ณ ที่ซึ่งเรารักกัน
ถ้าเธอมานั่งทำตัวเรียบร้อยเจี๋ยมเจี้ยมดีงามเหมือนสาวหลงยุคในนิยายทั้งหลาย
หรือจะมาทำตัวโดดเด่นเป็นสง่ามีความรู้ความสามารถด้านภาษาก็ไม่ได้อีก
เพราะกว่าจะพอเอ่ยถามฝรั่งที่มาแต่งงานกับพี่สาวข้างบ้านว่ากินข้าวหรือยังได้คล่องปากก็เพิ่งไม่กี่เดือนมานี้นี่เอง
ดังนั้นจะให้เธอแปลเอกสารสัญญาระหว่างชาติเหมือนแม่มณีจันทร์...คงเป็นชาติหน้าที่จะทำได้

แล้วฟ้าให้เธอมาทำอะไรที่นี่?

คนคิดมากนั่งเหม่อมองท้องฟ้าสดใส โอเค...ฟ้ายุคนี้สวยกว่าเมืองฟ้าอมรยุคเธอนัก แต่ก็นั่นแหละ

มันไม่ใช่บ้านเธอ ไม่ใช่ที่ทางของเธอ

เฮ้อ...ขืนอยู่นานต่อไปอีกหน่อยคงไม่ได้ความ

คุณหลวงยุคนี้ถูกสาวสมัยใหม่หลงยุคมางาบไปหมดแล้ว สาวสมัยเก่าขาดดุลคนรุ่นเธอมามากพอละ

อีกอย่าง...เธอไม่นิยมคนแก่กว่า...หลายร้อยปี


เพราะฉะนั้น ต่อให้จะหวั่นไหวกับ ‘คุณหลวง’ รูปงามตาคมปลาบนั่นมากเท่าไหร่ เธอก็ควรจะกลับบ้านไปหาพี่อดัม เลวีนกับเพลง Lost star ดีกว่า

เพราะตอนนี้...เธอรู้สึกหลงทางอยู่จริงๆ

Tags: ย้อนเวลา, รัก, ไทยโบราณ, รัชกาลที่ 5, คุณหลวง

ตอน: บทที่ 2 คนหลงเวลา [50%]



“เรากำลังจะไปไหนกันคะ?”

เก็ดถวาตีสีหน้ายุ่งขณะค่อยๆ ก้าวตามหลังคุณหลวงหนุ่มผู้ซึ่งเดินฉับๆ ตรงไปข้างหน้าอย่างคล่องแคล่ว ต่างจากเธอที่ต้องคอยถกโจงกระเบนเอาไว้แล้วรีบสาวเท้าตาม ในใจก็พร่ำบ่นคนตรงหน้าไม่หยุด

ก้าวยาวขนาดนั้น ไม่คิดถึงฉันเลยสักนิด ถ้าโจงหลุดไปล่ะก็...แม่จะร้องว่าตานี่ใช้กำลังจับปล้ำเลย คอยดู!

ตอนนี้ร่างโปร่งบางไม่ได้สวมชุดปกติของตนเองแล้ว แต่เปลี่ยนจากกางเกงยีนส์เป็นโจงกระเบนแทน ส่วนท่อนบน...เก็ดถวายืนกรานว่าเธอไม่ถอดเสื้อเด็ดขาด ดังนั้นผ้าแถบที่เตรียมมาจาก ‘เรือนใหญ่’ จึงถูกนำมาใช้เป็นสไบแทนไปเสียอย่างนั้น

ใช่ว่าเธอจะชอบใจนัก ยิ่ง ‘สไบ’ ที่ว่าคอยแต่จะเกี่ยวกิ่งไม้บ้าง พันแข้งพันขาตัวเองบ้าง แต่เมื่อเธอทำท่าจะไม่ห่ม คุณหลวงท่านก็มองมาตาวาวดุๆ ทำให้เธอต้องยอมห่มจนได้

เก็ดถวามองตรงไปยังแผ่นหลังที่อยู่ข้างหน้าอีกครั้ง คิ้วเรียวขมวดมุ่นเป็นปม ขณะทำปากยื่นใส่อย่างไม่เกรงกลัว

ไหนใครบอกว่าผู้ชายที่ไปเรียนเมืองนอกสมัยก่อนกลับมาจะติดความ Gentleman นักหนา ไม่เห็นจริง!

ก็มีอย่างที่ไหนที่ปล่อยให้ผู้หญิงเดินสไบปลิวตามตัวเองอยู่ข้างหลังต้อยๆ อย่างนี้เล่า

หญิงสาวก้มหน้าก้มตาเดินพลางบ่นถึงอีกฝ่ายในใจอย่างดุเดือด จึงไม่ทันเห็นว่าหลวงพิพัฒน์เวชกรชะงักฝีเท้า เก็ดถวาจึงชนโครมเข้ากับร่างสูงตรงหน้าจนเกือบจะเซล้มไปทางด้านหลัง แต่กลับถูกมือหนาคว้าต้นแขนรั้งเอาไว้ทัน

“หล่อนเหม่อลอยอะไรกัน ฉันเรียกไม่ได้ยินรึ?”

หลวงพิพัฒน์เวชกรเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุๆ คนฟังหน้าจ๋อย แต่ริมฝีปากยังคงยื่นย้อยออกมาบ่งบอกว่าไม่ได้รู้สึกผิดสักนิด

เก็ดถวาเลิกคิ้วขึ้นอย่างกวนๆ “ถ้าฉันได้ยินก็หยุดไปแล้วน่ะสิคะ ถามได้...”

“ต่อปากต่อคำกับผู้ใหญ่ ไม่ดี!” ‘ผู้ใหญ่’ สวนกลับเข้าเต็มๆ

หญิงสาวอ้าปากจะตอบกลับ แต่เสียงแหวของป้าปริกกลับดังขึ้นจากด้านหลังเสียก่อน “กิริยามารยาทช่างเหลือเกินจริงๆ เถียงกับคุณหลวงท่านได้อย่างไร”

ร่างบางเกือบจะหันไปหาหญิงวัยกลางคนแล้วบอกว่าเธอไม่ได้เถียง แต่เมื่อคิดสะระตะดูแล้วว่ายังไงตัวเองก็แพ้เต็มประตู เก็ดถวาจึงเลือกที่จะสงวนพลังงานเอาไว้ให้มากที่สุดโดยการทำเมินไม่ได้ยินคำพูดต่อว่านั้นเสีย

แต่ไม่เว้นว่าเธอจะ #มองบน #ยิ้มอ่อน ไม่ได้อ่ะนะ

หลวงพิพัฒน์เวชกรเกือบหลุดหัวเราะออกมาแล้วเมื่อเห็นอารมณ์หลากหลายผัดเปลี่ยนกันบนใบหน้าออกกลมๆ นั้น ยิ่งมองก็ยิ่งเพลิน กระทั่งเมื่อเห็นว่าเจ้าหล่อนหันมาหาเขาพลางเขวี้ยงค้อนมาด้วยวงใหญ่ ชายหนุ่มจึงกระแอมแก้เก้อ แล้วเอ่ย

“พอเถอะ แม่ปริก ไม่เป็นไรหรอก แม่พุดซ้อนกำลังป่วย”

“อ้อ...เจ้าค่ะ”

แม่ปริกยอมหยุดพูดแต่โดยดี ทว่าดวงตายังคงฉายแววไม่เห็นด้วยเลือนราง แต่คนโดนเปลี่ยนชื่อกระทันหันกลับถามขึ้นทันที “พุดซ้อนอะไรคะ?”

“อ้าว ก็ความหมายของชื่อหล่อนมิใช่รึ?”

“ชื่อฉันก็ชื่อฉัน ความหมายของชื่อก็ความหมายของชื่อสิ คุณก็เรียกชื่อ มาเรียกความหมายของชื่อทำไม?”

คราวนี้คุณหลวงโน้มใบหน้ามาหาร่างโปร่งบางเล็กน้อย ดวงตาพราวระยับฉายแววขันนิดๆ เมื่อเอ่ย “หรือหล่อนอยากให้แม่ปริกว่าเอาได้ว่าชื่อเทียมเจ้าเทียมนาย?”

“โอ๊ะ งั้นอย่าเลย ขืนเป็นงั้น แกคงแขวะฉันจนกว่าจะไปถึงเรือนใหญ่อะไรของคุณ ฉันก็คงเหลือแต่กระดูกติดเนื้อนิดหน่อยแล้วล่ะ”

ครั้นเห็นว่าเจ้าหล่อนกลับมามีสติแล้ว คุณหลวงหนุ่มจึงค่อยถาม “เมื่อครู่หล่อนเหม่อลอยอะไร เหตุใดจึงไม่ได้ยินที่ฉันพูด?”

“ก็ไม่ได้เหม่ออะไรหรอก” เก็ดถวาส่งยิ้มแหย จะบอกว่ากำลังบ่นเขาในใจก็ใช่ที่นี่นะ “แค่เหลียวมองดูนั่นดูนี่”

“แถวนี้มีแต่ต้นไม้ มิได้มีสิ่งใดให้หล่อนดูนักหรอก” คุณหลวงว่า

“แล้ว...ว่าแต่...ทำไมเรือนใหญ่อะไรของคุณถึงอยู่ไกลจากกระต๊อบนั่นจังเลยคะ?” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องโดยเร็ว

หลวงพิพัฒน์เวชกรทำหน้าสงสัยกับคำว่า ‘กระต๊อบ’ แต่ก็พอเดาออกว่าอีกฝ่ายคงหมายถึงกระท่อมกลางสวน “กระท่อมนั่นเป็นกระท่อมของคนเฝ้าสวน บังเอิญว่าคนเฝ้าสวนฉันแม่เขาป่วย จึงขออนุญาตไปเฝ้าแม่ที่เรือนใหญ่ ส่วนแม่ปริกแกไปดูแลกระท่อมนั้นเป็นบางครั้ง ประจวบเหมาะกับไปเจอหล่อนเข้าพอดี จึงต้องอยู่ที่นั่นคืนหนึ่งเพื่อดูแลหล่อน ปกติแม่ปริกแกก็อยู่ที่เรือนใหญ่นี่แหละ”

เก็ดถวาหันหน้าไปมองสตรีร่างท้วมที่ตอนนี้มองเขม็งตอบกลับ หญิงสาวค่อยเผยยิ้มอ่อนหวาน ตัดสินใจสงบศึกกับป้าปริกเสียตั้งแต่ตอนนี้

ยังไงป้าแกก็มีบุญคุณ อุตส่าห์ดูแลเธอตอนไม่ได้สตินี่นา

“ขอบคุณป้ามากค่ะ ที่ช่วยหนู”

“อย่าให้มันเหมือนโปรดสัตว์ได้บาปก็แล้วกัน” ป้าปริกเอ่ยหน้าตาเฉย ปากเคี้ยวหมากหยับๆ

เก็ดถวาตัดสินใจไม่ต่อความยาวกับแม่ปริกอีก เธอหันกลับมาหาคุณหลวง ก่อนเอ่ยถาม “แล้วตกลงคือเรากำลังจะไปเรือนใหญ่...เรือนของคุณเหรอคะ?”

“คุณหลวง...หล่อนต้องเรียกคุณหลวงท่านว่าคุณหลวง จำได้หรือไม่?” ป้าปริกส่งเสียงมาตามลม

หญิงสาวกลอกตา อดประชดกลับไม่ได้ “เจ้าค่ะ แม่ปริก”

“นั่นปะไร จะพูดดีหล่อนก็พูดได้นี่นา” อีกฝ่ายกลับชมเสียอย่างนั้น

เก็ดถวาถอนหายใจเฮือก (โดยระวังไม่ให้แม่ปริกได้ยิน) แล้วถามชายหนุ่มต่อ “ตกลงคือเรากำลังไปบ้านคุณ...หลวงกันใช่ไหมคะ?”

“เจ้าคะ” น้ำเสียงดุของหญิงวัยกลางคนเอ่ยแทรก

“เจ้าคะ” เก็ดถวาพูดตามอย่างเสียไม่ได้

หลวงพิพัฒน์เวชกรมองดูการวิวาทน้อยๆ ตรงหน้าด้วยสายตาขบขัน เมื่อเห็นอีกฝ่ายหันกลับมาถาม ชายหนุ่มก็รีบตอบโดยเร็ว “มิใช่ นี่บ้านคุณแม่ของฉัน”

“อ้าว...แล้วบ้านคุณแม่คุณหลวงไม่ใช่บ้านคุณหลวงตรงไหนกันล่ะค...เจ้าคะ?”

ชายหนุ่มเริ่มออกเดินต่อเพื่อไม่ให้เสียเวลา แต่ก็ยังคงตอบคำถามไปด้วย “ถ้าจะพูดให้ถูก ที่นี่คือบ้านของคุณตาฉัน ท่านย้ายมาปลูกเรือนที่นี่เพราะชอบบางปะอิน แต่คุณตาบอกยกบ้านหลังนี้ให้แม่แล้ว ดังนั้นตามสิทธิ์ บ้านหลังนี้คือบ้านคุณแม่ฉัน ซึ่งยังไม่ได้เป็นของฉัน”

“เก็ตละ” เก็ดถวาพยักหน้าหงึกหงัก “คุณจะพาฉันไปหาแม่คุณนั่นเอง”

“ฉันจะไปบอกคุณแม่ขอพาหล่อนกลับพระนครด้วยต่างหาก” อีกฝ่ายตอบเสียงดุ

หญิงสาวย่นจมูก แอบบ่นคนตรงหน้าในใจอีกหน หมออะไร ตอนรักษาก็ท่าทางอ่อนโยนดีอยู่หรอก พอไม่ได้รักษา ดุได้ดุเอา ไม่มีความพอดีเล้ย...

“ดีที่หล่อนฟื้นเสียก่อนฉันจะกลับพระนคร จึงได้กลับพร้อมกัน หากวันนี้หล่อนไม่ฟื้น เห็นทีคงต้องอยู่ที่นี่ไปก่อน”

“แต่ว่า...ฉันควรจะอยู่ที่นี่ แล้วหาทางกลับบ้านต่างหาก”

เธอหลงทางมาที่นี่ เพราะฉะนั้นหากจะกลับบ้าน...ต้นทางกลับก็ควรเป็นที่นี่เหมือนกันไม่ใช่หรือ?

“ฉันคิดว่าหล่อนควรจะได้ตรวจร่างกายมากกว่านี้อีกหน่อย”

“แต่ฉันว่าฉันไม่ได้...”

“เอาเถอะ เชื่อฉัน หากเธอไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ฉันจะให้คนมาส่งเธอกลับที่นี่ เธอจะได้กลับบ้านแน่นอน”

หลวงพิพัฒน์เวชกรเอ่ยเสียงอ่อนลงเล็กน้อย ในใจรู้ดีว่าสิ่งที่เขาคิดมันไม่ได้แค่ ‘ตรวจร่างกาย’ แต่มีมากกว่านั้น

สตรีนางนี้อ้างตนว่ามาจากอนาคต...เวลาที่ยังมาไม่ถึง เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่หล่อนพูดมาจะเป็นจริงหรือไม่ หลักฐานแค่เครื่องแต่งกายสองสามอย่างไม่ได้ทำให้เรื่องที่หล่อนอ้างมีเค้ามูลความจริงขึ้นมาได้กี่มากน้อย บริเตนที่เขาจากมานั้นก็มีพัฒนาการหลายอย่าง หากเสื้อผ้าเหล่านี้จะเป็นของพวกฝรั่งดั้งขอก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

หากหล่อนพูดจริง นั่นก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ควรจะหาคำตอบว่าเป็นไปได้อย่างไร

แต่หากหล่อนพูดไม่จริง อาจเพราะศีรษะถูกกระทบกระเทือนหรืออะไรก็ตามแต่ อย่างน้อยเขาก็จะได้ตรวจให้หล่อน และอาจให้หล่อนเป็นกรณีศึกษาของนักเรียนแพทย์ที่โรงเรียนแพทยากร ได้ด้วย ระหว่างนั้นก็พักที่บ้านเขา หากหายแล้วก็ค่อยส่งคืนกลับบ้าน เช่นนี้ก็ดีกับทุกฝ่าย

และถ้าหากหล่อนพูดไม่จริงเพราะมีสิ่งใดปิดบังเอาไว้...เขาก็อยากรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด

ไม่ว่าอย่างไร ‘อะไร’ บางอย่างที่วาบขึ้นในหัวใจตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็นหน้าหล่อน หลวงพิพัฒน์เวชกรก็บอกตนเองว่าเขาจะยังไม่ให้เก็ดถวาไปไหนแน่

อย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะรู้ว่า ‘อะไร’ ในใจนั้นมันคืออะไรกัน




ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 มิ.ย. 2559, 02:55:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 มิ.ย. 2559, 02:55:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 789





<< บทที่ 1 : วันแรกของการย้อนเวลา [100%]   
แว่นใส 27 มิ.ย. 2559, 07:31:33 น.
คำเรียกผู้หญิงที่คุยด้วยสมัยนั้นก็เรียก "หล่อน" นะคะ เหมือนคุณหลวงเทพเรียกแม่มณีจันทร์ ในเรื่อง ทวิภพ ไงคะ


ปณัชญา 27 มิ.ย. 2559, 16:50:04 น.
สวัสดีค่ะคุณแว่นใส ส้มพลาดเองค่ะตอนนี้ คงเผลอเขียนเธอเข้าไปเฉย 55555

ขอบคุณที่ติดตามค่า ^_^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account