ณ ที่ซึ่งเรารักกัน
ถ้าเธอมานั่งทำตัวเรียบร้อยเจี๋ยมเจี้ยมดีงามเหมือนสาวหลงยุคในนิยายทั้งหลาย
หรือจะมาทำตัวโดดเด่นเป็นสง่ามีความรู้ความสามารถด้านภาษาก็ไม่ได้อีก
เพราะกว่าจะพอเอ่ยถามฝรั่งที่มาแต่งงานกับพี่สาวข้างบ้านว่ากินข้าวหรือยังได้คล่องปากก็เพิ่งไม่กี่เดือนมานี้นี่เอง
ดังนั้นจะให้เธอแปลเอกสารสัญญาระหว่างชาติเหมือนแม่มณีจันทร์...คงเป็นชาติหน้าที่จะทำได้

แล้วฟ้าให้เธอมาทำอะไรที่นี่?

คนคิดมากนั่งเหม่อมองท้องฟ้าสดใส โอเค...ฟ้ายุคนี้สวยกว่าเมืองฟ้าอมรยุคเธอนัก แต่ก็นั่นแหละ

มันไม่ใช่บ้านเธอ ไม่ใช่ที่ทางของเธอ

เฮ้อ...ขืนอยู่นานต่อไปอีกหน่อยคงไม่ได้ความ

คุณหลวงยุคนี้ถูกสาวสมัยใหม่หลงยุคมางาบไปหมดแล้ว สาวสมัยเก่าขาดดุลคนรุ่นเธอมามากพอละ

อีกอย่าง...เธอไม่นิยมคนแก่กว่า...หลายร้อยปี


เพราะฉะนั้น ต่อให้จะหวั่นไหวกับ ‘คุณหลวง’ รูปงามตาคมปลาบนั่นมากเท่าไหร่ เธอก็ควรจะกลับบ้านไปหาพี่อดัม เลวีนกับเพลง Lost star ดีกว่า

เพราะตอนนี้...เธอรู้สึกหลงทางอยู่จริงๆ

Tags: ย้อนเวลา, รัก, ไทยโบราณ, รัชกาลที่ 5, คุณหลวง

ตอน: บทที่ 1 : วันแรกของการย้อนเวลา [100%]



ขากลับจากในสวน หญิงท่าทางประหลาดก็ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก หล่อนเอาแต่เดินตามเขามาต้อยๆ ด้วยสีหน้าหมกมุ่น หลวงพิพัฒน์เวชกรหันกลับไปมองหล่อนหลายครั้ง ทว่าเจ้าหล่อนก็ยังนิ่งเงียบจนชายหนุ่มเริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นเรื่อยๆ

กระทั่งกลับมาถึงเรือนพักหลังเล็กของแม่ปริก และหล่อนก้าวไปนั่งบนแคร่ไม้ไผ่เหมือนเดิมแล้ว เขาจึงค่อยเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“หล่อน...ตกลงว่าอย่างไร...เรื่องรถของหล่อน?”

นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจ ผู้หญิงตรงหน้าบอกว่าหล่อนขับรถมาและเกิดชนกับต้นไม้ แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อมอเตอร์คาร์ ในสยามนั้นยังมีไม่ถึงสามคันด้วยซ้ำ

ที่ตลกไปมากกว่านั้นก็คือ หล่อนบอกว่าตนเองขับรถได้...แม้แต่เขาก็เพิ่งขับเป็นตอนที่ไปเรียนอังกฤษด้วยซ้ำ อาศัยสตรีเช่นนี้น่ะหรือที่จะมีความกล้าบังคับยวดยานอย่างรถ ทั้งยังขับเร็วเสียจนเกิดอุบัติเหตุด้วย

หลวงพิพัฒน์เวชกรตัดสินใจว่าเขาจะต้องขอตรวจดูศีรษะของเจ้าหล่อนตรงหน้าเสียหน่อยแล้ว

สตรีตรงหน้าเปลี่ยนสีหน้าทันควันเมื่อเขาเอ่ยถามคำถามออกไป “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาพูดถึงรถแล้วนะคะ ฉันว่าฉันเจอเรื่องใหญ่กว่านั้นแล้ว”

“เรื่องใหญ่กว่านั้น?” หญิงผู้นี้จะมีจินตนาการมากเกินไปหน่อยแล้วกระมัง?

“ใช่ เรื่องใหญ่กว่านั้น” หล่อนเอ่ยเสียงหนักแน่น สีหน้าเคร่งเครียด “ฉันบอกคุณแล้ว คุณ...เอ้อ...คุณหลวง จะไม่หาว่าฉันบ้านะ?”

ชายหนุ่มคิ้วกระตุก เมื่อกี้ฉันเพิ่งคิดว่าหล่อนบ้าไปหยกๆ

ชะรอยหล่อนคงทราบว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่เป็นแน่ เพราะดวงหน้างามแปลกกว่าหญิงอื่นแปรเปลี่ยนอีกครั้ง ครานี้ดวงตากลับฉายแววปลงตก

“ช่างเถอะ ฉันว่ายังไงพูดไปคุณก็ต้องหาว่าฉันบ้าแน่ แต่ไม่พูดฉันคงอึดอัดตายแหง”

“หล่อนอยากจะพูดสิ่งใดก็พูดออกมาเถิด หากไม่หนักหนากระไรมาก ฉันจะฟัง”

อย่างน้อยก็ช่วยให้เจ้าหล่อนไม่ต้องอกแตกตายได้แล้ว

ดวงตางามตวัดฉับ คล้ายๆ กับกำลังมองค้อนใส่เขาเสียอย่างนั้น “คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามแต่ แต่ฉันคิดว่าฉัน...กำลังย้อนเวลา”

“...”

สีหน้าเขาคงบ่งบอกความไม่เชื่อถือออกไปเป็นแน่ เพราะหล่อนขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ทีท่าไม่พอใจปรากฎชัดขึ้นจากแววตาและท่าทางที่ดูเย็นชาขึ้นมาทันใด

“คุณไม่เชื่อล่ะสิ?”

“ฉันยอมรับว่าฉันไม่ค่อย...เข้าใจนัก” ตอบอย่างนี้หล่อนคงไม่เคืองเขามากกระมัง?

“อย่าถามฉันนะ ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจริงๆ มันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ที่แน่ๆ คือ ฉันไม่ใช่คนในเวลานี้ คือแบบ...คุณว่าที่นี่ตอนนี้ พ.ศ. อะไรนะคะ?”

“2430”

“นั่นแหละ ตอนนี้ที่นี่คือ พ.ศ. 2430 แต่ที่ฉันจากมาน่ะ...2559 นะคุณ”

เป็นทีของเขาที่ต้องอ้าปากค้างบ้างแล้ว




เก็ดถวามองใบหน้าเหวอสุดขีดของอีกฝ่ายพลางพยักหน้าเบาๆ

“ฉันว่าตอนที่ฉันได้ยินคุณพูดถึงปี พ.ศ. เมื่อตอนแรก หน้าฉันก็คงเป็นงี้เด๊ะเลยสินะ เหวอได้อีก”

“หล่อนบอกว่า...” ดูเหมือนคุณหลวงชื่อยาวจะยังคงเคลือบแคลงอยู่ ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววทั้งเหลือเชื่อและไม่เชื่อผสมผสานกัน “...หล่อนมาจากปี 2559 จริงๆ น่ะรึ?”

“ใช่แล้ว” เก็ดถวาพยักหน้า “2559 หรือถ้าจะคิดกันแล้ว ฉันมาจากอนาคตก่อนหน้าคุณไป...เอ...2559 - 2430 จะได้เท่ากับ...”

“129”

“นั่นแหละๆ ฉันมาจากอนาคตหลังจากนี้ 129 ปี”

ชั่ววินาทีหนึ่งเก็ดถวารู้สึกอนาถตัวเองมากที่บวกลบเลขง่ายๆ ได้ช้ากว่าผู้ชายในยุค 129 ปีล่วงมาแล้ว

คุณหลวงยังคงมองหน้าเธออย่างไม่เชื่อถือ “แต่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน...”

“เป็นไปได้สิคะ” หญิงสาวลุกพรวด ไม่แยแสความเจ็บปวดที่ขาทั้งสองของตนเอง ขณะที่กางแขนออกกว้างเพื่อให้เขาเห็นสิ่งที่เธอสวมใส่ได้ถนัด “คุณดู ฉันใส่เสื้อยืดแขนยาว กางเกงยีนส์ขาเดฟ ที่นี่ยังไม่มีใช่มั้ยล่ะ? และฉันต่อให้เลยว่าถึงคุณจะเคยไปเรียนเมืองนอกมาก่อน แต่ยุคนี้...ไม่มีทางที่จะมีใครแต่งตัวเหมือนฉันแน่”

คิ้วเข้มๆ บนใบหน้าหล่อของคุณหลวงขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นปม เขาชะโงกมาดูแบบเสื้อผ้าของเธอใกล้ๆ แต่ยังคงเว้นระยะเอาไว้พองาม ดวงตาจ้องเขม็งราวกับกำลังจะมองให้ทะลุทุกเส้นใยที่ใช้เครื่องจักรอุตสาหกรรมถักทอขึ้นแทนที่การทอผ้าด้วยมือ

“จริงอย่างที่ฉันพูดไหมล่ะ ไม่มีใครแต่งตัวเหมือนฉันสักคน”

“ฉันเคยเห็นเนื้อผ้าแบบนี้...ที่อังกฤษ” เขายังคงยืนยัน ทั้งที่ในใจไม่ได้มั่นใจอย่างปากว่า

“โอ้ย ที่อังกฤษน่ะก็คงเป็นช่วงหลังจากปฏิวัติอุตสาหกรรมใช่มั้ยล่ะ” เป็นครั้งแรกที่เก็ดถวาพร่ำขอบคุณครูสอนสังคมสมัยม.ปลายในใจ ที่บังคับให้เธอท่องจำประวัติศาสตร์ตามช่วงเวลาในสมัยยุโรป ท่องเสียจนถึงเธอไม่ชอบประวัติศาสตร์เหลือเกิน ก็ยังมีอะไรติดอยู่ในหัวพอที่จะเอาตัวรอดในสถานการณ์นี้ได้

ถ้าเธอรู้ล่วงหน้าว่าตัวเองจะต้องหลุดมาอยู่ยุคพ่อของคุณทวดแบบนี้ เธอยอมกลับไปท่องประวัติศาสตร์อีกร้อยรอบเลยเอ้า!

“จริงอยู่ที่ที่อังกฤษมีการทอผ้าฝ้ายด้วยเครื่องจักร ทำให้ผ้ามันออกมาดูเนื้อแน่นๆ คล้ายแบบนี้ แต่นี่ไม่ใช่ผ้าฝ้ายนะคะ” ไม่ว่าเปล่า เก็ดถวาเดินไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง ก่อนจะคว้ามืออีกฝ่ายมาจับที่เสื้อของตนเองอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

อีกฝ่ายกระตุกตัวหนีวูบ ดวงตาฉายแววลนลานปนแตกตื่นเหมือนโดนหล่อนบังคับทำมิดีมิร้ายเข้าให้แล้ว “หล่อนจะทำอะไรน่ะ!”

...อย่าบอกนะว่าหมอนี่คิดว่าฉันจะบังคับทำมิดีมิร้ายกับเขาจริงๆ?

เก็ดถวาถอนหายใจเฮือก ยกมืออีกข้างขึ้นเกาศีรษะแรงๆ ด้วยความอัดอั้น “นี่คุณ ฉันไม่ทำอะไรหรอก แค่จะให้คุณจับเนื้อผ้าดูเฉยๆ แต่...เฮ้อ...งั้นดูดี ผ้าที่ทอจากเครื่องจักรสมัยนี้น่ะมันยืดแบบนี้ไม่ได้ เห็นมั้ย!”

เธอกระชากชายเสื้อออกมาด้านหน้า ก่อนจะดึงยืดเนื้อผ้าออกจากกันช้าๆ ท่ามกลางดวงตาฉายแววฉงนฉงายที่จับจ้องมองเขม็ง

“เนี่ย! ทีนี้เห็นหรือยังว่ามันเป็น...”

เก็ดถวาชะงักค้างเมื่อเห็นเงาร่างของใครบางคนกำลังเกาะประตูมองด้วยสีหน้าตื่นตกใจ และคนมาใหม่ก็เหมือนจะตกใจมากขึ้นเมื่อเลื่อนสายตามองไปที่มือทั้งสองข้างของหญิงสาวซึ่งกำลังดึงผ้าให้ยืดออกจากกัน ขณะที่ผู้ชายคนเดียวในห้องกำลังเบิกตากว้าง จ้องมองบริเวณเอวของเธอที่ตอนนี้เปิดโผล่ออกมาเล็กน้อย

ชั่วอึดใจนั้น เก็ดถวารับรู้ขึ้นมาทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร

“มันไม่ใช่อย่างที่ป้าคิดนะ...”

“กรี๊ดดดดดด!!! นางผีร้าย แกกำลังจะทำอะไรคุณหลวง กำลังจะล่อลวงคุณหลวงอยู่ใช่หรือไม่?”

คุณหลวงกะพริบตาปริบๆ ท่าทางยังคงงงกับเสียงกรีดร้องของป้าปริก แต่เก็ดถวากลับเดินลงส้นปึงๆ อย่างไม่กลัวเรือนทลายเข้าไปหาอีกฝ่ายทันควัน

“ป้า! ป้าดูดีๆ นี่ไม่ได้กำลังจะทำอะไรเลยนะ...”

“ไม่ได้ทำอะไร? หล่อนกำลังทำบัดสีบัดเถลิงแก้ผ้าต่อหน้าผู้ชายอยู่ไม่ใช่รึ! ยางอายหล่อนไม่มีแล้วกระมังถึงทำเรื่องบัดสีแบบนี้ตอนกลางวันแสกๆ!”

เก็ดถวายยกมือขึ้นกุมขมับขณะแว้ดออกมาอย่างเหลืออด “โอ้ย คุณป้าคะ! ป้านั่นแหละคิดอะไรบัดสีบัดเถลิง ฉันไม่ได้ทำอะไรกับคุณหลวงของป้าเลยนะ ฉันกำลังให้เขาดู...”

“แผล!”

เอ๋...จู่ๆ ตัวละครที่ถูกหลงลืมอยู่มุมห้องก็อยากแย่งซีนขึ้นมาว่างั้น?

หญิงสาวหันไปมองต้นเสียงพร้อมกับเจ้าของบ้าน คุณหลวงผู้นั่งเงียบตลอดการถกเถียงพลันเอ่ยปากขึ้นทันควัน “ฉันกำลังตรวจดูว่าแม่คนนี้เขายังคงปวดหรือมีแผลที่ใดหรือไม่ แล้ว...หล่อนก็กำลังจะให้ฉันดูแผลที่เอวต่างหาก แม่ปริกคิดมากไปแล้ว”

“จริงหรือเจ้าคะคุณหลวง?”

เพียงประโยคเดียวของผู้เป็นนาย ทำให้ป้าปริกสงบลงได้ทันควัน การเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันจากหน้ามือเป็นหลังเท้าทำให้เก็ดถวาแอบเบ้ปาก กลอกตามองฟ้าเพียงลำพัง

ก็ถ้าพูดแล้วจบเรื่องได้ ทำไมพี่ไม่พูดตั้งแต่แรกค้า...

คุณหลวงหนุ่มหน้าเป็นสีซับระเรื่อน้อยๆ ขณะที่ยืนยัน “แม่ปริกไม่เชื่อคำพูดฉันกระนั้นหรือ?”

“ตายจริง ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ! คุณหลวงพูดอย่างไรแม่ปริกก็เชื่อทั้งนั้น”

“แล้วมากรี๊ดๆ ใส่ฉันเนี่ย ป้าไม่กลัวฉันแหกอกควักไส้ป้าแล้วเหรอคะ?”

เมื่อดูเหมือนจะหมดเรื่อง เก็ดถวาก็เอ่ยถามออกมาอย่างเคืองหน่อยๆ ไม่ใช่ว่าตอนที่เห็นฉันถอนคอนแทคเลนส์นี่กลัวเอาเป็นเอาตายหรอกเหรอ?

ป้าปริกหันขวับกลับมาทันที สีหน้าเปลี่ยนจากอ่อนโยนมาเป็นหวาดระแวง “ข้าไม่กลัวเอ็งหรอก นังหนู”

อ้าว...สรรพนามเปลี่ยนเฉย

ไม่ทันที่เก็ดถวาจะถามหาที่มาของความกล้าที่เพิ่มขึ้นอย่างกระทันหันของป้าปริก เจ้าของบ้านก็ขยับเข้ามาในประตู ร่างอีกครึ่งหนึ่งที่ถูกประตูบังไว้เมื่อครู่ขยับออกมา เผยให้เห็น...

“ป้าอย่าบอกนะ ว่าป้าวิ่งไปเอาไม้ท่อนนั้นมาเพื่อ...”

หญิงสาวตาโต มือชี้ไปยังท่อนไม้ขนาดเหมาะมือที่อีกฝ่ายถือกระชับแน่นอยู่ในมือ

ป้าปริกหรี่ดวงตาเรียวเล็กลง “ข้าก็จะเอามาไว้ตีไล่ผีอย่างไรล่ะ?”

เดี๋ยวนะ ป้าเข้าใจผิดอะไรรึเปล่า ปกติตีไล่ผีนี่เค้าเฆี่ยนด้วยไม้เรียวนะป้า ไม่ใช่ไม้หน้าสาม!

เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของ ‘คนเจ็บ’ คุณหลวงผู้ซึ่งนั่งเงียบมองสตรีทั้งสองถกเถียงกันไปมาก็อดลุกขึ้นห้ามอีกครั้ง “ป้าปริก ไม่มีอะไรหรอก หล่อนมิได้ทำอะไรผิดแปลกจากคนปกติ ไม่ได้เป็นผี แผ่นใสๆ ปิดตานั่นเป็น...ยารักษาตาของเขาเฉยๆ ไม่ใช่ผีที่เปลี่ยนแก้วตาได้”

ได้ยินคำพูดของผู้เป็นนาย ป้าปริกก็อ่อนข้อลงทันควัน “ป้าทราบแล้วเจ้าค่ะ คุณหลวง”

“ไหนๆ หล่อนก็ได้สติแล้ว” ชายหนุ่มคนเดียวในห้องหันมาหาเธอบ้าง “ตามฉันกลับพระนครเลยเป็นไร บ้านหล่อนอยู่ที่นั่นมิใช่รึ?”
แวบแรก เก็ดถวาเกือบจะโพล่งออกไปแล้วว่าบ้านเธอไม่ได้อยู่ตรงไหนในช่วงเวลานี้ทั้งนั้น แต่เมื่อเห็นสีหน้าทั้งเจ้าของบ้านที่ดูหวาดระแวงเหลือเกิน และสีหน้าของคุณหมอผู้รักษาซึ่งบอกกลายๆ ว่าเธอควรตามเขาไปเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ทำให้หญิงสาวถอนหายใจยาว ก่อนยอมตามน้ำในที่สุด

“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันขออาศัยกลับบ้านกับคุณ...หลวงด้วยเลยก็แล้วกัน”

“แม่ปริก ได้ยินแล้วนะ ตอนนี้แม่ปริกไปเอาผ้านุ่งผ้าห่มจากเรือนใหญ่มาให้หน่อยได้หรือไม่ ฉันจะให้หล่อนผู้นี้ผลัดผ้าเสียหน่อย”

“เจ้าค่ะ”

ได้รับคำสั่งจากเจ้านายแล้ว ป้าปริกก็ไม่กล้าต่อความยาวสาวความยืดอีก ร่างท้วมๆ ก้มหน้าเดินจากไปอย่างว่าง่าย เก็ดถวามองตามเงาร่างนั้นจนลับตา ก่อนจะหันกลับมาหาคนออกคำสั่งแล้วเอ่ย

“คุณจะให้ฉันกลับไปไหน? คุณก็รู้...ว่าที่นี่...ฉันไม่มีบ้านให้กลับ”

ราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน ทันทีที่ถ้อยคำนั้นหลุดออกมาจากปาก ความเป็นจริงก็พัดเข้าถาโถมใส่หญิงสาวทันควัน จนขอบตาของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนหยาดน้ำใสจะไหลรินออกจากดวงตาอย่างสุดกลั้น

...แล้วเธอจะกลับไปไหน...ในเมื่อบ้านเธอยังไม่มีด้วยซ้ำ

เก็ดถวารีบเมินหน้า ปาดน้ำตาทิ้งอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเหลียวกลับไปมองร่างสูงตรงกลางห้องอีกครั้ง ก็พบว่าเขากำลังหันหลังให้ มือใหญ่ผสานหลวมๆ เอาไว้ข้างหลัง ขณะที่เสี้ยวหน้าคมสันซึ่งเธอมองเห็นเล็กน้อยกำลังทอดมองไปทางหน้าต่างบานเล็ก แม้น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาจะดูไม่แตกต่างจากปกติ แต่เธอก็แอบเห็นว่าเขาหน้าแดงขึ้นมาบ้างแล้ว

“เอาเถอะ กลับไปพระนครค่อยคิดอ่านกัน ตอนนี้หล่อนอยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีประโยชน์ มิสู้กลับไปกับฉัน ไปพักผ่อนสักหน่อย แล้วลองคิดดีๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่มิดีกว่าหรือ?”

หญิงสาวนิ่งเงียบ ก่อนจะพยักหน้า ทั้งที่รู้ว่าเขาคงไม่เห็น “ขอบคุณมากค่ะ ฉันจะตามคุณกลับไป”

“ก่อนอื่น” หลวงพิพัฒน์เวชกรหันหน้ากลับมาอีกครั้งเมื่อรับรู้ได้ว่าเจ้าหล่อนไม่ได้ร้องไห้อีกแล้ว “หากเราจะเดินทางด้วยกัน ฉันคงต้องทราบชื่อหล่อน...”

“เก็ดถวาค่ะ ฉันชื่อเก็ดถวา”

“เก็ดถวา...ดอกพุดซ้อน น่ะรึ?”

“ใช่ค่ะ”

“เป็นลาว หรอกรึ?” เขาพึมพำเสียงต่ำ เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าสงสัยก็รีบเอ่ยต่อ “ช่างเถอะ อย่างไร ประเดี๋ยวหล่อนก็เตรียมตัวให้พร้อม ผลัดผ้าที่แม่ปริกจะเอามาให้เสีย แล้วไปพบฉันที่เรือนใหญ่ก็แล้วกัน”

เก็ดถวาพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะรีบเอ่ยเรียกเขาไว้อีกครั้งหนึ่งเมื่อเห็นว่าร่างนั้นกำลังจะเดินลงไปจากเรือนแล้ว “เอ้อ...คุณหลวงคะ”

ชายหนุ่มชะงักเท้าที่กำลังจะก้าว ใบหน้าหล่อเหลาหันมาหาเธออีกครั้ง พลางเอ่ยถาม “อะไรรึ?”

“ขอบคุณ...และเอ่อ...ยินดีที่ได้รู้จัก Nice to meet you.”

เอาล่ะ เธอแทรกทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยเข้าไปแล้ว ถึงเขาไม่เข้าใจว่ายินดีที่รู้จักภาษาไทยมันคืออะไร แต่สำเนียงพอชขนาดนั้น ก็น่าเชื่อว่าเขาต้องรู้ภาษาอังกฤษแน่

หลวงพิพัฒน์เวชกรพลันคลี่ยิ้มกว้าง ขณะที่เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “Nice to meet you too. เก็ดถวา”




ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 มิ.ย. 2559, 04:37:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 มิ.ย. 2559, 04:37:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 803





<< บทที่ 1 : วันแรกของการย้อนเวลา [50%]   บทที่ 2 คนหลงเวลา [50%] >>
แว่นใส 24 มิ.ย. 2559, 12:30:12 น.
เข้าเมืองละ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account