emergency love อุบัติเหตุรักหัวใจฉุกเฉิน
ว่ากันว่า จะเจอรักแท้อาจต้องใช้เวลา...แต่นั่นไม่ใช่สำหรับเขา ศัลยแพทย์แพทย์หนุ่มที่ตกหลุมรักสาวสวยหน้าเศร้าตั้งแต่แรกเห็น
เมื่อความรักมาพร้อมกับหน้าที่ปฏิบัติที่เลี่ยงไม่ได้ ในที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายและอุปสรรค เป็นที่ที่เขาและเธอจะได้รู้ซึ้งถึงความหมายของการเสียสละ
เมื่อความรักมาพร้อมกับหน้าที่ปฏิบัติที่เลี่ยงไม่ได้ ในที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายและอุปสรรค เป็นที่ที่เขาและเธอจะได้รู้ซึ้งถึงความหมายของการเสียสละ
Tags: รัก,โรแมนติก, หวานซึ้ง, ดราม่า, คอมเมดี้,หมอ
ตอน: ตอนที่ 1 วุ่นนักวันพักร้อน
ตอนที่ 1 วุ่นนักวันพักร้อน
บ่ายโมงเศษ
วิ้งว๊อง... วิ้งว๊อง...วิ้งว๊อง... วิ้งว๊อง...
เสียงไซเรนรถพยาบาลของทั้งกู้ชีพและกู้ภัยยังคงดังไม่ขาดสายบ่งบอกว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บฉุกเฉินที่ต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับยอดอุบัติเหตุจราจรที่สูงลิ่วทำลายสถิติปีก่อนๆ อย่างน่าตกใจ
“เฮ้อ...สงกรานต์ทีไรเป็นแบบนี้ทุกที” เสียงหมอใหญ่ประจำERกล่าวไว้ เขาเดินมาหยิบชาร์ตคนไข้ที่เพิ่งตรวจไปหมาดๆ ไล่อ่านประวัติตั้งแต่ต้นจนจบจากนั้นก็ลงมือขีดเขียนออเดอร์ลงไปก่อนจะยื่นให้กับพยาบาลที่รับผิดชอบเคส
อีกฝั่งมีแพทย์พร้อมลูกทีมกำลังช่วยฟื้นคืนชีพผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจรที่เข้ามาทีเดียวถึงสามราย ดีหน่อยมีหนักอยู่แค่รายเดียวส่วนที่เหลือสามารถรอตรวจได้
“อยากจะบ้า วันนี้มันวันอะไรทำไมถึงได้ยุ่งขนาดนี้” หมอณัฐวุฒิเดินออกจากม่านแล้วบ่นออกมาทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าวันนี้มันคือวันสำคัญวันหนึ่งของไทย แต่เพราะมันยุ่งตั้งแต่รับต่อจากเวรดึกแล้วและคิดว่ามันจะต้องเยินไปจนถึงเวรบ่าย แต่เมื่อนั้นคงได้เวลาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ซะที
“คุณหมอยังบ้าไม่ได้หรอกค่ะ เพราะมีคนไข้อีกหลายรายที่ยังไม่ได้ตรวจ” เป็นเสียงตอบจากลัดดาวรรณพยาบาลER ก่อนจะยื่นชาร์ตคนไข้รายใหม่ให้นายแพทย์หนุ่มที่ยังเห็นทำหน้าเพลียเพราะความเหนื่อย
“ถ้าประกาศปิดรับผู้ป่วยเวลานี้ได้ก็คงดีสินะ”
“ก็อยากทำเหมือนกันนะคะถ้าไม่มีผลกระทบตามมาทีหลัง”
“ผลกระทบทางการเงินสินะ” หมอหนุ่มเปรยเบาๆ แล้วทำหน้าเซ็งก่อนจะลากเท้าเดินมานั่งประจำโต๊ะตรวจหยิบชาร์ตผู้ป่วยจากมือพยาบาลแล้วเรียกชื่อออกไปพอจบประโยคแค่นั้นแหละก็ได้ยินพยาบาลในโซนตะโกนกลับมา
“คุณหมอค่ะ คนไข้ Arrest อีกแล้วค่ะ”
“ให้มันได้อย่างนี้สิ” ณัฐวุฒิของขึ้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรีบตรวจคนไข้ที่เพิ่งเรียกเข้ามาให้เสร็จ ไม่ลืมเอ่ยกับพยาบาลที่เป็นหัวหน้าทีมของเวรวันนี้ให้ประกาศเรื่องเปิดแผน
“ได้ค่ะ จะจัดการให้เดี๋ยวนี้”
เพราะเสียงตามสายจากประชาสัมพันธ์ทำให้คนๆ หนึ่งต้องเร่งฝีเท้าเพื่อไปยังจุดหมายปลายทางให้เร็วที่สุด ซึ่งเขาคือนายแพทย์สหรัฐที่เพิ่งย้ายมาจากโรงพยาบาลต่างจังหวัดและไม่คิดว่าการรีบร้อนในครั้งนี้จะไปชนใครบางคนจนเกือบจะล้มไปแล้วหากเขาไม่ดึงร่างนั้นขึ้นมาทันทีและประคองจนสามารถทรงตัวได้อย่างปกติโดยไม่ลืมถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรมากไหมครับ”คำถามนั้นไร้คำตอบ มีเพียงดวงตากลมโตที่กำลังจ้องเขาอยู่
“คุณ...” เสียงเรียกของเขาทำอีกฝ่ายสะดุ้งก่อนจะตอบลิ้นแทบจะพันกัน
“ไม่ค่ะฉันไม่ได้เป็นอะไร” ชลลิสาได้สติรีบตอบกลับทันที สายตาที่มองแพทย์หนุ่มนั้นยังดูสับสนอาจเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก
“แล้ว...รีบร้อนจะไปไหนเหรอครับ”
“ER ค่ะ ฉันเป็นตัวแทนของICUศัลย์”ตอบเสียงเรียบพอๆ กับใบหน้าที่เฉยชาแต่ก็คงไม่เย็นชาเท่าเขา ปากอิ่มเม้มเข้าหากันก่อนเอ่ยอีกประโยคหนึ่ง
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวนะคะ”
“ครับ” นายแพทย์หนุ่มเอ่ยพร้อมกับถอนหายใจหลังจากที่หญิงสาวเดินจากไปแล้วสิ่งที่กลัวสุดคือการต้องเผชิญหน้าแต่ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้
ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ใน ER จะวุ่นวายและบานปลายไปกันใหญ่เมื่อคนไข้ประเภทสีเขียวซึ่งสามารถรอตรวจได้แต่กลับไม่ยอมรอ หลายคนรวมตัวกันก่อจารชนด้วยการลุกขึ้นมาเอะอะโวยวายแถมยังด่าว่าโรงพยาบาลเหมือนโรงฆ่าสัตว์ ด่าทอคนทำงานว่าเอาแต่รักษาคนไข้วีไอพีและไม่ยอมรักษาตามคิวจนเดือดร้อนถึงขั้นต้องเรียกตำรวจมาช่วยคลี่คลายกันให้เสร็จทีละเปราะ
“พี่ลัดดาค่ะ สามารายงานตัวค่ะ ว่าแต่มีอะไรกันหรือคะทำไมมีตำรวจมาด้วย”ชลลิสาถามขึ้น สายตามองไปรอบๆ เห็นแต่คนไข้แถมเป็นคนไข้ประเภทอุบัติเหตุทั้งนั้น
“คนไข้กับญาตินะโวยวายไม่ดูสถานการณ์เลย ก็เห็นๆ อยู่ว่ามีคนไข้หนักอยู่เต็มห้อง เร่งจะให้ตรวจของตัวเองท่าเดียว นี่ถ้าไม่กลัวจะมีดราม่าตามมาพี่ไล่ตะเพิดกลับไปนานแล้ว” ประโยคนั้นกึ่งเล่นกึ่งจริงแต่สีหน้าแววตาหนักไปทางจริงจังมากกว่า
“งั้นพี่ลัดดาจะให้สาช่วยทำอะไรบ้างคะ สาพร้อมแล้วค่ะ”ตอบเสร็จก็ถูกพยาบาลรุ่นพี่พามายังที่รวมชาร์ตคนไข้หรือจะพูดให้ถูกมันคือจุดแจกจ่ายหัตถการนั่นเอง ลัดดาวรรณหยิบชาร์ตคนไข้ที่กองอยู่ในช่องรอทำหัตถการให้พยาบาลรุ่นน้อง
“นี่จ๊ะ เตียงหมายเลขหนึ่งกำลังรอฉีดยาส่วนยาก็อยู่ในตู้เย็นแล้ว น้องสาดูตามชื่อเอานะส่วนหมายเลขสามรอทำชาร์ตถ้าทำเสร็จก็ขึ้นตึกไปได้เลย ส่วนเตียงหมายเลขยี่สิบหกรอเย็บแผลค่ะแต่พี่อยากให้ทำเป็นลำดับสุดท้ายเพราะคนเจ็บยังไม่สางเมาเลย สามเตียงนี่เอาไหวใช่ไหมส่วนที่เหลือเดี๋ยวพี่รอพยาบาลคนอื่นต่อ”
“ไหวค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ สามเตียงนี้สาเคลียร์ให้เองค่ะ”
“ขอบคุณมากนะจ๊ะน้องสา ค่อยรู้สึกเบาลงหน่อย”ลัดดาวรรณเอ่ยอย่างขอบคุณเห็นอีกฝ่ายเพียงยิ้มตอบ
ด้านนายแพทย์สหรัฐเมื่อมาถึงแผนกER ก็ถูกนายแพทย์ณัฐวุฒิลากให้มาดูเคสArrest ทันทีแต่แพทย์หนุ่มก็ยังทันได้เห็นพยาบาลสาวหน้าคุ้นกำลังเร่งมือช่วยทำหัตถการคนไข้อยู่
ระหว่างทางผ่านไปตึกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน มีทีมแพทย์และพยาบาลกลุ่มหนึ่งกำลังเร่งฝีเท้าให้ไปถึงที่หมายโดยเร็ว แต่เสียงหนึ่งในนั้นก็ขัดขึ้นทำเอาทุกคนถึงกับหันมองหน้ากันเป็นแถว
“ทำไมต้องลากผมออกมาด้วย ไม่เห็นใจผมบ้างเหรอไง ผมเพิ่งลงเวรดึกมานะ”ทศวรรษแพทย์ Internบ่นออกมาเพราะรู้สึกขัดใจที่ถูกหมอรุ่นพี่ขึ้นมาตามถึงห้องพักเพื่อให้มาช่วยER ทั้งที่ลงเวรมาหัวยังไม่ทันจะได้แตะหมอน
“ก็ฉันเห็นนายเล่นเกมอยู่ แค่จะหาเรื่องที่มีประโยชน์มาให้นายทำดีกว่ามานั่งเล่นเกมไร้สาระนั่นเป็นไหนๆ”หมอวันชัยบอกเหตุผล
“แต่นั่นมันวันออฟของผมน่ะ”
“นายนี่มันจริงๆ เลย คำว่าเสียสละคงไม่มีอยู่ในหัวสินะ” แพทย์วันชัยพูดด้วยความโมโห หันไปมองหน้าหมอและพยาบาลคนอื่นๆ ที่ขอติดตามมาร่วมแจมด้วยความสมัครใจอดชื่นชมไม่ได้ผิดกับรุ่นน้องที่ตนรับหน้าที่เป็นทั้งพี่เลี้ยงและที่ปรึกษา
“พูดถึงสายโดมิโน่พี่เคนก็อยู่ในสายเดียวกับพี่ด้วยนี่ ทำไมไม่ตามมาล่ะครับ”
“ก็ถ้าหมอเคนอยู่ในพื้นที่ ฉันคงไม่ตามเด็กปัญญาอ่อนอย่างนายมาหรอก”แพทย์วันชัยกล่าวแล้วเดินนำหน้าไปโดยมีหมอและพยาบาลคนอื่นๆ รีบตามหลังทิ้งแพทย์Internยืนเป่าปากอย่างอารมณ์เสีย
ครรชิตสะพายกระเป๋าเป้ใบหนึ่งกำลังยื่นเอกสารให้พนักงานสายการบินได้ตรวจสอบ ไม่นานก็ถูกปล่อยให้เข้ามาหาที่นั่งบนเครื่องมือหนายกกระเป๋าเป้ไปไว้บนชั้นวางของหลังจากหาตำแหน่งที่นั่งของตัวเองได้สำเร็จ จากนั้นก็ย่อตัวลงนั่งประจำที่แต่ยังพอมีเวลาที่จะไล่อ่านข้อความทางไลน์ที่ต้องบอกว่าสะดุดตั้งแต่อ่านข้อความแรกแล้ว
อีอาร์แตกแล้ว เปิดแผนหนึ่ง...
เป็นข้อความจากเพื่อนที่อยู่ในไลน์กลุ่มแพทย์ด้วยกัน ออกจะตกใจที่รู้ว่าโรงพยาบาลได้เปิดใช้แผนหนึ่ง นั่นแสดงว่าคนไข้เกินอัตรากำลังของเวรจำต้องประกาศขอทีมแพทย์และพยาบาลเสริม
“หนักเอาการแหะ” ปากหนาเอ่ยออกมาก่อนจะไล่อ่านทีละบรรทัดจนถึงข้อความล่าสุดที่รายงานยอดผู้บาดเจ็บฉุกเฉินจนพลอยนึกถึงคำพูดของตัวเอง
“ขอให้ยุ่งละกันวันนี้”
“ฮื้อ ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ ผมยิ่งหวั่นๆ อยู่ นี่ก็เพิ่งมาทำงานวันแรกในรอบเดือนด้วย”
นึกถึงคำพูดในตอนนั้นแล้วก็อดรู้สึกผิดแม้ในความเป็นจริงการมาของคนไข้ไม่ได้เกี่ยวพันกับคำพูดของใครเลยแต่มันคือความเชื่อและสิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นจริงมาแล้วแม้มันจะพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ก็ตาม
“ป่านนี้หมอณัฐคงปวดหัวจะแย่แล้ว”พึมพำกับตัวเองเบาๆ แล้วยิ้มเจื่อนๆ สั่นหน้าอยู่สักพักก่อนตัดสินใจปิดเครื่องเพื่อยุติการรับรู้ความเคลื่อนไหวของโรงพยาบาลแต่สุดท้ายก็ยังเป็นห่วงสถานการณ์ของที่นั่นอยู่ดี
“จะหายยุ่งเหรอยังนะ” เสียงของชายหนุ่มถูกกลบด้วยเสียงแอร์โฮสเตสสาวซึ่งกำลังอธิบายวิธีใช้หน้ากากออกซิเจนและเสื้อชูชีพ แต่สมองตอนนี้มันไม่สามารถขจัดความกังวลออกไปได้หมดเมื่อรู้ดีว่าตอนนี้เพื่อนๆ ในสายอาชีพเดียวกันกำลังทำงานหนักแค่ไหน
สุดท้ายความกังวลนั้นก็ถูกขจัดด้วยเสียงเพลงกลอกใส่หูจากเครื่องเอมพีสามตัวจิ๋ว มือหนากดฟังเพลงโปรดที่เคยฟังประจำแต่ครั้งนี้ความรู้สึกที่ได้ฟังมันต่างจากเดิมเมื่อในหัวนั้นเอาแต่คิดถึงใบหน้าสาวสวยคนนั้น เธอสะกดใจเขาตั้งแต่แรกเห็นไม่ว่าจะทำอะไรก็เอาแต่คิดถึง อยากเจอแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเจอได้จากที่ไหนหรือต่อจากนี้จะได้เจอกันแค่ในความฝันเท่านั้น
รอยยิ้มของศัลยแพทย์หนุ่มผุดขึ้นที่ใบหน้า นี่ขนาดเจอกันแค่ครั้งเดียวยังเป็นเอามากขนาดนี้แล้วถ้าได้เจอกันอีกครั้งจะเป็นยังไงก่อนที่ความคิดของนายแพทย์หนุ่มจะเตลิดไปไกลนั้นเสียงประกาศจากแอร์โฮสเตสคนเดิมก็ดังขึ้น
“ประกาศ เนื่องด้วยขณะนี้มีผู้โดยสารที่ร่วมเดินทางไปกับเราเกิดป่วยกะทันหันและเครื่องจะสามารถลงจอดที่สนามบินสถานีต่อไปในอีกครึ่งชั่วโมงข้างหน้า ไม่ทราบว่าผู้โดยสารท่านใดเป็นหมอบ้างคะ ช่วยมาที่ชั้นธุรกิจด่วนค่ะ”
“อะไรกันเนี่ย กะจะไม่ให้หยุดพักกันเลยใช่ไหม” ครรชิตถอดหูฟังความจริงเขาคงหลับไปแล้วถ้าไม่เพราะเสียบหูฟังแค่ข้างเดียว ตัดสินใจจะยกมือขึ้นแสดงตนแต่ถูกแย่งซีนไปก่อนเมื่อมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“คุณหมอมาแล้วค่ะ”
สิริลักษณ์ถูกแอร์โฮสเตสสาวพาไปหาคนไข้ในชั้นธุรกิจ เมื่อไปถึงก็เห็นว่าผู้ป่วยถูกเคลื่อนย้ายมายังที่โล่งแล้ว สภาพที่เห็นคือนอนหายใจเหนื่อย เนื้อตัวเย็นชื้นเหลือบไปเห็น Stethoscopeวางอยู่ใกล้ๆ จึงหยิบมาฟังการขยายของปอด ใช้นิ้วแตะไปที่ข้อมือเพื่อสัญญาณชีพของคนไข้ก่อนจะเงยหน้าบอกแอร์โฮสเตสสาวสองสามคนที่กำลังทำหน้าตาตื่น
“หมอคิดว่าคนไข้น่าจะมีปัญหาในเรื่องของหัวใจหรือไม่อาการเหนื่อยที่เราเห็นก็น่าจะเกิดจากภาวะน้ำท่วมปอด หัวใจโตหรือไม่ก็พวกLabมีปัญหาดังนั้นเพื่อการวินิจฉัยโรคที่ใกล้เคียงที่สุด หมออยากได้ข้อมูลของคนไข้มากกว่านี้ ไม่ทราบว่าใครเป็นญาติคนไข้คะ”เธอถามพลางเอาเครื่องวัดความดัน คิดในใจว่าถ้าปล่อยไว้นานๆ อาจเสียชีวิตเพราะhypoxiaได้
“ฉันค่ะ เขาคือพ่อของฉันเอง” ญาติยกมือขึ้นท่าทางสั่นๆ
“คุณพ่อของคุณท่านมีโรคประจำตัวอะไรบ้าง แพ้ยาตัวไหนแล้วคนไข้เคยมีประวัติผ่าตัดอะไรแล้วบ้าง”
“เท่าที่ทราบคุณพ่อเป็นโรคหัวใจค่ะเคยทำบอลลูนมาแล้วส่วนเรื่องประวัติแพ้ยาคิดว่าไม่มีค่ะ แย่จริงฉันไม่ได้เอายาของท่านมาด้วย จะทำยังไงดีคะ”ญาติคนไข้เริ่มแสดงสีหน้าวิตกกังวลอย่างชัดเจน
“ไม่ต้องกังวลไปนะคะ ความดันคนไข้ยังปกติดีอยู่แต่ต้องแก้เรื่องอาการเจ็บให้ทุเลาลงก่อน ไม่อย่างนั้นท่านไม่ไหวแน่” แพทย์สาวหันมาเอ่ยกับแอร์โฮสเตสต่อ
“ช่วยให้ออกซิเจนคนไข้หน่อย แล้วก็...หมออยากได้มอร์ฟีนบนเครื่องมีไหมคะ”
“เออมีค่ะ”
“ดีค่ะ อ้อ แล้วก็” หญิงสาวหยิบกระเป๋ายาเปิดออกมาแล้วหยิบยาพวก ASA ,Plavix ,isodil ยื่นให้แอร์โฮสเตสที่กำลังหน้างงอยู่
“ช่วยจัดการให้หมอที เอายาพวกนี้ให้คนไข้กินนะคะ อ้อ เม็ดที่เล็กที่สุดให้อมใต้ลิ้นนะส่วนหมอขอเตรียมยาฉีดก่อน”
“ได้ค่ะ ดิฉันจะรีบจัดการเลยค่ะ”
สิริลักษณ์ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแอร์โฮสเตสส่วนเธอก็หันมาเตรียมยา ไม่ลืมบอกแอร์สาวที่เป็นหนึ่งในทีมช่วยชีวิตคนไข้รายนี้
“ระหว่างที่หมอฉีดยาคนไข้ คุณต้องตรวจวัดสัญญาณชีพคนไข้ทุกๆ ห้านาที ไม่แน่การได้รับยาอาจจะไปกดความดันของคนไข้ให้ต่ำลงได้ ดังนั้น นาทีนี้สำคัญมาก”
“ขอบคุณคุณหมอมากนะคะแล้วดิฉันจะทำตามที่บอกค่ะ”
สิริลักษณ์เพียงพยักหน้าก่อนจะรีบฉีดยาแก้ปวดให้ รอดูจนแน่ใจว่าอาการคนไข้เริ่มทุเลาลง ผู้ป่วยเริ่มหายใจดีขึ้น การตอบสนองก็ดีขึ้นตามลำดับจึงปล่อยให้แอร์โฮสเตสดูแลต่อแต่ก็ยังกังวลอยู่
“เออ ที่นั่นมีหมอรอรับคนไข้อยู่แล้วใช่ไหมคะ”
“ค่ะ ทันทีที่เครื่องลงจอด คนไข้จะอยู่ในมือคุณหมอทันที”
“ดีค่ะ” เธอเอ่ยพร้อมลุกขึ้นแล้วเดินจากไป
ครรชิตที่นั่งอยู่ไม่ลุกไปไหนแต่เขาก็เห็นทุกอย่าง ทั้งการรักษาทั้งความมุ่งมั่นและความตั้งใจ แม้กระทั่งตอนที่เธอเดินผ่าน เรียกได้ว่าทุกอิริยาบกของเธออยู่ในสายตาคู่คม รอยยิ้มหวานผุดขึ้นที่มุมปากของหนุ่มหล่อแม้อยากจะลุกไปคุยด้วยแต่ก็ได้แค่มองจากข้างหลังเพราะยังไม่มีเหตุผลดีพอต่อการเข้าหาเธอดังนั้น เขาเชื่อว่าโอกาสไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว ต้องมีสักวันสินะที่ชายหนุ่มจะได้พูดคุยกับสาวสวยผู้น่าหลงใหลคนนี้
เวลาต่อมาเครื่องบินลำเดิมถูกบินขึ้นสู่ฟ้าอีกครั้งหลังจากลงจอดกะทันหันเพื่อเคลื่อนย้ายผู้ป่วยให้ทีมแพทย์ช่วยทำการรักษาในลำดับต่อไป และตอนนี้ก็ลงจอดที่ท่าอากาศยานสุราษฏร์ธานีเป็นที่เรียบร้อยแล้วซึ่งใช้เวลาบินนานกว่าปกติ
‘ค่ะ แอมถึงสนามบินสุราษฏร์ธานีแล้วค่ะ อ้อ รถมาถึงแล้วเหรอคะ’ สิริลักษณ์กดวางสายพร้อมกับลากกระเป๋ามุ่งหน้าไปยังรถที่มารอรับเธอโดยไม่ทันสังเกตว่ามีคนสะกดรอยตามมา
ครรชิตตามมาไม่ทันเหตุเพราะเขาติดพันสายสนทนาทางไกลกับผู้มีบัญชาการสูงสุดซึ่งก็คือผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่ตนทำงานนั่นเอง
‘ครับ ผอ.เออ ขอโทษทีครับผมเพิ่งลงจากเครื่องมาก็เพิ่งได้เปิดเครื่องนี่แหละครับ’ เขาเอ่ยน้ำเสียงดูเหน็บหน่อยๆ แต่สายตายังมองไปที่รถคันนั้นซึ่งกำลังเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ ด้วยความรู้สึกเสียดาย แต่ต้องสะดุดกับคำพูดปลายสาย
‘ช่วย ผอ.จะให้ผมช่วยอะไรอีกครับ บอกตามตรงเรื่องที่โทรมากลางดึกผมยังหลอนไม่หาย นึกว่าเป็นสายโรคจิตซะอีก’ เอ่ยแล้วขำออกมาก่อนจะหุบเงียบเมื่อปลายสายไม่ตลกด้วยแถมยังออกคำสั่งให้เขาทำบางอย่างให้
‘อีกแล้วเหรอครับ คราวที่แล้วนี่ยังไม่เข็ดอีกใช่ไหมคราวนี้ถึงจะเอาอีก ผมนี่เชื่อเลย ก็ได้ครับเพื่อผอ.ผมยอมเป็นธุระให้ก็ได้ จบนะครับ อ้อ ผมรีบนะครับ สวัสดีครับ’
ครรชิตรีบวางสายลงพร้อมกับถอนหายใจออกมา อดอารมณ์เสียไม่ได้ที่ถูกผู้มีอำนาจสูงสุดกลั่นแกล้งร้ายไปกว่านั้นคือต้องไปทำธุระให้อีก
การเดินทางเพื่อทำภารกิจสำคัญใช้เวลาไม่นานนักและช่วงเทศกาลแบบนี้การจราจรก็ไม่ค่อยติดขัด จะพูดให้ถูกก็คือถนนสายนี้โล่งใช้ได้ เขามุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ผอ.เรียกว่าบ้านแต่คงจะเป็นบ้านหลังที่สองรองลงมาจากบ้านพักของโรงพยาบาล
“นี่ครับของขวัญ ผอ.ท่านอยากเอามาให้คุณนายกับมือแต่ติดภารกิจสำคัญเลยมาไม่ได้” ครรชิตที่รออยู่ในห้องรับแขกเอ่ยขึ้นหลังจากผู้หญิงวัยกลางคนแถมแต่งตัวดีออกมาพบ จากนั้นเขาก็ยื่นกล่องสีเหลี่ยมที่มีกระดาษของขวัญสีแดงห่อไว้ อีกฝ่ายยื่นมือมารับแต่ใบหน้ายังไม่คลี่ยิ้ม
“เหมือนเคย ต้องวานให้ลูกน้องมาส่งให้อีกตามเคย”
“ผอ.ท่านงานยุ่งนะครับ แต่ใจจริงท่านอยากมาด้วยตัวเองเพียงแต่ติดที่มีเคสวีไอพีลงนะครับแถมยังติดช่วงสงกรานต์อีก อะไรๆ เลยดูยุ่งเหยิงไปหมด”
“ดูจะเข้าข้างกันจริงๆ เลยนะ ก็ได้ฉันไม่โกรธผอ.ของหมอก็ได้ นี่ถ้าไม่ใช่คนหล่อมาเองฉันไม่ให้อภัยนะเนี่ย”
ครรชิตหัวเราะมีเสน่ห์ ตอนแรกก็กลัวว่าจะโมโหจนไม่ยอมฟังอะไรก็ในเมื่อปีใหม่รอบที่แล้วผอ.ก็ส่งนายแพทย์คิมหันต์มาเยี่ยมเยียนกันหนหนึ่งแล้ว
“หวา ตอนแรกก็คิดว่าคุณนายจะโกรธซะอีก รู้งี้ผมไม่ช่วยผอ.แก้ตัวซะก็ดี” คนพูดทำหน้าเจ้าเล่ห์แต่ก็สร้างเสียงหัวเราะให้คนที่ฟังได้ไม่น้อย
“แต่ก็แก้ตัวไปแล้วนี่ หมอรัฐก็อีกคนทิ้งแม่ตัวเองแล้วไปทำงานกับพ่อ ทีนี้ก็คงหายหน้าหายตากันไปทั้งพ่อทั้งลูก”
“ถ้าอย่างนั้นคุณนายก็น่าจะหาเวลาไปเยี่ยมผอ.บ้างนะครับ ดีกว่ารอให้ผอ.มาหาเพราะผมไม่เห็นลู่ทางที่จะมีวันนั้น”
“ก็จริงนะ เผื่อผอ.ของหมอเคนจะแอบซุกเมียไว้อีกคน”
ประโยคนั้นทีเล่นทีจริงแต่ก็ทำเอาคนฟังเสียววาบ ถ้าผอ.เกิดมีผู้หญิงซุกไว้จริงๆ คุณหญิงรัตนาคงไม่อยู่เฉยแน่ อาจมีขนอาวุธสงครามที่เป็นธุรกิจของตระกูลรุ่นบรรพบุรุษไปหาผอ.ถึงที่ ถึงตอนนั้นตัวใครตัวมันละกันนะ
“ว่าแต่หมอเถอะ ตั้งใจมาทำธุระให้ผอ.อย่างเดียวหรือมาทำอย่างอื่นด้วย”
“คือ ผมลาพักร้อนนะครับ นัดกับเพื่อนไว้ว่าจะไปเที่ยวเขื่อนด้วยกัน” เขาตอบแล้วถูกขัดด้วยเสียงข้อความจากไลน์มือถือ ชายหนุ่มกดอ่านแล้วเงยหน้าตอบอีกฝ่าย
“เห็นที เที่ยวของผมคงเป็นหมันแล้วละครับ เพื่อนส่งไลน์มา Cancel แล้ว”
“แย่จัง แบบนี้ก็มาเสียเที่ยวสิ” คุณนายกล่าวด้วยความเห็นใจแต่ครรชิตกลับยิ้มออกมา
“หากไม่เป็นการรบกวนคุณนายมากเกินไป ผมมีเรื่องอยากจะให้ช่วยครับ”
“ถ้าสิ่งที่หมอขอแล้วฉันสามารถหามาให้ได้ มันก็ไม่ถือว่ารบกวนหรอก ว่าแต่หมอต้องการอะไรเหรอ”
ครรชิตยิ้มบางทีครั้งนี้อาจทำให้ชายหนุ่มได้สิ่งที่ต้องการ
สิริลักษณ์เอาของไปวางไว้ในห้องพัก จากนั้นก็ออกมาทำงานเลยแต่ไม่คิดว่าวันแรกของการเริ่มต้นหลังกลับมาจากประชุมที่กทม. ก็เจอปัญหาซะแล้ว
บนเตียงนอนที่วางเปล่าเดิมเคยมีผู้ป่วยอาการคล้ายทางจิตพักรักษาตัวอยู่ ด้วยอาการหวาดผวาเหมือนกลัวบางอย่างและเอะอะโวยวายบางครั้งจนต้องใช้ระงับประสาทอยู่บ่อยๆ แต่ที่น่าตกใจในเวลานี้คือ
“คุณปล่อยให้คนไข้หนีออกไปได้ยังไง เกิดไปทำร้ายคนอื่นจะทำยังไง” สิริลักษณ์เอ็ดพยาบาลที่ทำหน้าที่ดูแลคนไข้ห้องพิเศษแต่เพราะความชะล่าใจแท้ๆ ที่เป็นต้นเหตุของเรื่อง
“ดิฉันขอโทษคะ คือคิดว่าคนไข้สงบแล้วเลยแกะผ้าผูกมือออก” พยาบาลคนนั้นก้มหน้าตอบ น้ำเสียงไม่ค่อยดี สิริลักษณ์ถอนหายใจหยิบมือถือออกมาเมื่อมีสายเรียกเข้า
‘แอมนี่ฉันเจอคนไข้ของเธอแล้วนะ รีบมาเลยนะคือฉันไม่แน่ใจว่าคนไข้ของเธอ จะทำอะไรต่อจากนี้’
สิริลักษณ์วางสายมองหน้าพยาบาลเอ่ยเสียงเข้ม “เอาไว้ให้ฉันหมอเคลียร์คนไข้ให้เสร็จก่อน จากนั้นเธอจะเป็นรายต่อไปที่ฉันจะคิดบัญชี” เอ่ยจบก็วิ่งออกจากตรงนั้นไป
ระหว่างนั้นครรชิตขับรถมาจอดด้านในโรงพยาบาลอย่างไร้ปัญหาเพราะอำนาจหน้าที่ของคนระดับสูง นึกถึงตอนที่ขอความช่วยเหลือจากคุณนายเมียผอ.
“สิ่งที่ผมอยากให้คุณนายช่วย มีอยู่สองเรื่องครับ” เขาเอ่ยนำก่อนจะพูดต่อเมื่อเห็นคุณนายรอฟังอย่างตั้งใจ
“ผมอยากได้รถเพื่อใช้ในการเดินทางตลอดวันหยุดพักผ่อนของผม”
“ไม่มีปัญหา ฉันจะให้เลขาของฉันจัดการให้ว่าแต่ อีกข้อล่ะ” คุณนายถามอย่างอยากรู้ ครรชิตพยักหน้ายิ้มก่อนจะให้ดูบางอย่างในมือถือ และนั่นก็ทำให้เขาได้มาอยู่ ณ ตรงนี้
“จะตามหาจากที่ตรงไหนก่อนดี” ครรชิตพูดกับตัวเอง ส่งสายตามองไปรอบๆ เห็นแต่คนแปลกหน้า ครั้นจะถามเอาจากพยาบาลก็ไม่รู้จะถามว่าอย่างไรดีในเมื่อไม่รู้แม้แต่ชื่อ ระหว่างที่กำลังคิดวางแผนอยู่นั้นเสียงมือถือก็ดังขึ้น ชายหนุ่มกดรับสายด้วยรอยยิ้มเมื่อปลายสายเป็นสาวสวยคู่จิ้น
‘ไม่เจอหน้ากันแค่ไม่กี่ชั่วโมง ถึงกับต้องโทรมาเลยเหรอ’
‘เพราะปากแบบนี้สินะ ใครๆ ถึงได้เข้าใจเราผิดมาตลอด’ แพทย์หญิงดาวิกาเอ่ยขณะเดินออกจากประตูห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน
‘หายยุ่งแล้วเหรอครับถึงโทรมาหากันได้’
‘ค่ะ แล้วทางนั้นล่ะคะคงจะวางแผนเที่ยวกันแล้วสิ’
‘ใครว่า เรื่องเที่ยวถูกยกเลิกไปแล้ว ตอนนี้ก็เลยว่างมาตามหาใครบางคน’
‘ใครบางคน ใครกันคะ ดูน่าสนใจจัง’
‘ไม่ต้องมาสนใจเรื่องของผมเลย เอาเรื่องตัวเองให้รอดก่อนดีไหม’
‘ทำไมคะ’
‘คืนนี้คงนอนไม่หลับแน่ถ้าไม่ได้เห็นหน้าคนที่อยากเห็น’ครรชิตว่าเห็นปลายสายน้ำเสียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
‘ทำเป็นรู้ดี งั้นฉันขออวยพรให้หมอเคนตามหาใครคนนั้นให้เจอด้วยเถิด’
‘เป็นคำอวยพรที่ดีมากๆ เลยครับ ไว้ค่อยคุยกันนะ’ เขากดวางสายด้วยรอยยิ้มก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอย่างอยากรู้เมื่อได้ยินเสียงคนที่เดินผ่านคุยกันถึงเรื่องคนไข้ที่หนีออกจากห้องพักแล้วกำลังโวยวายอยู่บนดาดฟ้าของตึก
“ใจเย็นนะคะคนไข้”
สิริลักษณ์เข้าไปไกล่เกลี่ยเมื่อคนไข้ที่เอะอะโวยวายกำลังทำเรื่องใหญ่ด้วยการคิดฆ่าตัวตาย หากเรื่องนี้เป็นข่าวขึ้นมาโรงพยาบาลไม่เพียงแต่จะทำให้โรงพยาบาลเสียชื่อในเรื่องคุณภาพการจัดการและการดูแลคนไข้ แต่มันจะมีผลต่อการประเมินคุณภาพโรงพยาบาลไตรมาศแรก ดังนั้น หญิงสาวจะไม่มีวันให้คนไข้ในความรับผิดชอบทำเรื่องนี้สำเร็จ
“อย่าเข้ามานะ ฉันไม่คุยกับหมอ ออกไป ฉันอยากตายได้ยินไหมว่าฉันอยากตาย” คนไข้สาววัยสิบเจ็ดกว่าๆ ตะโกนใส่ เธอกำลังเหยียบเท้าบนราวระเบียงและพร้อมจะกระโดดลงไปได้ทุกเมื่อ แพทย์สาวพยายามเกลี่ยกล่อมอีกครั้งโดยใช้หลักจิตวิทยาที่เรียนมาแม้ไม่รู้ว่าจะใช้ได้ผลมากน้อยแค่ไหน
“ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ นึกถึงคนที่รักคุณมากที่สุดสิค่ะ แม่คุณท่านรอให้คุณกลับไปหาท่านด้วยความหวังว่าคุณจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ลองนึกถึงวันที่คุณประสบความสำคัญแล้วมีคุณแม่ของคุณยืนอยู่ข้างๆ สิค่ะ หมออยากให้คุณมองปัญหาที่คุณเจอว่าแค่เรื่องขี้ประสิว มีอีกหลายชีวิตที่เขาสูญเสียมากกว่าคุณ หลายชีวิตที่เขาอยากมีชีวิตต่อแต่ก็ทำได้แค่คิดเท่านั้นแต่คุณไม่ใช่ อยู่ต่อเพื่อคนที่คุณรักนะคะ ยื่นมือมาให้หมอ แล้วเราจะเดินไปข้างหน้าด้วยกัน หมอจะอยู่ให้กำลังใจคุณและแม่ของคุณท่านจะต้องภูมิใจที่มีลูกอย่างคุณ”
คำพูดของเธอทำให้คนไข้ร้องไห้ออกมา หญิงสาวใช้จังหวะนั้นเดินเข้าไปหาแต่เหมือนอีกฝ่ายยังไม่ยอมง่ายๆ เธอจึงใช้วิธีสุดท้าย
นอกจากบุคลากรทางการแพทย์แล้วยังมีประชาชนทั่วไปยืนลุ้นอยู่และหนึ่งในนั้นก็มีนายแพทย์หนุ่มรวมอยู่ด้วย ครรชิตหัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นหมอที่เขาสนใจกำลังทำในสิ่งที่เสี่ยงตายด้วยการขึ้นไปยืนบนราวระเบียงด้วยกันกับคนไข้
“นั่นหมอจะทำอะไรนะ” คนไข้วัยรุ่นถามปากสั่น
“หมอก็ทำเหมือนคุณไง ถ้าคุณคิดว่าการฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่ดี หมอก็อยากตายเหมือนกัน เพราะปัญหาที่หมอมีจะได้ไม่มารบกวนจิตใจหมออีก”
“ระดับหมอจะมีปัญหาด้วยเหรอ”
“หมอบอกแล้วไงว่าทุกคนมีปัญหาเหมือนกันทั้งนั้น แต่หมอไม่เคยคิดฆ่าตัวตายเพื่อหนีมัน หมอถือว่ามันคือบทเรียนที่หมอจะต้องเรียนและผ่านมันไปให้ได้ เพราะฉะนั้นคนไข้มีสองทางที่ต้องเลือก ระหว่างมีชีวิตอยู่กับตายอย่างไม่มีใครจดจำ สำหรับหมอ หมอเลือกที่จะอยู่ต่อและใช้โอกาสที่เรายังมีลมหายใจทำแต่เรื่องดีๆ”เอ่ยจบก็ลงจากระเบียงอย่างใจเย็นเงยหน้ามองคนไข้ที่ดูเหมือนเริ่มลังเล
“เห็นไหมคะความตายอยู่ใกล้นิดเดียวแต่ถ้ายังมีโอกาสเลี่ยงก็ควรจะเลี่ยงมันซะ เหมือนอย่างที่หมอกำลังทำอยู่ เอาละหมอลงมาแล้วคนไข้ก็ต้องลงมาด้วยนะคะ ยื่นมือมาให้หมอนะ” เธอยื่นมือไปให้ลอบดูปฏิกิริยาและคิดเข้าข้างตัวเองว่าคนไข้เริ่มเอนออกับคำพูดนั้น แต่บางทีคนรอบข้างก็มักจะทำเสียเรื่อง
“ทางนี้เลยค่ะรปภ.” เสียงพยาบาลผู้ดูแลคนไข้ตะโกนมาพร้อมกับชี้ทางให้กับรปภ. พอคนไข้เห็นแค่นั้นแหละก็ทำท่าผวาตกใจอย่างเห็นได้ชัดและจังหวะที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อการทรงตัวเริ่มแย่ลง ร่างคนไข้เหมือนถูกดึงไปข้างหลัง จนเซไปนิดก่อนจะตกลงไปข้างล่างท่ามกลางเสียงกรี๊ดของทุกคนในละแวกนั้น
“กรี๊ด...หมอช่วยหนูด้วย”เสียงนั้นแทบทำให้สิริลักษณ์ใจหายวาบเพราะคิดว่าคนไข้ตกตึกไปแล้วแต่พอตั้งสติได้ก็รู้ว่ายังไม่ตกถึงพื้นเพราะมีมือหนึ่งเข้ามาช่วยดึงไว้ได้ทัน
“จับมือผมไว้นะครับ” ครรชิตเข้ามาช่วยได้ทันเวลาพยายามจะดึงคนไข้ขึ้นมาแต่แค่เขาคนเดียวคงทำไม่สำเร็จ ชายหนุ่มเป่าปากเพราะเริ่มรู้สึกว่าแรงมือของเขากำลังจะหมดอาจเพราะคนไข้พยายามดิ้นจนถ่วงน้ำหนัก ก่อนที่จะหมดแรงไปจริงๆ กลับได้สาวสวยดีกรีหมอมาช่วยแบ่งเบา
สิริลักษณ์เพิ่งได้สติจึงตรงเข้าไปช่วยจับคนไข้ไว้อีกคน สิ่งแรกที่ควรทำคือดึงคนไข้ขึ้นมาและแรงทั้งเขาและเธอคงไม่ไหวแน่ ปากอิ่มตะโกนออกไปจนเห็นยามสองคนตรงเข้ามาช่วยดึงขึ้นมาจนสำเร็จแต่ท่าทางอ่อนเพลียทำให้หมดสติไป สิริลักษณ์จับชีพจรคนไข้ก่อนจะออกคำสั่งกับพยาบาลที่ยังทำหน้าตาตกใจตื่นอยู่
“รีบพาคนไข้กลับที่ห้องพักนะ และก็ดูแลอย่าให้หนีออกมาได้อีก”
“ค่ะ” พยาบาลพยักหน้าหงิกๆ ก่อนคนไข้จะถูกพาไปวางบนเปลแล้วเข็นออกไป
สิริลักษณ์ลุกหายใจเหนื่อยหอบอยู่สักพักก่อนจะหันมาหาชายหนุ่มที่ยืนหายใจเหนื่อยเช่นกัน รับรู้ว่าเขาเองก็มองเธออยู่ มีบางอย่างในดวงตาคู่คมคู่นั้น เป็นบางอย่างที่ทำให้หัวใจของเธอเต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ ดวงตาหวานหลบทันควัน วินาทีนี้การดูแลคนไข้สำคัญกว่าจึงตัดสินใจออกไปจากที่ตรงนั้นไม่ทันได้เห็นสายตาอาลัยอาวรณ์ของอีกฝ่าย
ตอบคุณ Syphyr..........เพิ่งมาเห็นว่าเคยอัพมาแล้วเดือนก่อน บอกว่าไม่ได้รีไรท์ใหม่แต่เพราะลืมค่ะ คิดว่ายังไม่ลง ถ้าไงอ่านตอนต่อไปได้เลยนะคะ ขอบคุณมากมาย ขอบคุณที่ติดตามอ่าน น่ารักเสมอเลย ตามอ่านตั้งแต่เรื่องเงารักเงาใจแล้ว
บ่ายโมงเศษ
วิ้งว๊อง... วิ้งว๊อง...วิ้งว๊อง... วิ้งว๊อง...
เสียงไซเรนรถพยาบาลของทั้งกู้ชีพและกู้ภัยยังคงดังไม่ขาดสายบ่งบอกว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บฉุกเฉินที่ต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับยอดอุบัติเหตุจราจรที่สูงลิ่วทำลายสถิติปีก่อนๆ อย่างน่าตกใจ
“เฮ้อ...สงกรานต์ทีไรเป็นแบบนี้ทุกที” เสียงหมอใหญ่ประจำERกล่าวไว้ เขาเดินมาหยิบชาร์ตคนไข้ที่เพิ่งตรวจไปหมาดๆ ไล่อ่านประวัติตั้งแต่ต้นจนจบจากนั้นก็ลงมือขีดเขียนออเดอร์ลงไปก่อนจะยื่นให้กับพยาบาลที่รับผิดชอบเคส
อีกฝั่งมีแพทย์พร้อมลูกทีมกำลังช่วยฟื้นคืนชีพผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจรที่เข้ามาทีเดียวถึงสามราย ดีหน่อยมีหนักอยู่แค่รายเดียวส่วนที่เหลือสามารถรอตรวจได้
“อยากจะบ้า วันนี้มันวันอะไรทำไมถึงได้ยุ่งขนาดนี้” หมอณัฐวุฒิเดินออกจากม่านแล้วบ่นออกมาทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าวันนี้มันคือวันสำคัญวันหนึ่งของไทย แต่เพราะมันยุ่งตั้งแต่รับต่อจากเวรดึกแล้วและคิดว่ามันจะต้องเยินไปจนถึงเวรบ่าย แต่เมื่อนั้นคงได้เวลาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ซะที
“คุณหมอยังบ้าไม่ได้หรอกค่ะ เพราะมีคนไข้อีกหลายรายที่ยังไม่ได้ตรวจ” เป็นเสียงตอบจากลัดดาวรรณพยาบาลER ก่อนจะยื่นชาร์ตคนไข้รายใหม่ให้นายแพทย์หนุ่มที่ยังเห็นทำหน้าเพลียเพราะความเหนื่อย
“ถ้าประกาศปิดรับผู้ป่วยเวลานี้ได้ก็คงดีสินะ”
“ก็อยากทำเหมือนกันนะคะถ้าไม่มีผลกระทบตามมาทีหลัง”
“ผลกระทบทางการเงินสินะ” หมอหนุ่มเปรยเบาๆ แล้วทำหน้าเซ็งก่อนจะลากเท้าเดินมานั่งประจำโต๊ะตรวจหยิบชาร์ตผู้ป่วยจากมือพยาบาลแล้วเรียกชื่อออกไปพอจบประโยคแค่นั้นแหละก็ได้ยินพยาบาลในโซนตะโกนกลับมา
“คุณหมอค่ะ คนไข้ Arrest อีกแล้วค่ะ”
“ให้มันได้อย่างนี้สิ” ณัฐวุฒิของขึ้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรีบตรวจคนไข้ที่เพิ่งเรียกเข้ามาให้เสร็จ ไม่ลืมเอ่ยกับพยาบาลที่เป็นหัวหน้าทีมของเวรวันนี้ให้ประกาศเรื่องเปิดแผน
“ได้ค่ะ จะจัดการให้เดี๋ยวนี้”
เพราะเสียงตามสายจากประชาสัมพันธ์ทำให้คนๆ หนึ่งต้องเร่งฝีเท้าเพื่อไปยังจุดหมายปลายทางให้เร็วที่สุด ซึ่งเขาคือนายแพทย์สหรัฐที่เพิ่งย้ายมาจากโรงพยาบาลต่างจังหวัดและไม่คิดว่าการรีบร้อนในครั้งนี้จะไปชนใครบางคนจนเกือบจะล้มไปแล้วหากเขาไม่ดึงร่างนั้นขึ้นมาทันทีและประคองจนสามารถทรงตัวได้อย่างปกติโดยไม่ลืมถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรมากไหมครับ”คำถามนั้นไร้คำตอบ มีเพียงดวงตากลมโตที่กำลังจ้องเขาอยู่
“คุณ...” เสียงเรียกของเขาทำอีกฝ่ายสะดุ้งก่อนจะตอบลิ้นแทบจะพันกัน
“ไม่ค่ะฉันไม่ได้เป็นอะไร” ชลลิสาได้สติรีบตอบกลับทันที สายตาที่มองแพทย์หนุ่มนั้นยังดูสับสนอาจเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก
“แล้ว...รีบร้อนจะไปไหนเหรอครับ”
“ER ค่ะ ฉันเป็นตัวแทนของICUศัลย์”ตอบเสียงเรียบพอๆ กับใบหน้าที่เฉยชาแต่ก็คงไม่เย็นชาเท่าเขา ปากอิ่มเม้มเข้าหากันก่อนเอ่ยอีกประโยคหนึ่ง
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวนะคะ”
“ครับ” นายแพทย์หนุ่มเอ่ยพร้อมกับถอนหายใจหลังจากที่หญิงสาวเดินจากไปแล้วสิ่งที่กลัวสุดคือการต้องเผชิญหน้าแต่ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้
ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ใน ER จะวุ่นวายและบานปลายไปกันใหญ่เมื่อคนไข้ประเภทสีเขียวซึ่งสามารถรอตรวจได้แต่กลับไม่ยอมรอ หลายคนรวมตัวกันก่อจารชนด้วยการลุกขึ้นมาเอะอะโวยวายแถมยังด่าว่าโรงพยาบาลเหมือนโรงฆ่าสัตว์ ด่าทอคนทำงานว่าเอาแต่รักษาคนไข้วีไอพีและไม่ยอมรักษาตามคิวจนเดือดร้อนถึงขั้นต้องเรียกตำรวจมาช่วยคลี่คลายกันให้เสร็จทีละเปราะ
“พี่ลัดดาค่ะ สามารายงานตัวค่ะ ว่าแต่มีอะไรกันหรือคะทำไมมีตำรวจมาด้วย”ชลลิสาถามขึ้น สายตามองไปรอบๆ เห็นแต่คนไข้แถมเป็นคนไข้ประเภทอุบัติเหตุทั้งนั้น
“คนไข้กับญาตินะโวยวายไม่ดูสถานการณ์เลย ก็เห็นๆ อยู่ว่ามีคนไข้หนักอยู่เต็มห้อง เร่งจะให้ตรวจของตัวเองท่าเดียว นี่ถ้าไม่กลัวจะมีดราม่าตามมาพี่ไล่ตะเพิดกลับไปนานแล้ว” ประโยคนั้นกึ่งเล่นกึ่งจริงแต่สีหน้าแววตาหนักไปทางจริงจังมากกว่า
“งั้นพี่ลัดดาจะให้สาช่วยทำอะไรบ้างคะ สาพร้อมแล้วค่ะ”ตอบเสร็จก็ถูกพยาบาลรุ่นพี่พามายังที่รวมชาร์ตคนไข้หรือจะพูดให้ถูกมันคือจุดแจกจ่ายหัตถการนั่นเอง ลัดดาวรรณหยิบชาร์ตคนไข้ที่กองอยู่ในช่องรอทำหัตถการให้พยาบาลรุ่นน้อง
“นี่จ๊ะ เตียงหมายเลขหนึ่งกำลังรอฉีดยาส่วนยาก็อยู่ในตู้เย็นแล้ว น้องสาดูตามชื่อเอานะส่วนหมายเลขสามรอทำชาร์ตถ้าทำเสร็จก็ขึ้นตึกไปได้เลย ส่วนเตียงหมายเลขยี่สิบหกรอเย็บแผลค่ะแต่พี่อยากให้ทำเป็นลำดับสุดท้ายเพราะคนเจ็บยังไม่สางเมาเลย สามเตียงนี่เอาไหวใช่ไหมส่วนที่เหลือเดี๋ยวพี่รอพยาบาลคนอื่นต่อ”
“ไหวค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ สามเตียงนี้สาเคลียร์ให้เองค่ะ”
“ขอบคุณมากนะจ๊ะน้องสา ค่อยรู้สึกเบาลงหน่อย”ลัดดาวรรณเอ่ยอย่างขอบคุณเห็นอีกฝ่ายเพียงยิ้มตอบ
ด้านนายแพทย์สหรัฐเมื่อมาถึงแผนกER ก็ถูกนายแพทย์ณัฐวุฒิลากให้มาดูเคสArrest ทันทีแต่แพทย์หนุ่มก็ยังทันได้เห็นพยาบาลสาวหน้าคุ้นกำลังเร่งมือช่วยทำหัตถการคนไข้อยู่
ระหว่างทางผ่านไปตึกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน มีทีมแพทย์และพยาบาลกลุ่มหนึ่งกำลังเร่งฝีเท้าให้ไปถึงที่หมายโดยเร็ว แต่เสียงหนึ่งในนั้นก็ขัดขึ้นทำเอาทุกคนถึงกับหันมองหน้ากันเป็นแถว
“ทำไมต้องลากผมออกมาด้วย ไม่เห็นใจผมบ้างเหรอไง ผมเพิ่งลงเวรดึกมานะ”ทศวรรษแพทย์ Internบ่นออกมาเพราะรู้สึกขัดใจที่ถูกหมอรุ่นพี่ขึ้นมาตามถึงห้องพักเพื่อให้มาช่วยER ทั้งที่ลงเวรมาหัวยังไม่ทันจะได้แตะหมอน
“ก็ฉันเห็นนายเล่นเกมอยู่ แค่จะหาเรื่องที่มีประโยชน์มาให้นายทำดีกว่ามานั่งเล่นเกมไร้สาระนั่นเป็นไหนๆ”หมอวันชัยบอกเหตุผล
“แต่นั่นมันวันออฟของผมน่ะ”
“นายนี่มันจริงๆ เลย คำว่าเสียสละคงไม่มีอยู่ในหัวสินะ” แพทย์วันชัยพูดด้วยความโมโห หันไปมองหน้าหมอและพยาบาลคนอื่นๆ ที่ขอติดตามมาร่วมแจมด้วยความสมัครใจอดชื่นชมไม่ได้ผิดกับรุ่นน้องที่ตนรับหน้าที่เป็นทั้งพี่เลี้ยงและที่ปรึกษา
“พูดถึงสายโดมิโน่พี่เคนก็อยู่ในสายเดียวกับพี่ด้วยนี่ ทำไมไม่ตามมาล่ะครับ”
“ก็ถ้าหมอเคนอยู่ในพื้นที่ ฉันคงไม่ตามเด็กปัญญาอ่อนอย่างนายมาหรอก”แพทย์วันชัยกล่าวแล้วเดินนำหน้าไปโดยมีหมอและพยาบาลคนอื่นๆ รีบตามหลังทิ้งแพทย์Internยืนเป่าปากอย่างอารมณ์เสีย
ครรชิตสะพายกระเป๋าเป้ใบหนึ่งกำลังยื่นเอกสารให้พนักงานสายการบินได้ตรวจสอบ ไม่นานก็ถูกปล่อยให้เข้ามาหาที่นั่งบนเครื่องมือหนายกกระเป๋าเป้ไปไว้บนชั้นวางของหลังจากหาตำแหน่งที่นั่งของตัวเองได้สำเร็จ จากนั้นก็ย่อตัวลงนั่งประจำที่แต่ยังพอมีเวลาที่จะไล่อ่านข้อความทางไลน์ที่ต้องบอกว่าสะดุดตั้งแต่อ่านข้อความแรกแล้ว
อีอาร์แตกแล้ว เปิดแผนหนึ่ง...
เป็นข้อความจากเพื่อนที่อยู่ในไลน์กลุ่มแพทย์ด้วยกัน ออกจะตกใจที่รู้ว่าโรงพยาบาลได้เปิดใช้แผนหนึ่ง นั่นแสดงว่าคนไข้เกินอัตรากำลังของเวรจำต้องประกาศขอทีมแพทย์และพยาบาลเสริม
“หนักเอาการแหะ” ปากหนาเอ่ยออกมาก่อนจะไล่อ่านทีละบรรทัดจนถึงข้อความล่าสุดที่รายงานยอดผู้บาดเจ็บฉุกเฉินจนพลอยนึกถึงคำพูดของตัวเอง
“ขอให้ยุ่งละกันวันนี้”
“ฮื้อ ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ ผมยิ่งหวั่นๆ อยู่ นี่ก็เพิ่งมาทำงานวันแรกในรอบเดือนด้วย”
นึกถึงคำพูดในตอนนั้นแล้วก็อดรู้สึกผิดแม้ในความเป็นจริงการมาของคนไข้ไม่ได้เกี่ยวพันกับคำพูดของใครเลยแต่มันคือความเชื่อและสิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นจริงมาแล้วแม้มันจะพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ก็ตาม
“ป่านนี้หมอณัฐคงปวดหัวจะแย่แล้ว”พึมพำกับตัวเองเบาๆ แล้วยิ้มเจื่อนๆ สั่นหน้าอยู่สักพักก่อนตัดสินใจปิดเครื่องเพื่อยุติการรับรู้ความเคลื่อนไหวของโรงพยาบาลแต่สุดท้ายก็ยังเป็นห่วงสถานการณ์ของที่นั่นอยู่ดี
“จะหายยุ่งเหรอยังนะ” เสียงของชายหนุ่มถูกกลบด้วยเสียงแอร์โฮสเตสสาวซึ่งกำลังอธิบายวิธีใช้หน้ากากออกซิเจนและเสื้อชูชีพ แต่สมองตอนนี้มันไม่สามารถขจัดความกังวลออกไปได้หมดเมื่อรู้ดีว่าตอนนี้เพื่อนๆ ในสายอาชีพเดียวกันกำลังทำงานหนักแค่ไหน
สุดท้ายความกังวลนั้นก็ถูกขจัดด้วยเสียงเพลงกลอกใส่หูจากเครื่องเอมพีสามตัวจิ๋ว มือหนากดฟังเพลงโปรดที่เคยฟังประจำแต่ครั้งนี้ความรู้สึกที่ได้ฟังมันต่างจากเดิมเมื่อในหัวนั้นเอาแต่คิดถึงใบหน้าสาวสวยคนนั้น เธอสะกดใจเขาตั้งแต่แรกเห็นไม่ว่าจะทำอะไรก็เอาแต่คิดถึง อยากเจอแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเจอได้จากที่ไหนหรือต่อจากนี้จะได้เจอกันแค่ในความฝันเท่านั้น
รอยยิ้มของศัลยแพทย์หนุ่มผุดขึ้นที่ใบหน้า นี่ขนาดเจอกันแค่ครั้งเดียวยังเป็นเอามากขนาดนี้แล้วถ้าได้เจอกันอีกครั้งจะเป็นยังไงก่อนที่ความคิดของนายแพทย์หนุ่มจะเตลิดไปไกลนั้นเสียงประกาศจากแอร์โฮสเตสคนเดิมก็ดังขึ้น
“ประกาศ เนื่องด้วยขณะนี้มีผู้โดยสารที่ร่วมเดินทางไปกับเราเกิดป่วยกะทันหันและเครื่องจะสามารถลงจอดที่สนามบินสถานีต่อไปในอีกครึ่งชั่วโมงข้างหน้า ไม่ทราบว่าผู้โดยสารท่านใดเป็นหมอบ้างคะ ช่วยมาที่ชั้นธุรกิจด่วนค่ะ”
“อะไรกันเนี่ย กะจะไม่ให้หยุดพักกันเลยใช่ไหม” ครรชิตถอดหูฟังความจริงเขาคงหลับไปแล้วถ้าไม่เพราะเสียบหูฟังแค่ข้างเดียว ตัดสินใจจะยกมือขึ้นแสดงตนแต่ถูกแย่งซีนไปก่อนเมื่อมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“คุณหมอมาแล้วค่ะ”
สิริลักษณ์ถูกแอร์โฮสเตสสาวพาไปหาคนไข้ในชั้นธุรกิจ เมื่อไปถึงก็เห็นว่าผู้ป่วยถูกเคลื่อนย้ายมายังที่โล่งแล้ว สภาพที่เห็นคือนอนหายใจเหนื่อย เนื้อตัวเย็นชื้นเหลือบไปเห็น Stethoscopeวางอยู่ใกล้ๆ จึงหยิบมาฟังการขยายของปอด ใช้นิ้วแตะไปที่ข้อมือเพื่อสัญญาณชีพของคนไข้ก่อนจะเงยหน้าบอกแอร์โฮสเตสสาวสองสามคนที่กำลังทำหน้าตาตื่น
“หมอคิดว่าคนไข้น่าจะมีปัญหาในเรื่องของหัวใจหรือไม่อาการเหนื่อยที่เราเห็นก็น่าจะเกิดจากภาวะน้ำท่วมปอด หัวใจโตหรือไม่ก็พวกLabมีปัญหาดังนั้นเพื่อการวินิจฉัยโรคที่ใกล้เคียงที่สุด หมออยากได้ข้อมูลของคนไข้มากกว่านี้ ไม่ทราบว่าใครเป็นญาติคนไข้คะ”เธอถามพลางเอาเครื่องวัดความดัน คิดในใจว่าถ้าปล่อยไว้นานๆ อาจเสียชีวิตเพราะhypoxiaได้
“ฉันค่ะ เขาคือพ่อของฉันเอง” ญาติยกมือขึ้นท่าทางสั่นๆ
“คุณพ่อของคุณท่านมีโรคประจำตัวอะไรบ้าง แพ้ยาตัวไหนแล้วคนไข้เคยมีประวัติผ่าตัดอะไรแล้วบ้าง”
“เท่าที่ทราบคุณพ่อเป็นโรคหัวใจค่ะเคยทำบอลลูนมาแล้วส่วนเรื่องประวัติแพ้ยาคิดว่าไม่มีค่ะ แย่จริงฉันไม่ได้เอายาของท่านมาด้วย จะทำยังไงดีคะ”ญาติคนไข้เริ่มแสดงสีหน้าวิตกกังวลอย่างชัดเจน
“ไม่ต้องกังวลไปนะคะ ความดันคนไข้ยังปกติดีอยู่แต่ต้องแก้เรื่องอาการเจ็บให้ทุเลาลงก่อน ไม่อย่างนั้นท่านไม่ไหวแน่” แพทย์สาวหันมาเอ่ยกับแอร์โฮสเตสต่อ
“ช่วยให้ออกซิเจนคนไข้หน่อย แล้วก็...หมออยากได้มอร์ฟีนบนเครื่องมีไหมคะ”
“เออมีค่ะ”
“ดีค่ะ อ้อ แล้วก็” หญิงสาวหยิบกระเป๋ายาเปิดออกมาแล้วหยิบยาพวก ASA ,Plavix ,isodil ยื่นให้แอร์โฮสเตสที่กำลังหน้างงอยู่
“ช่วยจัดการให้หมอที เอายาพวกนี้ให้คนไข้กินนะคะ อ้อ เม็ดที่เล็กที่สุดให้อมใต้ลิ้นนะส่วนหมอขอเตรียมยาฉีดก่อน”
“ได้ค่ะ ดิฉันจะรีบจัดการเลยค่ะ”
สิริลักษณ์ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแอร์โฮสเตสส่วนเธอก็หันมาเตรียมยา ไม่ลืมบอกแอร์สาวที่เป็นหนึ่งในทีมช่วยชีวิตคนไข้รายนี้
“ระหว่างที่หมอฉีดยาคนไข้ คุณต้องตรวจวัดสัญญาณชีพคนไข้ทุกๆ ห้านาที ไม่แน่การได้รับยาอาจจะไปกดความดันของคนไข้ให้ต่ำลงได้ ดังนั้น นาทีนี้สำคัญมาก”
“ขอบคุณคุณหมอมากนะคะแล้วดิฉันจะทำตามที่บอกค่ะ”
สิริลักษณ์เพียงพยักหน้าก่อนจะรีบฉีดยาแก้ปวดให้ รอดูจนแน่ใจว่าอาการคนไข้เริ่มทุเลาลง ผู้ป่วยเริ่มหายใจดีขึ้น การตอบสนองก็ดีขึ้นตามลำดับจึงปล่อยให้แอร์โฮสเตสดูแลต่อแต่ก็ยังกังวลอยู่
“เออ ที่นั่นมีหมอรอรับคนไข้อยู่แล้วใช่ไหมคะ”
“ค่ะ ทันทีที่เครื่องลงจอด คนไข้จะอยู่ในมือคุณหมอทันที”
“ดีค่ะ” เธอเอ่ยพร้อมลุกขึ้นแล้วเดินจากไป
ครรชิตที่นั่งอยู่ไม่ลุกไปไหนแต่เขาก็เห็นทุกอย่าง ทั้งการรักษาทั้งความมุ่งมั่นและความตั้งใจ แม้กระทั่งตอนที่เธอเดินผ่าน เรียกได้ว่าทุกอิริยาบกของเธออยู่ในสายตาคู่คม รอยยิ้มหวานผุดขึ้นที่มุมปากของหนุ่มหล่อแม้อยากจะลุกไปคุยด้วยแต่ก็ได้แค่มองจากข้างหลังเพราะยังไม่มีเหตุผลดีพอต่อการเข้าหาเธอดังนั้น เขาเชื่อว่าโอกาสไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว ต้องมีสักวันสินะที่ชายหนุ่มจะได้พูดคุยกับสาวสวยผู้น่าหลงใหลคนนี้
เวลาต่อมาเครื่องบินลำเดิมถูกบินขึ้นสู่ฟ้าอีกครั้งหลังจากลงจอดกะทันหันเพื่อเคลื่อนย้ายผู้ป่วยให้ทีมแพทย์ช่วยทำการรักษาในลำดับต่อไป และตอนนี้ก็ลงจอดที่ท่าอากาศยานสุราษฏร์ธานีเป็นที่เรียบร้อยแล้วซึ่งใช้เวลาบินนานกว่าปกติ
‘ค่ะ แอมถึงสนามบินสุราษฏร์ธานีแล้วค่ะ อ้อ รถมาถึงแล้วเหรอคะ’ สิริลักษณ์กดวางสายพร้อมกับลากกระเป๋ามุ่งหน้าไปยังรถที่มารอรับเธอโดยไม่ทันสังเกตว่ามีคนสะกดรอยตามมา
ครรชิตตามมาไม่ทันเหตุเพราะเขาติดพันสายสนทนาทางไกลกับผู้มีบัญชาการสูงสุดซึ่งก็คือผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่ตนทำงานนั่นเอง
‘ครับ ผอ.เออ ขอโทษทีครับผมเพิ่งลงจากเครื่องมาก็เพิ่งได้เปิดเครื่องนี่แหละครับ’ เขาเอ่ยน้ำเสียงดูเหน็บหน่อยๆ แต่สายตายังมองไปที่รถคันนั้นซึ่งกำลังเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ ด้วยความรู้สึกเสียดาย แต่ต้องสะดุดกับคำพูดปลายสาย
‘ช่วย ผอ.จะให้ผมช่วยอะไรอีกครับ บอกตามตรงเรื่องที่โทรมากลางดึกผมยังหลอนไม่หาย นึกว่าเป็นสายโรคจิตซะอีก’ เอ่ยแล้วขำออกมาก่อนจะหุบเงียบเมื่อปลายสายไม่ตลกด้วยแถมยังออกคำสั่งให้เขาทำบางอย่างให้
‘อีกแล้วเหรอครับ คราวที่แล้วนี่ยังไม่เข็ดอีกใช่ไหมคราวนี้ถึงจะเอาอีก ผมนี่เชื่อเลย ก็ได้ครับเพื่อผอ.ผมยอมเป็นธุระให้ก็ได้ จบนะครับ อ้อ ผมรีบนะครับ สวัสดีครับ’
ครรชิตรีบวางสายลงพร้อมกับถอนหายใจออกมา อดอารมณ์เสียไม่ได้ที่ถูกผู้มีอำนาจสูงสุดกลั่นแกล้งร้ายไปกว่านั้นคือต้องไปทำธุระให้อีก
การเดินทางเพื่อทำภารกิจสำคัญใช้เวลาไม่นานนักและช่วงเทศกาลแบบนี้การจราจรก็ไม่ค่อยติดขัด จะพูดให้ถูกก็คือถนนสายนี้โล่งใช้ได้ เขามุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ผอ.เรียกว่าบ้านแต่คงจะเป็นบ้านหลังที่สองรองลงมาจากบ้านพักของโรงพยาบาล
“นี่ครับของขวัญ ผอ.ท่านอยากเอามาให้คุณนายกับมือแต่ติดภารกิจสำคัญเลยมาไม่ได้” ครรชิตที่รออยู่ในห้องรับแขกเอ่ยขึ้นหลังจากผู้หญิงวัยกลางคนแถมแต่งตัวดีออกมาพบ จากนั้นเขาก็ยื่นกล่องสีเหลี่ยมที่มีกระดาษของขวัญสีแดงห่อไว้ อีกฝ่ายยื่นมือมารับแต่ใบหน้ายังไม่คลี่ยิ้ม
“เหมือนเคย ต้องวานให้ลูกน้องมาส่งให้อีกตามเคย”
“ผอ.ท่านงานยุ่งนะครับ แต่ใจจริงท่านอยากมาด้วยตัวเองเพียงแต่ติดที่มีเคสวีไอพีลงนะครับแถมยังติดช่วงสงกรานต์อีก อะไรๆ เลยดูยุ่งเหยิงไปหมด”
“ดูจะเข้าข้างกันจริงๆ เลยนะ ก็ได้ฉันไม่โกรธผอ.ของหมอก็ได้ นี่ถ้าไม่ใช่คนหล่อมาเองฉันไม่ให้อภัยนะเนี่ย”
ครรชิตหัวเราะมีเสน่ห์ ตอนแรกก็กลัวว่าจะโมโหจนไม่ยอมฟังอะไรก็ในเมื่อปีใหม่รอบที่แล้วผอ.ก็ส่งนายแพทย์คิมหันต์มาเยี่ยมเยียนกันหนหนึ่งแล้ว
“หวา ตอนแรกก็คิดว่าคุณนายจะโกรธซะอีก รู้งี้ผมไม่ช่วยผอ.แก้ตัวซะก็ดี” คนพูดทำหน้าเจ้าเล่ห์แต่ก็สร้างเสียงหัวเราะให้คนที่ฟังได้ไม่น้อย
“แต่ก็แก้ตัวไปแล้วนี่ หมอรัฐก็อีกคนทิ้งแม่ตัวเองแล้วไปทำงานกับพ่อ ทีนี้ก็คงหายหน้าหายตากันไปทั้งพ่อทั้งลูก”
“ถ้าอย่างนั้นคุณนายก็น่าจะหาเวลาไปเยี่ยมผอ.บ้างนะครับ ดีกว่ารอให้ผอ.มาหาเพราะผมไม่เห็นลู่ทางที่จะมีวันนั้น”
“ก็จริงนะ เผื่อผอ.ของหมอเคนจะแอบซุกเมียไว้อีกคน”
ประโยคนั้นทีเล่นทีจริงแต่ก็ทำเอาคนฟังเสียววาบ ถ้าผอ.เกิดมีผู้หญิงซุกไว้จริงๆ คุณหญิงรัตนาคงไม่อยู่เฉยแน่ อาจมีขนอาวุธสงครามที่เป็นธุรกิจของตระกูลรุ่นบรรพบุรุษไปหาผอ.ถึงที่ ถึงตอนนั้นตัวใครตัวมันละกันนะ
“ว่าแต่หมอเถอะ ตั้งใจมาทำธุระให้ผอ.อย่างเดียวหรือมาทำอย่างอื่นด้วย”
“คือ ผมลาพักร้อนนะครับ นัดกับเพื่อนไว้ว่าจะไปเที่ยวเขื่อนด้วยกัน” เขาตอบแล้วถูกขัดด้วยเสียงข้อความจากไลน์มือถือ ชายหนุ่มกดอ่านแล้วเงยหน้าตอบอีกฝ่าย
“เห็นที เที่ยวของผมคงเป็นหมันแล้วละครับ เพื่อนส่งไลน์มา Cancel แล้ว”
“แย่จัง แบบนี้ก็มาเสียเที่ยวสิ” คุณนายกล่าวด้วยความเห็นใจแต่ครรชิตกลับยิ้มออกมา
“หากไม่เป็นการรบกวนคุณนายมากเกินไป ผมมีเรื่องอยากจะให้ช่วยครับ”
“ถ้าสิ่งที่หมอขอแล้วฉันสามารถหามาให้ได้ มันก็ไม่ถือว่ารบกวนหรอก ว่าแต่หมอต้องการอะไรเหรอ”
ครรชิตยิ้มบางทีครั้งนี้อาจทำให้ชายหนุ่มได้สิ่งที่ต้องการ
สิริลักษณ์เอาของไปวางไว้ในห้องพัก จากนั้นก็ออกมาทำงานเลยแต่ไม่คิดว่าวันแรกของการเริ่มต้นหลังกลับมาจากประชุมที่กทม. ก็เจอปัญหาซะแล้ว
บนเตียงนอนที่วางเปล่าเดิมเคยมีผู้ป่วยอาการคล้ายทางจิตพักรักษาตัวอยู่ ด้วยอาการหวาดผวาเหมือนกลัวบางอย่างและเอะอะโวยวายบางครั้งจนต้องใช้ระงับประสาทอยู่บ่อยๆ แต่ที่น่าตกใจในเวลานี้คือ
“คุณปล่อยให้คนไข้หนีออกไปได้ยังไง เกิดไปทำร้ายคนอื่นจะทำยังไง” สิริลักษณ์เอ็ดพยาบาลที่ทำหน้าที่ดูแลคนไข้ห้องพิเศษแต่เพราะความชะล่าใจแท้ๆ ที่เป็นต้นเหตุของเรื่อง
“ดิฉันขอโทษคะ คือคิดว่าคนไข้สงบแล้วเลยแกะผ้าผูกมือออก” พยาบาลคนนั้นก้มหน้าตอบ น้ำเสียงไม่ค่อยดี สิริลักษณ์ถอนหายใจหยิบมือถือออกมาเมื่อมีสายเรียกเข้า
‘แอมนี่ฉันเจอคนไข้ของเธอแล้วนะ รีบมาเลยนะคือฉันไม่แน่ใจว่าคนไข้ของเธอ จะทำอะไรต่อจากนี้’
สิริลักษณ์วางสายมองหน้าพยาบาลเอ่ยเสียงเข้ม “เอาไว้ให้ฉันหมอเคลียร์คนไข้ให้เสร็จก่อน จากนั้นเธอจะเป็นรายต่อไปที่ฉันจะคิดบัญชี” เอ่ยจบก็วิ่งออกจากตรงนั้นไป
ระหว่างนั้นครรชิตขับรถมาจอดด้านในโรงพยาบาลอย่างไร้ปัญหาเพราะอำนาจหน้าที่ของคนระดับสูง นึกถึงตอนที่ขอความช่วยเหลือจากคุณนายเมียผอ.
“สิ่งที่ผมอยากให้คุณนายช่วย มีอยู่สองเรื่องครับ” เขาเอ่ยนำก่อนจะพูดต่อเมื่อเห็นคุณนายรอฟังอย่างตั้งใจ
“ผมอยากได้รถเพื่อใช้ในการเดินทางตลอดวันหยุดพักผ่อนของผม”
“ไม่มีปัญหา ฉันจะให้เลขาของฉันจัดการให้ว่าแต่ อีกข้อล่ะ” คุณนายถามอย่างอยากรู้ ครรชิตพยักหน้ายิ้มก่อนจะให้ดูบางอย่างในมือถือ และนั่นก็ทำให้เขาได้มาอยู่ ณ ตรงนี้
“จะตามหาจากที่ตรงไหนก่อนดี” ครรชิตพูดกับตัวเอง ส่งสายตามองไปรอบๆ เห็นแต่คนแปลกหน้า ครั้นจะถามเอาจากพยาบาลก็ไม่รู้จะถามว่าอย่างไรดีในเมื่อไม่รู้แม้แต่ชื่อ ระหว่างที่กำลังคิดวางแผนอยู่นั้นเสียงมือถือก็ดังขึ้น ชายหนุ่มกดรับสายด้วยรอยยิ้มเมื่อปลายสายเป็นสาวสวยคู่จิ้น
‘ไม่เจอหน้ากันแค่ไม่กี่ชั่วโมง ถึงกับต้องโทรมาเลยเหรอ’
‘เพราะปากแบบนี้สินะ ใครๆ ถึงได้เข้าใจเราผิดมาตลอด’ แพทย์หญิงดาวิกาเอ่ยขณะเดินออกจากประตูห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน
‘หายยุ่งแล้วเหรอครับถึงโทรมาหากันได้’
‘ค่ะ แล้วทางนั้นล่ะคะคงจะวางแผนเที่ยวกันแล้วสิ’
‘ใครว่า เรื่องเที่ยวถูกยกเลิกไปแล้ว ตอนนี้ก็เลยว่างมาตามหาใครบางคน’
‘ใครบางคน ใครกันคะ ดูน่าสนใจจัง’
‘ไม่ต้องมาสนใจเรื่องของผมเลย เอาเรื่องตัวเองให้รอดก่อนดีไหม’
‘ทำไมคะ’
‘คืนนี้คงนอนไม่หลับแน่ถ้าไม่ได้เห็นหน้าคนที่อยากเห็น’ครรชิตว่าเห็นปลายสายน้ำเสียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
‘ทำเป็นรู้ดี งั้นฉันขออวยพรให้หมอเคนตามหาใครคนนั้นให้เจอด้วยเถิด’
‘เป็นคำอวยพรที่ดีมากๆ เลยครับ ไว้ค่อยคุยกันนะ’ เขากดวางสายด้วยรอยยิ้มก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอย่างอยากรู้เมื่อได้ยินเสียงคนที่เดินผ่านคุยกันถึงเรื่องคนไข้ที่หนีออกจากห้องพักแล้วกำลังโวยวายอยู่บนดาดฟ้าของตึก
“ใจเย็นนะคะคนไข้”
สิริลักษณ์เข้าไปไกล่เกลี่ยเมื่อคนไข้ที่เอะอะโวยวายกำลังทำเรื่องใหญ่ด้วยการคิดฆ่าตัวตาย หากเรื่องนี้เป็นข่าวขึ้นมาโรงพยาบาลไม่เพียงแต่จะทำให้โรงพยาบาลเสียชื่อในเรื่องคุณภาพการจัดการและการดูแลคนไข้ แต่มันจะมีผลต่อการประเมินคุณภาพโรงพยาบาลไตรมาศแรก ดังนั้น หญิงสาวจะไม่มีวันให้คนไข้ในความรับผิดชอบทำเรื่องนี้สำเร็จ
“อย่าเข้ามานะ ฉันไม่คุยกับหมอ ออกไป ฉันอยากตายได้ยินไหมว่าฉันอยากตาย” คนไข้สาววัยสิบเจ็ดกว่าๆ ตะโกนใส่ เธอกำลังเหยียบเท้าบนราวระเบียงและพร้อมจะกระโดดลงไปได้ทุกเมื่อ แพทย์สาวพยายามเกลี่ยกล่อมอีกครั้งโดยใช้หลักจิตวิทยาที่เรียนมาแม้ไม่รู้ว่าจะใช้ได้ผลมากน้อยแค่ไหน
“ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ นึกถึงคนที่รักคุณมากที่สุดสิค่ะ แม่คุณท่านรอให้คุณกลับไปหาท่านด้วยความหวังว่าคุณจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ลองนึกถึงวันที่คุณประสบความสำคัญแล้วมีคุณแม่ของคุณยืนอยู่ข้างๆ สิค่ะ หมออยากให้คุณมองปัญหาที่คุณเจอว่าแค่เรื่องขี้ประสิว มีอีกหลายชีวิตที่เขาสูญเสียมากกว่าคุณ หลายชีวิตที่เขาอยากมีชีวิตต่อแต่ก็ทำได้แค่คิดเท่านั้นแต่คุณไม่ใช่ อยู่ต่อเพื่อคนที่คุณรักนะคะ ยื่นมือมาให้หมอ แล้วเราจะเดินไปข้างหน้าด้วยกัน หมอจะอยู่ให้กำลังใจคุณและแม่ของคุณท่านจะต้องภูมิใจที่มีลูกอย่างคุณ”
คำพูดของเธอทำให้คนไข้ร้องไห้ออกมา หญิงสาวใช้จังหวะนั้นเดินเข้าไปหาแต่เหมือนอีกฝ่ายยังไม่ยอมง่ายๆ เธอจึงใช้วิธีสุดท้าย
นอกจากบุคลากรทางการแพทย์แล้วยังมีประชาชนทั่วไปยืนลุ้นอยู่และหนึ่งในนั้นก็มีนายแพทย์หนุ่มรวมอยู่ด้วย ครรชิตหัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นหมอที่เขาสนใจกำลังทำในสิ่งที่เสี่ยงตายด้วยการขึ้นไปยืนบนราวระเบียงด้วยกันกับคนไข้
“นั่นหมอจะทำอะไรนะ” คนไข้วัยรุ่นถามปากสั่น
“หมอก็ทำเหมือนคุณไง ถ้าคุณคิดว่าการฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่ดี หมอก็อยากตายเหมือนกัน เพราะปัญหาที่หมอมีจะได้ไม่มารบกวนจิตใจหมออีก”
“ระดับหมอจะมีปัญหาด้วยเหรอ”
“หมอบอกแล้วไงว่าทุกคนมีปัญหาเหมือนกันทั้งนั้น แต่หมอไม่เคยคิดฆ่าตัวตายเพื่อหนีมัน หมอถือว่ามันคือบทเรียนที่หมอจะต้องเรียนและผ่านมันไปให้ได้ เพราะฉะนั้นคนไข้มีสองทางที่ต้องเลือก ระหว่างมีชีวิตอยู่กับตายอย่างไม่มีใครจดจำ สำหรับหมอ หมอเลือกที่จะอยู่ต่อและใช้โอกาสที่เรายังมีลมหายใจทำแต่เรื่องดีๆ”เอ่ยจบก็ลงจากระเบียงอย่างใจเย็นเงยหน้ามองคนไข้ที่ดูเหมือนเริ่มลังเล
“เห็นไหมคะความตายอยู่ใกล้นิดเดียวแต่ถ้ายังมีโอกาสเลี่ยงก็ควรจะเลี่ยงมันซะ เหมือนอย่างที่หมอกำลังทำอยู่ เอาละหมอลงมาแล้วคนไข้ก็ต้องลงมาด้วยนะคะ ยื่นมือมาให้หมอนะ” เธอยื่นมือไปให้ลอบดูปฏิกิริยาและคิดเข้าข้างตัวเองว่าคนไข้เริ่มเอนออกับคำพูดนั้น แต่บางทีคนรอบข้างก็มักจะทำเสียเรื่อง
“ทางนี้เลยค่ะรปภ.” เสียงพยาบาลผู้ดูแลคนไข้ตะโกนมาพร้อมกับชี้ทางให้กับรปภ. พอคนไข้เห็นแค่นั้นแหละก็ทำท่าผวาตกใจอย่างเห็นได้ชัดและจังหวะที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อการทรงตัวเริ่มแย่ลง ร่างคนไข้เหมือนถูกดึงไปข้างหลัง จนเซไปนิดก่อนจะตกลงไปข้างล่างท่ามกลางเสียงกรี๊ดของทุกคนในละแวกนั้น
“กรี๊ด...หมอช่วยหนูด้วย”เสียงนั้นแทบทำให้สิริลักษณ์ใจหายวาบเพราะคิดว่าคนไข้ตกตึกไปแล้วแต่พอตั้งสติได้ก็รู้ว่ายังไม่ตกถึงพื้นเพราะมีมือหนึ่งเข้ามาช่วยดึงไว้ได้ทัน
“จับมือผมไว้นะครับ” ครรชิตเข้ามาช่วยได้ทันเวลาพยายามจะดึงคนไข้ขึ้นมาแต่แค่เขาคนเดียวคงทำไม่สำเร็จ ชายหนุ่มเป่าปากเพราะเริ่มรู้สึกว่าแรงมือของเขากำลังจะหมดอาจเพราะคนไข้พยายามดิ้นจนถ่วงน้ำหนัก ก่อนที่จะหมดแรงไปจริงๆ กลับได้สาวสวยดีกรีหมอมาช่วยแบ่งเบา
สิริลักษณ์เพิ่งได้สติจึงตรงเข้าไปช่วยจับคนไข้ไว้อีกคน สิ่งแรกที่ควรทำคือดึงคนไข้ขึ้นมาและแรงทั้งเขาและเธอคงไม่ไหวแน่ ปากอิ่มตะโกนออกไปจนเห็นยามสองคนตรงเข้ามาช่วยดึงขึ้นมาจนสำเร็จแต่ท่าทางอ่อนเพลียทำให้หมดสติไป สิริลักษณ์จับชีพจรคนไข้ก่อนจะออกคำสั่งกับพยาบาลที่ยังทำหน้าตาตกใจตื่นอยู่
“รีบพาคนไข้กลับที่ห้องพักนะ และก็ดูแลอย่าให้หนีออกมาได้อีก”
“ค่ะ” พยาบาลพยักหน้าหงิกๆ ก่อนคนไข้จะถูกพาไปวางบนเปลแล้วเข็นออกไป
สิริลักษณ์ลุกหายใจเหนื่อยหอบอยู่สักพักก่อนจะหันมาหาชายหนุ่มที่ยืนหายใจเหนื่อยเช่นกัน รับรู้ว่าเขาเองก็มองเธออยู่ มีบางอย่างในดวงตาคู่คมคู่นั้น เป็นบางอย่างที่ทำให้หัวใจของเธอเต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ ดวงตาหวานหลบทันควัน วินาทีนี้การดูแลคนไข้สำคัญกว่าจึงตัดสินใจออกไปจากที่ตรงนั้นไม่ทันได้เห็นสายตาอาลัยอาวรณ์ของอีกฝ่าย
ตอบคุณ Syphyr..........เพิ่งมาเห็นว่าเคยอัพมาแล้วเดือนก่อน บอกว่าไม่ได้รีไรท์ใหม่แต่เพราะลืมค่ะ คิดว่ายังไม่ลง ถ้าไงอ่านตอนต่อไปได้เลยนะคะ ขอบคุณมากมาย ขอบคุณที่ติดตามอ่าน น่ารักเสมอเลย ตามอ่านตั้งแต่เรื่องเงารักเงาใจแล้ว
กรงแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 มิ.ย. 2559, 10:43:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 มิ.ย. 2559, 10:43:24 น.
จำนวนการเข้าชม : 984
<< บทนำ | พิเศษตอนที่ 1 >> |
Zephyr 17 มิ.ย. 2559, 12:40:22 น.
อ่า สาวสวยคนcpr คนนั้นกับหมอสิริลักษณ์ คนเดียวกันรึป่าวคะ สามคู่ใช่มั้ยคะ
คู่หมอเคน
คู่หมอดา
คู่หมอรัฐ
เอ รึเยอะกว่านั้น 5555 ชื่อหมอเยอะมาก
อ่า สาวสวยคนcpr คนนั้นกับหมอสิริลักษณ์ คนเดียวกันรึป่าวคะ สามคู่ใช่มั้ยคะ
คู่หมอเคน
คู่หมอดา
คู่หมอรัฐ
เอ รึเยอะกว่านั้น 5555 ชื่อหมอเยอะมาก