พรานท่องพนา
นิยายเกี่ยวกับความรักของหนุ่มขี้เล่นกับสาวสวยหัวโบราณ ที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวด ทั้งคู่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายเพื่อพิสูจน์ความรัก การใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ การไม่เชื่อใจกันและกัน การที่รู้จักกันไม่มากพอ ส่งผลให้ต้องแยกทางร้างกันไป และเมื่อต่างก็มีทิฐิ ทำให้การจะกลับมาเดินร่วมทางกันใหม่ทำได้ไม่ง่ายนัก
Tags: พระเอกเป็นตำรวจตระเวนชายแดน นางเอกเป็นไฮโซหัวโบราณ
ตอน: ตอนที่ 1 ชีวิตหนุ่มโสด
ชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกันสามคน ที่นั่งล้อมวงเล่นไพ่รัมมี่กันอยู่ตรงโต๊ะอาหารเล็กๆ ในบ้านพักเก่าๆทึมๆ ในเขตกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งเป็นบ้านพักประจำตำแหน่งฝอ.4 ของนายตำรวจรุ่นพี่ หรือที่เรียกเต็มว่าฝ่ายอำนวยการที่สี่ ซึ่งมีหน้าที่ในการจัดหาจัดส่งกำลังบำรุง เสบียงและอุปกรณ์ต่างๆประจำกองกำกับฯ เงยหน้าขึ้นทักทายเพื่อนที่เดินผ่านประตูที่เปิดกว้างเข้ามาสมทบ
“อ้าว ไอ้คมณ์ ทำไมเพิ่งมาวะ พวกกูมาถึงกันตั้งแต่ก่อนเที่ยงแล้ว”
คนทักเป็นหนุ่มหน้าตาดี ผิวคล้ำ ร่างสันทัดแต่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเหมือนนักเพาะกาย
ฝ่ายที่ถูกทักยิ้มเผล่ เขาเป็นผู้ชายร่างสูง สูงกว่าเพื่อนทุกคนในที่นั้น หน้าตาของเขาดูเข้มด้วยหนวดเครา ตาแวววับมีประกายรื่นรมย์กับชีวิต โยนเป้ที่สะพายอยู่บนบ่าลงไปตรงมุมห้อง ที่ปูด้วยเสื่อน้ำมันสีเขียวสดบนพื้นซีเมนต์หยาบๆ ก่อนจะเข้ามายืนท้าวสะเอวมองดูไพ่ในมือของเพื่อนแต่ละคนทางด้านหลัง
“กูเพิ่งลงรถไฟเมื่อกี้นี้เอง ตอนแรกว่าจะมารถเที่ยวเช้า แต่บังเอิญมีธุระนิดหน่อย”
“ธุระอะไรวะ” คนที่ชื่ออัสดาซึ่งมีรูปร่างค่อนข้างท้วม ผิวขาว ร้องถามหลังจากหงายไพ่ในมือลงบนโต๊ะพร้อมด้วยคำว่า ‘น็อกแล้วโว้ย’
อีกฝ่ายยิ้มกริ่ม คว้าแก้วเหล้าของเพื่อนคนหนึ่งที่วางดายอยู่ข้างตัวขึ้นมาดื่ม
“กูกำลังจะขึ้นรถไฟอยู่แล้ว พอดีเจอนายอำเภอ แกชวนกินเหล้า กูก็เลยติดแหงก อยู่ตรงร้านเหล้าแถวสถานีรถไฟนั่นแหละ นานๆเจอกันทีปลีกตัวลำบาก”
“นายอำเภอคนที่มึงบอกว่าลูกสาวสวยใช่ไหมวะ?” ปรีชา นายตำรวจหนุ่มร่างสูงใหญ่ดำมืดเหมือนนักรบโบราณถามบ้าง
“สงสัยคิดจะจีบลูกสาวเขาล่ะสิ ไอ้เวร อย่าลืมนะเว้ยว่าคุณน้อยเขาขอให้กูคุมประพฤติมึงอยู่ ขืนทำทะเร่อทะร่าไปจีบใครก็อย่าหาว่ากูปากสว่าง” อัสดาเสริมขึ้นมาบ้าง
สรคมน์หรือ ‘ไอ้คมณ์’ ของเพื่อนๆทำหน้ายิ้มกริ่ม “กูไม่เคยจีบใคร แค่เหล่ๆตามประสาหนุ่มโสดหัวใจยังว่าง มึงก็รู้นี่หว่าว่ากูมันประเภทท่าดีทีเหลว เห็นผู้หญิงสวยๆก็ชอบมอง หรืออาจจะเย้าเล่นสองสามคำพอหอมปากหอมคอ ไม่ตามจีบให้เสียเวลาแดกเหล้าหรอกวะ”
“หนอย หัวใจยังว่าง อย่ามาคุย มึงเอาคุณน้อยไปไว้ไหนวะ เฮ้ย ไอ้คมน์ ไหนๆมึงก็ไม่คิดจะจีบใครใหม่อีกแล้ว ทำไมไม่แต่งงานเสียทีล่ะ คุณน้อยเขาก็คอยมึงมาหลายปีแล้วนี่หว่า” เพื่อนสนิทที่ชื่ออัสดายังมีข้อกังขาไม่เลิก
อีกฝ่ายตอบแต่เพียงว่า “เรื่องของกู ไม่ต้องเสือกมาถาม” ไม่ใช่วิสัยของคนอย่างเขาที่จะเปิดเผยความในใจบางอย่างให้ใครฟัง แล้วเขาก็เปลี่ยนเรื่อง
“เฮียชาติไปไหนล่ะ? ป่านนี้แล้วยังไม่เลิกงานอีกหรือวะ”
เขาหมายถึงร้อยตำรวจเอกอภิชาติ ขาวขำ ตำแหน่งฝอ.4 หรือฝ่ายอำนวยการที่สี่ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านหลังน้อยที่พวกเขามาอาศัยเป็นที่ซุกหัวนอน ทุกครั้งที่ออกจากที่ตั้งหมวดตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในพื้นที่กันดารตามแนวเขตใกล้กับประเทศเพื่อนบ้านหรือเส้นกั้นพรมแดน เพื่อเข้ามาร่วมประชุมประจำเดือน สรุปสถานการณ์ในพื้นที่ความรับผิดชอบให้หน่วยเหนือรับทราบ รวมทั้งรับนโยบายไปปฏิบัติ ทุกครั้งเมื่อเข้ามาในเมืองหนุ่มๆพวกนี้ก็จะถือโอกาสใช้ชีวิตหนุ่มให้เต็มที่ ด้วยการดื่มเหล้าเคล้านารีกันเป็นที่สำราญให้คุ้มกับการที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในที่ตั้ง ซึ่งส่วนใหญ่แห้งแล้งกันดารห่างไกลแสงสี
งานของพวกเขาเป็นงานที่เสี่ยงอันตราย ต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ทุกรูปแบบ เพื่อปกป้องรักษาเขตแดนของประเทศชาติให้พ้นจากการรุกรานของอริราชศัตรู ทั้งจากการรุกล้ำเขตแดน ปัญหาในพื้นที่ทับซ้อน ปัญหาชนกลุ่มน้อยที่สู้รบอยู่ตามแนวพรมแดน รวมทั้งการลักลอบขนยาเสพติด การค้าอาวุธสงคราม และปัญหาอื่นๆอีกมากมาย ทั้งจากนอกประเทศและในประเทศ งานดังกล่าวนี้นำความเครียดมาให้อยู่ตลอดเวลา จนต้องมาระบายความเครียดทุกครั้งที่ได้เข้าเมือง เงินเดือนส่วนใหญ่และเบี้ยเลี้ยงที่หนุ่มโสดพวกนี้ได้รับจึงมักจะหมดไปกับการหาความสำราญ ทั้งจากสุรา นารี พาชีและกีฬาบัตรครบเครื่อง หลังจากเงินหมดก็กลับเข้าไปกบดานอยู่ในที่ตั้ง จนกว่าจะถึงเวลาเข้ามาประชุมหรือรับการฝึกที่กองกำกับฯ อีกครั้งหนึ่ง
“พาสาวไปกินข้าว” อัสดาเป็นคนตอบหลังจากทิ้งไพ่ในมือลงบนโต๊ะ
“สาวที่ไหนวะ หรือยายณี?”
สรคมน์หมายถึงสิณี นักร้องสาวสวยประเภทใช้หน้าอกร้องเพลง คู่ขาของผู้กองอภิชาติ ที่มักจะมานอนค้างที่บ้านหลังนี้เป็นประจำและทำท่าเป็น ‘คุณนาย’ เต็มที่
“ไม่ใช่ยายณีหรอก เพื่อนพี่แป๋วน่ะ มาจากกรุงเทพฯ เห็นว่าจะมาเป็นเพื่อนเจ้าสาว มาหลายวันแล้ว”
ดำรงค์ศักดิ์หมายถึงแสงดาว เลขาฯส่วนตัวของผู้กำกับฯ ซึ่งกำลังจะแต่งงานกับนายตำรวจตระเวนชายแดนคนหนึ่งซึ่งเป็นรุ่นพี่ของพวกเขา ทำให้พวกนายตำรวจรุ่นน้องรียกเธอว่า ‘พี่’ ทั้งๆที่เธออายุน้อยกว่าพวกเขาสองสามปี
“พวกตำรวจมันลือกันว่าสวยมาก นัยว่าพี่แป๋วอยากจะแนะนำให้พี่ชาติ พี่ชาติก็คงจะสนใจ ได้ข่าวว่าเทคแคร์น่าดู” อัสดาเสริมให้เพื่อนตื่นเต้น
สรคมน์ยกแก้วเหล้าในมือขึ้นดื่ม ก่อนจะพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะอย่างชอบใจว่า “สงสัยพี่ชาติจะได้แต่งงานก็คราวนี้ละ”
“ยายณีได้อาละวาดตายสิวะ” ชายหนุ่มที่ชื่อปรีชาทำท่าสยอง
“มีสิทธิอะไรวะ ก็แค่คู่นอนชั่วคราว จะมาทำเป็นเจ้าเข้าเจ้าของได้ยังไง” เป็นเสียงของอัสดา
ชายหนุ่มวัยระหว่าง 25-27 ปีทั้งสี่คนนี้เป็นนายตำรวจรุ่นเดียวกัน ที่จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพรานมาพร้อมๆกัน หลังจากเรียนจบต่างก็ถูกส่งแยกย้ายไปทำงาน ในสถานีตำรวจนครบาลในกรุงเทพฯคนละปีสองปี หลังจากนั้นก็ถูกย้ายมาทำงานในสังกัดกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมืองตั้งแต่สามปีที่แล้ว แต่ละคนถูกส่งเข้าไปเป็นผู้บังคับหมวดตำรวจตระเวนชายแดนในอำเภอต่างๆตามแนวชายแดน ตอนนี้ก็ติดยศร้อยตำรวจโทกันโดยถ้วนหน้า
“พี่ชาติติดภารกิจหัวใจไปแล้ว คืนนี้พวกเราจะไปกินเหล้ากันที่ไหนดี” สรคมน์ถามเพื่อนๆ
“ที่ไหนก็ได้ ขอให้มีเหล้า มีผู้หญิงสวยๆก็พอแล้ว” ดำรงค์ศักดิ์ซึ่งจัดว่าเป็นคนหน้าตาดีที่สุดในกลุ่มเป็นคนตอบ
“เฮ้ย ตามไปหาพี่ชาติไม่ดีกว่าหรือวะ กินเหล้าที่นี่แล้วไม่มีพี่ชาติเหมือนขาดอะไรไปอย่างนึง” ปรีชาเสนอ
“ไอ้บ้า” สรคมณ์ท้วง “จะไปเป็นกอขอคอทำไม นานๆพี่ชาติจะหนียายณีได้สักที ปล่อยแกไปเถอะ ไปกันแค่พวกเราสี่คนก็โอเคนี่หว่า”
“งั้นก็เลิกเล่นไพ่ได้แล้ว จบเกมพอดี ไปอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวไปท่องราตรีกันดีกว่า ใครได้ใครเสียเดี๋ยวกลับมาค่อยคิดเงิน” พูดจบปรีชาก็ลุกขึ้นยืน เตรียมตัวไปอาบน้ำ
หลังจากกร่ำเหล้ากันได้ที่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง คณะพรรคสี่สหายก็เคลื่อนขบวนเข้าไปที่บาร์ใหญ่ในตัวเมือง นั่งลงได้ก็สั่งเหล้าสั่งเบียร์มาดื่มกันต่อ โดยมีสาวสวยที่เป็นคู่ขาประจำทุกครั้งที่เข้าเมือง นั่งสะอิ้งอยู่เคียงข้าง คู่ใครคู่มัน
เมื่อดื่มสุราเคล้านารีกันไปเรื่อยๆจนใกล้เวลาบาร์ปิด ชายหนุ่มทั้งสี่พร้อมคู่ขาที่จะหิ้วออกไปด้วยก็พากันเดินออกจากบาร์ อัสดา ดำรงคักดิ์ ปรีชาและหญิงสาวสามคนเดินผ่านประตุออกไปก่อน ส่วนสรคมน์หยุดคอยคู่ควงของเขาตรงใกล้ประตูด้านใน เพราะเจ้าหล่อนขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ส่วนคนอื่นๆจะไปรอข้างนอกตรงลานจอดรถ เพื่อจะไปกินข้าวต้มรอบดึก ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปหาความสุขในโรงแรมแห่งหนึ่ง
ระหว่างยืนรอสาวคู่ควงอยู่ใกล้ประตูทางออก ก็มีชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งเดินผ่านมาเพื่อจะออกจากบาร์ แต่แล้วแทนที่จะเดินผ่านไปตามปกติ คนนำหน้าท่าทางนักเลงหยุดเดิน หันมาจ้องหน้าสรคมน์เขม็ง
“เกลียดฉิบหายเลยว่ะไอ้คนมีหนวดเนี่ย กวนตีนน่าเตะชะมัด” เขาพูดลอยๆ
สรคมณ์ซึ่งดื่มเหล้าเข้าไปไม่น้อยเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายท่าทางเมาคนนั้น
“เอาสิวะ กูก็มีตีนเหมือนกันนี่หว่า”
“มึงท้ากูหรือวะ?” อีกฝ่ายส่งเสียงคำรามออกมา
“ไม่ได้ท้า แต่กูก็พร้อมที่จะเตะมึงเหมือนกัน เพราะมึงกวนกูก่อน” สรคมณ์ตอบโต้
“มึงแน่จริงก็ได้เลย”
ฝ่ายนั้นย่างสามขุมเข้ามาใกล้ แต่สรคมณ์ยกมือขึ้นห้าม
“ออกไปข้างนอกดีกว่า ขืนชกกันในนี้เข้าของเขาจะบรรลัยหมด”
“ได้”
พูดขาดคำชายร่างใหญ่ท่าทางนักเลงผู้นั้นก็ควักปืนพกออกมาจากเอว พอเห็นเช่นนั้น สรคมน์ก็สะอึกเข้าใส่ เพื่อแย่งอาวุธร้ายในมือของอีกฝ่าย แต่ก่อนที่จะถึงตัว ผู้ชายคนนั้นก็ยกมือขึ้นเป็นเชิงให้หยุด
“ไม่ต้องห่วง กูไม่ใช้อาวุธหรอกวะ”
เขาส่งปืนพกกระบอกนั้นให้ชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่ง ซึ่งคงเป็นพวกเดียวกัน แล้วทั้งหมดก็เดินออกจากบาร์ไปตรงลานจอดรถซึ่งค่อนข้างมืด
“พวกมึงไม่ต้องช่วย กูจะชกกับมันตัวต่อตัว”
ชายผู้นั้นร้องสั่งลูกน้องสี่ห้าคนที่กระจายตัวออกล้อมรอบเขา ทำให้ชายฉกรรจ์เหล่านั้นเดินออกไปตีวงอยู่ใกล้ๆ เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อัสดา ปรีชาและดำรงค์ศักดิ์ที่ยืนคอยสรคมณ์อยู่แถวนั้นก็เดินเข้ามาสมทบ ตั้งวงเตรียมพร้อมในกรณีที่อีกฝ่ายจะเข้ารุม โดยมีคู่กรณีทั้งสองยืนประจัญหน้ากันอยู่กลางวงล้อม
ทันทีที่โอกาสเปิดและโดยไม่พูดพล่ามทำเพลง ชายร่างใหญ่ก็กระโดดเข้าชกสรคมน์เต็มแรงจนเขาเซถลาไป พอตั้งตัวได้ชายหนุ่มก็ปราดเข้าหาอีกฝ่าย จ้วงหมัดเข้าไปที่บริเวณหน้าของฝ่ายนั้นหลายหมัดติดๆกัน โดยที่ชายผู้นั้นก็รัวหมัดเข้าใส่เขาเหมือนกัน ผลัดกันรุกผลัดกันรับอยู่ครู่ใหญ่ จนในสุดสรคมณ์ที่คงจะเมาน้อยกว่าเห็นท่าที่เซซวนไปมาของคู่กรณี ก็เผด็จศึกด้วยการใช้ขาที่ยาวกว่า ถีบเข้าไปเต็มแรงตรงหน้าท้องของอีกฝ่าย แรงที่ส่งออกไปเต็มเหนี่ยวทำให้คู่กรณีกระเด็นตัวลอย ก่อนจะตกกระแทกลงบนพื้นคอนกรีตแล้วนอนหมอบนิ่งอยู่อย่างนั้น
เมื่อเห็นลูกพี่ลงไปนอนหมอบอยู่กับพื้น ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นที่ยืนคุมเชิงอยู่ก็กระโดดเข้ารุมสรคมณ์ทันที เสียงผลัวะผละดังลั่นขึ้นมา โดยที่ชายหนุ่มก็ต่อสู้ป้องกันตัวอย่างสุดฤทธิ์ ดำรงศักดิ์ ปรีชาและอัสดาซึ่งยืนเตรียมพร้อมอยู่แล้วกระโดดเข้าไปร่วมวง ตะลุมบอนกันอย่างดุเดือดไม่รู้ว่าใครเป็นใครอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งผู้ชายที่หมอบอยู่บนพื้นยันตัวลุกขึ้นได้
“พอโว้ย เลิกแล้วต่อกัน” เขาร้องสั่งลูกสมุน “กูบอกให้เลิกไง ไปโว้ย กลับบ้าน"
ในที่สุดการต่อสู้ก็จบลง โดยหนุ่มใหญ่คนนั้นซึ่งสรคมณ์มารู้ภายหลังว่าเป็นนายทหารบกยศร้อยเอก ต้อนลูกน้องซึ่งคงเป็นทหารด้วยกัน ขึ้นรถจี๊บตรากงจักรขับหายไป
“ไอ้บ้าพวกนี้เป็นยังไงวะ เที่ยวอย่างเดียวไม่มันพอหรือไง ต้องมีเรื่องทุกครั้งสิน่า”
สี่หนุ่มหันไปตามเสียงก็เห็นรุ่นพี่ที่ชื่ออภิชาติ ยืนจังก้าหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ข้างหลัง
“อ้าว พี่ชาติ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” สรคมณ์ทักเก้อๆ
“กูกำลังจะกลับ ขึ้นรถแล้วด้วย พอดีเห็นพวกมึงกำลังชกต่อยกับไอ้พวกนั้นอยู่เลยลงมาดู ใครก่อเรื่องวะ มึงใช่ไหมไอ้คมณ์ กูรู้ว่าต้องเป็นมึงแน่ ซ่าตลอดเลยนี่มึงน่ะ”
“โธ่ พี่ชาติ มันมาหาเรื่องผมก่อนนา มันบอกว่าอยากเตะผม พี่ชาติคิดว่าผมควรจะลงนอนยอมให้มันเตะดีดีหรือไง?” อีกฝ่ายอ้อมแอ้มแก้ตัว
“มึงก็อ้างยังงี้ทุกทีแหละว้า” อภิชาติทำเสียงเอือมระอาก่อนจะถามว่า “พวกมึงจะกลับเลยหรือเปล่า?”
“ว่าจะแวะไปกินข้าวต้มที่ตลาดโต้รุ่งก่อนฮะ” อัสดาตอบแทนคนอื่นๆแล้วชวนว่า “พี่ชาติไปด้วยกันไหม?”
พอเห็นท่าทางอึกอักของรุ่นพี่ สรคมณ์ก็ถามว่า “หรือเฮียมากับใคร ถ้างั้นก็เชิญเฮียตามสบาย”“เฮ่ย ไม่เป็นไร ไปด้วยกันก็ได้ ตั้งใจว่าจะพาแป๋วกับเพื่อนเขาไปกินข้าวต้มอยู่แล้ว”
ชายหนุ่มทั้งสี่เหลียวมองไปรอบๆ เพื่อหาหญิงสาวสองคนที่อภิชาติพูดถึง แต่ก็ไม่เห็นใคร
“เขารอกันอยู่ในรถ พวกมึงขับรถตามไปแล้วกัน เจอกันที่ร้านข้าวต้มเจ้าเก่า”
สรคมณ์ถามอ่อยๆว่า “จะดีหรือพี่ชาติ”
“ไม่ดียังไงวะ?”
“อ้าว ก็พวกผมมีผู้หญิงไปด้วย พี่แป๋วกับเพื่อนเขาอาจจะไม่สะดวกใจก็ได้ไม่ใช่หรือ” ความหมายของเขาคือคิดว่าผู้หญิงสองคนที่มากับอภิชาติอาจจะนึกรังเกียจ เพราะคงดูออกว่าพวกเจ้าหล่อนเป็นผู้หญิงนั่งชั่วโมงที่ถูกหิ้วออกมาเพื่อกิจเฉพาะตัวบางอย่าง
นายร้อยตำรวจเอกหนุ่มหยุดคิดอยู่แวบหนึ่งก่อนจะบอกด้วยเสียงเรียบๆตามปกติ
“ไม่เห็นเป็นไรนี่หว่า กะอีแค่ไปกินข้าวด้วยกัน มึงอย่าเรื่องมากไปหน่อยเลยวะ ขับรถตามกูมาก็แล้วกัน”
“อ้าว ไอ้คมณ์ ทำไมเพิ่งมาวะ พวกกูมาถึงกันตั้งแต่ก่อนเที่ยงแล้ว”
คนทักเป็นหนุ่มหน้าตาดี ผิวคล้ำ ร่างสันทัดแต่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเหมือนนักเพาะกาย
ฝ่ายที่ถูกทักยิ้มเผล่ เขาเป็นผู้ชายร่างสูง สูงกว่าเพื่อนทุกคนในที่นั้น หน้าตาของเขาดูเข้มด้วยหนวดเครา ตาแวววับมีประกายรื่นรมย์กับชีวิต โยนเป้ที่สะพายอยู่บนบ่าลงไปตรงมุมห้อง ที่ปูด้วยเสื่อน้ำมันสีเขียวสดบนพื้นซีเมนต์หยาบๆ ก่อนจะเข้ามายืนท้าวสะเอวมองดูไพ่ในมือของเพื่อนแต่ละคนทางด้านหลัง
“กูเพิ่งลงรถไฟเมื่อกี้นี้เอง ตอนแรกว่าจะมารถเที่ยวเช้า แต่บังเอิญมีธุระนิดหน่อย”
“ธุระอะไรวะ” คนที่ชื่ออัสดาซึ่งมีรูปร่างค่อนข้างท้วม ผิวขาว ร้องถามหลังจากหงายไพ่ในมือลงบนโต๊ะพร้อมด้วยคำว่า ‘น็อกแล้วโว้ย’
อีกฝ่ายยิ้มกริ่ม คว้าแก้วเหล้าของเพื่อนคนหนึ่งที่วางดายอยู่ข้างตัวขึ้นมาดื่ม
“กูกำลังจะขึ้นรถไฟอยู่แล้ว พอดีเจอนายอำเภอ แกชวนกินเหล้า กูก็เลยติดแหงก อยู่ตรงร้านเหล้าแถวสถานีรถไฟนั่นแหละ นานๆเจอกันทีปลีกตัวลำบาก”
“นายอำเภอคนที่มึงบอกว่าลูกสาวสวยใช่ไหมวะ?” ปรีชา นายตำรวจหนุ่มร่างสูงใหญ่ดำมืดเหมือนนักรบโบราณถามบ้าง
“สงสัยคิดจะจีบลูกสาวเขาล่ะสิ ไอ้เวร อย่าลืมนะเว้ยว่าคุณน้อยเขาขอให้กูคุมประพฤติมึงอยู่ ขืนทำทะเร่อทะร่าไปจีบใครก็อย่าหาว่ากูปากสว่าง” อัสดาเสริมขึ้นมาบ้าง
สรคมน์หรือ ‘ไอ้คมณ์’ ของเพื่อนๆทำหน้ายิ้มกริ่ม “กูไม่เคยจีบใคร แค่เหล่ๆตามประสาหนุ่มโสดหัวใจยังว่าง มึงก็รู้นี่หว่าว่ากูมันประเภทท่าดีทีเหลว เห็นผู้หญิงสวยๆก็ชอบมอง หรืออาจจะเย้าเล่นสองสามคำพอหอมปากหอมคอ ไม่ตามจีบให้เสียเวลาแดกเหล้าหรอกวะ”
“หนอย หัวใจยังว่าง อย่ามาคุย มึงเอาคุณน้อยไปไว้ไหนวะ เฮ้ย ไอ้คมน์ ไหนๆมึงก็ไม่คิดจะจีบใครใหม่อีกแล้ว ทำไมไม่แต่งงานเสียทีล่ะ คุณน้อยเขาก็คอยมึงมาหลายปีแล้วนี่หว่า” เพื่อนสนิทที่ชื่ออัสดายังมีข้อกังขาไม่เลิก
อีกฝ่ายตอบแต่เพียงว่า “เรื่องของกู ไม่ต้องเสือกมาถาม” ไม่ใช่วิสัยของคนอย่างเขาที่จะเปิดเผยความในใจบางอย่างให้ใครฟัง แล้วเขาก็เปลี่ยนเรื่อง
“เฮียชาติไปไหนล่ะ? ป่านนี้แล้วยังไม่เลิกงานอีกหรือวะ”
เขาหมายถึงร้อยตำรวจเอกอภิชาติ ขาวขำ ตำแหน่งฝอ.4 หรือฝ่ายอำนวยการที่สี่ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านหลังน้อยที่พวกเขามาอาศัยเป็นที่ซุกหัวนอน ทุกครั้งที่ออกจากที่ตั้งหมวดตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในพื้นที่กันดารตามแนวเขตใกล้กับประเทศเพื่อนบ้านหรือเส้นกั้นพรมแดน เพื่อเข้ามาร่วมประชุมประจำเดือน สรุปสถานการณ์ในพื้นที่ความรับผิดชอบให้หน่วยเหนือรับทราบ รวมทั้งรับนโยบายไปปฏิบัติ ทุกครั้งเมื่อเข้ามาในเมืองหนุ่มๆพวกนี้ก็จะถือโอกาสใช้ชีวิตหนุ่มให้เต็มที่ ด้วยการดื่มเหล้าเคล้านารีกันเป็นที่สำราญให้คุ้มกับการที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในที่ตั้ง ซึ่งส่วนใหญ่แห้งแล้งกันดารห่างไกลแสงสี
งานของพวกเขาเป็นงานที่เสี่ยงอันตราย ต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ทุกรูปแบบ เพื่อปกป้องรักษาเขตแดนของประเทศชาติให้พ้นจากการรุกรานของอริราชศัตรู ทั้งจากการรุกล้ำเขตแดน ปัญหาในพื้นที่ทับซ้อน ปัญหาชนกลุ่มน้อยที่สู้รบอยู่ตามแนวพรมแดน รวมทั้งการลักลอบขนยาเสพติด การค้าอาวุธสงคราม และปัญหาอื่นๆอีกมากมาย ทั้งจากนอกประเทศและในประเทศ งานดังกล่าวนี้นำความเครียดมาให้อยู่ตลอดเวลา จนต้องมาระบายความเครียดทุกครั้งที่ได้เข้าเมือง เงินเดือนส่วนใหญ่และเบี้ยเลี้ยงที่หนุ่มโสดพวกนี้ได้รับจึงมักจะหมดไปกับการหาความสำราญ ทั้งจากสุรา นารี พาชีและกีฬาบัตรครบเครื่อง หลังจากเงินหมดก็กลับเข้าไปกบดานอยู่ในที่ตั้ง จนกว่าจะถึงเวลาเข้ามาประชุมหรือรับการฝึกที่กองกำกับฯ อีกครั้งหนึ่ง
“พาสาวไปกินข้าว” อัสดาเป็นคนตอบหลังจากทิ้งไพ่ในมือลงบนโต๊ะ
“สาวที่ไหนวะ หรือยายณี?”
สรคมน์หมายถึงสิณี นักร้องสาวสวยประเภทใช้หน้าอกร้องเพลง คู่ขาของผู้กองอภิชาติ ที่มักจะมานอนค้างที่บ้านหลังนี้เป็นประจำและทำท่าเป็น ‘คุณนาย’ เต็มที่
“ไม่ใช่ยายณีหรอก เพื่อนพี่แป๋วน่ะ มาจากกรุงเทพฯ เห็นว่าจะมาเป็นเพื่อนเจ้าสาว มาหลายวันแล้ว”
ดำรงค์ศักดิ์หมายถึงแสงดาว เลขาฯส่วนตัวของผู้กำกับฯ ซึ่งกำลังจะแต่งงานกับนายตำรวจตระเวนชายแดนคนหนึ่งซึ่งเป็นรุ่นพี่ของพวกเขา ทำให้พวกนายตำรวจรุ่นน้องรียกเธอว่า ‘พี่’ ทั้งๆที่เธออายุน้อยกว่าพวกเขาสองสามปี
“พวกตำรวจมันลือกันว่าสวยมาก นัยว่าพี่แป๋วอยากจะแนะนำให้พี่ชาติ พี่ชาติก็คงจะสนใจ ได้ข่าวว่าเทคแคร์น่าดู” อัสดาเสริมให้เพื่อนตื่นเต้น
สรคมน์ยกแก้วเหล้าในมือขึ้นดื่ม ก่อนจะพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะอย่างชอบใจว่า “สงสัยพี่ชาติจะได้แต่งงานก็คราวนี้ละ”
“ยายณีได้อาละวาดตายสิวะ” ชายหนุ่มที่ชื่อปรีชาทำท่าสยอง
“มีสิทธิอะไรวะ ก็แค่คู่นอนชั่วคราว จะมาทำเป็นเจ้าเข้าเจ้าของได้ยังไง” เป็นเสียงของอัสดา
ชายหนุ่มวัยระหว่าง 25-27 ปีทั้งสี่คนนี้เป็นนายตำรวจรุ่นเดียวกัน ที่จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพรานมาพร้อมๆกัน หลังจากเรียนจบต่างก็ถูกส่งแยกย้ายไปทำงาน ในสถานีตำรวจนครบาลในกรุงเทพฯคนละปีสองปี หลังจากนั้นก็ถูกย้ายมาทำงานในสังกัดกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมืองตั้งแต่สามปีที่แล้ว แต่ละคนถูกส่งเข้าไปเป็นผู้บังคับหมวดตำรวจตระเวนชายแดนในอำเภอต่างๆตามแนวชายแดน ตอนนี้ก็ติดยศร้อยตำรวจโทกันโดยถ้วนหน้า
“พี่ชาติติดภารกิจหัวใจไปแล้ว คืนนี้พวกเราจะไปกินเหล้ากันที่ไหนดี” สรคมน์ถามเพื่อนๆ
“ที่ไหนก็ได้ ขอให้มีเหล้า มีผู้หญิงสวยๆก็พอแล้ว” ดำรงค์ศักดิ์ซึ่งจัดว่าเป็นคนหน้าตาดีที่สุดในกลุ่มเป็นคนตอบ
“เฮ้ย ตามไปหาพี่ชาติไม่ดีกว่าหรือวะ กินเหล้าที่นี่แล้วไม่มีพี่ชาติเหมือนขาดอะไรไปอย่างนึง” ปรีชาเสนอ
“ไอ้บ้า” สรคมณ์ท้วง “จะไปเป็นกอขอคอทำไม นานๆพี่ชาติจะหนียายณีได้สักที ปล่อยแกไปเถอะ ไปกันแค่พวกเราสี่คนก็โอเคนี่หว่า”
“งั้นก็เลิกเล่นไพ่ได้แล้ว จบเกมพอดี ไปอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวไปท่องราตรีกันดีกว่า ใครได้ใครเสียเดี๋ยวกลับมาค่อยคิดเงิน” พูดจบปรีชาก็ลุกขึ้นยืน เตรียมตัวไปอาบน้ำ
หลังจากกร่ำเหล้ากันได้ที่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง คณะพรรคสี่สหายก็เคลื่อนขบวนเข้าไปที่บาร์ใหญ่ในตัวเมือง นั่งลงได้ก็สั่งเหล้าสั่งเบียร์มาดื่มกันต่อ โดยมีสาวสวยที่เป็นคู่ขาประจำทุกครั้งที่เข้าเมือง นั่งสะอิ้งอยู่เคียงข้าง คู่ใครคู่มัน
เมื่อดื่มสุราเคล้านารีกันไปเรื่อยๆจนใกล้เวลาบาร์ปิด ชายหนุ่มทั้งสี่พร้อมคู่ขาที่จะหิ้วออกไปด้วยก็พากันเดินออกจากบาร์ อัสดา ดำรงคักดิ์ ปรีชาและหญิงสาวสามคนเดินผ่านประตุออกไปก่อน ส่วนสรคมน์หยุดคอยคู่ควงของเขาตรงใกล้ประตูด้านใน เพราะเจ้าหล่อนขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ส่วนคนอื่นๆจะไปรอข้างนอกตรงลานจอดรถ เพื่อจะไปกินข้าวต้มรอบดึก ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปหาความสุขในโรงแรมแห่งหนึ่ง
ระหว่างยืนรอสาวคู่ควงอยู่ใกล้ประตูทางออก ก็มีชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งเดินผ่านมาเพื่อจะออกจากบาร์ แต่แล้วแทนที่จะเดินผ่านไปตามปกติ คนนำหน้าท่าทางนักเลงหยุดเดิน หันมาจ้องหน้าสรคมน์เขม็ง
“เกลียดฉิบหายเลยว่ะไอ้คนมีหนวดเนี่ย กวนตีนน่าเตะชะมัด” เขาพูดลอยๆ
สรคมณ์ซึ่งดื่มเหล้าเข้าไปไม่น้อยเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายท่าทางเมาคนนั้น
“เอาสิวะ กูก็มีตีนเหมือนกันนี่หว่า”
“มึงท้ากูหรือวะ?” อีกฝ่ายส่งเสียงคำรามออกมา
“ไม่ได้ท้า แต่กูก็พร้อมที่จะเตะมึงเหมือนกัน เพราะมึงกวนกูก่อน” สรคมณ์ตอบโต้
“มึงแน่จริงก็ได้เลย”
ฝ่ายนั้นย่างสามขุมเข้ามาใกล้ แต่สรคมณ์ยกมือขึ้นห้าม
“ออกไปข้างนอกดีกว่า ขืนชกกันในนี้เข้าของเขาจะบรรลัยหมด”
“ได้”
พูดขาดคำชายร่างใหญ่ท่าทางนักเลงผู้นั้นก็ควักปืนพกออกมาจากเอว พอเห็นเช่นนั้น สรคมน์ก็สะอึกเข้าใส่ เพื่อแย่งอาวุธร้ายในมือของอีกฝ่าย แต่ก่อนที่จะถึงตัว ผู้ชายคนนั้นก็ยกมือขึ้นเป็นเชิงให้หยุด
“ไม่ต้องห่วง กูไม่ใช้อาวุธหรอกวะ”
เขาส่งปืนพกกระบอกนั้นให้ชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่ง ซึ่งคงเป็นพวกเดียวกัน แล้วทั้งหมดก็เดินออกจากบาร์ไปตรงลานจอดรถซึ่งค่อนข้างมืด
“พวกมึงไม่ต้องช่วย กูจะชกกับมันตัวต่อตัว”
ชายผู้นั้นร้องสั่งลูกน้องสี่ห้าคนที่กระจายตัวออกล้อมรอบเขา ทำให้ชายฉกรรจ์เหล่านั้นเดินออกไปตีวงอยู่ใกล้ๆ เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อัสดา ปรีชาและดำรงค์ศักดิ์ที่ยืนคอยสรคมณ์อยู่แถวนั้นก็เดินเข้ามาสมทบ ตั้งวงเตรียมพร้อมในกรณีที่อีกฝ่ายจะเข้ารุม โดยมีคู่กรณีทั้งสองยืนประจัญหน้ากันอยู่กลางวงล้อม
ทันทีที่โอกาสเปิดและโดยไม่พูดพล่ามทำเพลง ชายร่างใหญ่ก็กระโดดเข้าชกสรคมน์เต็มแรงจนเขาเซถลาไป พอตั้งตัวได้ชายหนุ่มก็ปราดเข้าหาอีกฝ่าย จ้วงหมัดเข้าไปที่บริเวณหน้าของฝ่ายนั้นหลายหมัดติดๆกัน โดยที่ชายผู้นั้นก็รัวหมัดเข้าใส่เขาเหมือนกัน ผลัดกันรุกผลัดกันรับอยู่ครู่ใหญ่ จนในสุดสรคมณ์ที่คงจะเมาน้อยกว่าเห็นท่าที่เซซวนไปมาของคู่กรณี ก็เผด็จศึกด้วยการใช้ขาที่ยาวกว่า ถีบเข้าไปเต็มแรงตรงหน้าท้องของอีกฝ่าย แรงที่ส่งออกไปเต็มเหนี่ยวทำให้คู่กรณีกระเด็นตัวลอย ก่อนจะตกกระแทกลงบนพื้นคอนกรีตแล้วนอนหมอบนิ่งอยู่อย่างนั้น
เมื่อเห็นลูกพี่ลงไปนอนหมอบอยู่กับพื้น ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นที่ยืนคุมเชิงอยู่ก็กระโดดเข้ารุมสรคมณ์ทันที เสียงผลัวะผละดังลั่นขึ้นมา โดยที่ชายหนุ่มก็ต่อสู้ป้องกันตัวอย่างสุดฤทธิ์ ดำรงศักดิ์ ปรีชาและอัสดาซึ่งยืนเตรียมพร้อมอยู่แล้วกระโดดเข้าไปร่วมวง ตะลุมบอนกันอย่างดุเดือดไม่รู้ว่าใครเป็นใครอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งผู้ชายที่หมอบอยู่บนพื้นยันตัวลุกขึ้นได้
“พอโว้ย เลิกแล้วต่อกัน” เขาร้องสั่งลูกสมุน “กูบอกให้เลิกไง ไปโว้ย กลับบ้าน"
ในที่สุดการต่อสู้ก็จบลง โดยหนุ่มใหญ่คนนั้นซึ่งสรคมณ์มารู้ภายหลังว่าเป็นนายทหารบกยศร้อยเอก ต้อนลูกน้องซึ่งคงเป็นทหารด้วยกัน ขึ้นรถจี๊บตรากงจักรขับหายไป
“ไอ้บ้าพวกนี้เป็นยังไงวะ เที่ยวอย่างเดียวไม่มันพอหรือไง ต้องมีเรื่องทุกครั้งสิน่า”
สี่หนุ่มหันไปตามเสียงก็เห็นรุ่นพี่ที่ชื่ออภิชาติ ยืนจังก้าหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ข้างหลัง
“อ้าว พี่ชาติ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” สรคมณ์ทักเก้อๆ
“กูกำลังจะกลับ ขึ้นรถแล้วด้วย พอดีเห็นพวกมึงกำลังชกต่อยกับไอ้พวกนั้นอยู่เลยลงมาดู ใครก่อเรื่องวะ มึงใช่ไหมไอ้คมณ์ กูรู้ว่าต้องเป็นมึงแน่ ซ่าตลอดเลยนี่มึงน่ะ”
“โธ่ พี่ชาติ มันมาหาเรื่องผมก่อนนา มันบอกว่าอยากเตะผม พี่ชาติคิดว่าผมควรจะลงนอนยอมให้มันเตะดีดีหรือไง?” อีกฝ่ายอ้อมแอ้มแก้ตัว
“มึงก็อ้างยังงี้ทุกทีแหละว้า” อภิชาติทำเสียงเอือมระอาก่อนจะถามว่า “พวกมึงจะกลับเลยหรือเปล่า?”
“ว่าจะแวะไปกินข้าวต้มที่ตลาดโต้รุ่งก่อนฮะ” อัสดาตอบแทนคนอื่นๆแล้วชวนว่า “พี่ชาติไปด้วยกันไหม?”
พอเห็นท่าทางอึกอักของรุ่นพี่ สรคมณ์ก็ถามว่า “หรือเฮียมากับใคร ถ้างั้นก็เชิญเฮียตามสบาย”“เฮ่ย ไม่เป็นไร ไปด้วยกันก็ได้ ตั้งใจว่าจะพาแป๋วกับเพื่อนเขาไปกินข้าวต้มอยู่แล้ว”
ชายหนุ่มทั้งสี่เหลียวมองไปรอบๆ เพื่อหาหญิงสาวสองคนที่อภิชาติพูดถึง แต่ก็ไม่เห็นใคร
“เขารอกันอยู่ในรถ พวกมึงขับรถตามไปแล้วกัน เจอกันที่ร้านข้าวต้มเจ้าเก่า”
สรคมณ์ถามอ่อยๆว่า “จะดีหรือพี่ชาติ”
“ไม่ดียังไงวะ?”
“อ้าว ก็พวกผมมีผู้หญิงไปด้วย พี่แป๋วกับเพื่อนเขาอาจจะไม่สะดวกใจก็ได้ไม่ใช่หรือ” ความหมายของเขาคือคิดว่าผู้หญิงสองคนที่มากับอภิชาติอาจจะนึกรังเกียจ เพราะคงดูออกว่าพวกเจ้าหล่อนเป็นผู้หญิงนั่งชั่วโมงที่ถูกหิ้วออกมาเพื่อกิจเฉพาะตัวบางอย่าง
นายร้อยตำรวจเอกหนุ่มหยุดคิดอยู่แวบหนึ่งก่อนจะบอกด้วยเสียงเรียบๆตามปกติ
“ไม่เห็นเป็นไรนี่หว่า กะอีแค่ไปกินข้าวด้วยกัน มึงอย่าเรื่องมากไปหน่อยเลยวะ ขับรถตามกูมาก็แล้วกัน”
greengrass
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 พ.ค. 2559, 22:05:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ก.ค. 2560, 11:09:21 น.
จำนวนการเข้าชม : 2808
ตอนที่ 2 แรกพบสบตา >> |
greengrass 19 พ.ค. 2559, 13:49:21 น.
สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ ในเว็บฯ
เป็นนักเขียนสมัครเล่นมือใหม่ นิยายเรื่องนี้เป็นแนวชีวิตปนความรักแบบกุ๊กๆกิ๊กๆ การบรรยายความจะมีพอสมควร (หวังว่าผู้อ่านคงจะไม่เบื่อเสียก่อนนะคะ) สำนวนก็อาจจะเป็นแนวผู้ใหญ่หน่อย อาจจะเป็นเพราะชอบอ่านนิยายของนักเขียนรุ่นเก่า เช่น คุณกฤษณา อโศกสิน คุณว.วินิจฉัยกุล ฯลฯ ซึ่งได้อ่านมามากมายจนนับไม่ถ้วน ชื่นชอบสำนวนของท่านเหล่านี้เป็นกรณีพิเศษ เวลาลงมือเขียนนิยายของตัวเอง จึงยึดแนวทางของท่านเป็นหลัก หวังว่าจะมีผู้สนใจเข้ามาอ่านพอสมควรนะคะ จะได้มีกำลังใจเขียนต่อไปเรื่อยๆ
สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ ในเว็บฯ
เป็นนักเขียนสมัครเล่นมือใหม่ นิยายเรื่องนี้เป็นแนวชีวิตปนความรักแบบกุ๊กๆกิ๊กๆ การบรรยายความจะมีพอสมควร (หวังว่าผู้อ่านคงจะไม่เบื่อเสียก่อนนะคะ) สำนวนก็อาจจะเป็นแนวผู้ใหญ่หน่อย อาจจะเป็นเพราะชอบอ่านนิยายของนักเขียนรุ่นเก่า เช่น คุณกฤษณา อโศกสิน คุณว.วินิจฉัยกุล ฯลฯ ซึ่งได้อ่านมามากมายจนนับไม่ถ้วน ชื่นชอบสำนวนของท่านเหล่านี้เป็นกรณีพิเศษ เวลาลงมือเขียนนิยายของตัวเอง จึงยึดแนวทางของท่านเป็นหลัก หวังว่าจะมีผู้สนใจเข้ามาอ่านพอสมควรนะคะ จะได้มีกำลังใจเขียนต่อไปเรื่อยๆ
yoraya 21 พ.ค. 2559, 16:07:11 น.
เป็นกำลังใจให้นะคะ ^^
เป็นกำลังใจให้นะคะ ^^
greengrass 23 พ.ค. 2559, 21:46:23 น.
อยากได้คำวิจารณ์บ้าง จะได้รู้ว่าควรจะโพสต์ต่อหรือเปล่า
อยากได้คำวิจารณ์บ้าง จะได้รู้ว่าควรจะโพสต์ต่อหรือเปล่า
greengrass 23 พ.ค. 2559, 21:46:32 น.
สำนวนค่อนข้างโบราณไปไหมคะ
สำนวนค่อนข้างโบราณไปไหมคะ
พรรณราย 27 ต.ค. 2559, 16:00:29 น.
เป็นนิยายใหม่หรือเก่าคะ
เป็นนิยายใหม่หรือเก่าคะ