emergency love อุบัติเหตุรักหัวใจฉุกเฉิน
ว่ากันว่า จะเจอรักแท้อาจต้องใช้เวลา...แต่นั่นไม่ใช่สำหรับเขา ศัลยแพทย์แพทย์หนุ่มที่ตกหลุมรักสาวสวยหน้าเศร้าตั้งแต่แรกเห็น
เมื่อความรักมาพร้อมกับหน้าที่ปฏิบัติที่เลี่ยงไม่ได้ ในที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายและอุปสรรค เป็นที่ที่เขาและเธอจะได้รู้ซึ้งถึงความหมายของการเสียสละ
เมื่อความรักมาพร้อมกับหน้าที่ปฏิบัติที่เลี่ยงไม่ได้ ในที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายและอุปสรรค เป็นที่ที่เขาและเธอจะได้รู้ซึ้งถึงความหมายของการเสียสละ
Tags: รัก,โรแมนติก, หวานซึ้ง, ดราม่า, คอมเมดี้,หมอ
ตอน: ตอนที่ 2 ลิขิตของโชคชะตา
ตอนที่ 2 ลิขิตของโชคชะตา
ณ ร้านกาแฟข้างโรงพยาบาล
นายแพทย์ครรชิตกำลังรอเครื่องดื่มที่สั่งกับร้านกาแฟซึ่งอยู่ใกล้ๆ โรงพยาบาล ระหว่างนั้นก็คิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่าน ทำให้ไม่ได้ยินเสียงเรียกของพนักงานในร้านกระทั่งกาแฟแก้วนั้นถูกวางลงตรงหน้า
แต่กลิ่นหอมติดจมูกของกาแฟนั้นไม่ได้ทำให้คนใจลอยตื่นจากภวังค์เมื่อหมอหนุ่มยังคงนั่งนิ่งเพียงเพราะไม่เชื่อสายตาตัวเอง นี่เขาคิดถึงเธอมากถึงขนาดมองเด็กในร้านกาแฟเป็นผู้หญิงในฝันไปแล้วเหรอ
“รับสิค่ะ กาแฟของคุณ”
“หะ”
ครรชิตตะลึงเอื้อมมือมารับอย่างงงๆ เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดก็ในเมื่อผู้หญิงตรงหน้าคือหมอคนสวยคนนั้นจริงๆ และเธอกำลังนั่งเก้าอี้ตรงข้ามเขาโดยในมือยังมี Stethoscope ถืออยู่
“เออ...” เขากลืนน้ำลายไปอึดหนึ่งแล้วเม้มปากเข้าหากันก่อนจะยิ้มแหยงๆ เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นบทสนทนาในครั้งนี้ยังไงดียอมรับว่าการมาของเธอมันกระชันชิดจนตั้งตัวไม่ติด
“ขอบคุณที่ช่วยไว้นะคะ”
เป็นเธอที่เริ่มต้นประโยคสนทนาขึ้นมาก่อนพร้อมกับยิ้มให้ ถึงจะเป็นรอยยิ้มที่ไม่โดดเด่นนักแต่สำหรับศัลยแพทย์หนุ่ม มันช่างเป็นรอยยิ้มที่ทรงคุณค่ากับจิตใจเขามาก
“ยินดีครับ เผอิญผมเป็นคนชอบช่วยเหลือคนอยู่แล้ว” ครรชิตตอบหน้าตายเริ่มสานสัมพันธ์กับสาวสวยตรงหน้า
“อ้อ...อย่างนี้นี่เอง ถึงยังไงก็ต้องขอบคุณแทนคนไข้ ถ้าไม่ได้คุณช่วยไว้ป่านนี้คงต้อง Conference กันยาว ไม่แน่นะฉันอาจจะถูกคณะกรรมการสอบสวน”
“มันคงไม่ร้ายแรงขนาดนั้นหรอกมังครับ” เขาออกความคิด ยังได้เห็นรอยยิ้มเศร้าๆ แฝงไว้ น่าแปลกที่มันมีเสน่ห์อย่างน่าดึงดูด
“แล้วนี่ คุณมาเยี่ยมใครหรือคะ”
“ครับ” ครรชิตทำหน้างงก่อนจะนึกขึ้นได้ ตอบเสียงเรียบ “ อ้อเปล่าครับ แค่แวะมาหากาแฟดื่ม”
“กาแฟ ที่นี่นะเหรอคะ”สิริลักษณ์ทำหน้าสงสัยแล้วก็แทบหลุดหัวเราะออกมาเมื่อรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริง
“ครับ ได้ยินเขาว่ากันว่าโรงพยาบาลนี้มีแต่คนหน้าตาดี แม้แต่คนขายกาแฟข้างโรงพยาบาลก็ยังหน้าตาดี ผมอยากพิสูจน์ก็เลยมา”เขาว่าแอบเห็นอีกฝ่ายอมยิ้มแล้วก็ส่ายหน้าไปมา คงไม่คิดสินะว่าจะได้ยินคำพูดแบบนั้น
พนักงานของร้านเดินถือแก้วกาแฟออกมาพร้อมกับเสิร์ฟให้ สิริลักษณ์รับมาถือก่อนจะล้วงเอาบางอย่างในกระเป๋าเสื้อกาวน์แต่พอรู้ว่ามันว่างเปล่าก็ถึงกับทำหน้าเซ็ง หันมามองชายหนุ่มที่กำลังดูดน้ำกาแฟอย่างเอร็ดอร่อย
“โทษนะคะ คุณจ่ายเงินไปหรือยังคะ”
“หะ อ้อ ไม่ต้องครับ ผมจ่ายเองได้”ครรชิตเอ่ยอย่างเกรงใจรู้สึกดีในความมีน้ำใจของเธอแต่แทบสำลักกาแฟเมื่อได้ยินประโยคถัดมา
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ คือ...ฉันอยากให้คุณจ่ายให้ฉันด้วย” เธอเม้มปากรู้สึกเสียหน้ามากแต่ก็คิดว่าแค่ค่ากาแฟไม่กี่บาทคงไม่ทำให้กระเป๋าเงินเขาแห้งหรอก
“ความจริงคือฉันลืมกระเป๋าสตางค์ไว้ที่ห้องพักนะคะ”สิริลักษณ์อธิบาย อายมากที่ต้องขอให้คนแปลกหน้าจ่ายเงินให้แต่เพราะสมองปลาทองของเธอแท้ๆ ที่ลืมได้แม้กระทั่งกระเป๋าสตางค์
“ถ้าจ่ายให้แล้ว จะได้เจอกันอีกไหมล่ะครับ” เขาถามขึ้น สายตาที่ทอดมองยังหมอสาวคนสวยบอกชัดเจนว่าต้องการอะไร
“ก็...ถ้าคุณมาที่นี่อีกอาจจะได้เจอกันค่ะ อ้อ และนี่” เธอถอดป้ายชื่อที่คล้องคออยู่ประจำที่ขึ้นเวร วางตรงหน้าชายหนุ่ม
“อะไรเหรอครับ” ครรชิตไม่เข้าใจถึงจุดประสงค์ของเธอ ป้ายชื่อเอาไว้ดูต่างหน้าเหรอ...
“ป้ายชื่อของฉันค่ะ เป็นเครื่องยืนยันว่าฉันไม่เบี้ยวคุณแน่ สำหรับค่ากาแฟในวันนี้ฉันรับปากว่าถ้าเจอกันคราวหน้าจะเลี้ยงคุณคืนค่ะ ถึงตอนนั้นฉันขอป้ายชื่อของฉันคืนนะคะ”เธอเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ครรชิตยิ้มตอบปั้นหน้าหล่อแต่ดูเจ้าเล่ห์
“งั้นผมก็รับปากว่าผมจะคืนป้ายชื่อของคุณด้วยมือของผมเอง ผมเชื่อว่าเราจะได้เจอกันอีกแน่นอน”
“แล้วฉันจะรอดูค่ะ ขอตัวนะคะ คุณ...”
“ครรชิตครับ”
“ค่ะ คุณครรชิต”
ครรชิตมองป้ายชื่อที่วางอยู่บนโต๊ะ ส่วนเจ้าของตอนนี้เดินจากไปพร้อมกับกาแฟหอมกรุ่น มือหนาหยิบมันขึ้นมาอ่าน อย่างน้อยก็ได้รู้จักชื่อเต็มๆ ของเธอแล้วสายตาคมมองนิ่งที่รูปถ่ายครึ่งตัว ใบหน้าสวยรูปไข่จัดได้ว่าเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง เขาถอนหายใจออกมาเปรยเสียงอ่อน
“จ่ายเงินเพื่อแลกกับสิ่งนี้สินะ” ปากหนาได้แต่พึมพำกับตัวเองพลางเก็บป้ายชื่อใส่กระเป๋าเสื้อก่อนจะหยิบแก้วกาแฟขึ้นดูดอีกครั้งคราวนี้ดูดยาวกว่าเดิมสีหน้าแววตาแลดูได้อารมณ์มาก
สิริลักษณ์กลับเข้ามาข้างในโรงพยาบาลอีกครั้ง เจอกับขวัญฤทัยเพื่อนหมอวัยเดียวกันซึ่งวิ่งหน้าตั้งตรงมาหาเธอก่อนจะยิงคำถามถึงหนุ่มนิรนามที่เธอเพิ่งได้พูดคุยมาหมาดๆ พอบอกว่าเป็นคนคนเดียวที่ช่วยชีวิตคนไข้ในความรับผิดชอบก็ถึงกับอุทานเสียงสูง
“พรหมลิขิต นั่นนะพรหมลิขิตชัดๆ”
“พรหมลิขิตอะไรของเธอย่ะ” หญิงสาวถามอย่างอารมณ์ดี ไม่ได้ใส่ใจในคำพูดเพื่อนหมอเท่าไรนักขณะรอฟังเพื่อนตอบก็ยกกาแฟขึ้นดูดพลาง
“ก็เนื้อคู่ไง นั่นนะมันเนื้อคู่เธอชัดๆ หล่อ หน้าตาดี รูปร่างก็ดี ดูดีแบบนี้อย่าปล่อยให้หลุดมือเชียวนะ” ขวัญฤทัยพูดแล้วหัวเราะคิกๆ ก่อนจะร้องเสียงหลงจนเธอเองก็ตกใจเหมือนกันกับอาการเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของเพื่อน แอบได้ยินเสียงบ่นตามมา
“ให้ตายสิ มัวแต่บ้าเรื่องผู้ชาย ลืมธุระสำคัญไปเลย”
“ธุระ”
“ก็หัวหน้าแผนกเรียกพบเธอนะสิ” ฝีเท้าเล็กชะงักหันมามองหน้าเพื่อนทั้งที่ปากยังดูดกาแฟคาอยู่
การเดินทางไปพบหัวหน้าแผนกใช้เวลาไม่นานแต่ก็คงนานไปสำหรับคนรอกระมัง เธอถึงได้เห็นหน้าตาที่ดูเหวี่ยงๆ แบบนั้น หญิงสาวเดินสงบเสงี่ยมมานั่งเก้าอี้ตรงที่ว่างจากการวางแฟ้มข้อมูลวิจัย รอฟังในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะพูดแต่น่าผิดหวังที่ไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเอกสารบางอย่างที่ถูกยื่นมาให้
“อะไรเหรอคะ”
“รับไปอ่านซะสิ พี่จะไม่พูดมากและคิดว่าข้อมูลที่อยู่ในกระดาษพวกนั้นคงจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่เธอสงสัยว่าทำไมพี่ถึงต้องเรียกเธอมา แต่ขอให้รู้ไว้ว่าพี่ไม่อยากทำแบบนี้เลย ยังไงสำหรับพี่เธอก็คือจิตแพทย์ที่ดีที่สุดของโรงพยาบาล”
แพทย์หญิงสิริลักษณ์รับเอกสารจากมือหัวหน้าของเธอ ไล่อ่านตั้งแต่บรรทัดแรกอย่างตั้งใจ จนมาถึงบรรทัดหนึ่งที่ขีดเส้นแดงกำกับเอาไว้ถึงกับเบิกตากว้างเงยหน้ามองหัวหน้าแผนกด้วยความไม่เข้าใจ
“นี่มัน”ปากอิ่มสั่นระริกพอๆ กับใบหน้าที่เริ่มซีดเผือดอย่างช้าๆ
หนึ่งวันพักผ่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ครรชิตกับเสื้อผ้าชุดใหม่หลังเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ชายหนุ่มเดินถือแก้วน้ำเปล่ามาหาที่รับลมเย็นสบายซึ่งเป็นเก้าอี้ไม้ตรงระเบียงนอกห้อง ยามนี้ข้างนอกกำลังสว่างเพราะมีแสงไฟคอยขจัดความมืดมิดหากในหัวใจของเขาก็กำลังสว่างไสวเช่นกันเพราะมีไฟดวงน้อยๆ คอยจุดประกายอยู่
“ถ้าจ่ายให้แล้ว จะได้เจอกันอีกไหมล่ะครับ”
“ก็...ถ้าคุณมาที่นี่อีกอาจจะได้เจอกันค่ะ อ้อ และนี่”
“อะไรเหรอครับ”
“ป้ายชื่อของฉันค่ะ เป็นเครื่องยืนยันว่าฉันไม่เบี้ยวคุณแน่ สำหรับค่ากาแฟในวันนี้ ฉันรับปากว่าถ้าเจอกันคราวหน้าจะเลี้ยงคุณคืนค่ะ ถึงตอนนั้นฉันขอป้ายชื่อของฉันคืนนะคะ”
“งั้นผมก็รับปากว่าผมจะคืนป้ายชื่อของคุณด้วยมือของผมเอง ผมเชื่อว่าเราจะได้เจอกันอีกแน่นอน”
“แล้วฉันจะรอดูค่ะ”
แม้มันจะเป็นการสนทนาแค่ไม่กี่ประโยคแต่มันก็ยังวนเวียนอยู่ในความคิดคะนึงของเขา ชายหนุ่มดีกรีศัลยแพทย์มือดีกำลังอยู่ไม่เป็นสุข เพิ่งเข้าใจว่าความคิดถึงมันทรมานอย่างนี้นี่เอง
“จะทำยังไงดี อยากเจอซะตอนนี้เลย”
วันที่สองของการพักร้อน...
เช้าตรู่ของวันนี้นายแพทย์ครรชิตได้เดินทางมายังโรงพยาบาลอีกครั้ง เหตุที่ต้องมาแต่เช้าก็เพื่อเลี่ยงกับการจารจรที่ติดขัดและตอนนี้เขาได้ยืนอยู่หน้าเคาเตอร์ประสัมพันธ์แล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นทำให้เมื่อคืนเขานอนไม่หลับ หัวใจมันร้อนรนและคิดอยู่อย่างเดียวว่าจะทำยังไงที่จะพบเธอโดยเร็ว
“ติดต่อธุระอะไรคะ”เสียงประชาสัมพันธ์ถามขึ้น ครรชิตยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหยิบป้ายชื่อโชว์ประชาสัมพันธ์
“ผมมาหาแพทย์หญิงสิริลักษณ์ ว่องไววาลครับ”
“คุณหมอออกเวรไปแล้วค่ะ”
“อ้าวเหรอครับ เออ พอจะมีเบอร์ติดต่อไหมครับ”
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ ทางเราไม่สามารถให้เบอร์ติดต่อของคุณหมอได้ค่ะ ถ้าจะติดต่อก็ต้องผ่านการโอนสายของโรงพยาบาลเท่านั้นค่ะ และทางเราก็ต้องแจ้งคุณหมอก่อน”
ครรชิตหน้าจ๋อย รู้สึกผิดหวังมากแต่ก็ยังยิ้มขอบคุณในข้อมูลที่ได้จากประชาสัมพันธ์ก่อนจะหันหลังเดินกลับมาตั้งหลักที่รถของตัวเอง วันนี้สำหรับชายหนุ่มที่เฝ้ารอจะได้พบเธออีกครั้งแต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว
“เสียใจด้วยนะไอ้หมอ โชคไม่เข้าข้างนายเลย” ชายหนุ่มพึมพำออกมา เอื้อมมือจะเปิดประตูรถชะงักกับเสียงเรียกมาจากข้างหลัง เขาหันไปมองด้วยแววตาสงสัย
ที่ดาดฟ้าสิริลักษณ์ในชุดนอกเครื่องแบบกำลังนั่งคิดถึงเรื่องเมื่อวาน เริ่มจากคนไข้หายไปจากห้องพักฟื้นและ การเข้าช่วยชีวิตคนไข้รายนั้นที่คิดจะฆ่าตัวตายตลอดจนคำสั่งที่อยู่ในเอกสารฉบับนั้น
“นี่มัน...หมายความว่ายังไงคะหัวหน้า” สิริลักษณ์เงยหน้าถามหัวหน้าแผนก เกิดอาการไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีคำสั่งให้เธอไปช่วยงานในพื้นที่พิเศษแถมมันกะทันหันจนไม่ทันได้ตั้งตัว
“ก็หมายความว่าเธอจะต้องไปช่วยงานที่นั่น”
“แล้วทำไมแอมถึงต้องไปด้วยล่ะคะ หากมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบนดาดฟ้านั่น แอมอธิบายได้นะ”
“พี่รู้เรื่องทั้งหมดจากพยาบาลแล้ว แต่แอมต้องทำใจยอมรับว่าโรงพยาบาลของเราอยู่ได้เพราะคนพวกนี้ แม่ของคนไข้เป็นผู้บริจาคตึกพิเศษนั่นและก็ยังมีหุ้นอยู่ในโรงพยาบาลนี้ด้วย เราทำอะไรไม่ได้ พี่เองก็ช่วยแอมไม่ได้เหมือนกัน”
“แต่การส่งแอมไปช่วยราชการในพื้นที่พิเศษแบบนั้นก็เท่ากับเป็นการกลั่นแกล้ง แอมจะไปได้ยังไง แม่แอมท่านกำลังป่วยจะให้แอมจากท่านไปนานๆ แบบนั้นได้ยังไงคะ”
“อย่างที่บอกพี่ช่วยเธอไม่ได้จริงๆ แม้แต่ผอ.รพ. ก็ช่วยเธอไม่ได้เหมือนกัน ทำใจยอมรับกับมันเถอะนะ”
คิดเรื่องนั้นทีไรก็อดเศร้าไม่ได้หญิงสาวผ่อนลมหายใจเบาๆ อาภัพในโชคชะตาที่คอยแต่จะกลั่นคนไม่มีเส้นสายอย่างเธอ เรียนหมอก็ใช้ทุนของโรงพยาบาล ครอบครัวก็ไม่มีใครเป็นข้าราชการจึงยากเข้าไปใหญ่ที่จะต่อรอง แม้แต่จะอ้าปากพูดก็ยังไม่มีใครรับฟัง
ร่างเล็กเอนตัวลงนอนอย่างเหนื่อยล้า อยากใช้เวลาในส่วนที่ว่างจากการไม่ต้องขึ้นเวรคิดทบทวนเพื่อวางแผนดำเนินชีวิตต่อไปแต่เมื่อหัวถึงพื้นก็แทบจะลุกขึ้นมาทันทีด้วยความรู้สึกตกใจขีดสุด จังหวะนั้นก็ทำเอาหน้าผากของเธอชนเข้ากับของแข็งที่มาขวางหน้าอย่างจัง
“โอย”
เสียงร้องของใครคนนั้นทำเอาคนที่กำลังตกใจถึงเริ่มมีสติ จะว่าไปเธอควรจะด่าเขากลับโทษฐานมาโผล่แบบไม่ให้สุ่มให้เสียง แถมยังปรากฏตัวแบบคนปกติเขาไม่ทำกัน
“เมื่อกี้คิดจะทำอะไร” แพทย์หญิงถามแววตาขุ่นมัว เล่นยื่นหน้ามาบุญเท่าไรแล้วไม่เอานิ้วจิ้มตา
“ผมก็แค่อยากแกล้งเป็นผี อยากหลอกคนแถวนี้ให้ตกใจเล่น อยากรู้นะครับว่าหมอกลัวผีหรือเปล่า” เขาว่าพร้อมกับเอามือขึ้นมาถูหน้าผากตัวเอง ตอนที่ถูกหน้าผากเธอชนก็ทำให้มึนได้เหมือนกัน
“ผีกลางวันมีซะทีไหน” เธอตอบเสียงอ่อนทำท่าจะลุกแต่เห็นอีกฝ่ายยื่นมือมา เพียงแต่คิดว่าทำไมทุกครั้งที่เจอปัญหาจะต้องมีเขาคนนี้มาอยู่ข้างๆ มือเล็กวางมือบนฝ่ามือหนาก่อนจะถูกเขาดึงขึ้นมายืนพร้อมกับประโยคหนึ่ง
“นึกว่าจะได้เห็นน้ำตาของคุณหมอคนสวยซะแล้วแบบนี้ก็อดปลอบใจเลย” ครรชิตเอ่ยเสียงอ่อนเอียงหน้ามองหญิงสาวข้างกาย แม้ไม่เห็นหยดน้ำตาอย่างที่คิดแต่สีหน้าของเธอกลับเศร้าเหลือเกิน มันเศร้าจนทำให้หัวใจของเขาอ่อนยวบ
สิริลักษณ์ก้มหน้านิ่งก่อนจะเงยหน้าแล้วยิ้มให้เขา การมาปรากฏตัวของเขาทำให้เธอนึกถึงสิ่งที่ติดค้างเพียงแต่วันนี้ยังไม่มีแก่จิตแก่ใจทำอะไรทั้งนั้น
“มาหากาแฟดื่มเหรอคะ”
ครรชิตส่ายหน้า
“เปล่าครับ แต่วันนี้ผมตั้งใจมาหาคุณหมอโดยเฉพาะ” เขาเอ่ยสายตาแน่วแน่ไม่มีแววขี้เล่น
“ขอโทษนะคะถ้าจะบอกว่าวันนี้ไม่มีอารมณ์พาคุณไปเลี้ยงกาแฟ”
“ก็ไม่ได้ต้องการแบบนั้นซะหน่อย” เขาเปรยออกมาส่งสายตามาหาหญิงสาว
สิริลักษณ์มองหน้าชายหนุ่มด้วยความไม่เข้าใจ เขาบอกมาหาเธอแต่ไม่ได้มาเพื่อต้องการให้เลี้ยงกาแฟแล้วเช่นนั้นอะไรล่ะ คือเหตุผลที่เขาตั้งใจมาหาเธอ
“งั้นที่คุณมาหาฉัน คุณต้องการอะไรคะ” เอ่ยปากถามด้วยความไม่เข้าใจแกมอยากรู้ ครรชิตจ้องใบหน้าสวยตรงหน้าอย่างตั้งใจ เป็นไปได้ยังไงที่เขาจะตกหลุมรักเธอคนนี้ เธอไม่ใช่สาวกรุงเทพและก็ไม่ได้ทำงานในกรุงเทพ ชีวิตประจำวันก็อยู่ต่างจังหวัดซะส่วนใหญ่ ดังนั้น โชคชะตาหรือพรหมลิขิตกันแน่ที่ทำให้เราได้พบกัน
“ยังไม่บอกฉันเลยนะคะว่ามาหาฉันทำไมหรือว่าต้องการอะไรจากฉัน”
“ผมต้องการ...เพื่อน”
“เพื่อน”
“ครับ สำหรับวินาทีนี้ผมอยากเป็นเพื่อนกับคุณ” ครรชิตเอ่ย ความจริงที่สุดคือเขาอยากเอ่ยอีกคำที่มีความหมายมากกว่านั้นแต่กลัวจะเร็วเกินไปและแนวโน้มที่จะถูกปฏิเสธก็ค่อนข้างสูง ดังนั้น เป็นไปตามลำดับขั้นมันน่าจะดีกว่า ถึงจะเห็นผลช้าแต่เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์จะไม่ผิดหวัง
“คงไม่รู้สินะว่าฉันไม่เปิดใจยอมรับใครเป็นเพื่อนง่ายๆ แต่สำหรับคนที่ช่วยชีวิตคนไข้ของฉันเอาไว้ ฉันยอมเป็นเพื่อนกับคุณก็ได้ค่ะ” เธอเอ่ยพร้อมส่งยิ้มให้
“งั้น เป็นเพื่อนกันแล้วก็พูดคุยกันได้สินะครับ”
“เอ๊ะ พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ” เพราะเธอสงสัยในประโยคนั้นของเขา ยิ่งสายตาแบบนั้นคงไม่ใช่ว่ากำลังสนใจเธอหรอกนะ
“ผมอยากเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่รู้การเคลื่อนไหวของคุณ เป็นเพื่อนกันแล้วก็สามารถแลกไลน์แลกเฟส หรือถ้าเพื่อมิตรภาพที่ดีก็น่าจะได้แลกเบอร์กัน”
“แสดงว่าที่ขอคบเป็นเพื่อนเพียงเพราะหวังสิ่งนี้สินะ”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ขอให้คุณหมอรู้ไว้สักข้อว่าผมไม่เคยขอเบอร์ใครก่อน แต่คุณคือคนแรกที่ผมทำ” นั่นคือความจริง สำหรับศัลยแพทย์หนุ่มที่มีพร้อมทั้งหน้าตาและฐานะ เขาไม่เคยต้องทำอะไรที่มันยุ่งยาก ชีวิตไม่เคยต้องวุ่นวายกระทั่งได้มาเจอกับเธอคนนี้ เขายอมรับว่าทุกวันนี้ทำทุกอย่างก็เพื่ออยากอยู่ใกล้เธอ ฟังดูเหมือนโง่งมแต่มันคือเรื่องจริงที่ได้เกิดขึ้นแล้วและเขาก็ไม่อยากผิดหวังกับสิ่งที่เรียกว่ารักแรกพบ
“ผมบอกแบบนี้แล้ว คิดว่าคุณหมอคงจะเห็นใจผม” เขาว่านล้อมด้วยคำพูดประโยคนั้นและหวังอยู่ลึกๆ ว่าแพทย์สาวจะใจอ่อน ยื่นมือถือตัวเองให้หญิงสาวตรงหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ทั้งหมดที่ทำก็เพราะอยากลองใจเธอ อยากจะรู้ว่าทฤษฎีที่ว่าผู้หญิงชอบคนหน้าตาดีจะใช้ได้กับแพทย์สาวคนสวยผู้นี้หรือเปล่า
“ถึงฉันจะยอมรับคุณเป็นเพื่อนแล้วแต่ฉันก็ยังไม่ไว้ใจใครง่ายๆ เอาไว้ถ้าคราวหน้าเราได้เจอกันอีก ฉันรับปากค่ะว่าจะให้ในสิ่งที่คุณขอ”
“รับปากผมแล้วนะ” เขาเห็นเธอพยักหน้าหงิกๆ “งั้นไว้ถึงตอนนั้นผมจะคืนป้ายชื่อให้คุณ” เขาสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเธอเปลี่ยนไปหลังจากได้ยินประโยคนั้นจากเขา
“ฉันคง...ไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกแล้วละค่ะ” สิริลักษณ์เอ่ย แววตาดูเศร้าๆ
“ได้ยินมาว่า คุณต้องไปช่วยราชการในพื้นที่พิเศษหรือครับ”
สิรินลักษณ์หันมาทำหน้าแปลกใจที่เขาซึ่งเป็นคนนอกก็รู้เรื่องนี้ด้วย ดูเหมือนการไปของเธอจะไม่เป็นความลับเอาซะเลย หญิงสาวพยักหน้าเบาๆ เอ่ยเสียงอ่อน
“ค่ะ ฉันมีเวลาเหลืออยู่ที่นี่อีกแค่สองวันเท่านั้น ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงกับปัญหาที่ยังแก้ไม่ตก” เผลอถอนหายใจแล้วทำท่าจะเดินจากแต่ชะงักตรงที่เขาจับมือเธอเอาไว้ ดวงตาหวานมองสบตาคู่คมที่กำลังจ้องอยู่นิ่ง จะรู้บ้างไหมว่าสายตาแบบนี้แหละมันยิ่งทำให้เธออ่อนแอ
“ปัญหาที่แก้ไม่ตกเกิดจากเราไม่ยอมปลดปล่อย ผมคิดว่าถ้ามองในทางบวก คุณได้ไปทำหน้าที่หมออย่างเต็มที่ เพราะที่นั่นคงต้องการจิตแพทย์เก่งๆ อย่างคุณ” สิริลักษณ์พยักหน้ายิ้มเจื่อนๆ
“ฉันก็คิดว่าที่นั่นขาดแคลนหมอเฉพาะทางอยู่หลายสาขา แต่ฉันไม่อยากทิ้งสิ่งที่อยู่ที่นี่ ครอบครัว ความสงบ ความสุข ทั้งหมดที่ฉันมี ฉันไม่อยากจากไปแบบนี้”
“ทำไมถึงคิดว่าทั้งหมดที่คุณได้จากที่นี่ จะไม่มีที่นั่นล่ะครับ ครอบครัว ความสงบ ความสุข บางทีที่นั่นอาจมีทั้งหมดที่คุณหมอต้องการ”
“คุณเป็นนักการทูตหรือคะ”
“หะ” ครรชิตขมวดคิ้ว ปล่อยมือหญิงสาวอย่างเป็นอิสระทั้งที่อยากจะกุมมือเธอไว้อยู่อย่างนั้นแต่เกรงจะทำให้เธออึดอัดและเขาก็คิดว่าผู้หญิงคนนี้ระวังตัวเป็นที่สุด
“คุณพูดเก่ง โน้มน้าวก็เก่ง เข้าใจพูดและก็มองการณ์ไกล ฉันว่าคุณต้องทำงานด้านนั้นแน่ๆ หรือว่าคุณเป็นผู้พิพากษาค่ะ” เสียงหัวเราะของเขาทำเธอขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็อดยิ้มไม่ได้ในคำตอบที่ได้รับ
“ผมเป็นอะไรก็ได้ที่คุณอยากให้ผมเป็น”
“ถ้างั้น เป็นคนขับรถให้ฉันได้ไหมละค่ะ” สิริลักษณ์พูดแล้วขำแต่พออีกฝ่ายบอกว่าได้เธอถึงนิ่งงันทำหน้าไม่ถูก ได่แต่มองเขาอย่างค้นคว้า สองวันที่ผ่านมาผู้ชายคนนี้ได้วนเวียนเข้ามาในชีวิตของเธอ ไม่เพียงแค่นั้นยังคอยช่วยเหลือเธอและตอนนี้ก็ยังอยู่ปลอบใจเธอ แบบนี้มันคืออะไรกัน พรหมลิขิตหรือโชคชะตากันแน่ที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้
“ความจริงที่มาวันนี้ตั้งใจมาหาคุณหมอจริงๆ อยากชวนไปดื่มกาแฟด้วยกันเพราะคิดว่าเราน่าจะคอกาแฟเหมือนกัน น่าจะคุยกันถูกคอ แต่มันไม่ใช่เลย วันนี้มันคงไม่เหมาะแล้วจริงๆ”
“ค่ะ วันนี้มันไม่คงเหมาะจริงๆ ฉัน...ต้องไปแล้วค่ะ มีคนไข้คนหนึ่งที่ฉันต้องฝากหมอที่ไว้ใจได้ดูแลต่อ รู้สึกแย่เหมือนกันที่ต้องไปทั้งๆ ที่ยังมีคนที่ต้องดูแลอยู่”
“ไม่เป็นไรนะผมอยู่ตรงนี้ ผมจะอยู่เป็นกำลังใจให้คุณ ผมเชื่อว่าการไปทำหน้าที่ครั้งนี้ของคุณจะเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ขอให้รู้ว่าเมื่อไรที่ท้อแท้ หมดที่พึ่งทางใจขอให้นึกถึงผมไว้ แล้วผมจะไปหาคุณ”
“ถึงฉันจะรู้ว่ามันคงไม่มีวันนั้นแต่ก็ต้องขอบคุณสำหรับกำลังใจของคุณ ฉันอยากบอกว่าฉันดีใจที่ได้รู้จักคนดีๆ อย่างคุณ”
“ผมเองก็เหมือนกัน ดีใจ...ที่ได้พบคุณ”
แววตาที่เขาส่งมานั้นทำให้หัวใจดวงน้อยเริ่มสั่นไหว มันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นง่ายๆ กับเธอ ถึงยังไงปมเรื่องพ่อทำร้ายแม่จนตาบอดก็ยังคงฝั่งลึกอยู่ในจิตใจและในความคิดของเธอผู้ชายก็ยังน่ากลัวเสมอ
สิริลักษณ์กลับมาบ้านของตัวเองซึ่งนับเป็นการกลับไปในรอบสองของเดือน จากครั้งแรกที่กลับเพื่อไปฉลองวันเกิดให้มารดา ยังนึกถึงความสุขที่ได้รับ เสียงหัวเราะ เสียงเพลง และปาร์ตี้เล็กๆ กับคนในครอบครัว แต่การกลับมาเจอหน้าท่านในวันนี้ก็เพื่อมาบอกข่าวร้าย
หญิงสาวเปิดประตูเข้าบ้านแล้วเจอกับขวัญฤทัยซึ่งกำลังเปิดประตูออกมาพอดี จึงถามไถ่ว่ามาที่นี่ทำไมได้คำตอบจากเพื่อนสาวว่ามาพูดคุยกับมารดาของเธอและมาเรื่องธุระสำคัญด้วย
“ธุระ ธุระอะไร” เอ่ยถามเมื่อพากันมานั่งที่เก้าอี้หินอ่อนซึ่งอยู่ที่สนามหญ้าข้างๆ บ้าน
“ผู้อำนวยการท่านเป็นห่วงเพราะรู้ว่าเธอต้องกังวลกับเรื่องของแม่แน่ ท่านก็เลยให้ฉันมาคุยกับเธอเรื่องที่จะให้แม่ไปอาศัยอยู่ที่บ้านพักของฉัน ส่วนคนดูแลก็เป็นพยาบาลที่รับจ๊อบพิเศษนะ ฉันโอเคนะที่จะให้แม่ของเธอมาอยู่ด้วย เพราะถึงยังไงฉันก็รักและนับถือท่านเหมือนเป็นแม่แท้ๆ ของฉันอยู่แล้ว”
“ขอบใจมากนะขวัญ ขอบคุณจริงๆ” สิริลักษณ์ดึงเพื่อมากอดอย่างขอบคุณ อีกฝ่ายกอดตอบแล้วดึงเพื่อนออกห่าง นึกถึงสิ่งที่ควรพูด
“ที่จริง เรื่องนี้ควรไปขอบคุณผู้อำนวยการนะ เขาคงทำดีที่สุดแล้ว ก็อีกฝ่ายคู่กรณีของเธอนะมีอำนาจใช่ย่อย โอ๋ลูกตัวเองจนลูกใจแตกยังไม่สำนึกนี่ยังคิดกลั่นแกล้งคนที่ช่วยชีวิตลูกตัวเองอีกถ้าฉันเป็นเธอ จะปล่อยให้ลูกยัยนั่นตกตึกตายไปเลย”
“ดูพูดเข้า ไม่สมกับเป็นหมอเลยนะ”
“ก็มันจริงนี่” ขวัญฤทัยจิกตาแค้นแทนเพื่อนก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มระรื่นเมื่อถามถึงหนุ่มหน้าหล่อคนนั้น“ว่าแต่ ได้เจอผู้ชายคนนั้นหรือเปล่า”
“ใคร”
“ก็หนุ่มพรหมลิขิตคนนั้นไง”สิริลักษณ์นึกถึงหน้าครรชิตขึ้นมาทันที ออกจะเศร้าไม่น้อยที่ต่อจากนี้จะไม่ได้เจอกันอีก
“เจอกันแล้วแต่ต่อไปคงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว”คนพูดทำหน้าเศร้าไปนิด
“อ้าว ไม่ได้แลกเบอร์กันหรอกหรือ”ถามออกไปก่อนจะทำหน้าเซ็งเมื่อเพื่อนส่ายหน้าไปมา
“เพื่อนฉัน ทำไมซื่อบื่ออย่างนี้”
สิริลักษณ์หน้าจ๋อย บางทีที่ขวัญฤทัยพูดมันก็จริงอย่างนั้น ทำไมถึงดื้อด้านยึดติดกับความทรงจำร้ายๆ จนพลาดโอกาสที่ดีไป จากนี้หากคิดถึงก็คงได้แค่คิดถึง หากอยากเจอหน้าก็คงได้แค่คิดเท่านั้น
“แอม กลับมาแล้วเหรอลูก”เสียงเรียกของอารีทำให้สองสาวต้องหันไปมอง สิริลักษณ์ยุติการสนทนาลุกไปหามารดาพร้อมประคองท่านให้เดินมานั่งที่ม้าอ่อนด้วยกัน
“กลับมาแล้วค่ะ”
“หมอขวัญเล่าให้แม่ฟังหมดแล้วนะลูก”
“เรื่องอะไรคะ”
“ก็เรื่องที่หนูต้องไปช่วยราชการที่ที่พื้นที่พิเศษนั่นนะสิ”
สิริลักษณ์ขอบตาร้อนผ่าว รู้สึกจุกที่คอจนพูดไม่ออก ตอนนี้มารดาทราบเรื่องการไปช่วยราชการในพื้นที่พิเศษนั่นแล้ว หญิงสาวโน้มตัวลงมากอดมารดาไว้แน่น ถามเสียงสั่น
“รู้แบบนี้แล้ว แม่ไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ”
อารีกอดลูกสาวตอบ ยิ้มน้อยๆ ให้เธอ ถึงจะมองไม่เห็นแต่ก็รับรู้ได้ด้วยความรู้สึกว่าตอนนี้ลูกสาวของนางกำลังกังวลมากแค่ไหน
“ถึงแม่จะเป็นห่วงแอมมากที่ต้องไปอยู่ที่นั่นแต่ด้วยหน้าที่แม่จะไม่รั้งให้แอมอยู่กับแม่ ไปเถอะแอม ไปทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด”
“ถ้าหนูไปแล้วแม่ต้องดูแลตัวเองด้วยนะคะ ถ้าอยากกินอะไรก็บอกหมอขวัญเธอได้ แล้วถ้าอยากไปที่ไหนอยากทำอะไร ก็บอกหมอขวัญได้เหมือนกัน หนูจะยอมให้เธอเป็นลูกสาวแม่อีกคน” สิริลักษณ์เอ่ยทั้งน้ำตามองสบตาเพื่อนสาวที่กำลังบีบไหล่เธอเบาๆ
“จ๊ะ แม่จะไม่เป็นอะไร แม่จะรอแอมกลับมา” อารีเอ่ยเสียงอ่อนกอดลูกสาวเอาไว้แน่น ขวัญฤทัยมองแล้วซาบซึ้งในความรักที่ทั้งสองมีให้แก่กันได้แต่ตบบ่าเพื่อนเบาๆ เพื่อปลอบใจ
ตกเย็นที่บ้านหลังใหญ่ คุณหญิงรัตนาพร้อมกับเลขาส่วนตัวนั่งคุยงานอยู่ เห็นสาวใช้เดินนำเข้ามาโดยมีร่างของแพทย์หนุ่มเดินตามหลังมาติดๆ พอได้รับคำบอกจากสาวใช้ว่าเขาต้องการพบจึงส่งสายตามาทางเลขาส่วนตัวเชิงให้ออกไปก่อนจะหันมามองหน้าหมอหนุ่ม
ครรชิตวางกุญแจรถไว้บนโต๊ะ พร้อมทั้งเอ่ยขอบคุณที่คุณหญิงรัตนากรุณาให้ยืมรถไปใช้ พอถูกคุณหญิงท่านถามว่าเหตุใดถึงเอามาคืนเร็วนัก เขาตอบกลับไปว่าต้องรีบกลับกรุงเทพเพื่อไปจัดการธุระสำคัญ ส่วนสองวันพักร้อนที่เหลือก็เพื่อเตรียมพร้อมทำเรื่องบางอย่าง
“คงจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากสินะ หมอเคนถึงต้องรีบกลับกรุงเทพ เสียดายนี่ฉันคิดจะให้เลขาโทรไปชวนหมอเคนกินข้าวด้วยกันสักมื้อ เห็นทีคงจะไม่ทันซะแล้ว”
ครรชิตพยักหน้ายิ้ม
“ครับ ผมจองตั๋วเดินทางไว้ตอนทุ่ม น่าจะไม่ทันครับแต่ถ้ามีโอกาสคิดว่าคงจะได้ร่วมรับประทานกับคุณนายสักมื้อ”
“เอาเถอะ คิดว่าคงมีโอกาส”
“งั้นผมลานะครับ อย่างที่เคยแนะนำว่าคุณนายควรหาเวลาไปเยี่ยมผอ.บ้าง”
“ก็ได้ ไว้ฉันจะไป และจะไปแบบเงียบๆ ด้วย ผอ.ของหมอเคนจะได้ไม่ไหวตัวทัน” พูดจบก็เห็นรอยยิ้มสวยที่มุมปาก แม้ท่านจะอายุเลขสี่ไปแล้วแต่ความสวยความสง่าก็ยังคงมีอยู่ในตัว ไม่เช่นนั้นคงไม่หมัดใจผอ.ให้อยู่หมัดหรอก ครรชิตจากบ้านคุณหญิงรัตนามาก่อนจะนั่งแท็กซี่มาถึงสนามบินและกำลังนั่งรอขึ้นเครื่อง แม้รอบข้างจะมีผู้คนมากมายกำลังนั่งรอขึ้นเครื่องเหมือนเขาแต่ในความรู้สึกก็ยังเหงาอยู่ใช่น้อย ชายหนุ่มหยิบป้ายชื่อออกมาดู อ่านชื่อแพทย์หญิงสาวซ้ำๆ จนตอนนี้จำขึ้นใจแล้ว อดขำตัวเองที่แผนการที่วางไว้ในช่วงพักร้อนล่มไม่เป็นท่า นับตั้งแต่ถูกโทรตามมากลางดึกเพื่อผ่าตัดคนไข้วีไอพี และไหนจะเรื่องถูกเพื่อนยกเลิกเที่ยว ทุกอย่างมันดูเหมือนจะเลวร้ายแต่ในความโชคไม่ดีของเขากลับได้พบใครคนหนึ่งที่คิดว่าใช่สำหรับเขา
มือหนาหยิบสมุดโน้ตออกจากกระเป๋าเดินทาง หยิบปากกาออกมาด้วยแล้วบรรจงขีดเขียนลงไป จะเรียกว่าเป็นบันทึกรักจากใจหมอก็น่าจะได้ หมอคนหนึ่งอุทิศใจและจิตวิญญาณให้กับคนไข้ตลอดมา แต่แล้ววันหนึ่งก็ได้เจอคนที่ใช่ จะโทษโชคชะตาหรือว่าพรหมลิขิตดีที่ทำให้เราได้พบกันแต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่า ในวันข้างหน้าเราจะได้พบกันอีก
ณ ร้านกาแฟข้างโรงพยาบาล
นายแพทย์ครรชิตกำลังรอเครื่องดื่มที่สั่งกับร้านกาแฟซึ่งอยู่ใกล้ๆ โรงพยาบาล ระหว่างนั้นก็คิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่าน ทำให้ไม่ได้ยินเสียงเรียกของพนักงานในร้านกระทั่งกาแฟแก้วนั้นถูกวางลงตรงหน้า
แต่กลิ่นหอมติดจมูกของกาแฟนั้นไม่ได้ทำให้คนใจลอยตื่นจากภวังค์เมื่อหมอหนุ่มยังคงนั่งนิ่งเพียงเพราะไม่เชื่อสายตาตัวเอง นี่เขาคิดถึงเธอมากถึงขนาดมองเด็กในร้านกาแฟเป็นผู้หญิงในฝันไปแล้วเหรอ
“รับสิค่ะ กาแฟของคุณ”
“หะ”
ครรชิตตะลึงเอื้อมมือมารับอย่างงงๆ เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดก็ในเมื่อผู้หญิงตรงหน้าคือหมอคนสวยคนนั้นจริงๆ และเธอกำลังนั่งเก้าอี้ตรงข้ามเขาโดยในมือยังมี Stethoscope ถืออยู่
“เออ...” เขากลืนน้ำลายไปอึดหนึ่งแล้วเม้มปากเข้าหากันก่อนจะยิ้มแหยงๆ เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นบทสนทนาในครั้งนี้ยังไงดียอมรับว่าการมาของเธอมันกระชันชิดจนตั้งตัวไม่ติด
“ขอบคุณที่ช่วยไว้นะคะ”
เป็นเธอที่เริ่มต้นประโยคสนทนาขึ้นมาก่อนพร้อมกับยิ้มให้ ถึงจะเป็นรอยยิ้มที่ไม่โดดเด่นนักแต่สำหรับศัลยแพทย์หนุ่ม มันช่างเป็นรอยยิ้มที่ทรงคุณค่ากับจิตใจเขามาก
“ยินดีครับ เผอิญผมเป็นคนชอบช่วยเหลือคนอยู่แล้ว” ครรชิตตอบหน้าตายเริ่มสานสัมพันธ์กับสาวสวยตรงหน้า
“อ้อ...อย่างนี้นี่เอง ถึงยังไงก็ต้องขอบคุณแทนคนไข้ ถ้าไม่ได้คุณช่วยไว้ป่านนี้คงต้อง Conference กันยาว ไม่แน่นะฉันอาจจะถูกคณะกรรมการสอบสวน”
“มันคงไม่ร้ายแรงขนาดนั้นหรอกมังครับ” เขาออกความคิด ยังได้เห็นรอยยิ้มเศร้าๆ แฝงไว้ น่าแปลกที่มันมีเสน่ห์อย่างน่าดึงดูด
“แล้วนี่ คุณมาเยี่ยมใครหรือคะ”
“ครับ” ครรชิตทำหน้างงก่อนจะนึกขึ้นได้ ตอบเสียงเรียบ “ อ้อเปล่าครับ แค่แวะมาหากาแฟดื่ม”
“กาแฟ ที่นี่นะเหรอคะ”สิริลักษณ์ทำหน้าสงสัยแล้วก็แทบหลุดหัวเราะออกมาเมื่อรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริง
“ครับ ได้ยินเขาว่ากันว่าโรงพยาบาลนี้มีแต่คนหน้าตาดี แม้แต่คนขายกาแฟข้างโรงพยาบาลก็ยังหน้าตาดี ผมอยากพิสูจน์ก็เลยมา”เขาว่าแอบเห็นอีกฝ่ายอมยิ้มแล้วก็ส่ายหน้าไปมา คงไม่คิดสินะว่าจะได้ยินคำพูดแบบนั้น
พนักงานของร้านเดินถือแก้วกาแฟออกมาพร้อมกับเสิร์ฟให้ สิริลักษณ์รับมาถือก่อนจะล้วงเอาบางอย่างในกระเป๋าเสื้อกาวน์แต่พอรู้ว่ามันว่างเปล่าก็ถึงกับทำหน้าเซ็ง หันมามองชายหนุ่มที่กำลังดูดน้ำกาแฟอย่างเอร็ดอร่อย
“โทษนะคะ คุณจ่ายเงินไปหรือยังคะ”
“หะ อ้อ ไม่ต้องครับ ผมจ่ายเองได้”ครรชิตเอ่ยอย่างเกรงใจรู้สึกดีในความมีน้ำใจของเธอแต่แทบสำลักกาแฟเมื่อได้ยินประโยคถัดมา
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ คือ...ฉันอยากให้คุณจ่ายให้ฉันด้วย” เธอเม้มปากรู้สึกเสียหน้ามากแต่ก็คิดว่าแค่ค่ากาแฟไม่กี่บาทคงไม่ทำให้กระเป๋าเงินเขาแห้งหรอก
“ความจริงคือฉันลืมกระเป๋าสตางค์ไว้ที่ห้องพักนะคะ”สิริลักษณ์อธิบาย อายมากที่ต้องขอให้คนแปลกหน้าจ่ายเงินให้แต่เพราะสมองปลาทองของเธอแท้ๆ ที่ลืมได้แม้กระทั่งกระเป๋าสตางค์
“ถ้าจ่ายให้แล้ว จะได้เจอกันอีกไหมล่ะครับ” เขาถามขึ้น สายตาที่ทอดมองยังหมอสาวคนสวยบอกชัดเจนว่าต้องการอะไร
“ก็...ถ้าคุณมาที่นี่อีกอาจจะได้เจอกันค่ะ อ้อ และนี่” เธอถอดป้ายชื่อที่คล้องคออยู่ประจำที่ขึ้นเวร วางตรงหน้าชายหนุ่ม
“อะไรเหรอครับ” ครรชิตไม่เข้าใจถึงจุดประสงค์ของเธอ ป้ายชื่อเอาไว้ดูต่างหน้าเหรอ...
“ป้ายชื่อของฉันค่ะ เป็นเครื่องยืนยันว่าฉันไม่เบี้ยวคุณแน่ สำหรับค่ากาแฟในวันนี้ฉันรับปากว่าถ้าเจอกันคราวหน้าจะเลี้ยงคุณคืนค่ะ ถึงตอนนั้นฉันขอป้ายชื่อของฉันคืนนะคะ”เธอเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ครรชิตยิ้มตอบปั้นหน้าหล่อแต่ดูเจ้าเล่ห์
“งั้นผมก็รับปากว่าผมจะคืนป้ายชื่อของคุณด้วยมือของผมเอง ผมเชื่อว่าเราจะได้เจอกันอีกแน่นอน”
“แล้วฉันจะรอดูค่ะ ขอตัวนะคะ คุณ...”
“ครรชิตครับ”
“ค่ะ คุณครรชิต”
ครรชิตมองป้ายชื่อที่วางอยู่บนโต๊ะ ส่วนเจ้าของตอนนี้เดินจากไปพร้อมกับกาแฟหอมกรุ่น มือหนาหยิบมันขึ้นมาอ่าน อย่างน้อยก็ได้รู้จักชื่อเต็มๆ ของเธอแล้วสายตาคมมองนิ่งที่รูปถ่ายครึ่งตัว ใบหน้าสวยรูปไข่จัดได้ว่าเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง เขาถอนหายใจออกมาเปรยเสียงอ่อน
“จ่ายเงินเพื่อแลกกับสิ่งนี้สินะ” ปากหนาได้แต่พึมพำกับตัวเองพลางเก็บป้ายชื่อใส่กระเป๋าเสื้อก่อนจะหยิบแก้วกาแฟขึ้นดูดอีกครั้งคราวนี้ดูดยาวกว่าเดิมสีหน้าแววตาแลดูได้อารมณ์มาก
สิริลักษณ์กลับเข้ามาข้างในโรงพยาบาลอีกครั้ง เจอกับขวัญฤทัยเพื่อนหมอวัยเดียวกันซึ่งวิ่งหน้าตั้งตรงมาหาเธอก่อนจะยิงคำถามถึงหนุ่มนิรนามที่เธอเพิ่งได้พูดคุยมาหมาดๆ พอบอกว่าเป็นคนคนเดียวที่ช่วยชีวิตคนไข้ในความรับผิดชอบก็ถึงกับอุทานเสียงสูง
“พรหมลิขิต นั่นนะพรหมลิขิตชัดๆ”
“พรหมลิขิตอะไรของเธอย่ะ” หญิงสาวถามอย่างอารมณ์ดี ไม่ได้ใส่ใจในคำพูดเพื่อนหมอเท่าไรนักขณะรอฟังเพื่อนตอบก็ยกกาแฟขึ้นดูดพลาง
“ก็เนื้อคู่ไง นั่นนะมันเนื้อคู่เธอชัดๆ หล่อ หน้าตาดี รูปร่างก็ดี ดูดีแบบนี้อย่าปล่อยให้หลุดมือเชียวนะ” ขวัญฤทัยพูดแล้วหัวเราะคิกๆ ก่อนจะร้องเสียงหลงจนเธอเองก็ตกใจเหมือนกันกับอาการเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของเพื่อน แอบได้ยินเสียงบ่นตามมา
“ให้ตายสิ มัวแต่บ้าเรื่องผู้ชาย ลืมธุระสำคัญไปเลย”
“ธุระ”
“ก็หัวหน้าแผนกเรียกพบเธอนะสิ” ฝีเท้าเล็กชะงักหันมามองหน้าเพื่อนทั้งที่ปากยังดูดกาแฟคาอยู่
การเดินทางไปพบหัวหน้าแผนกใช้เวลาไม่นานแต่ก็คงนานไปสำหรับคนรอกระมัง เธอถึงได้เห็นหน้าตาที่ดูเหวี่ยงๆ แบบนั้น หญิงสาวเดินสงบเสงี่ยมมานั่งเก้าอี้ตรงที่ว่างจากการวางแฟ้มข้อมูลวิจัย รอฟังในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะพูดแต่น่าผิดหวังที่ไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเอกสารบางอย่างที่ถูกยื่นมาให้
“อะไรเหรอคะ”
“รับไปอ่านซะสิ พี่จะไม่พูดมากและคิดว่าข้อมูลที่อยู่ในกระดาษพวกนั้นคงจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่เธอสงสัยว่าทำไมพี่ถึงต้องเรียกเธอมา แต่ขอให้รู้ไว้ว่าพี่ไม่อยากทำแบบนี้เลย ยังไงสำหรับพี่เธอก็คือจิตแพทย์ที่ดีที่สุดของโรงพยาบาล”
แพทย์หญิงสิริลักษณ์รับเอกสารจากมือหัวหน้าของเธอ ไล่อ่านตั้งแต่บรรทัดแรกอย่างตั้งใจ จนมาถึงบรรทัดหนึ่งที่ขีดเส้นแดงกำกับเอาไว้ถึงกับเบิกตากว้างเงยหน้ามองหัวหน้าแผนกด้วยความไม่เข้าใจ
“นี่มัน”ปากอิ่มสั่นระริกพอๆ กับใบหน้าที่เริ่มซีดเผือดอย่างช้าๆ
หนึ่งวันพักผ่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ครรชิตกับเสื้อผ้าชุดใหม่หลังเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ชายหนุ่มเดินถือแก้วน้ำเปล่ามาหาที่รับลมเย็นสบายซึ่งเป็นเก้าอี้ไม้ตรงระเบียงนอกห้อง ยามนี้ข้างนอกกำลังสว่างเพราะมีแสงไฟคอยขจัดความมืดมิดหากในหัวใจของเขาก็กำลังสว่างไสวเช่นกันเพราะมีไฟดวงน้อยๆ คอยจุดประกายอยู่
“ถ้าจ่ายให้แล้ว จะได้เจอกันอีกไหมล่ะครับ”
“ก็...ถ้าคุณมาที่นี่อีกอาจจะได้เจอกันค่ะ อ้อ และนี่”
“อะไรเหรอครับ”
“ป้ายชื่อของฉันค่ะ เป็นเครื่องยืนยันว่าฉันไม่เบี้ยวคุณแน่ สำหรับค่ากาแฟในวันนี้ ฉันรับปากว่าถ้าเจอกันคราวหน้าจะเลี้ยงคุณคืนค่ะ ถึงตอนนั้นฉันขอป้ายชื่อของฉันคืนนะคะ”
“งั้นผมก็รับปากว่าผมจะคืนป้ายชื่อของคุณด้วยมือของผมเอง ผมเชื่อว่าเราจะได้เจอกันอีกแน่นอน”
“แล้วฉันจะรอดูค่ะ”
แม้มันจะเป็นการสนทนาแค่ไม่กี่ประโยคแต่มันก็ยังวนเวียนอยู่ในความคิดคะนึงของเขา ชายหนุ่มดีกรีศัลยแพทย์มือดีกำลังอยู่ไม่เป็นสุข เพิ่งเข้าใจว่าความคิดถึงมันทรมานอย่างนี้นี่เอง
“จะทำยังไงดี อยากเจอซะตอนนี้เลย”
วันที่สองของการพักร้อน...
เช้าตรู่ของวันนี้นายแพทย์ครรชิตได้เดินทางมายังโรงพยาบาลอีกครั้ง เหตุที่ต้องมาแต่เช้าก็เพื่อเลี่ยงกับการจารจรที่ติดขัดและตอนนี้เขาได้ยืนอยู่หน้าเคาเตอร์ประสัมพันธ์แล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นทำให้เมื่อคืนเขานอนไม่หลับ หัวใจมันร้อนรนและคิดอยู่อย่างเดียวว่าจะทำยังไงที่จะพบเธอโดยเร็ว
“ติดต่อธุระอะไรคะ”เสียงประชาสัมพันธ์ถามขึ้น ครรชิตยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหยิบป้ายชื่อโชว์ประชาสัมพันธ์
“ผมมาหาแพทย์หญิงสิริลักษณ์ ว่องไววาลครับ”
“คุณหมอออกเวรไปแล้วค่ะ”
“อ้าวเหรอครับ เออ พอจะมีเบอร์ติดต่อไหมครับ”
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ ทางเราไม่สามารถให้เบอร์ติดต่อของคุณหมอได้ค่ะ ถ้าจะติดต่อก็ต้องผ่านการโอนสายของโรงพยาบาลเท่านั้นค่ะ และทางเราก็ต้องแจ้งคุณหมอก่อน”
ครรชิตหน้าจ๋อย รู้สึกผิดหวังมากแต่ก็ยังยิ้มขอบคุณในข้อมูลที่ได้จากประชาสัมพันธ์ก่อนจะหันหลังเดินกลับมาตั้งหลักที่รถของตัวเอง วันนี้สำหรับชายหนุ่มที่เฝ้ารอจะได้พบเธออีกครั้งแต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว
“เสียใจด้วยนะไอ้หมอ โชคไม่เข้าข้างนายเลย” ชายหนุ่มพึมพำออกมา เอื้อมมือจะเปิดประตูรถชะงักกับเสียงเรียกมาจากข้างหลัง เขาหันไปมองด้วยแววตาสงสัย
ที่ดาดฟ้าสิริลักษณ์ในชุดนอกเครื่องแบบกำลังนั่งคิดถึงเรื่องเมื่อวาน เริ่มจากคนไข้หายไปจากห้องพักฟื้นและ การเข้าช่วยชีวิตคนไข้รายนั้นที่คิดจะฆ่าตัวตายตลอดจนคำสั่งที่อยู่ในเอกสารฉบับนั้น
“นี่มัน...หมายความว่ายังไงคะหัวหน้า” สิริลักษณ์เงยหน้าถามหัวหน้าแผนก เกิดอาการไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีคำสั่งให้เธอไปช่วยงานในพื้นที่พิเศษแถมมันกะทันหันจนไม่ทันได้ตั้งตัว
“ก็หมายความว่าเธอจะต้องไปช่วยงานที่นั่น”
“แล้วทำไมแอมถึงต้องไปด้วยล่ะคะ หากมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบนดาดฟ้านั่น แอมอธิบายได้นะ”
“พี่รู้เรื่องทั้งหมดจากพยาบาลแล้ว แต่แอมต้องทำใจยอมรับว่าโรงพยาบาลของเราอยู่ได้เพราะคนพวกนี้ แม่ของคนไข้เป็นผู้บริจาคตึกพิเศษนั่นและก็ยังมีหุ้นอยู่ในโรงพยาบาลนี้ด้วย เราทำอะไรไม่ได้ พี่เองก็ช่วยแอมไม่ได้เหมือนกัน”
“แต่การส่งแอมไปช่วยราชการในพื้นที่พิเศษแบบนั้นก็เท่ากับเป็นการกลั่นแกล้ง แอมจะไปได้ยังไง แม่แอมท่านกำลังป่วยจะให้แอมจากท่านไปนานๆ แบบนั้นได้ยังไงคะ”
“อย่างที่บอกพี่ช่วยเธอไม่ได้จริงๆ แม้แต่ผอ.รพ. ก็ช่วยเธอไม่ได้เหมือนกัน ทำใจยอมรับกับมันเถอะนะ”
คิดเรื่องนั้นทีไรก็อดเศร้าไม่ได้หญิงสาวผ่อนลมหายใจเบาๆ อาภัพในโชคชะตาที่คอยแต่จะกลั่นคนไม่มีเส้นสายอย่างเธอ เรียนหมอก็ใช้ทุนของโรงพยาบาล ครอบครัวก็ไม่มีใครเป็นข้าราชการจึงยากเข้าไปใหญ่ที่จะต่อรอง แม้แต่จะอ้าปากพูดก็ยังไม่มีใครรับฟัง
ร่างเล็กเอนตัวลงนอนอย่างเหนื่อยล้า อยากใช้เวลาในส่วนที่ว่างจากการไม่ต้องขึ้นเวรคิดทบทวนเพื่อวางแผนดำเนินชีวิตต่อไปแต่เมื่อหัวถึงพื้นก็แทบจะลุกขึ้นมาทันทีด้วยความรู้สึกตกใจขีดสุด จังหวะนั้นก็ทำเอาหน้าผากของเธอชนเข้ากับของแข็งที่มาขวางหน้าอย่างจัง
“โอย”
เสียงร้องของใครคนนั้นทำเอาคนที่กำลังตกใจถึงเริ่มมีสติ จะว่าไปเธอควรจะด่าเขากลับโทษฐานมาโผล่แบบไม่ให้สุ่มให้เสียง แถมยังปรากฏตัวแบบคนปกติเขาไม่ทำกัน
“เมื่อกี้คิดจะทำอะไร” แพทย์หญิงถามแววตาขุ่นมัว เล่นยื่นหน้ามาบุญเท่าไรแล้วไม่เอานิ้วจิ้มตา
“ผมก็แค่อยากแกล้งเป็นผี อยากหลอกคนแถวนี้ให้ตกใจเล่น อยากรู้นะครับว่าหมอกลัวผีหรือเปล่า” เขาว่าพร้อมกับเอามือขึ้นมาถูหน้าผากตัวเอง ตอนที่ถูกหน้าผากเธอชนก็ทำให้มึนได้เหมือนกัน
“ผีกลางวันมีซะทีไหน” เธอตอบเสียงอ่อนทำท่าจะลุกแต่เห็นอีกฝ่ายยื่นมือมา เพียงแต่คิดว่าทำไมทุกครั้งที่เจอปัญหาจะต้องมีเขาคนนี้มาอยู่ข้างๆ มือเล็กวางมือบนฝ่ามือหนาก่อนจะถูกเขาดึงขึ้นมายืนพร้อมกับประโยคหนึ่ง
“นึกว่าจะได้เห็นน้ำตาของคุณหมอคนสวยซะแล้วแบบนี้ก็อดปลอบใจเลย” ครรชิตเอ่ยเสียงอ่อนเอียงหน้ามองหญิงสาวข้างกาย แม้ไม่เห็นหยดน้ำตาอย่างที่คิดแต่สีหน้าของเธอกลับเศร้าเหลือเกิน มันเศร้าจนทำให้หัวใจของเขาอ่อนยวบ
สิริลักษณ์ก้มหน้านิ่งก่อนจะเงยหน้าแล้วยิ้มให้เขา การมาปรากฏตัวของเขาทำให้เธอนึกถึงสิ่งที่ติดค้างเพียงแต่วันนี้ยังไม่มีแก่จิตแก่ใจทำอะไรทั้งนั้น
“มาหากาแฟดื่มเหรอคะ”
ครรชิตส่ายหน้า
“เปล่าครับ แต่วันนี้ผมตั้งใจมาหาคุณหมอโดยเฉพาะ” เขาเอ่ยสายตาแน่วแน่ไม่มีแววขี้เล่น
“ขอโทษนะคะถ้าจะบอกว่าวันนี้ไม่มีอารมณ์พาคุณไปเลี้ยงกาแฟ”
“ก็ไม่ได้ต้องการแบบนั้นซะหน่อย” เขาเปรยออกมาส่งสายตามาหาหญิงสาว
สิริลักษณ์มองหน้าชายหนุ่มด้วยความไม่เข้าใจ เขาบอกมาหาเธอแต่ไม่ได้มาเพื่อต้องการให้เลี้ยงกาแฟแล้วเช่นนั้นอะไรล่ะ คือเหตุผลที่เขาตั้งใจมาหาเธอ
“งั้นที่คุณมาหาฉัน คุณต้องการอะไรคะ” เอ่ยปากถามด้วยความไม่เข้าใจแกมอยากรู้ ครรชิตจ้องใบหน้าสวยตรงหน้าอย่างตั้งใจ เป็นไปได้ยังไงที่เขาจะตกหลุมรักเธอคนนี้ เธอไม่ใช่สาวกรุงเทพและก็ไม่ได้ทำงานในกรุงเทพ ชีวิตประจำวันก็อยู่ต่างจังหวัดซะส่วนใหญ่ ดังนั้น โชคชะตาหรือพรหมลิขิตกันแน่ที่ทำให้เราได้พบกัน
“ยังไม่บอกฉันเลยนะคะว่ามาหาฉันทำไมหรือว่าต้องการอะไรจากฉัน”
“ผมต้องการ...เพื่อน”
“เพื่อน”
“ครับ สำหรับวินาทีนี้ผมอยากเป็นเพื่อนกับคุณ” ครรชิตเอ่ย ความจริงที่สุดคือเขาอยากเอ่ยอีกคำที่มีความหมายมากกว่านั้นแต่กลัวจะเร็วเกินไปและแนวโน้มที่จะถูกปฏิเสธก็ค่อนข้างสูง ดังนั้น เป็นไปตามลำดับขั้นมันน่าจะดีกว่า ถึงจะเห็นผลช้าแต่เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์จะไม่ผิดหวัง
“คงไม่รู้สินะว่าฉันไม่เปิดใจยอมรับใครเป็นเพื่อนง่ายๆ แต่สำหรับคนที่ช่วยชีวิตคนไข้ของฉันเอาไว้ ฉันยอมเป็นเพื่อนกับคุณก็ได้ค่ะ” เธอเอ่ยพร้อมส่งยิ้มให้
“งั้น เป็นเพื่อนกันแล้วก็พูดคุยกันได้สินะครับ”
“เอ๊ะ พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ” เพราะเธอสงสัยในประโยคนั้นของเขา ยิ่งสายตาแบบนั้นคงไม่ใช่ว่ากำลังสนใจเธอหรอกนะ
“ผมอยากเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่รู้การเคลื่อนไหวของคุณ เป็นเพื่อนกันแล้วก็สามารถแลกไลน์แลกเฟส หรือถ้าเพื่อมิตรภาพที่ดีก็น่าจะได้แลกเบอร์กัน”
“แสดงว่าที่ขอคบเป็นเพื่อนเพียงเพราะหวังสิ่งนี้สินะ”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ขอให้คุณหมอรู้ไว้สักข้อว่าผมไม่เคยขอเบอร์ใครก่อน แต่คุณคือคนแรกที่ผมทำ” นั่นคือความจริง สำหรับศัลยแพทย์หนุ่มที่มีพร้อมทั้งหน้าตาและฐานะ เขาไม่เคยต้องทำอะไรที่มันยุ่งยาก ชีวิตไม่เคยต้องวุ่นวายกระทั่งได้มาเจอกับเธอคนนี้ เขายอมรับว่าทุกวันนี้ทำทุกอย่างก็เพื่ออยากอยู่ใกล้เธอ ฟังดูเหมือนโง่งมแต่มันคือเรื่องจริงที่ได้เกิดขึ้นแล้วและเขาก็ไม่อยากผิดหวังกับสิ่งที่เรียกว่ารักแรกพบ
“ผมบอกแบบนี้แล้ว คิดว่าคุณหมอคงจะเห็นใจผม” เขาว่านล้อมด้วยคำพูดประโยคนั้นและหวังอยู่ลึกๆ ว่าแพทย์สาวจะใจอ่อน ยื่นมือถือตัวเองให้หญิงสาวตรงหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ทั้งหมดที่ทำก็เพราะอยากลองใจเธอ อยากจะรู้ว่าทฤษฎีที่ว่าผู้หญิงชอบคนหน้าตาดีจะใช้ได้กับแพทย์สาวคนสวยผู้นี้หรือเปล่า
“ถึงฉันจะยอมรับคุณเป็นเพื่อนแล้วแต่ฉันก็ยังไม่ไว้ใจใครง่ายๆ เอาไว้ถ้าคราวหน้าเราได้เจอกันอีก ฉันรับปากค่ะว่าจะให้ในสิ่งที่คุณขอ”
“รับปากผมแล้วนะ” เขาเห็นเธอพยักหน้าหงิกๆ “งั้นไว้ถึงตอนนั้นผมจะคืนป้ายชื่อให้คุณ” เขาสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเธอเปลี่ยนไปหลังจากได้ยินประโยคนั้นจากเขา
“ฉันคง...ไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกแล้วละค่ะ” สิริลักษณ์เอ่ย แววตาดูเศร้าๆ
“ได้ยินมาว่า คุณต้องไปช่วยราชการในพื้นที่พิเศษหรือครับ”
สิรินลักษณ์หันมาทำหน้าแปลกใจที่เขาซึ่งเป็นคนนอกก็รู้เรื่องนี้ด้วย ดูเหมือนการไปของเธอจะไม่เป็นความลับเอาซะเลย หญิงสาวพยักหน้าเบาๆ เอ่ยเสียงอ่อน
“ค่ะ ฉันมีเวลาเหลืออยู่ที่นี่อีกแค่สองวันเท่านั้น ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงกับปัญหาที่ยังแก้ไม่ตก” เผลอถอนหายใจแล้วทำท่าจะเดินจากแต่ชะงักตรงที่เขาจับมือเธอเอาไว้ ดวงตาหวานมองสบตาคู่คมที่กำลังจ้องอยู่นิ่ง จะรู้บ้างไหมว่าสายตาแบบนี้แหละมันยิ่งทำให้เธออ่อนแอ
“ปัญหาที่แก้ไม่ตกเกิดจากเราไม่ยอมปลดปล่อย ผมคิดว่าถ้ามองในทางบวก คุณได้ไปทำหน้าที่หมออย่างเต็มที่ เพราะที่นั่นคงต้องการจิตแพทย์เก่งๆ อย่างคุณ” สิริลักษณ์พยักหน้ายิ้มเจื่อนๆ
“ฉันก็คิดว่าที่นั่นขาดแคลนหมอเฉพาะทางอยู่หลายสาขา แต่ฉันไม่อยากทิ้งสิ่งที่อยู่ที่นี่ ครอบครัว ความสงบ ความสุข ทั้งหมดที่ฉันมี ฉันไม่อยากจากไปแบบนี้”
“ทำไมถึงคิดว่าทั้งหมดที่คุณได้จากที่นี่ จะไม่มีที่นั่นล่ะครับ ครอบครัว ความสงบ ความสุข บางทีที่นั่นอาจมีทั้งหมดที่คุณหมอต้องการ”
“คุณเป็นนักการทูตหรือคะ”
“หะ” ครรชิตขมวดคิ้ว ปล่อยมือหญิงสาวอย่างเป็นอิสระทั้งที่อยากจะกุมมือเธอไว้อยู่อย่างนั้นแต่เกรงจะทำให้เธออึดอัดและเขาก็คิดว่าผู้หญิงคนนี้ระวังตัวเป็นที่สุด
“คุณพูดเก่ง โน้มน้าวก็เก่ง เข้าใจพูดและก็มองการณ์ไกล ฉันว่าคุณต้องทำงานด้านนั้นแน่ๆ หรือว่าคุณเป็นผู้พิพากษาค่ะ” เสียงหัวเราะของเขาทำเธอขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็อดยิ้มไม่ได้ในคำตอบที่ได้รับ
“ผมเป็นอะไรก็ได้ที่คุณอยากให้ผมเป็น”
“ถ้างั้น เป็นคนขับรถให้ฉันได้ไหมละค่ะ” สิริลักษณ์พูดแล้วขำแต่พออีกฝ่ายบอกว่าได้เธอถึงนิ่งงันทำหน้าไม่ถูก ได่แต่มองเขาอย่างค้นคว้า สองวันที่ผ่านมาผู้ชายคนนี้ได้วนเวียนเข้ามาในชีวิตของเธอ ไม่เพียงแค่นั้นยังคอยช่วยเหลือเธอและตอนนี้ก็ยังอยู่ปลอบใจเธอ แบบนี้มันคืออะไรกัน พรหมลิขิตหรือโชคชะตากันแน่ที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้
“ความจริงที่มาวันนี้ตั้งใจมาหาคุณหมอจริงๆ อยากชวนไปดื่มกาแฟด้วยกันเพราะคิดว่าเราน่าจะคอกาแฟเหมือนกัน น่าจะคุยกันถูกคอ แต่มันไม่ใช่เลย วันนี้มันคงไม่เหมาะแล้วจริงๆ”
“ค่ะ วันนี้มันไม่คงเหมาะจริงๆ ฉัน...ต้องไปแล้วค่ะ มีคนไข้คนหนึ่งที่ฉันต้องฝากหมอที่ไว้ใจได้ดูแลต่อ รู้สึกแย่เหมือนกันที่ต้องไปทั้งๆ ที่ยังมีคนที่ต้องดูแลอยู่”
“ไม่เป็นไรนะผมอยู่ตรงนี้ ผมจะอยู่เป็นกำลังใจให้คุณ ผมเชื่อว่าการไปทำหน้าที่ครั้งนี้ของคุณจะเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ขอให้รู้ว่าเมื่อไรที่ท้อแท้ หมดที่พึ่งทางใจขอให้นึกถึงผมไว้ แล้วผมจะไปหาคุณ”
“ถึงฉันจะรู้ว่ามันคงไม่มีวันนั้นแต่ก็ต้องขอบคุณสำหรับกำลังใจของคุณ ฉันอยากบอกว่าฉันดีใจที่ได้รู้จักคนดีๆ อย่างคุณ”
“ผมเองก็เหมือนกัน ดีใจ...ที่ได้พบคุณ”
แววตาที่เขาส่งมานั้นทำให้หัวใจดวงน้อยเริ่มสั่นไหว มันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นง่ายๆ กับเธอ ถึงยังไงปมเรื่องพ่อทำร้ายแม่จนตาบอดก็ยังคงฝั่งลึกอยู่ในจิตใจและในความคิดของเธอผู้ชายก็ยังน่ากลัวเสมอ
สิริลักษณ์กลับมาบ้านของตัวเองซึ่งนับเป็นการกลับไปในรอบสองของเดือน จากครั้งแรกที่กลับเพื่อไปฉลองวันเกิดให้มารดา ยังนึกถึงความสุขที่ได้รับ เสียงหัวเราะ เสียงเพลง และปาร์ตี้เล็กๆ กับคนในครอบครัว แต่การกลับมาเจอหน้าท่านในวันนี้ก็เพื่อมาบอกข่าวร้าย
หญิงสาวเปิดประตูเข้าบ้านแล้วเจอกับขวัญฤทัยซึ่งกำลังเปิดประตูออกมาพอดี จึงถามไถ่ว่ามาที่นี่ทำไมได้คำตอบจากเพื่อนสาวว่ามาพูดคุยกับมารดาของเธอและมาเรื่องธุระสำคัญด้วย
“ธุระ ธุระอะไร” เอ่ยถามเมื่อพากันมานั่งที่เก้าอี้หินอ่อนซึ่งอยู่ที่สนามหญ้าข้างๆ บ้าน
“ผู้อำนวยการท่านเป็นห่วงเพราะรู้ว่าเธอต้องกังวลกับเรื่องของแม่แน่ ท่านก็เลยให้ฉันมาคุยกับเธอเรื่องที่จะให้แม่ไปอาศัยอยู่ที่บ้านพักของฉัน ส่วนคนดูแลก็เป็นพยาบาลที่รับจ๊อบพิเศษนะ ฉันโอเคนะที่จะให้แม่ของเธอมาอยู่ด้วย เพราะถึงยังไงฉันก็รักและนับถือท่านเหมือนเป็นแม่แท้ๆ ของฉันอยู่แล้ว”
“ขอบใจมากนะขวัญ ขอบคุณจริงๆ” สิริลักษณ์ดึงเพื่อมากอดอย่างขอบคุณ อีกฝ่ายกอดตอบแล้วดึงเพื่อนออกห่าง นึกถึงสิ่งที่ควรพูด
“ที่จริง เรื่องนี้ควรไปขอบคุณผู้อำนวยการนะ เขาคงทำดีที่สุดแล้ว ก็อีกฝ่ายคู่กรณีของเธอนะมีอำนาจใช่ย่อย โอ๋ลูกตัวเองจนลูกใจแตกยังไม่สำนึกนี่ยังคิดกลั่นแกล้งคนที่ช่วยชีวิตลูกตัวเองอีกถ้าฉันเป็นเธอ จะปล่อยให้ลูกยัยนั่นตกตึกตายไปเลย”
“ดูพูดเข้า ไม่สมกับเป็นหมอเลยนะ”
“ก็มันจริงนี่” ขวัญฤทัยจิกตาแค้นแทนเพื่อนก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มระรื่นเมื่อถามถึงหนุ่มหน้าหล่อคนนั้น“ว่าแต่ ได้เจอผู้ชายคนนั้นหรือเปล่า”
“ใคร”
“ก็หนุ่มพรหมลิขิตคนนั้นไง”สิริลักษณ์นึกถึงหน้าครรชิตขึ้นมาทันที ออกจะเศร้าไม่น้อยที่ต่อจากนี้จะไม่ได้เจอกันอีก
“เจอกันแล้วแต่ต่อไปคงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว”คนพูดทำหน้าเศร้าไปนิด
“อ้าว ไม่ได้แลกเบอร์กันหรอกหรือ”ถามออกไปก่อนจะทำหน้าเซ็งเมื่อเพื่อนส่ายหน้าไปมา
“เพื่อนฉัน ทำไมซื่อบื่ออย่างนี้”
สิริลักษณ์หน้าจ๋อย บางทีที่ขวัญฤทัยพูดมันก็จริงอย่างนั้น ทำไมถึงดื้อด้านยึดติดกับความทรงจำร้ายๆ จนพลาดโอกาสที่ดีไป จากนี้หากคิดถึงก็คงได้แค่คิดถึง หากอยากเจอหน้าก็คงได้แค่คิดเท่านั้น
“แอม กลับมาแล้วเหรอลูก”เสียงเรียกของอารีทำให้สองสาวต้องหันไปมอง สิริลักษณ์ยุติการสนทนาลุกไปหามารดาพร้อมประคองท่านให้เดินมานั่งที่ม้าอ่อนด้วยกัน
“กลับมาแล้วค่ะ”
“หมอขวัญเล่าให้แม่ฟังหมดแล้วนะลูก”
“เรื่องอะไรคะ”
“ก็เรื่องที่หนูต้องไปช่วยราชการที่ที่พื้นที่พิเศษนั่นนะสิ”
สิริลักษณ์ขอบตาร้อนผ่าว รู้สึกจุกที่คอจนพูดไม่ออก ตอนนี้มารดาทราบเรื่องการไปช่วยราชการในพื้นที่พิเศษนั่นแล้ว หญิงสาวโน้มตัวลงมากอดมารดาไว้แน่น ถามเสียงสั่น
“รู้แบบนี้แล้ว แม่ไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ”
อารีกอดลูกสาวตอบ ยิ้มน้อยๆ ให้เธอ ถึงจะมองไม่เห็นแต่ก็รับรู้ได้ด้วยความรู้สึกว่าตอนนี้ลูกสาวของนางกำลังกังวลมากแค่ไหน
“ถึงแม่จะเป็นห่วงแอมมากที่ต้องไปอยู่ที่นั่นแต่ด้วยหน้าที่แม่จะไม่รั้งให้แอมอยู่กับแม่ ไปเถอะแอม ไปทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด”
“ถ้าหนูไปแล้วแม่ต้องดูแลตัวเองด้วยนะคะ ถ้าอยากกินอะไรก็บอกหมอขวัญเธอได้ แล้วถ้าอยากไปที่ไหนอยากทำอะไร ก็บอกหมอขวัญได้เหมือนกัน หนูจะยอมให้เธอเป็นลูกสาวแม่อีกคน” สิริลักษณ์เอ่ยทั้งน้ำตามองสบตาเพื่อนสาวที่กำลังบีบไหล่เธอเบาๆ
“จ๊ะ แม่จะไม่เป็นอะไร แม่จะรอแอมกลับมา” อารีเอ่ยเสียงอ่อนกอดลูกสาวเอาไว้แน่น ขวัญฤทัยมองแล้วซาบซึ้งในความรักที่ทั้งสองมีให้แก่กันได้แต่ตบบ่าเพื่อนเบาๆ เพื่อปลอบใจ
ตกเย็นที่บ้านหลังใหญ่ คุณหญิงรัตนาพร้อมกับเลขาส่วนตัวนั่งคุยงานอยู่ เห็นสาวใช้เดินนำเข้ามาโดยมีร่างของแพทย์หนุ่มเดินตามหลังมาติดๆ พอได้รับคำบอกจากสาวใช้ว่าเขาต้องการพบจึงส่งสายตามาทางเลขาส่วนตัวเชิงให้ออกไปก่อนจะหันมามองหน้าหมอหนุ่ม
ครรชิตวางกุญแจรถไว้บนโต๊ะ พร้อมทั้งเอ่ยขอบคุณที่คุณหญิงรัตนากรุณาให้ยืมรถไปใช้ พอถูกคุณหญิงท่านถามว่าเหตุใดถึงเอามาคืนเร็วนัก เขาตอบกลับไปว่าต้องรีบกลับกรุงเทพเพื่อไปจัดการธุระสำคัญ ส่วนสองวันพักร้อนที่เหลือก็เพื่อเตรียมพร้อมทำเรื่องบางอย่าง
“คงจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากสินะ หมอเคนถึงต้องรีบกลับกรุงเทพ เสียดายนี่ฉันคิดจะให้เลขาโทรไปชวนหมอเคนกินข้าวด้วยกันสักมื้อ เห็นทีคงจะไม่ทันซะแล้ว”
ครรชิตพยักหน้ายิ้ม
“ครับ ผมจองตั๋วเดินทางไว้ตอนทุ่ม น่าจะไม่ทันครับแต่ถ้ามีโอกาสคิดว่าคงจะได้ร่วมรับประทานกับคุณนายสักมื้อ”
“เอาเถอะ คิดว่าคงมีโอกาส”
“งั้นผมลานะครับ อย่างที่เคยแนะนำว่าคุณนายควรหาเวลาไปเยี่ยมผอ.บ้าง”
“ก็ได้ ไว้ฉันจะไป และจะไปแบบเงียบๆ ด้วย ผอ.ของหมอเคนจะได้ไม่ไหวตัวทัน” พูดจบก็เห็นรอยยิ้มสวยที่มุมปาก แม้ท่านจะอายุเลขสี่ไปแล้วแต่ความสวยความสง่าก็ยังคงมีอยู่ในตัว ไม่เช่นนั้นคงไม่หมัดใจผอ.ให้อยู่หมัดหรอก ครรชิตจากบ้านคุณหญิงรัตนามาก่อนจะนั่งแท็กซี่มาถึงสนามบินและกำลังนั่งรอขึ้นเครื่อง แม้รอบข้างจะมีผู้คนมากมายกำลังนั่งรอขึ้นเครื่องเหมือนเขาแต่ในความรู้สึกก็ยังเหงาอยู่ใช่น้อย ชายหนุ่มหยิบป้ายชื่อออกมาดู อ่านชื่อแพทย์หญิงสาวซ้ำๆ จนตอนนี้จำขึ้นใจแล้ว อดขำตัวเองที่แผนการที่วางไว้ในช่วงพักร้อนล่มไม่เป็นท่า นับตั้งแต่ถูกโทรตามมากลางดึกเพื่อผ่าตัดคนไข้วีไอพี และไหนจะเรื่องถูกเพื่อนยกเลิกเที่ยว ทุกอย่างมันดูเหมือนจะเลวร้ายแต่ในความโชคไม่ดีของเขากลับได้พบใครคนหนึ่งที่คิดว่าใช่สำหรับเขา
มือหนาหยิบสมุดโน้ตออกจากกระเป๋าเดินทาง หยิบปากกาออกมาด้วยแล้วบรรจงขีดเขียนลงไป จะเรียกว่าเป็นบันทึกรักจากใจหมอก็น่าจะได้ หมอคนหนึ่งอุทิศใจและจิตวิญญาณให้กับคนไข้ตลอดมา แต่แล้ววันหนึ่งก็ได้เจอคนที่ใช่ จะโทษโชคชะตาหรือว่าพรหมลิขิตดีที่ทำให้เราได้พบกันแต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่า ในวันข้างหน้าเราจะได้พบกันอีก
กรงแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 มิ.ย. 2559, 17:33:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 มิ.ย. 2559, 17:33:33 น.
จำนวนการเข้าชม : 969
<< พิเศษตอนที่ 1 |
Zephyr 21 มิ.ย. 2559, 20:44:06 น.
แน่ะๆๆๆ แอบกลับไปขอย้ายที่ทำงานรึป่ะ
แน่ะๆๆๆ แอบกลับไปขอย้ายที่ทำงานรึป่ะ