พรานท่องพนา
นิยายเกี่ยวกับความรักของหนุ่มขี้เล่นกับสาวสวยหัวโบราณ ที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวด ทั้งคู่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายเพื่อพิสูจน์ความรัก การใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ การไม่เชื่อใจกันและกัน การที่รู้จักกันไม่มากพอ ส่งผลให้ต้องแยกทางร้างกันไป และเมื่อต่างก็มีทิฐิ ทำให้การจะกลับมาเดินร่วมทางกันใหม่ทำได้ไม่ง่ายนัก
Tags: พระเอกเป็นตำรวจตระเวนชายแดน นางเอกเป็นไฮโซหัวโบราณ
ตอน: ตอนที่ 2 แรกพบสบตา
แล้วในที่สุดชายหนุ่มทั้งสี่ก็มีโอกาสได้ยลโฉมเพื่อนสาวของแสงดาว ที่นั่งอยู่ระหว่างเพื่อนของเธอกับผู้กองอภิชาติ พวกเขาจ้องมองเธอเป็นตาเดียวกัน ในขณะที่รุ่นพี่ผู้มีสีหน้าสดใสผิดกว่าทุกวันแนะนำคนทั้งหมดให้รู้จักกัน หญิงสาวคนที่มีชื่อแปลกว่าหมันหยาเป็นคนสวยสมคำร่ำลือของพวกตำรวจ ผิวของเธอขาวผ่องนวลละเอียด ผมยาวรวบเอาไว้ง่ายๆเหมือนทรงหางม้า เปิดให้เห็นหน้าผากนูนงามที่มีลูกผมอ่อนๆขดเป็นวงอยู่แถวหน้าผากและใบหู ปากจมูกคิ้วคางงามรับกัน ที่ยังเห็นไม่ถนัดก็คือทรวดทรงองค์เอวที่ซ่อนอยู่ในเครื่องแต่งกายหลวมๆ
“พี่เลิศยังไม่มาอีกหรือครับ พี่แป๋ว อีกไม่กี่วันก็จะเป็นเจ้าบ่าวอยู่แล้ว"อัสดาถาม
“ไม่พรุ่งนี้ก็มะรืนตอนเช้า ประชุมเสร็จก็อยู่ต่อเลย " แสงดาวตอบด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
สรคมณ์นั่งดื่มเหล้าอยู่เงียบๆ แอบมองหญิงสาวคนนั้นไปพร้อมๆกัน ด้วยนัยน์ตาระยิบระยับที่ใครต่อใครวิจารณ์ว่าเจ้าชู้ ซึ่งเขาก็ปฏิเสธทุกครั้ง เขาบอกว่าเขาไม่ใช่คนเจ้าชู้ ตามันเป็นของมันอย่างนั้นเอง ชายหนุ่มผู้นี้ไม่รู้ตัวหรอกว่าประกายตาระยิบระยับ บวกกับคำพูดแบบทีเล่นทีจริงที่เป็นลักษณะประจำตัวของเขา ทำให้ผู้หญิงหลายคนเข้าใจผิด คิดว่าเขาสนใจหรือกำลังขายขนมจีบ เขาเห็นผู้กองอภิชาติตักอาหารใส่จานให้สาวสวยคนนั้น ด้วยท่าทางเอาอกเอาใจ สีหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ
อภิชาติเป็นนายตำรวจรุ่นพี่ที่น้องๆทั้งรักและนับถือ เขาเป็นคนสุภาพลูดน้อย ทำงานอย่างขยันขันแข็งเป็นที่โปรดปรานของผู้บังคับบัญชา แม้จะยังโสดแต่เขาก็เหมือนนายตำรวจหนุ่มๆอีกหลายคนที่มีคู่ขา สิณี นักร้องสาวใหญ่ที่ร้องเพลงประจำอยู่ในบาร์ใหญ่แห่งหนึ่งในตัวเมือง เพิ่งผันตัวเองเข้ามาอยู่กับเขาที่บ้านพักประจำตำแหน่งในกองกำกับฯ เมื่อประมาณสามเดือนที่แล้ว เจ้าหล่อนต้องไปร้องเพลงที่บาร์แห่งหนึ่งทุกคืนๆละสามชั่วโมง บางครั้งผู้กองหนุ่มก็ขับรถไปรับหรือไปส่งแล้วแต่โอกาส เนื่องจากเขาเป็นคนไม่พูดมาก คนที่อยากรู้อยากเห็นหรือสงสัยว่าเขาจะลงเอยกับนักร้องคนนี้หรือเปล่า ไม่เคยได้รับคำตอบจากเขาไม่ว่ารับหรือปฏิเสธ เขาเพียงแต่ยิ้มเรื่อยๆตามแบบของเขา ซึ่งทำให้สิณีเกิดความหวังว่าสักวันหนึ่งเขาอาจจะคิดจริงจังถึงขั้นแต่งงานด้วยก็ได้
หลังจากพวกผู้หญิงทานอาหารเสร็จ รอให้ฝ่ายชายซึ่งยังดื่มเหล้ากันเรื่อยๆลงมือตักอาหารตรงหน้าเข้าปากเสียที หมันหยาซึ่งเริ่มรู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศที่โต๊ะอาหาร สะกิดชวนแสงดาวให้ไปเข้าห้องน้ำด้วยกัน
ระหว่างอยู่ในห้องน้ำว่าที่เจ้าสาวในอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็เปรยว่า “ ท่าทางหยาจะไม่สนุกนะ”
อีกฝ่ายพยักหน้ารับโดยดี “ฮื่อ เราอึดอัดน่ะ ไม่รู้จักพวกนั้นสักคน พวกผู้ชายกินเหล้ากันดุเดือดจังนะ แป๋ว อีตาคนมีหนวดน่าเกลียดนั่นก็ยังนั่งกินเหล้าต่อหน้าตาเฉย เพิ่งเมาจนมีเรื่องชกต่อยกันอยู่หยกๆ แย่จังเลย หน้าตาท่าทางก็ยังกะอันธพาลหรือโจร“
“อ๋อ สรคมณ์น่ะหรือ” แสงดาวหัวเราะขันหน้าเหยเกของเพื่อน "อย่าไปถือสาเลย พวกนี้นิสัยดีทุกคน ทำงานอยู่ในป่าก็เป็นแบบนี้แหละ นานๆเข้าเมืองทีก็เฮละโลกันไปกินเหล้า ไอ้เรื่องชกต่อยกันน่ะเป็นเรื่องธรรมดาของคนกินเหล้า พอเหล้าเข้าปากก็ชักเขม่นกันง่ายๆ แต่ก็แค่นั้นแหละ ไม่ถึงขั้นใช้อาวุธกันหรอก”
“แฟนแป๋วล่ะเป็นแบบนี้หรือเปล่า“
“ก็คล้ายๆกัน แต่เขาไม่ค่อยกินเหล้าเท่าไร เขากินมากไม่ค่อยได้ สองสามแก้วก็เมาแล้ว”
“งั้นแป๋วก็โชคดีน่ะสิ ความจริงเราไม่ได้รังเกียจผู้ชายกินเหล้าหรอก แต่ไม่ค่อยชอบพวกที่กินเหล้าแล้วชอบซ่าหาเรื่องคนอื่น”
หมันหยากับแสงดาวเป็นเพื่อนสนิทที่เรียนหนังสือในมหาวิทยาลัยมาด้วยกัน หลังเรียนจบแสงดาวกลับบ้านที่จังหวัดอุบลฯ เธอทำงานที่กองกำกับฯตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ พบรักกับนายตำรวจยศร้อยตำรวจเอกคนหนึ่ง หลังจากดูใจกันพักใหญ่ก็กำหนดจะเข้าพิธีวิวาห์กันในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หมันหยาซึ่งเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดได้รับการขอร้องให้มาเป็นเพื่อนเจ้าสาว เธอใช้วันหยุดพักร้อนมาช่วยเพื่อนรักเตรียมตัวเป็นเจ้าสาว ความจริงพ่อแม่ของเธอค่อนข้างเข้มงวดกวดขัน แต่ก็ยอมให้เธอเดินทางไกลมาร่วมพิธีสมรสของเพื่อนสนิท เพราะรู้จักแสงดาวเป็นอย่างดี หมันหยาพักอยู่ที่บ้านมารดาของแสงดาว
“หยาแห็นคุณชาติเป็นยังไง” แสงดาวเปลี่ยนเรื่อง
อีกฝ่ายนิ่งคิดก่อนจะตอบว่า “ก็ดีนี่ เป็นผู้ชายที่สุภาพใช้ได้ เป็นสุภาพบุรุษด้วย”
“งั้นเหรอ” แสงดาวนิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนจะทำหน้ายิ้มๆ “ท่าทางเขาจะสนใจหยานะ คุณชาติเป็นคนดี ใครได้เป็นแฟนก็โชคดีไป อนาคตไกลด้วยนะ”
หมันหยาอมยิ้ม รู้ว่าเพื่อนมีแผนจะชักจูงเธอให้ชายหนุ่มคนนั้น
“เราก็คิดว่าเขาเป็นคนดี แต่เขาไม่ใช่สเป็คของเราหรอก”
แสงดาวทำตาโต “อ้าว เป็นงั้นไป เราว่าเขากับหยาสมกันออก หยาใจร้อน ส่วนผู้กองอภิชาติน่ะใจเย็น พูดจาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ แก่กว่าพวกเราสักสามสี่ปีเท่านั้น รุ่นเดียวกับแฟนเรา”
“กลับไปที่โต๊ะเสียทีดีไหม เดี๋ยวพวกนั้นจะนึกว่าเราปลีกตัวเพราะรังเกียจผู้หญิงที่พวกเขาควงมาด้วย” หมันหยาตัดบท
“อ้าว หยารู้เหมือนกันเหรอว่าผู้หญิงพวกนั้นเป็นใคร”
“ คงจะเป็นเพื่อนเที่ยวของหนุ่มๆพวกนั้นละมัง” หมันหยาตอบอย่างไม่สนใจ ลักษณะการแต่งตัวของผู้หญิงสี่คนนั่นบอกได้ไม่ยากถึงอาชีพ
“หยารังเกียจหรือเปล่าล่ะ“
“เปล่าเลย จะไปรังเกียจทำไม ก็อาชีพของพวกเขาไม่ใช่หรือ ถ้าจะรังเกียจก็ควรจะรังเกียจพวกผู้ชายมากกว่า แต่บอกตามตรงนะแป๋ว เรารู้สึกเฉยๆ ก็พวกเขายังโสดกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ ถ้าแต่งงานมีลูกมีเมียแล้วยังมายุ่งกับผู้หญิงพวกนี้ก็อีกเรื่องหนึ่ง ยอมรับตรงๆว่าเราแอนตี้ รับไม่ได้”
แสงดาวพยักหน้าเห็นด้วยกับเพื่อน “ถ้าแฟนเราทำแบบนี้หลังแต่งงาน เราก็คงรับไม่ได้เหมือนกัน”
“แฟนแป๋วทำงานอยู่บุรีรัมย์ นานๆจะเข้าอุบลฯสักครั้ง แต่งงานแล้วจะย้ายไปอยู่กับเขาที่โน่นหรือเปล่า?” หมันหยาเปลี่ยนเรื่อง
“คงไม่หรอก ถ้าไปอยู่ที่โน่นเราก็ต้องลาออกจากงาน เราชอบงานที่นี่ ไม่อยากไปนั่งอยู่บ้านเฉยๆ เสียดายวิชาความรู้ที่เรียนมา เป็นห่วงแม่ด้วย แม่เราอายุมากแล้ว มีโรคประจำตัวหลายโรค ทั้งความดัน เบาหวาน ไม่อยากทิ้งแม่ไปไกลขนาดนั้น”
“แต่งงานแล้วแยกกันอยู่ก็อันตรายนะแป๋ว ผู้ชายส่วนใหญ่ไว้ใจไม่ค่อยได้”
แสงดาวมองหน้าเพื่อนอย่างเข้าใจว่าทำไมจึงคิดเช่นนั้น บิดาของหมันหยาเป็นคนเจ้าชู้ มีผู้หญิงมากมายนับไม่ถ้วน ทำให้มารดาของเธอกลายเป็นคนหงุดหงิด ครอบครัวค่อนข้างจะมีปัญหา
งบางคนก็อาจจะอยากลองดีก็ได้ แต่เราก็พยายามไม่คิดมาก ถ้ามัวแต่ระแวงกลัวโน่นกลัวนี่เราเองก็คงไม่มีความสุข เราก็ต้องเชื่อใจเขาเอาไว้ก่อน อะไรผ่อนได้ก็ผ่อนไป”
สองสาวกลับเข้าไปที่โต๊ะ หมันหยารู้สึกง่วงนอนเพราะคืนที่ผ่านมาเธอกับแสงดาวคุยกันตามประสาผู้หญิงจนดึก เธอไม่ได้มองใครเลยจึงไม่เห็นแววตาระยิบระยับของผู้ชายมีหนวดท่าทางนักเลง ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเยื้องๆกับเธอ ที่แอบมองเธออยู่หลายครั้งสลับกับการยกเหล้าขึ้นจิบ อันที่จริงตอนนั้นสรคมณ์ไม่ได้คิดไปไกลถึงขั้นจะจีบหมันหยา เพราะรู้ว่านายตำรวจรุ่นพี่ที่เขารักและนับถือกำลังสนใจเธออยู่ ที่มองเธอก็มองไปตามวิสัยชายที่เห็นผู้หญิงสวยๆ ก็อดมองไม่ได้เท่านั้น
หมันหยาพยายามไม่มองไปทางสรคมณ์ เพราะไม่อยากสบตาคู่ที่แพรวพราย มีลักษณะเหมือนคนเจ้าชู้ของเขา รวมทั้งรอยยิ้มกริ่มๆบนริมฝีปากขึ้นสันที่อยู่ใต้หนวดดกหนาน่าเกลียดนั่นด้วย
“คุณหยาง่วงแล้วหรือครับ ไม่เห็นพูดอะไรบ้างเลย”
คำถามในเชิงยั่วของชายหนุ่มที่ชื่อสรคมณ์ ทำให้หมันหยาเกือบสะดุ้ง หันไปมองเขาอย่างตกใจ แล้วก็ต้องสบเข้าอย่างจังกับตาระยิบระยับคู่นั้น
"เอ้อ..เปล่าค่ะ ยังไม่ง่วง” เธออ้อมแอ้มตอบเขาตามมารยาท ทั้งๆที่ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงถามอย่างนั้น
“ผมเห็นคุณหยาหลับตาเลยนึกว่าง่วง” สรคมณ์ทำหน้ายิ้มๆ ถือโอกาสมองหน้าสวยๆที่มีสีระเรื่อด้วยความเก้อเขินนั่นอย่างเปิดเผยเสียเลย หลังจากมองแบบแอบๆมาหลายครั้งแล้ว
คำพูดที่สวนมาของเขายิ่งทำให้หมันหยาเก้อมากขึ้น แต่คราวนี้แกมโกรธ หญิงสาวแน่ใจว่าไม่ได้หลับตา เธอเพียงแต่เหลือบตาลงมองกระเป๋าถือใบน้อยบนหน้าตักเท่านั้น
‘อีตาบ้า ทะเล้นไม่เลือกคน ฉันไม่ได้เป็นเพื่อนของคุณสักหน่อย’
หญิงสาวคิดในใจอย่างเดือดดาล เมื่อเห็นใครต่อใครพากันหันมามองเธอเป็นตาเดียวกัน แล้วซักถามว่าเธอง่วงนอนแล้วหรือ นับแต่นาทีนั้น เมื่อรู้สึกขุ่นใจเสียแล้วหมันหยาก็เลยยอมเสียมารยาท นั่งตะแคงข้างหันไปชวนแสงดาวซึ่งนั่งอยู่ติดกันพูดคุยไม่ขาดปาก เจตนาที่จะไม่ต้องสบตาหรือต่อปากต่อคำกับ ‘นายคนหน้าตาเหมือนโจร พูดจากวนประสาท’ คนนั้นอีกต่อไป
สองวันต่อมาหมันหยาต้องไปเป็นเพื่อนแสงดาว ที่กำลังจะเป็นเจ้าสาวในอีกไม่กี่วันที่ร้านเสริมสวยแห่งหนึ่ง ระหว่างที่เพื่อนกำลังนั่งให้ช่างเสริมสวยขัดเนื้อขัดตัวอบผิวอยู่ในห้องเล็กๆ หมันหยาก็นั่งคอยอยู่ข้างนอก อ่านนิตยสารฉบับหนึ่งไปเรื่อยๆ หนึ่งชั่วโมงต่อมาหญิงสาวก็ต้องเดินตามพนักงานของร้านเข้าไปหาแสงดาวในห้องขัดตัว
“มีอะไรหรือ แป๋ว”
แสงดาวเงยหน้าที่มีแววกังวลขึ้นมองหมันหยา “ เราเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อคืนเราลืมนาฬิกาที่แม่เพิ่งให้เอาไว้ที่บ้านคุณชาติ เราถอดออกตอนเข้าไปล้างมือในห้องน้ำ พอดีพี่เลิศมารับ รีบร้อนออกมาเลยลืมนาฬิกาเสียสนิท”
“ ตายจริง"
หมันหยาร้องอย่างตกใจเพราะเคยเห็นนาฬิกาเรือนนั้นแล้ว แสงดาวเอาออกมาอวดเมื่อสองวันก่อน บอกว่าเป็นของขวัญพิเศษจากมารดา ความพิเศษของมันนอกจากสายนาฬิกาที่เป็นทองคำแท้ราคาสูงลิบแล้ว ยังเป็นของขวัญชิ้นประวัติศาสตร์ที่บิดาของแสงดาวสั่งทำให้คุณฉวีวรรณ มารดาของเธอเนื่องในโอกาสครบรอบแต่งงานปีที่ยี่สิบห้า
“แป๋วไม่ต้องรีบไปเอาหรอกหรือ ป่านนี้ใครเก็บไปแล้วก็ไม่รู้”
แสงดาวทำหน้ากังวล “นั่นสิ บ้านนั้นยิ่งมีคนเข้าคนออกกันทั้งวันอยู่ด้วย แหม เราน่าจะนึกได้ก่อนที่จะเข้ามาเสริมสวย จะได้รีบไปหา”
“ให้เราไปดูให้เอาไหม หรือแป๋วจะโทรไปถามคุณอภิชาติดูก่อนว่าเห็นหรือเก็บเอาไว้ให้หรือเปล่า” หมันหยาพลอยร้อนใจไปด้วย
แสงดาวเหลือบดูนาฬิกาบนฝาผนัง “เก้าโมงกว่าแล้ว คุณชาติคงเข้าประชุมกับผู้กำกับฯแล้วละ ทำไงดีล่ะเนี่ย ชักไม่สบายใจแล้วสิ ออกไปตอนนี้ก็ไม่ได้เสียด้วย กว่าจะขัดกว่าจะอบเสร็จอีกหลายชั่วโมง”
เห็นท่ากระสับกระส่ายของเพื่อน หมันหยาก็เลยต้องอาสาที่จะไปดูให้
“เราไปดูให้ก็ได้ ว่าแต่บ้านนั้นล้อกหรือเปล่า”
แสงดาวมีสีหน้าโล่งใจที่เพื่อนจะช่วย “ ไม่เคยล้อกหรอก ปิดไว้เฉยๆเท่านั้นแหละ เออ ถ้าจะไป หยาเอารถเราไปสิ” แสงดาวมีรถเล็กๆขับไปทำงาน “ว่าแต่ไปถูกหรือเปล่า จำทางได้ไหม”
“จำได้ ความจริงร้านเสริมสวยกับกองกำกับฯ ก็ใกล้กันแค่นี้เอง” แต่แล้วก็นึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “ว่าแต่พวกนั้ยังอยู่ที่บ้านนั่นหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่น่าจะอยู่นะ วันนี้ต้องเข้าประชุมกับผู้กำกับฯนี่ ป่านนี้คงอยู่ในห้องประชุมกันหมดแล้วมั้ง”
แสงดาวรู้ว่าพวกนั้นของเพื่อนหมายถึงหนุ่มๆ สี่คน รุ่นน้องของผู้กองอภิชาติ
“เขาเข้ามาประชุมประจำเดือน ปกติประชุมเสร็จวันรุ่งขึ้นก็กลับหมวดฯ กันหมดแล้วละ แต่ครั้งนี้คงจะอยู่ต่อจนถึงวันงานของเราเลย”
“เออ... แป๋วจะให้เราไปหานาฬิกาตรงไหนล่ะ”
"ลองดูในห้องน้ำก่อนแล้วกัน ถ้าไม่มีค่อยลองหาที่อื่นดู แต่ถ้าบังเอิญเจอคุณชาติ ก็ลองถามแกดูก็ได้ แก อาจจะเห็นแล้วเก็บเอาไว้ให้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาหา”
เมื่อถึงบ้านพักหลังเล็กของอภิชาติ ที่เคยมากับแสงดาวสองสามครั้งตอนที่มาถึงอุบลฯใหม่ๆ หมันหยาก็ผลักประตูบ้านเข้าไป ภายในบ้านค่อนข้างมืดเพราะหน้าต่างที่รายรอบอยู่ปิดเกือบหมด หญิงสาวเดินตรงเข้าไปที่ห้องน้ำที่อยู่มุมในสุดของห้องชั้นล่าง มองหาอย่างละเอียดลออจนทั่ว แต่ก็ไม่พบนาฬิกาสายทองคำของเพื่อน หมันหยาเดินออกจากห้องน้ำไปที่ห้องด้านนอก มองไปทั่วห้องที่รกรุงรังตามประสาหนุ่มโสดของเจ้าของบ้าน เห็นโต๊ะกระจกรูปสี่เหลี่ยมและโต๊ะเล็กๆทำจากไม้ที่มีสิ่งของวางอยู่เต็มก็ตรงเข้าไปสำรวจ แต่ก็ไม่มีวี่แววของสิ่งที่กำลังมองหา
ตอนนี้ที่ยังตกสำรวจอยู่ก็มีแต่ชุดเก้าอี้โซฟาเก่าๆเบาะขาดๆสามสี่ตัว ที่มีสิ่งของเครื่องใช้วางอยู่ระเกะระกะ เวลาใครจะนั่งก็คงต้องยกของพวกนั้นออกเสียก่อน แล้วในที่สุดตาของเธอก็ไปสะดุดที่โซฟาตัวยาวที่มีกองผ้าสุมอยู่เต็มจนแทบไม่เห็นที่ว่าง หมันหยาคิดว่าจะลองหาดูเป็นที่สุดท้าย ถ้ายังไม่พบอีกก็จะเลิกหา แสงดาวอาจจะถอดทิ้งไว้ที่บ้านแล้วลืมก็ได้
หมันหยาตรงรี่เข้าไปที่โซฟายาวตัวนั้น ความสลัวของห้องที่ปิดทึบทำให้ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้มากนัก หญิงสาวก้มตัวลงโกยผ้าที่สุมทับกันอยู่ออกจากที่ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัว กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อผ้าพวกนั้นบางส่วนหลุดออกไปพร้อมๆกับที่มือสองข้างของเธอ ถูกรวบเอาไว้แน่นแล้วดึงรั้งจนขยับเขยื้อนไม่ได้ หมันหยาเสียหลักเซล้มลงไปบนอะไรอย่างหนึ่งที่ทั้งแข็งทั้งหยุ่น ที่ตอนนั้นเธอยังไม่ตระหนักว่าคืออะไร
“เฮ้ย!!”
เสียงที่ดังออกมาจากกองผ้าบ่งบอกถึงความตกใจไม่แพ้เธอ แล้วเจ้าของเสียงที่ผมยุ่งหน้าตางัวเงียก็ปล่อยมือหมันหยาที่รวบเอาไว้ เลิกผ้าห่มที่ยังคลุมร่างกายท่อนล่างอยู่ออกจากตัว พร้อมๆกับที่หญิงสาวยันตัวเองให้ยืนขึ้นอย่างตระหนกอกสั่น คนที่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมาจากการรบกวนของเธอผลุดลุกขึ้นนั่ง มองเธออย่างงงๆแกมตกใจ หญิงสาวเพิ่งตระหนักในตอนนั้นเอง ว่าสิ่งที่เธอล้มลงไปทับคืออกของผู้ชายคนหนึ่ง
“อ้าว คุณหยา”
“ เอ้อ.. อ้า..”
หมันหยายิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อเห็นสรคมณ์ ก็ไหนแสงดาวบอกว่าไม่มีใครอยู่บ้าน ไปประชุมกับผู้กำกับฯหมดไม่ใช่หรือ หน้าของเธอร้อนผ่าวด้วยความอับอาย ที่อยู่ๆก็ไปรื้อผ้าซึ่งก็คงจะเป็นผ้าห่มนั่นแหละ ออกจากคนที่นอนคลุมโปงหลับสนิทอยู่ ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือล้มอย่างหมดท่าลงไปซบอกของเขาอีกด้วยน่ะสิ
เมื่อเห็นหมันหยายืนงงเหมือนทำอะไรไม่ถูก ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นจากกองผ้ามายืนอยู่หน้าโซฟา พอได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของเขา หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นมองโดยอัตโนมัติ แล้วทันใดนั้นเธอก็ต้องรีบเบือนหน้าหนี หันหลังกลับตั้งท่าจะออกไปจากห้องนั้นโดยเร็ว หน้าของเธอร้อนผ่าวและคงแดงก่ำด้วยความอายกับสิ่งที่เห็น อกเปลือยเปล่าของสรคมณ์ที่เธอเพิ่งเซไปทับอยู่หยกๆ อกและช่วงไหล่กว้างที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม รวมทั้งขนดกดำกลางอก ที่ทอดยาวหายลับเข้าไปในขอบกางเกงขาสั้นที่เขาสวมอยู่
พอเห็นท่าทางของหมันหยา ชายหนุ่มก็รีบก้มลงสำรวจตัวเอง เห็นแล้วก็เข้าใจได้ทันทีกับท่าทางของเธอ สรคมณ์รีบคว้าเสื้อยืดสีขาวที่เขาใส่นอนเมื่อคืน และคงจะได้ถอดโยนทิ้งไปเมื่อใกล้สว่าง เพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าวและฤทธิ์เหล้าจำนวนมากที่ดื่มเข้าไปเมื่อตอนหัวค่ำ มาสวมเข้ากับตัวอย่างรวดเร็ว
“ขอโทษครับ คุณหยา ที่ผมแต่งตัวไม่เรียบร้อย แล้วก็เมื่อกี้ที่รุนแรงไปหน่อย” เขาหมายถึงที่กระชากข้อมือเธอ “ผมไม่รู้ว่าเป็นคุณหยา นึกว่าไอ้เพื่อนผมมันแกล้งจะไม่ให้ผมนอน เจ็บหรือเปล่าครับ?”
หมันหยาชะงักขาที่กำลังจะก้าวเดินออกไปจากห้องที่ยืนเผชิญหน้ากันอยู่ จำใจต้องขอโทษเขาด้วยเหมือนกัน ที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ อยู่ๆก็ไปดึงผ้าห่มเขาทิ้งเสียเฉยๆ ปลุกคนที่คงกำลังหลับสนิทให้ตื่นขึ้นมาโดยไม่เกรงใจ
“ เอ้อ... ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเองก็ต้องขอโทษคุณด้วยเหมือนกัน ที่..ที่..”
อีกฝ่ายยิ้มน้อยๆ รู้สึกเอ็นดูกับท่าทางเคอะๆเขินๆของเธอ “ไม่เป็นไรเหมือนกัน ว่าแต่คุณหยามีธุระอะไรที่นี่หรือเปล่าครับ หรือมาหาพี่ชาติ”
“ฉัน..เอ้อ จะมาหานาฬิกาข้อมือของแป๋วน่ะค่ะ เขาคิดว่าลืมทิ้งไว้ที่นี่ พอดีเขาไม่ว่าง ฉันเลยรับอาสามาหาให้ นึกว่าไม่มีใครอยู่บ้าน แป๋วบอกว่าพวกคุณต้องเข้าประชุมตอนเช้าไม่ใช่หรือคะ?” ตอนนี้หมันหยาพูดคล่องขึ้น
ชายหนุ่มทำหน้าเข้าใจ “ปกติจะต้องประชุมกันตอนเก้าโมง แต่เผอิญเช้านี้ผู้กำกับฯ มีแขกสำคัญมาขอพบกะทันหัน ก็เลยต้องเลื่อนไปประชุมกันตอนบ่ายแทน”
แล้วเขาก็รีบอธิบายต่ออย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นท่าทางกะอักกะอ่วนของเธอ ที่คงคิดว่าอยู่กับเขาตามลำพังสองต่อสองในบ้านที่ปิดมืดหลังนี้ “พี่ชาติออกไปทำงานแล้ว ส่วนพวกเพื่อนๆผมคงยังไม่ตื่น นอนกันอยู่ข้างบน”
“งั้นฉันลาก่อนละค่ะ”
“เมื่อกี้คุณหยาบอกว่ามาหานาฬิกาให้พี่แป๋วใช่ไหมครับ”
เมื่อเธอพยักหน้ารับ เขาก็บอกว่า “ ไม่ได้หายหรอกครับ พี่ชาติเห็นก็เลยเก็บไว้ให้ ช่วยบอกพี่แป๋วตามนี้ด้วยก็แล้วกัน เดี๋ยวตอนเย็นพี่ชาติคงเอาไปคืนให้ หรือไม่ก็ฝากพี่เลิศไปให้พี่แป๋ว”
หมันหยาฟังแล้วก็รู้สึกโล่งใจแทนเพื่อนที่ได้นาฬิกาเรือนนั้นคืน ไม่ได้หายหรือถูกใครหยิบฉวยเอาไป หญิงสาวรีบบอกลาสรคมณ์อีกครั้ง แล้วเดินอย่างรวดเร็วออกไปจากห้อง มีชายหนุ่มหน้าหนวดมองตามหลังไปอย่างขันๆแกมเอ็นดู กับสีหน้าท่าทางของเธอ
“พี่เลิศยังไม่มาอีกหรือครับ พี่แป๋ว อีกไม่กี่วันก็จะเป็นเจ้าบ่าวอยู่แล้ว"อัสดาถาม
“ไม่พรุ่งนี้ก็มะรืนตอนเช้า ประชุมเสร็จก็อยู่ต่อเลย " แสงดาวตอบด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
สรคมณ์นั่งดื่มเหล้าอยู่เงียบๆ แอบมองหญิงสาวคนนั้นไปพร้อมๆกัน ด้วยนัยน์ตาระยิบระยับที่ใครต่อใครวิจารณ์ว่าเจ้าชู้ ซึ่งเขาก็ปฏิเสธทุกครั้ง เขาบอกว่าเขาไม่ใช่คนเจ้าชู้ ตามันเป็นของมันอย่างนั้นเอง ชายหนุ่มผู้นี้ไม่รู้ตัวหรอกว่าประกายตาระยิบระยับ บวกกับคำพูดแบบทีเล่นทีจริงที่เป็นลักษณะประจำตัวของเขา ทำให้ผู้หญิงหลายคนเข้าใจผิด คิดว่าเขาสนใจหรือกำลังขายขนมจีบ เขาเห็นผู้กองอภิชาติตักอาหารใส่จานให้สาวสวยคนนั้น ด้วยท่าทางเอาอกเอาใจ สีหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ
อภิชาติเป็นนายตำรวจรุ่นพี่ที่น้องๆทั้งรักและนับถือ เขาเป็นคนสุภาพลูดน้อย ทำงานอย่างขยันขันแข็งเป็นที่โปรดปรานของผู้บังคับบัญชา แม้จะยังโสดแต่เขาก็เหมือนนายตำรวจหนุ่มๆอีกหลายคนที่มีคู่ขา สิณี นักร้องสาวใหญ่ที่ร้องเพลงประจำอยู่ในบาร์ใหญ่แห่งหนึ่งในตัวเมือง เพิ่งผันตัวเองเข้ามาอยู่กับเขาที่บ้านพักประจำตำแหน่งในกองกำกับฯ เมื่อประมาณสามเดือนที่แล้ว เจ้าหล่อนต้องไปร้องเพลงที่บาร์แห่งหนึ่งทุกคืนๆละสามชั่วโมง บางครั้งผู้กองหนุ่มก็ขับรถไปรับหรือไปส่งแล้วแต่โอกาส เนื่องจากเขาเป็นคนไม่พูดมาก คนที่อยากรู้อยากเห็นหรือสงสัยว่าเขาจะลงเอยกับนักร้องคนนี้หรือเปล่า ไม่เคยได้รับคำตอบจากเขาไม่ว่ารับหรือปฏิเสธ เขาเพียงแต่ยิ้มเรื่อยๆตามแบบของเขา ซึ่งทำให้สิณีเกิดความหวังว่าสักวันหนึ่งเขาอาจจะคิดจริงจังถึงขั้นแต่งงานด้วยก็ได้
หลังจากพวกผู้หญิงทานอาหารเสร็จ รอให้ฝ่ายชายซึ่งยังดื่มเหล้ากันเรื่อยๆลงมือตักอาหารตรงหน้าเข้าปากเสียที หมันหยาซึ่งเริ่มรู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศที่โต๊ะอาหาร สะกิดชวนแสงดาวให้ไปเข้าห้องน้ำด้วยกัน
ระหว่างอยู่ในห้องน้ำว่าที่เจ้าสาวในอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็เปรยว่า “ ท่าทางหยาจะไม่สนุกนะ”
อีกฝ่ายพยักหน้ารับโดยดี “ฮื่อ เราอึดอัดน่ะ ไม่รู้จักพวกนั้นสักคน พวกผู้ชายกินเหล้ากันดุเดือดจังนะ แป๋ว อีตาคนมีหนวดน่าเกลียดนั่นก็ยังนั่งกินเหล้าต่อหน้าตาเฉย เพิ่งเมาจนมีเรื่องชกต่อยกันอยู่หยกๆ แย่จังเลย หน้าตาท่าทางก็ยังกะอันธพาลหรือโจร“
“อ๋อ สรคมณ์น่ะหรือ” แสงดาวหัวเราะขันหน้าเหยเกของเพื่อน "อย่าไปถือสาเลย พวกนี้นิสัยดีทุกคน ทำงานอยู่ในป่าก็เป็นแบบนี้แหละ นานๆเข้าเมืองทีก็เฮละโลกันไปกินเหล้า ไอ้เรื่องชกต่อยกันน่ะเป็นเรื่องธรรมดาของคนกินเหล้า พอเหล้าเข้าปากก็ชักเขม่นกันง่ายๆ แต่ก็แค่นั้นแหละ ไม่ถึงขั้นใช้อาวุธกันหรอก”
“แฟนแป๋วล่ะเป็นแบบนี้หรือเปล่า“
“ก็คล้ายๆกัน แต่เขาไม่ค่อยกินเหล้าเท่าไร เขากินมากไม่ค่อยได้ สองสามแก้วก็เมาแล้ว”
“งั้นแป๋วก็โชคดีน่ะสิ ความจริงเราไม่ได้รังเกียจผู้ชายกินเหล้าหรอก แต่ไม่ค่อยชอบพวกที่กินเหล้าแล้วชอบซ่าหาเรื่องคนอื่น”
หมันหยากับแสงดาวเป็นเพื่อนสนิทที่เรียนหนังสือในมหาวิทยาลัยมาด้วยกัน หลังเรียนจบแสงดาวกลับบ้านที่จังหวัดอุบลฯ เธอทำงานที่กองกำกับฯตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ พบรักกับนายตำรวจยศร้อยตำรวจเอกคนหนึ่ง หลังจากดูใจกันพักใหญ่ก็กำหนดจะเข้าพิธีวิวาห์กันในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หมันหยาซึ่งเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดได้รับการขอร้องให้มาเป็นเพื่อนเจ้าสาว เธอใช้วันหยุดพักร้อนมาช่วยเพื่อนรักเตรียมตัวเป็นเจ้าสาว ความจริงพ่อแม่ของเธอค่อนข้างเข้มงวดกวดขัน แต่ก็ยอมให้เธอเดินทางไกลมาร่วมพิธีสมรสของเพื่อนสนิท เพราะรู้จักแสงดาวเป็นอย่างดี หมันหยาพักอยู่ที่บ้านมารดาของแสงดาว
“หยาแห็นคุณชาติเป็นยังไง” แสงดาวเปลี่ยนเรื่อง
อีกฝ่ายนิ่งคิดก่อนจะตอบว่า “ก็ดีนี่ เป็นผู้ชายที่สุภาพใช้ได้ เป็นสุภาพบุรุษด้วย”
“งั้นเหรอ” แสงดาวนิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนจะทำหน้ายิ้มๆ “ท่าทางเขาจะสนใจหยานะ คุณชาติเป็นคนดี ใครได้เป็นแฟนก็โชคดีไป อนาคตไกลด้วยนะ”
หมันหยาอมยิ้ม รู้ว่าเพื่อนมีแผนจะชักจูงเธอให้ชายหนุ่มคนนั้น
“เราก็คิดว่าเขาเป็นคนดี แต่เขาไม่ใช่สเป็คของเราหรอก”
แสงดาวทำตาโต “อ้าว เป็นงั้นไป เราว่าเขากับหยาสมกันออก หยาใจร้อน ส่วนผู้กองอภิชาติน่ะใจเย็น พูดจาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ แก่กว่าพวกเราสักสามสี่ปีเท่านั้น รุ่นเดียวกับแฟนเรา”
“กลับไปที่โต๊ะเสียทีดีไหม เดี๋ยวพวกนั้นจะนึกว่าเราปลีกตัวเพราะรังเกียจผู้หญิงที่พวกเขาควงมาด้วย” หมันหยาตัดบท
“อ้าว หยารู้เหมือนกันเหรอว่าผู้หญิงพวกนั้นเป็นใคร”
“ คงจะเป็นเพื่อนเที่ยวของหนุ่มๆพวกนั้นละมัง” หมันหยาตอบอย่างไม่สนใจ ลักษณะการแต่งตัวของผู้หญิงสี่คนนั่นบอกได้ไม่ยากถึงอาชีพ
“หยารังเกียจหรือเปล่าล่ะ“
“เปล่าเลย จะไปรังเกียจทำไม ก็อาชีพของพวกเขาไม่ใช่หรือ ถ้าจะรังเกียจก็ควรจะรังเกียจพวกผู้ชายมากกว่า แต่บอกตามตรงนะแป๋ว เรารู้สึกเฉยๆ ก็พวกเขายังโสดกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ ถ้าแต่งงานมีลูกมีเมียแล้วยังมายุ่งกับผู้หญิงพวกนี้ก็อีกเรื่องหนึ่ง ยอมรับตรงๆว่าเราแอนตี้ รับไม่ได้”
แสงดาวพยักหน้าเห็นด้วยกับเพื่อน “ถ้าแฟนเราทำแบบนี้หลังแต่งงาน เราก็คงรับไม่ได้เหมือนกัน”
“แฟนแป๋วทำงานอยู่บุรีรัมย์ นานๆจะเข้าอุบลฯสักครั้ง แต่งงานแล้วจะย้ายไปอยู่กับเขาที่โน่นหรือเปล่า?” หมันหยาเปลี่ยนเรื่อง
“คงไม่หรอก ถ้าไปอยู่ที่โน่นเราก็ต้องลาออกจากงาน เราชอบงานที่นี่ ไม่อยากไปนั่งอยู่บ้านเฉยๆ เสียดายวิชาความรู้ที่เรียนมา เป็นห่วงแม่ด้วย แม่เราอายุมากแล้ว มีโรคประจำตัวหลายโรค ทั้งความดัน เบาหวาน ไม่อยากทิ้งแม่ไปไกลขนาดนั้น”
“แต่งงานแล้วแยกกันอยู่ก็อันตรายนะแป๋ว ผู้ชายส่วนใหญ่ไว้ใจไม่ค่อยได้”
แสงดาวมองหน้าเพื่อนอย่างเข้าใจว่าทำไมจึงคิดเช่นนั้น บิดาของหมันหยาเป็นคนเจ้าชู้ มีผู้หญิงมากมายนับไม่ถ้วน ทำให้มารดาของเธอกลายเป็นคนหงุดหงิด ครอบครัวค่อนข้างจะมีปัญหา
งบางคนก็อาจจะอยากลองดีก็ได้ แต่เราก็พยายามไม่คิดมาก ถ้ามัวแต่ระแวงกลัวโน่นกลัวนี่เราเองก็คงไม่มีความสุข เราก็ต้องเชื่อใจเขาเอาไว้ก่อน อะไรผ่อนได้ก็ผ่อนไป”
สองสาวกลับเข้าไปที่โต๊ะ หมันหยารู้สึกง่วงนอนเพราะคืนที่ผ่านมาเธอกับแสงดาวคุยกันตามประสาผู้หญิงจนดึก เธอไม่ได้มองใครเลยจึงไม่เห็นแววตาระยิบระยับของผู้ชายมีหนวดท่าทางนักเลง ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเยื้องๆกับเธอ ที่แอบมองเธออยู่หลายครั้งสลับกับการยกเหล้าขึ้นจิบ อันที่จริงตอนนั้นสรคมณ์ไม่ได้คิดไปไกลถึงขั้นจะจีบหมันหยา เพราะรู้ว่านายตำรวจรุ่นพี่ที่เขารักและนับถือกำลังสนใจเธออยู่ ที่มองเธอก็มองไปตามวิสัยชายที่เห็นผู้หญิงสวยๆ ก็อดมองไม่ได้เท่านั้น
หมันหยาพยายามไม่มองไปทางสรคมณ์ เพราะไม่อยากสบตาคู่ที่แพรวพราย มีลักษณะเหมือนคนเจ้าชู้ของเขา รวมทั้งรอยยิ้มกริ่มๆบนริมฝีปากขึ้นสันที่อยู่ใต้หนวดดกหนาน่าเกลียดนั่นด้วย
“คุณหยาง่วงแล้วหรือครับ ไม่เห็นพูดอะไรบ้างเลย”
คำถามในเชิงยั่วของชายหนุ่มที่ชื่อสรคมณ์ ทำให้หมันหยาเกือบสะดุ้ง หันไปมองเขาอย่างตกใจ แล้วก็ต้องสบเข้าอย่างจังกับตาระยิบระยับคู่นั้น
"เอ้อ..เปล่าค่ะ ยังไม่ง่วง” เธออ้อมแอ้มตอบเขาตามมารยาท ทั้งๆที่ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงถามอย่างนั้น
“ผมเห็นคุณหยาหลับตาเลยนึกว่าง่วง” สรคมณ์ทำหน้ายิ้มๆ ถือโอกาสมองหน้าสวยๆที่มีสีระเรื่อด้วยความเก้อเขินนั่นอย่างเปิดเผยเสียเลย หลังจากมองแบบแอบๆมาหลายครั้งแล้ว
คำพูดที่สวนมาของเขายิ่งทำให้หมันหยาเก้อมากขึ้น แต่คราวนี้แกมโกรธ หญิงสาวแน่ใจว่าไม่ได้หลับตา เธอเพียงแต่เหลือบตาลงมองกระเป๋าถือใบน้อยบนหน้าตักเท่านั้น
‘อีตาบ้า ทะเล้นไม่เลือกคน ฉันไม่ได้เป็นเพื่อนของคุณสักหน่อย’
หญิงสาวคิดในใจอย่างเดือดดาล เมื่อเห็นใครต่อใครพากันหันมามองเธอเป็นตาเดียวกัน แล้วซักถามว่าเธอง่วงนอนแล้วหรือ นับแต่นาทีนั้น เมื่อรู้สึกขุ่นใจเสียแล้วหมันหยาก็เลยยอมเสียมารยาท นั่งตะแคงข้างหันไปชวนแสงดาวซึ่งนั่งอยู่ติดกันพูดคุยไม่ขาดปาก เจตนาที่จะไม่ต้องสบตาหรือต่อปากต่อคำกับ ‘นายคนหน้าตาเหมือนโจร พูดจากวนประสาท’ คนนั้นอีกต่อไป
สองวันต่อมาหมันหยาต้องไปเป็นเพื่อนแสงดาว ที่กำลังจะเป็นเจ้าสาวในอีกไม่กี่วันที่ร้านเสริมสวยแห่งหนึ่ง ระหว่างที่เพื่อนกำลังนั่งให้ช่างเสริมสวยขัดเนื้อขัดตัวอบผิวอยู่ในห้องเล็กๆ หมันหยาก็นั่งคอยอยู่ข้างนอก อ่านนิตยสารฉบับหนึ่งไปเรื่อยๆ หนึ่งชั่วโมงต่อมาหญิงสาวก็ต้องเดินตามพนักงานของร้านเข้าไปหาแสงดาวในห้องขัดตัว
“มีอะไรหรือ แป๋ว”
แสงดาวเงยหน้าที่มีแววกังวลขึ้นมองหมันหยา “ เราเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อคืนเราลืมนาฬิกาที่แม่เพิ่งให้เอาไว้ที่บ้านคุณชาติ เราถอดออกตอนเข้าไปล้างมือในห้องน้ำ พอดีพี่เลิศมารับ รีบร้อนออกมาเลยลืมนาฬิกาเสียสนิท”
“ ตายจริง"
หมันหยาร้องอย่างตกใจเพราะเคยเห็นนาฬิกาเรือนนั้นแล้ว แสงดาวเอาออกมาอวดเมื่อสองวันก่อน บอกว่าเป็นของขวัญพิเศษจากมารดา ความพิเศษของมันนอกจากสายนาฬิกาที่เป็นทองคำแท้ราคาสูงลิบแล้ว ยังเป็นของขวัญชิ้นประวัติศาสตร์ที่บิดาของแสงดาวสั่งทำให้คุณฉวีวรรณ มารดาของเธอเนื่องในโอกาสครบรอบแต่งงานปีที่ยี่สิบห้า
“แป๋วไม่ต้องรีบไปเอาหรอกหรือ ป่านนี้ใครเก็บไปแล้วก็ไม่รู้”
แสงดาวทำหน้ากังวล “นั่นสิ บ้านนั้นยิ่งมีคนเข้าคนออกกันทั้งวันอยู่ด้วย แหม เราน่าจะนึกได้ก่อนที่จะเข้ามาเสริมสวย จะได้รีบไปหา”
“ให้เราไปดูให้เอาไหม หรือแป๋วจะโทรไปถามคุณอภิชาติดูก่อนว่าเห็นหรือเก็บเอาไว้ให้หรือเปล่า” หมันหยาพลอยร้อนใจไปด้วย
แสงดาวเหลือบดูนาฬิกาบนฝาผนัง “เก้าโมงกว่าแล้ว คุณชาติคงเข้าประชุมกับผู้กำกับฯแล้วละ ทำไงดีล่ะเนี่ย ชักไม่สบายใจแล้วสิ ออกไปตอนนี้ก็ไม่ได้เสียด้วย กว่าจะขัดกว่าจะอบเสร็จอีกหลายชั่วโมง”
เห็นท่ากระสับกระส่ายของเพื่อน หมันหยาก็เลยต้องอาสาที่จะไปดูให้
“เราไปดูให้ก็ได้ ว่าแต่บ้านนั้นล้อกหรือเปล่า”
แสงดาวมีสีหน้าโล่งใจที่เพื่อนจะช่วย “ ไม่เคยล้อกหรอก ปิดไว้เฉยๆเท่านั้นแหละ เออ ถ้าจะไป หยาเอารถเราไปสิ” แสงดาวมีรถเล็กๆขับไปทำงาน “ว่าแต่ไปถูกหรือเปล่า จำทางได้ไหม”
“จำได้ ความจริงร้านเสริมสวยกับกองกำกับฯ ก็ใกล้กันแค่นี้เอง” แต่แล้วก็นึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “ว่าแต่พวกนั้ยังอยู่ที่บ้านนั่นหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่น่าจะอยู่นะ วันนี้ต้องเข้าประชุมกับผู้กำกับฯนี่ ป่านนี้คงอยู่ในห้องประชุมกันหมดแล้วมั้ง”
แสงดาวรู้ว่าพวกนั้นของเพื่อนหมายถึงหนุ่มๆ สี่คน รุ่นน้องของผู้กองอภิชาติ
“เขาเข้ามาประชุมประจำเดือน ปกติประชุมเสร็จวันรุ่งขึ้นก็กลับหมวดฯ กันหมดแล้วละ แต่ครั้งนี้คงจะอยู่ต่อจนถึงวันงานของเราเลย”
“เออ... แป๋วจะให้เราไปหานาฬิกาตรงไหนล่ะ”
"ลองดูในห้องน้ำก่อนแล้วกัน ถ้าไม่มีค่อยลองหาที่อื่นดู แต่ถ้าบังเอิญเจอคุณชาติ ก็ลองถามแกดูก็ได้ แก อาจจะเห็นแล้วเก็บเอาไว้ให้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาหา”
เมื่อถึงบ้านพักหลังเล็กของอภิชาติ ที่เคยมากับแสงดาวสองสามครั้งตอนที่มาถึงอุบลฯใหม่ๆ หมันหยาก็ผลักประตูบ้านเข้าไป ภายในบ้านค่อนข้างมืดเพราะหน้าต่างที่รายรอบอยู่ปิดเกือบหมด หญิงสาวเดินตรงเข้าไปที่ห้องน้ำที่อยู่มุมในสุดของห้องชั้นล่าง มองหาอย่างละเอียดลออจนทั่ว แต่ก็ไม่พบนาฬิกาสายทองคำของเพื่อน หมันหยาเดินออกจากห้องน้ำไปที่ห้องด้านนอก มองไปทั่วห้องที่รกรุงรังตามประสาหนุ่มโสดของเจ้าของบ้าน เห็นโต๊ะกระจกรูปสี่เหลี่ยมและโต๊ะเล็กๆทำจากไม้ที่มีสิ่งของวางอยู่เต็มก็ตรงเข้าไปสำรวจ แต่ก็ไม่มีวี่แววของสิ่งที่กำลังมองหา
ตอนนี้ที่ยังตกสำรวจอยู่ก็มีแต่ชุดเก้าอี้โซฟาเก่าๆเบาะขาดๆสามสี่ตัว ที่มีสิ่งของเครื่องใช้วางอยู่ระเกะระกะ เวลาใครจะนั่งก็คงต้องยกของพวกนั้นออกเสียก่อน แล้วในที่สุดตาของเธอก็ไปสะดุดที่โซฟาตัวยาวที่มีกองผ้าสุมอยู่เต็มจนแทบไม่เห็นที่ว่าง หมันหยาคิดว่าจะลองหาดูเป็นที่สุดท้าย ถ้ายังไม่พบอีกก็จะเลิกหา แสงดาวอาจจะถอดทิ้งไว้ที่บ้านแล้วลืมก็ได้
หมันหยาตรงรี่เข้าไปที่โซฟายาวตัวนั้น ความสลัวของห้องที่ปิดทึบทำให้ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้มากนัก หญิงสาวก้มตัวลงโกยผ้าที่สุมทับกันอยู่ออกจากที่ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัว กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อผ้าพวกนั้นบางส่วนหลุดออกไปพร้อมๆกับที่มือสองข้างของเธอ ถูกรวบเอาไว้แน่นแล้วดึงรั้งจนขยับเขยื้อนไม่ได้ หมันหยาเสียหลักเซล้มลงไปบนอะไรอย่างหนึ่งที่ทั้งแข็งทั้งหยุ่น ที่ตอนนั้นเธอยังไม่ตระหนักว่าคืออะไร
“เฮ้ย!!”
เสียงที่ดังออกมาจากกองผ้าบ่งบอกถึงความตกใจไม่แพ้เธอ แล้วเจ้าของเสียงที่ผมยุ่งหน้าตางัวเงียก็ปล่อยมือหมันหยาที่รวบเอาไว้ เลิกผ้าห่มที่ยังคลุมร่างกายท่อนล่างอยู่ออกจากตัว พร้อมๆกับที่หญิงสาวยันตัวเองให้ยืนขึ้นอย่างตระหนกอกสั่น คนที่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมาจากการรบกวนของเธอผลุดลุกขึ้นนั่ง มองเธออย่างงงๆแกมตกใจ หญิงสาวเพิ่งตระหนักในตอนนั้นเอง ว่าสิ่งที่เธอล้มลงไปทับคืออกของผู้ชายคนหนึ่ง
“อ้าว คุณหยา”
“ เอ้อ.. อ้า..”
หมันหยายิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อเห็นสรคมณ์ ก็ไหนแสงดาวบอกว่าไม่มีใครอยู่บ้าน ไปประชุมกับผู้กำกับฯหมดไม่ใช่หรือ หน้าของเธอร้อนผ่าวด้วยความอับอาย ที่อยู่ๆก็ไปรื้อผ้าซึ่งก็คงจะเป็นผ้าห่มนั่นแหละ ออกจากคนที่นอนคลุมโปงหลับสนิทอยู่ ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือล้มอย่างหมดท่าลงไปซบอกของเขาอีกด้วยน่ะสิ
เมื่อเห็นหมันหยายืนงงเหมือนทำอะไรไม่ถูก ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นจากกองผ้ามายืนอยู่หน้าโซฟา พอได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของเขา หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นมองโดยอัตโนมัติ แล้วทันใดนั้นเธอก็ต้องรีบเบือนหน้าหนี หันหลังกลับตั้งท่าจะออกไปจากห้องนั้นโดยเร็ว หน้าของเธอร้อนผ่าวและคงแดงก่ำด้วยความอายกับสิ่งที่เห็น อกเปลือยเปล่าของสรคมณ์ที่เธอเพิ่งเซไปทับอยู่หยกๆ อกและช่วงไหล่กว้างที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม รวมทั้งขนดกดำกลางอก ที่ทอดยาวหายลับเข้าไปในขอบกางเกงขาสั้นที่เขาสวมอยู่
พอเห็นท่าทางของหมันหยา ชายหนุ่มก็รีบก้มลงสำรวจตัวเอง เห็นแล้วก็เข้าใจได้ทันทีกับท่าทางของเธอ สรคมณ์รีบคว้าเสื้อยืดสีขาวที่เขาใส่นอนเมื่อคืน และคงจะได้ถอดโยนทิ้งไปเมื่อใกล้สว่าง เพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าวและฤทธิ์เหล้าจำนวนมากที่ดื่มเข้าไปเมื่อตอนหัวค่ำ มาสวมเข้ากับตัวอย่างรวดเร็ว
“ขอโทษครับ คุณหยา ที่ผมแต่งตัวไม่เรียบร้อย แล้วก็เมื่อกี้ที่รุนแรงไปหน่อย” เขาหมายถึงที่กระชากข้อมือเธอ “ผมไม่รู้ว่าเป็นคุณหยา นึกว่าไอ้เพื่อนผมมันแกล้งจะไม่ให้ผมนอน เจ็บหรือเปล่าครับ?”
หมันหยาชะงักขาที่กำลังจะก้าวเดินออกไปจากห้องที่ยืนเผชิญหน้ากันอยู่ จำใจต้องขอโทษเขาด้วยเหมือนกัน ที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ อยู่ๆก็ไปดึงผ้าห่มเขาทิ้งเสียเฉยๆ ปลุกคนที่คงกำลังหลับสนิทให้ตื่นขึ้นมาโดยไม่เกรงใจ
“ เอ้อ... ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเองก็ต้องขอโทษคุณด้วยเหมือนกัน ที่..ที่..”
อีกฝ่ายยิ้มน้อยๆ รู้สึกเอ็นดูกับท่าทางเคอะๆเขินๆของเธอ “ไม่เป็นไรเหมือนกัน ว่าแต่คุณหยามีธุระอะไรที่นี่หรือเปล่าครับ หรือมาหาพี่ชาติ”
“ฉัน..เอ้อ จะมาหานาฬิกาข้อมือของแป๋วน่ะค่ะ เขาคิดว่าลืมทิ้งไว้ที่นี่ พอดีเขาไม่ว่าง ฉันเลยรับอาสามาหาให้ นึกว่าไม่มีใครอยู่บ้าน แป๋วบอกว่าพวกคุณต้องเข้าประชุมตอนเช้าไม่ใช่หรือคะ?” ตอนนี้หมันหยาพูดคล่องขึ้น
ชายหนุ่มทำหน้าเข้าใจ “ปกติจะต้องประชุมกันตอนเก้าโมง แต่เผอิญเช้านี้ผู้กำกับฯ มีแขกสำคัญมาขอพบกะทันหัน ก็เลยต้องเลื่อนไปประชุมกันตอนบ่ายแทน”
แล้วเขาก็รีบอธิบายต่ออย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นท่าทางกะอักกะอ่วนของเธอ ที่คงคิดว่าอยู่กับเขาตามลำพังสองต่อสองในบ้านที่ปิดมืดหลังนี้ “พี่ชาติออกไปทำงานแล้ว ส่วนพวกเพื่อนๆผมคงยังไม่ตื่น นอนกันอยู่ข้างบน”
“งั้นฉันลาก่อนละค่ะ”
“เมื่อกี้คุณหยาบอกว่ามาหานาฬิกาให้พี่แป๋วใช่ไหมครับ”
เมื่อเธอพยักหน้ารับ เขาก็บอกว่า “ ไม่ได้หายหรอกครับ พี่ชาติเห็นก็เลยเก็บไว้ให้ ช่วยบอกพี่แป๋วตามนี้ด้วยก็แล้วกัน เดี๋ยวตอนเย็นพี่ชาติคงเอาไปคืนให้ หรือไม่ก็ฝากพี่เลิศไปให้พี่แป๋ว”
หมันหยาฟังแล้วก็รู้สึกโล่งใจแทนเพื่อนที่ได้นาฬิกาเรือนนั้นคืน ไม่ได้หายหรือถูกใครหยิบฉวยเอาไป หญิงสาวรีบบอกลาสรคมณ์อีกครั้ง แล้วเดินอย่างรวดเร็วออกไปจากห้อง มีชายหนุ่มหน้าหนวดมองตามหลังไปอย่างขันๆแกมเอ็นดู กับสีหน้าท่าทางของเธอ
greengrass
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 มิ.ย. 2559, 20:54:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ก.ค. 2560, 11:11:07 น.
จำนวนการเข้าชม : 1218
<< ตอนที่ 1 ชีวิตหนุ่มโสด | ตอนที่ 3 โจรสลัดหรือสุภาพบุรุษ >> |
yoraya 8 มิ.ย. 2559, 14:38:36 น.
สู้ต่อไปนะคะ พยายามเขียนให้จบให้ได่ อย่าท้อแท้น้า ส่วนตัวแล้ว ชอบอ่านสำนวนภาษาสวยๆ แบบเก่าๆ เพราะว่าหาอ่านได้ยากในงานเขียนยุคหลัง และภาษาที่ใช้ในเรื่องนี้สละสลวยดีค่ะ แต่มีบางคำสะกดผิด ตอนนี้ยังจับทิศทางของเรื่องยังไม่ได้ เลยไม่กล้าให้ความเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาของเรื่องน่ะค่ะ ยังไงก็ สู้ๆ ปั่นและโพสต์ให้จบนะคะ ^^
สู้ต่อไปนะคะ พยายามเขียนให้จบให้ได่ อย่าท้อแท้น้า ส่วนตัวแล้ว ชอบอ่านสำนวนภาษาสวยๆ แบบเก่าๆ เพราะว่าหาอ่านได้ยากในงานเขียนยุคหลัง และภาษาที่ใช้ในเรื่องนี้สละสลวยดีค่ะ แต่มีบางคำสะกดผิด ตอนนี้ยังจับทิศทางของเรื่องยังไม่ได้ เลยไม่กล้าให้ความเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาของเรื่องน่ะค่ะ ยังไงก็ สู้ๆ ปั่นและโพสต์ให้จบนะคะ ^^
greengrass 15 มิ.ย. 2559, 11:13:09 น.
ขอบคุณมากค่ะ สำหรับกำลังใจที่มอบให้
ขอบคุณมากค่ะ สำหรับกำลังใจที่มอบให้