โซ่รักสีรุ้ง
"เด็กคนนั้น...เป็นลูกใคร" ห้าปีผ่านมา เธอคิดว่าชินชากับความเจ็บปวดแล้ว แต่ความจริงความรู้สึกนั้นเพียงแต่ตกตะกอนอยู่ก้นบึ้งหัวใจรอเวลาที่ใครสักคนจะกวนตะกอนนั้นขึ้นมา ให้เจ็บรวดร้าวยอกแสลงไปทั้งหัวใจ
Tags: ศศิภา,อรุณฉาย,ท้อง,หย่า,หนี,แต่งงาน,ศศิอักษร

ตอน: บทที่ ๑ - งานเต้นรำ [1]



“รุ้ง! นี่มันใกล้ได้เวลาแล้วนะ เสร็จรึยัง!” สิ้นเสียงนั้นคนที่ถูกเรียกก็แง้มประตูผ้องน้ำ โผล่หน้าออกมาก่อนเป็นอันดับแรก คนที่ยืนรอถึงกับชักสีหน้า กวักมือเรียกเหยงๆ “ออกมาเร็วๆเข้ายายรุ้ง! มัวโอ้เอ้อยู่นั่นแหละ! ตื่นเต้นอะไรนักหนา ฮึ!”

‘ยายรุ้ง’ ค่อยๆก้าวเท้าออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เธอเป็นผู้หญิงร่างกลมกลึง ความสูงน่าจะต่ำกว่ามารตรฐานหญิงไทยเล็กน้อย ชุดที่เธอสวมเป็นชุดราตรีเรียบๆสีขาวแขนล้ำยาวครึ่งน่อง ประดับลูกไม้ตรงชายกระโปรง ผิวของเธอขาวผุดผ่อง แต่ออกจะซีดเล็กน้อย มิได้ขาวอมชมพูแบบสาวสุขภาพดี ยิ่งเมื่อมีเครื่องสำอางแต่งแต้มบนใบหน้าเพียงบางเบา กอปรกับสีหน้าอันซีดเซียวแล้ว เธอก็แทบจะกลืนหายไปไปกับผนังห้องอย่างง่ายดาย

“รุ้งไม่เคยออกงานใหญ่แบบนี้นี่คะพี่ฝน ก็เลยอดตื่นเต้นไม่ได้”

หญิงสาวอธิบายด้วยเสียงอ้อมแอ้ม สองตาแลมองคนตรงหน้าอย่างหวาดหวั่นไม่น้อย บอกชัดเกรงกลัวอีกฝ่ายมากเพียงใด

“เฮ้อ! แกนี่ก็เหลือเกิน! พอจะออกไปพบผู้คนเข้าหน่อย ก็ตื่นเต้นอะไรก็ไม่รู้ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่หายซะทีนะเรา!”

เมื่อยืนเทียบกัน ‘พี่ฝน’ ทั้งสูงโปร่ง บอบบาง เรือนร่างอรชรอ่อนแอ้น ส่วนที่เว้าก็ควรเว้า ส่วนที่โค้งก็ควรโค้ง เห็นได้ชัดเจนจากชุดราตรีเกาะอกสีขาวที่มีส่วนเอวคอดเล็ก ส่วนกระโปร่งนั้นบานพลิ้วไม่ต่างอะไรจากเจ้าหญิงในนิทาน เธอเกล้าผมดัดเป็นลอนของตนเองไว้เป็นมวยกลางศีรษะ ประดับด้วยดอกคาลล่าลิลลี่สีชมพู ใบหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอางไว้อย่างพอเหมาะพอเจาะ คิ้วเรียวโค้งสวย อายไลเนอร์สีดำลายเส้นชัดเจนขับเน้นให้ดวงตากลมโตโดดเด่นขึ้นมาจนสะดุดตา พวงแก้มปัดบลัชออนสีหวาน ส่วนริมฝีปากเต็มอิ่มเคลือบลิปสติกสีชมพูอมส้มไว้เพียงบางๆ ในขณะที่อีกคนนั้น ดูจืดชืดไปถนัดใจ ทั้งใบหน้าที่ค่อนข้างซีด ชุดที่เรียบจนเกินไป และผมที่ทำเพียงปล่อยยาวประบ่าและประดับด้วยที่คาดผมผ้าสักหลาดสีชมพูลายจุดเท่านั้น

“ขอโทษด้วยนะพี่ฝน รุ้งจะพยายามไม่ตื่นเต้นอีกค่ะ” เธอขอโทษขอโพยก่อนเอียงคอมองผู้เป็นพี่สาวด้วยประกายตาที่ฉายฉานถึงความชื่นชมชัดเจน “พี่ฝนสวยจัง”

สายรุ้ง นาฏยรัตน์ ยอมรับในความ ‘ด้อย’ ของตัวเองเสมอมา และไม่เคยอิจฉาหรืออยากเทียบเท่ากับสายฝน...ผู้เป็นพี่สาวเลยแม้แต่น้อย เหตุผลหนึ่งคือเธอชื่นชมพี่สาวคนนี้มาก ไม่ว่าจะเรื่องความสวย การวางตัว ความีเสน่ห์ หรือแม้แต่การเรียนที่เก่งเสียจนได้ทุนไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่มัธยมปลาย

พี่สาวคนนี้เป็นที่หนึ่งตลอดมา ส่วนเธอนั้น...ไม่ใช่ที่สองหรอก แต่เป็นคนที่ไม่มีใครสนใจเลยต่างหาก!

“ขอบใจจ้ะ” เสียงของพี่สาวปลุกให้เธอตื่นจากภวังค์แล้วรีบส่งยิ้มประจบทันที “แต่เธอก็สวยนี่” อีกฝ่ายเอ่ยพลางกวาดตามองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “ดูดีกว่าเดิมเยอะ”

สายรุ้งไม่คิดว่านั่นเป็นคำดูถูกเหยียดหยามแต่อย่างใด เพราะเธอรู้ดีว่าสายฝนพูดออกมาจากใจจริง เป็นความรู้สึกของคนที่มักจะอยู่เหนือคนอื่นเสมอ จนไม่ทันคิดว่าคำพูดของตนเองอาจจะไปสะกิดปมบางอย่างในหัวใจของคนฟังเข้า โชคดีที่เธอเป็นคนมองโลกในแง่ดี จึงถือว่าประโยคนั้นเป็นคำชมที่เธอจะต้องเอ่ยคำขอบคุณ

สายรุ้งเอ่ยขอบคุณออกไปอย่างดีอกดีใจ ก่อนเดินตามอีกฝ่ายออกจากห้อง ลงบันไดไปยังห้องโถง

ตรงกลางห้องโถงนั้นเอง คุณดิลก...ผู้เป็นบิดายืนเอามือไพล่หลังรออยู่ เมื่อหันมาเห็นลูกสาวทั้งสอง จึงรีบเอ่ยปากเร่ง

“เร็วเข้า เดี๋ยวก็ไปไม่ทันหรอก”

เอ่ยพลางมองลูกสาวคนโตด้วยแววตาชื่นชม แต่เมื่อตวัดไปมองลูกสาวคนเล็ก แววตาของท่านก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย...จะรำคาญ ระอา หรือผิดหวัง สายรุ้งก็ไม่อาจอ่านมันออก รู้แค่ว่า...ท่านไม่ชื่นชมเท่าไรนัก

“ไม่มีชุดอื่นแล้วเหรอ”

“ฝนก็ให้ชุดไปลองหลายชุดแล้วค่ะ” ผู้เป็นพี่เหลือบสายตามามองและเป็นฝ่ายตอบแทน “แต่ก็ไม่ยอมเอาสักชุด บอกว่าโป๊ไปบ้าง สั้นไปบ้าง ยาวไปบ้าง โฮ้ย! เรื่องมากนักละคะคุณพ่อ”

คุณดิลกลอบระบายลมหายใจบางเบา ทอดสายตามองสำรวจสายรุ้งอีกอึดใจจึงพยักหน้า

“เอาก็เอา ชุดนี้ก็ชุดนี้” จากนั้นก็จับมือลูกสาวทั้งสองมาคล้องแขนตนเองคนละข้าง พาเดินออกจากบ้าน โดยที่หน้าตัวตึกนั้นมีรถยุโรปคันใหญ่สีดำเงาปลาบจอดรออยู่ นายมั่นพนักงานขับรถรีบกุลีกุจอมาเปิดประตู คุณดิลกให้สายฝนเข้าไปนั่งด้านในก่อน ตัวเองตามไปติดๆ และคนที่เข้ามาคนสุดท้ายคือสายรุ้ง

เมื่อรถเคลื่อนตัว คุณดิลกก็เฝ้ากำชับสายฝนว่าควรจะทำตัวหรือวางตัวเช่นไร ด้วยงาน ‘เดบูตองส์ บอลล์’ เป็นงานสำคัญงานหนึ่งสำหรับเปิดตัวทายาทตระกูลดังซึ่งจัดมาเกือบทุกปี และปีนี้เป็นปีที่ 10 แล้ว โดยจัดตามธรรมเนียมยุโรปโบราณ งานนี้นับเป็นที่ใฝ่ฝันของทายาทตระกูลดังทั้งหลาย ด้วยถือว่าเป็นการเปิดตัวสู่สังคมชั้นสูง ได้แต่หน้าแต่งตัวสวยเฉิดฉายอวดโฉมต่อสาธารณชน และถือเป็นหน้าเป็นตาของครอบครัวอีกด้วย จึงไม่แปลกที่คุณดิลกจะตื่นเต้น และกำชับเรื่องกิริยามารยาทอย่างเข้มงวด

คุณดิลกพูดกับสายฝนยืดยาวจนเกือบจะถึงโรงแรมที่จัดงานจึงหันมาพูดกับลูกสาวคนเล็ก

“แกก็ได้ยินที่พ่อพูดกับพี่ฝนของแกแล้วใช่ไหม”

“ค่ะคุณพ่อ”

“งั้นก็ดี พ่อจะได้ไม่ต้องพูดซ้ำ” ท่านชะแง้แลมองไปข้างหน้า เห็นมีกลุ่มนักข่าวและช่างถ่ายรูปมายืนอออยู่ตรงบันไดหน้าโรงแรม จึงรีบหันมาพูดกับสายรุ้งอีกครั้งว่า “พี่เขาทำอะไรก็ทำตามพี่เขาไป แล้วก็อย่าซุ่มซ่ามให้พ่อต้องขายหน้าละ”

หญิงสาวรับคำอุบอิบในลำคอ ด้วยตนเองก็หวั่นเกรงอยู่เหมือนกันว่าจะทำให้ท่านขายหน้า ครั้งหนึ่งเธอยังจำได้ดี ในวันเกิดของท่าน เธอเคยเดินพลัดตกลงไปในสระว่ายน้ำต่อหน้าสาธารณชนมาแล้ว นับเป็นความอับอายครั้งแรกและพาลทำให้เธอเขย็ดขยาดมาจนทุกวันนี้

นี่อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เธอเกลียดการออกงานและการเข้าสังคมเป็นที่สุด

เมื่อรถจอดเทียบหน้าโรงแรม นายมั่นก็รีบวิ่งมาเปิดประตู สายรุ้งต้องเป็นคนเดินออกจากรถคนแรก หญิงสาวค่อนข้างประหม่า หันมามองผู้เป็นบิดาเล็กน้อย ก่อนจะสูดลมหายใจลึกแล้วก้าวเท้าออกไป แสงแฟลชสว่างวาบจนเธอแสบตา แต่นั่นก็ไม่อาจเทียบได้กับผู้เป็นพี่สาว เพราะหลังจากที่สายฝนปรากฏตัว นักข่าวและช่างภาพก็พร้อมใจกันกดชัตเตอร์ระรัวจนสายรุ้งหวั่นเกรงตนเองจะตาบอดไปเสียก่อนเพราะแฟลชเหล่านี้

คุณดิลกจับมือของลูกสาวทั้งสองคล้องกับแขนของตัวเอง ก่อนเดินไปตามพรหมแดงผ่านประตูกระจกเข้าไปด้านใน

ล็อบบี้ของโรงแรมแห่งนี้ถูกจัดเตรียมให้เป็นที่สำหรับจัดงาน บริเวณรอบๆมีโต๊ะวางอาหารแบบชิ้นเล็กพอดีคำ อยู่สี่ห้าจุด ตรงกลางล็อบบี้มีเปียโนวางตั้งอยู่หนึ่งหลัง ถัดออกมาปูด้วยพรมสีน้ำเงินสำหรับเป็นฟลอร์เต้นรำ

ความจริงสายรุ้งไม่ถนัดเต้นรำเท่าไร แต่บิดาก็เคี่ยวเข็ญอยู่เป็นเดือนจนท่านพอใจ ทว่าพอใจในที่นี้มิใช่ว่าเธอทำได้ดี แต่แค่ดีพอที่จะไม่ทำให้ท่านขายหน้า ส่วนสายฝนนั้นไม่ต้องพูดถึง ไม่ว่าจะทำอะไรเจ้าหล่อนต้องเป็นที่หนึ่งทุกครั้ง เรื่องนี้ก็เช่นกัน คุณดิลกนั้นเห็นลูกสาวคนโตเต้นรำเพียงครั้งก็ถึงกับปรบมือระรัวอย่างชื่นชม และพูดกับบรรดาเพื่อนๆถึงความสามารถของลูกสาวคนนี้ไปอีกสามวันเจ็ดวันเลยทีเดียว

สำหรับสายรุ้งนั้น คุณดิลกไม่ค่อยพูดถึงเท่าไร และก็ไม่มีใครถามถึงเช่นกัน เนื่องเพราะเธอไม่มีอะไรโดดเด่นมากพอที่จะนำมาเป็นจุดเริ่มต้นในการสนทนาได้ เธอหัวอ่อน พูดน้อย เรียบร้อย แถมยังดูขี้อาย จึงไม่ค่อยมีใครมาชวนคุยหรือเล่นหัวกับเธอนัก ทุกคนก็ทำเพียงแค่มองผ่านเลยไป อาจจะส่งยิ้มหรือผงกศีรษะทักทาย...เพียงแค่นั้นก็นับว่ามากพอแล้ว จึงไม่แปลกที่เธอจะรู้สึกว่าตัวเอง ‘ไร้ตัวตน’ อยู่เสมอ

สายรุ้งถูกเดินตามบิดาและพี่สาวไปหาคนนู้นที คนนี้ที ยกมือไหว้ทักทายนับสิบครั้ง แต่ก็ไม่ได้เปิดปากพูดอะไรมากนัก มีเพียงคำว่า ‘ค่ะ’ ‘ใช่ค่ะ’ ‘ไม่ค่ะ’ ‘ขอบคุณค่ะ’ ออกจากริมฝีปากจิ้มลิ้มคู่นั้น เป็นเช่นนี้ตั้งแต่เข้ามาในงานจนกระทั่งได้เวลาเปิดตัว

สตาฟคนหนึ่งเข้ามากระซิบกระซาบกับคุณดิลกว่าให้เข้าไปเตรียมตัวได้แล้ว ท่านจึงพาลูกสาวเดินออกจากกลุ่มสนทนา ตรงไปยังอีกฟากหนึ่งของล็อบบี้ซึ่งบัดนี้มีสาวน้อยหน้าตาดียืนรออยู่สี่คน เมื่อรวมกับบิดามารดาที่ยืนอยู่เคียงกันก็นับรวมได้เกือบสิบคน

คุณดิลกเอ่ยทักทายฝ่ายผู้ใหญ่ และยกมือรับไหว้บรรดาเด็กสาวเหล่านั้น สายฝนเองก็ยิ้มรับอย่างไว้ทีท่าสำหรับคนที่ไม่รู้จัก แต่คนที่เคยพบหน้าพูดคุยกันมาบ้างแล้ว เธอก็จะเอ่ยทักทายสองสามประโยคตามมารยาท ในขณะที่สายรุ้งนั้นกลืนกินไปกับผู้คนอีกครั้ง ไม่มีใครมองเห็นหรือให้ความสนใจเธอเลย นั่นยิ่งตอกย้ำความไร้ตัวตนที่เธอเป็น

สายรุ้งกวาดตามองคนนั้นทีคนนู้นที เมื่อเห็นว่าไม่มีใครทำท่าว่าจะเข้ามาพูดคุยกับเธอ เจ้าตัวก็พอใจที่จะยืนในพื้นที่ของตัวเองเรียบๆรอเวลาที่ต้องเดินเคียงผู้เป็นบิดาออกไปเท่านั้น

เสียงพิธีกรกล่าวทักทายบรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน พูดอะไรอีกสองสามนาที ก่อนจะเริ่มประกาศชื่ของสาวเดบูตองส์ทั้งหกคน ในลิสต์รายชื่อครอบครัวนาฏยรัตน์ออกเป็นครอบครัวสุดท้าย คุณดิลกรีบกำชับลูกสาวทั้งสองว่า

“เดินสวยๆนะฝน รุ้ง ไม่ต้องรีบ เดินช้าๆ แล้วก็โปรยยิ้มไปด้วยนะ เข้าใจไหม”

“โธ่ คุณพ่อคะ ฝนน่ะทำได้อยู่แล้ว คุณพ่อไปดูแลยายรุ้งเถอะค่ะ ดูสิ...หน้าซีดอีกแล้ว!”

ก็จริงอย่างที่สายฝนว่า...ตอนนี้ใบหน้าของสายรุ้งแทบจะไม่มีสีเลือดเลยด้วยซ้ำไป

“รุ้งเอ๊ย ทำหน้าให้มันดีๆหน่อยสิลูก” หญิงสาวหันไปสบตาบิดา แล้วพยายามยิ้มอย่างสุดความสามารถ “น่าน อย่างนั้นแหละ ยิ้มเข้าไว้” สิ้นเสียงนั้นพิธีกรก็ประกาศชื่อสายฝน สายรุ้ง นาฏยรัตน์ พร้อมกับคุณดิลก นาฏยรัตน์ ท่านบับกระชับมือของเธอแล้วก้าวออกจากมุมมืดสู่สปอตไลท์ที่พร้อมใจกันส่องสว่างมาที่จุดเดียว เวลานั้นคุณดิลกก็ยังไม่วายกระซิบเตือน

“งานเปิดตัวลูกวันแรก พ่อไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด”

สายรุ้งเองก็ไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด เธอจึงพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

ทุกก้าวย่างแต่ละก้าว เธอสงบสติอารมณ์ด้วยการนับหนึ่ง สอง สาม...จนมาหยุดอยู่กลางผลอร์เต้นรำ เคียงข้างกับสาวเดบูตองส์คนอื่นๆจึงหยุดนับ

คุณดิลกหันมากระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง สายรุ้งได้ยินแต่กลับไม่เข้าหัวเอาเสียเลย ท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ แสงแฟลชที่วูบวาบจนแสบตา แสงสปอตไลท์ที่เจิดจ้าจนตาพร่า เธอตัวสั่น หวาดกลัวและอยากจะหลบหนีออกไปจากที่โดยเร็ว แต่ก็ทำไม่ได้ เธอไม่กล้าพอ...ไม่กล้าที่จะก้าวอาดๆจากไป และไม่กล้าทำให้บิดาผิดหวัง ท่านผิดหวังกับเธอมาหลายครั้งแล้ว เมื่อเธออยู่ประถม ท่ายเคยหวังให้เธอสอบได้อันดับหนึ่งในสิบของห้องสักครั้ง แต่ทุกครั้งถ้าไม่รั้งท้าย อันดับที่เธอได้ดีที่สุดก็แค่อันดับที่สามสิบเท่านั้น ตอนอยู่มัธยมปลาย ท่านหวังให้เธอตามรอยพี่สาวโดยสอบชิงทุนไปเรียนที่อังกฤษ แต่เธอก็ทำไม่ได้ ตอนเอนทรานซ์ ท่านอยากให้เธอเข้าเรียนในคณะบริหารธุรกิจ แต่เธอกลับเลือกเรียนคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่ง คะแนนสอบเป็นอันดับสุดท้าย หวุดหวิดเกือบไม่ได้ ท่านหัวเสียที่เธอไม่เชื่อฟังไปพักใหญ่ กว่าจะยอมให้อภัยเธอก็เกือบสามเดือน

สายรุ้งไม่ใช่ลูกสาวคนโปรด อาจเพราะหลังจากมารดาคลอดเธอ ท่านก็เสียชีวิต ความทรงจำที่บิดามีต่อเธอ จึงเป็นความเจ็บปวดรวดร้าวและฝังใจจนทำให้ท่านลำเอียง รักลูกสาวคนโตมากกว่าลูกสาวคนเล็ก

เมื่อเสียงเพลงบรรเลงเปลี่ยนท่วงทำนอง และชายหนุ่มหกคนในชุดทักซิโด้สวมหน้ากากเดินเข้ามากลางฟลอร์ สายรุ้งก็ยิ่งประหม่า เธอลอบกลืนน้ำลายอยู่หลายครั้งทั้งที่ลำคอแห้งผาก มือที่จับประสานกันอยู่นั้นสั่นระริก ด้วยเกรงว่าคนอื่นจะเห็นจึงบีบกระชับมันแน่นกว่าเดิม สองตาแลมองเข้าไปในบรรดาแขกเหรื่อ หวังเพียงจะได้สบตากับผู้เป็นบิดาเพื่อขอกำลังใจ เมื่อนั้นเธอจึงได้พบว่าสายตาทุกคู่ไม่ได้แลมาทางเธอเลย เสมือนเธอเป็นเพียง ‘ไม้ประดับ’ และ ‘ไร้ตัวตน’ สำหรับพวกเขาเหล่านั้น

ดีแล้ว...แบบนี้ก็ดี เธอจะได้ไม่ต้องเป็นจุดสนใจอย่างไรเล่า

สายรุ้งบอกตัวเอง พลางผ่อนลมหายใจยาว ทว่า...กลับต้องสะดุดเมื่อสองตาสะดุดเข้ากับดวงตาของใครคนหนึ่ง...ดวงตาที่เต็มไปด้วยพลังอันแรงกล้า มีประกายระยิบ และมีความรู้สึกอันหลากหลายอยู่ในนั้น

ดวงตาคู่นั้นทอดตรงมา...สายรุ้งมั่นใจว่าเป็นดวงตาเพียงคู่เดียวที่จับจ้องเธออยู่

แค่คู่เดียวเท่านั้นที่ให้ความสนใจเธอ

และเป็นคู่เดียวที่ทำให้เธอต้องจับกระโปรงของตัวเองเพื่อลดความประหม่า





ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 มิ.ย. 2559, 09:50:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 มิ.ย. 2559, 09:50:55 น.

จำนวนการเข้าชม : 1535





   บทที่ ๑ - งานเต้นรำ [2] >>
คิมหันตุ์ 29 มิ.ย. 2559, 16:02:10 น.
โอ้วววววว รออ่านอีกรอบจ่ะ


Zephyr 30 มิ.ย. 2559, 08:46:43 น.
อ่านอีกๆๆๆ ชอบๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account