook.com/oranamarinlove
.



ไตรติมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 พ.ค. 2559, 19:29:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 พ.ค. 2559, 19:29:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1379





<< ตอน 30 จบ - ลบ - โหลดได้ในอีบุ๊ก   แจ้งข่าวอีบุ๊ก + เนื้อเรื่องย่อ >>
ไตรติมา 27 มิ.ย. 2559, 21:27:48 น.
อีบุ๊กฉบับเต็มออกแล้วค่ะ ช่วยดาวน์โหลดกันบ้างนะคะ
https://www.mebmarket.com/ebook-43674-คืนค่ำร่ำพิศวาส
โหลดฟรีอีบุ๊ก ตอนพิเศษ >>
https://www.mebmarket.com/ebook-42612-คืนค่ำร่ำพิศวาสSpecial


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account