มงกุฎแสงดาว (พิริตา) (เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book)
‘วาวพลอย’ เจ้าหญิงพลัดถิ่นผู้ไม่เคยรู้สถานะของตัวเองมาก่อน
จนกระทั่งวันหนึ่งที่ถูกคุกคามด้วยภัยและความจริง การพลัดพรากจากคนที่รักก็มาถึง
พร้อมกับการเดินทางกลับสู่ ‘บ้าน’ ที่เธอไม่เคยรู้จักก็เริ่มต้นขึ้น


ด้วยการนำทางของ ‘หัสตะ’ ชายหนุ่มลูกครึ่งอดีตหน่วยซีลผู้เก่งกล้าสามารถ
ท่ามกลางเส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรค อันตรายที่ทั้งคู่ต้องร่วมกันฝ่าฟัน
ความรู้สึกบางอย่างได้ถักทอขึ้นในหัวใจทั้งสองดวง
แต่ทว่าชาติกำเนิดในอดีตกลับเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่กว่า
เจ้าหญิงและผู้นำทางจะทำอย่างไรกับความรักที่ไม่เห็นหนทางเป็นไปได้


Tags: เจ้าหญิง เจ้าชาย มงกุฎ แสงดาว ติดเกาะ โจรสลัด หน่วยซีล ทะเล

ตอน: บทที่ 42




เปิดจอง‘มงกุฎแสงดาว’
นิยายรักโรแมนติค ผสมผสานการผจญภัย แอ็คชั่น สนุกสนาน และน่าลุ้น!!
จะเป็นอย่างไรเมื่อเจ้าหญิงพลัดถิ่นต้องเดินทางกลับบ้านเมืองของตน
ด้วยการนำทางของหนุ่มลูกครึ่งอดีตหน่วยซีลฯ ที่เป็นดังแสงสว่าง
และแฝงไปด้วยอดีตที่เกี่ยวพันกันอย่างไม่น่าเชื่อ
มงกุฎแสงดาว มี 2 เล่มจบ ราคาเล่มละ 289 บ.
2 เล่ม ในราคาพิเศษเพียง 548 บ. ค่าจัดส่งแบบลงทะเบียน 40 บ.
สั่งจองได้ทาง กล่องข้อความ http://web.facebook.com/pirita.boonta
หรือในเพจ ‘พิริตา อเมทริน นักเขียน’
Email: kanplu@windowslive.com
โทร.062665624 หรือทางไลน์ ID: pirita-ametrine
สั่งพิมพ์ประมาณต้นเดือนสิงหาคมนี้จ้า!!


อัพไม่จบนะคะ อัพประมาณ 70% ค่ะ หากต้องการสั่งจองตอนนี้สามารถโอนเงินได้เลยนะคะ อัพฯ วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วสั่งพิมพ์เลยค่า

บทที่ 42

ภายในห้องพักของเจ้าชายอุชเชน ที่อยู่ด้านหนึ่งของบ้านพักรับรอง ตอนนี้มีเสนาฯ ระสังเข้ามานั่งพูดคุย ปรึกษาหารือเกี่ยวกับเรื่องราวสำคัญบางอย่าง

“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าที่พวกไอ้เฒ่าโสตถีมันพาเรามาหยุดพักที่เมืองนี้... อาจเป็นเพราะต้องการทำอะไรบางอย่าง” สีหน้าของเสนาฯ ระสังตอนนี้ดูเคร่งเครียด ทำให้อุชเชนมองอย่างไม่แน่ใจ

“ท่านอาหมายถึง เรื่องของ... ” ไม่ต้องเอ่ยใจความสำคัญออกมา ทั้งสองมองตากันก็เข้าใจ

“ใช่ แต่ข้าก็ให้คนไปดูลาดเลาที่หมู่บ้านเก่าของ เจ้าชายอุชเชน แล้ว เดี๋ยวคงได้รู้กัน” เสนาฯ ระสังเอ่ยต่อ

เพราะเมืองทักขิเณเป็นบ้านเกิดของเจ้าชายอุชเชนตัวจริง ที่เสียชีวิตไปตั้งแต่อายุหกขวบพร้อมครอบครัว และคนในหมู่บ้านเกือบทั้งหมด ทำให้หมู่บ้านแห่งนั้นล่มสลายเหมือนกับหมู่บ้านเล็กๆ มากมายในตอนนั้น

ตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านระสังไม่เคยกังวลใจว่าจะมีคนมาขุดคุ้ยสิ่งที่ตนทำ แต่มาตอนนี้เขาชักไม่แน่ใจเสียแล้ว เพราะทางฝ่ายเสนาฯโสตถีมีความเคลื่อนไหวแปลกๆ และน่าสงสัย

ท่านระสังลืมไปว่าแม้ครอบครัวญาติพี่น้องของอุชเชนจะตายลงไปพร้อมกันกับเขา แต่อาจจะมีคนเก่าคนแก่ในหมู่บ้านบางคนที่รอดชีวิตจากการกวาดล้างครั้งนั้น และไปตั้งรกรากอยู่ที่อื่น

หากเป็นเช่นนั้นจริง นั่นอาจจะเป็นเบาะแสสำคัญที่สามารถนำพาความหายนะมาสู่ตนและหลานชายได้ เขาจึงจัดการสั่งคนให้ไปตามดู และหากมีอะไรสุ่มเสี่ยงก็ให้จัดการคนพวกนั้นได้เลย

“แล้วเราจะจัดการยังไงกับอีนังชลันตาต่อไปล่ะท่านอา นี่ก็จะเดินทางกลับกันรอมร่อแล้ว แต่เราก็ยังทำอะไรมันไม่ได้ ไอ้ปาระมีมันอารักขาเสียแน่นหนาอย่างนั้น” ก่อนที่ทั้งคู่จะพูดคุยกันต่อเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“เจ้าชายอุชเชน มีทหารติดตามคนหนึ่งต้องการเข้าเฝ้า บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะมารายงานพ่ะย่ะค่ะ” ทหารที่เฝ้าอยู่ด้านนอกรายงานมา

“ให้เข้ามาได้” ทันทีที่ทหารติดตามคนนั้นนั่งลงแสดงความเคารพ อุชเชนก็ถามขึ้นทันที

“เจ้ามีความคืบหน้าอะไร”

“คือ... เมื่อครู่กระหม่อมได้คุยกับนายโก๋ น้องชายเจ้าหญิง

รัชทายาท เขาบอกว่าพึ่งกลับมาจากบ้านเก่าของท่านหญิงอัมพรพ่ะย่ะค่ะ”

“บ้านนางอัมพรอย่างนั้นหรือ... ” เสนาฯ ระสังมีท่าทีครุ่นคิด ก่อนเปรยขึ้น

“อืมม์ จริงสิข้าก็ลืมไปว่านางอัมพรกับไอ้ธาวันมีบ้านอยู่ที่นี่เหมือนกัน แม้จะอยู่คนละหมู่บ้านก็ตาม ข้าคิดว่ามันเป็นบ้านร้างไปแล้วเสียอีก ว่าแต่พวกนั้นจะไปกันอีกไหม” แล้วถามขึ้นในตอนท้าย

“เห็นว่าต้องรอให้เจ้าหญิงเสร็จภารกิจก่อน ถึงจะไปบ้านนั้นอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ” ทหารนายนั้นรายงานต่อ

“ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าเจ้าหญิงก็จะต้องไปด้วยน่ะสินะ” ชายวัยห้าสิบกว่าปีคาดการณ์ ก่อนจะหันมาทางทหาร

“เจ้าไปสืบข่าวมาให้แน่ชัดว่าเจ้าหญิงจะไปที่นั่นด้วยหรือไม่ ไปเมื่อไหร่ ยังไง” แล้วจึงสั่งการ พร้อมล้วงเอาเงินออกมาจากกระเป๋าเสื้อส่งให้คนรายงานข่าว ซึ่งก็รีบรับไปด้วยท่าทางกระตือรือร้น

“ไม่ว่ายังไงงานนี้ก็ต้องให้สำเร็จ และถ้าจะให้แน่นอนเราคงต้องลงไปจัดการเองกับมือ” เสนาฯ ระสังหันมาทางหลานชายแท้ๆ อีกครั้ง เมื่ออยู่กันตามลำพัง

ด้วยตระหนักดีว่าสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการกำจัดเจ้าหญิง

รัชทายาทให้สิ้นไป เพราะนี่คือโอกาสสุดท้าย หากปล่อยให้เจ้าหญิงมีชีวิตอยู่ และกลับเมืองหลวงไปได้ นั่นหมายถึงชีวิตของพวกเขาก็จบสิ้นเช่นกัน งานนี้พลาดไม่ได้เด็ดขาด

“ได้เลยท่านอา ข้าก็อยากจะจัดการกับมันเต็มแก่แล้ว ไม่อยากอยู่หงอๆ อย่างนี้ไปตลอดหรอกนะ” อุชเชนตัวปลอมบอกอย่างหมายมั่น ดวงตาวาวโรจน์นั้นเต็มไปด้วยความโหดร้าย

*-*-*-*-*-*

เจ้าหญิงรัชทายาทชลันตาปฏิบัติภารกิจ ตรวจเยี่ยมประชาชนตามพื้นที่รอบนอกของเมืองทักขิเณ แต่ก็กลับมาพักยังตัวเมืองซึ่งเป็นที่ปลอดภัยกว่า

จนกระทั่งเสร็จสิ้นภารกิจ เจ้าหญิงจึงตัดสินใจอยู่พักผ่อนต่ออีกสอง-สามวัน และได้พากันเดินทางไปยังบ้านเก่าของนางอัมพร ตามที่ได้พูดคุยกันไว้

นอกจากนางอัมพร ตะวันพราว โก๋ ก็มีปาณา ปาระมีกับทหารสาม-สี่นายที่ติดตาม เพราะเจ้าหญิงรัชทายาทไม่อยากให้เอิกเกริก จึงได้ออกเดินทางโดยไม่บอกใคร

พอรถจอดตรงหน้าบ้านที่มีกำแพงสร้างจากอิฐสีแดงดูเก่าคร่ำคร่า

วาวพลอย ปาณา ปาระมีก็พากันก้าวตามนางอัมพรกับตะวันพราวและโก๋เข้าไปด้านใน ตัวบ้านหลังใหญ่โตชั้นเดียวสร้างจากอิฐและดิน ผสมไม้บางส่วน

รูปทรงโดยรวมของบ้านโค้งเหมือนตัวยู ตรงกลางเป็นลานโล่งกว้างที่ใช้ทำกิจกรรมร่วมกันของสมาชิกในครอบครัว แบบบ้านเรือนทั่วไปของริตถาวดี ที่มักอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ ตระกูลใครตระกูลมัน

แม้โครงสร้างทั่วไปของบ้านจะยังคงดูสมบูรณ์ แต่ก็มีบางส่วนที่ชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา อีกทั้งบางส่วนยังมีร่องรอยของการถูกเผาทำลายจากยุคกบฏหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง

พอคนทั้งหมดก้าวเข้าไปถึงด้านในตัวบ้าน ชายหญิงชราคู่หนึ่งก็รีบออกมาต้อนรับ

“ท่านหญิง ท่านกลับมาแล้วจริงๆ ด้วย” นางอัมพรรีบจับมือคนทั้งคู่เอาไว้

“ป้าอุนกับลุงนีสิน เป็นคนดูแลบ้านนี้มาตลอดหลังยุคกบฏ ป้าอุน ลุงนีสินนี่คือเจ้าหญิงรัชทายาท และท่านปาระมีแม่ทัพใหญ่ กับน้องสาวชื่อปาณา” นางอัมพรแนะนำ ทั้งสองทรุดตัวลงนั่งแสดงความเคารพเจ้าหญิงรัชทายาท

“ลุกขึ้นเถอะค่ะท่านลุง ท่านป้า ตามสบายเถอะค่ะ” วาวพลอยบอกด้วยรอยยิ้ม สองสามีภรรยาจึงลุกขึ้น แต่ก็ยังมีท่าทีนอบน้อม ก่อนจะทักทายปาระมีและปาณาต่อ

“เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปจัดเตรียมอาหารให้เจ้าหญิงและทุกคนนะ

เพคะ” ป้าอุนบอกหลังจากทักทายกันพอหอมปากหอมคอแล้ว

“ตามกระหม่อมเข้ามาพักในห้องรับแขกดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” ลุงนีสินเองก็กระวีกระวาดเชื้อเชิญเจ้าหญิงและทุกคนในกลุ่ม

“ใครอยากจะพักก็ตามลุงนีสินไปได้นะ เดี๋ยวฉันกับลูกขอตัวสำรวจดูรอบๆ บ้านก่อน คราวที่แล้วมากลางคืนเลยยังไม่ได้สำรวจตรวจตราเลย” นางอัมพรหันไปบอกกลุ่มคนที่ตามมาด้วย

“ผมเองก็อยากเห็นบ้านเก่าแก่หลังนี้ทุกซอกทุกมุมเหมือนกันครับ เพราะนี่เป็นสถาปัตยกรรมแบบริตถาวดีแท้ๆ ที่หาดูได้ยากนักในเมืองหลวง เราน่าจะอนุรักษ์ไว้นะครับ” ปาระมีว่า

“ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะมาซ่อมแซมอยู่เหมือนกัน” นางอัมพรว่า ขณะเดินนำลูกๆ และสองพี่น้องปาระมี ปาณาไป

“ถ้าอย่างนั้น หลังจากกลับไปเมืองหลวงแล้ว หากมีเวลาพราวขอมาซ่อมแซมเองได้ไหมคะแม่ เพราะยังไงที่นี่ก็เป็นบ้านที่พราวเกิด พราวอยากดูแลให้ดีที่สุดค่ะ” ตะวันพราวบอก สายตายังมองสำรวจไปตามผนังอิฐสีซีดจาง

“ถ้าลูกไม่กลับเมืองไทยก็เอาสิ แม่ก็ว่าดีเหมือนกัน เรามีห้องหับเยอะแยะ เพราะตอนนั้นมีทั้งคุณปู่คุณย่า แล้วก็ญาติพี่น้องที่อยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่

“หลังจากเกิดการกบฏก็แตกซ่านกันไปคนล่ะทาง ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง แม่อยากตามหาพวกเขาอยู่เหมือนกัน อยากให้กลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนวันเก่าอีกครั้ง” นางอัมพรเปรยในตอนท้ายอย่างเศร้าๆ

การกลับมายังสถานที่ที่มีอดีตฝังใจ มันทำให้ภาพความทรงจำครั้งเก่าเด่นชัดอยู่ในใจ และนางก็คิดถึงทุกคนที่เคยผูกพันยิ่งนัก

“พราวเองก็อยากอยู่ในบรรยากาศแบบนั้นเหมือนกันค่ะแม่ ไว้ทุกอย่างพร้อมแล้วเราค่อยออกตามหาญาติๆ กันอีกทีนะคะ” ตะวันพราวรีบบอกแม่อย่างเอาใจ นางอัมพรเองก็ยิ้มรับ

“ความจริงตอนนี้เราน่าจะค้างคืนกันที่นี่นะคะ พลอยอยากพักที่นี่จัง มันสวย คลาสสิคดี” วาวพลอยพูดขึ้นบ้าง

“โก๋ก็อยากค้างเจ๊ คงฟินสุดยอด” โก๋ที่อยู่อีกด้านหันมาสนับสนุน ท่าทางหมายมาด

“ไม่ได้หรอกลูก ตอนนี้คงไม่สะดวก รอให้ซ่อมแซมเสร็จก่อนแล้วค่อยมาพักดีกว่า บ้านหลังนี้เปล่าร้างมานาน แม้จะมีป้าอุนกับลุงนีสินดูแลอยู่ แต่ก็คงไม่ทั่วถึงเพราะแก่มากแล้ว ที่ยังเฝ้าให้เราอยู่นี่ก็บุญแล้ว” นางอัมพรค้านขึ้น

“พี่เห็นด้วยกับท่านหญิงอัมพรนะเจ้าหญิง ถ้าเจ้าหญิงต้องการจะมาพักจริงๆ กลับไปถึงเมืองหลวงพี่จะจัดส่งคนมาปรับปรุงซ่อมแซมให้ดีกว่าไหม” ปาระมีเสริมและถามอยู่ในที

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ท่านปาระมี ฉันอยากจัดการบ้านของฉันเองคงไม่รบกวนท่านหรอกค่ะ” ตะวันพราวขัดขึ้นอย่างไม่ชอบใจนัก

“ผมว่าเอาไว้ตอนนั้นเราค่อยว่ากันอีกทีดีกว่านะครับ” ชายหนุ่มตัดบทนิ่มๆ ด้วยไม่อยากให้เกิดการต่อล้อต่อเถียงกันขึ้น อีกฝ่ายจึงเงียบเสียง

หลังจากเดินดูไปทั่วบ้านหลังใหญ่โตที่บ่งบอกฐานะของขุนนางในสมัยเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนแล้ว ทั้งหมดก็ได้ร่วมรับประทานอาหาร ก่อนจะพักผ่อนกันตามอัธยาศัย

*-*-*-*-*-*

จนกระทั่งบ่ายจึงได้ออกเดินทางกลับบ้านพักรับรอง ระหว่างทางส่วนมากเป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน อีกทั้งเต็มไปด้วยป่าไม้ทึบ จึงทำให้อากาศของเมืองนี้ค่อนข้างเย็นสบายในเวลากลางวัน แต่กลับหนาวจับใจในเวลากลางคืน

บางช่วงมีบ้านเรือนที่สร้างจากดินผสมไม้ตามสถาปัตยกรรมดั้งเดิมให้เห็นอยู่ประปราย วาวพลอยจึงเฝ้ามองทัศนียภาพสองข้างทางอย่างเพลิดเพลิน

แต่ทว่าขณะที่รถกำลังแล่นผ่านป่าไม้หนาทึบ จู่ๆ รถนำหน้าขบวนก็เบรกกะทันหัน ทำให้รถที่ตามมาต้องเบรกตาม เสียงล้อรถเบียดกับถนนดังสนั่นไปทั่ว พร้อมกับคนโดยสารหัวคะมำไปตามๆ กัน

“เกิดอะไรขึ้นคะ” วาวพลอยถามด้วยความตกใจ

“พี่ไม่แน่ใจ ทุกคนห้ามออกจากรถนะ” ปาระมีสั่ง สายตาจับจ้องไปบนถนน ทหารในรถนำทางคันหน้าลงมาจากรถพร้อมอาวุธ

“คุณพราว ดูแลทุกคนในรถด้วยนะ ผมจะออกไปดูด้านนอก” เขาหันมาทางตะวันพราว พลางส่งปืนพกสั้นให้หญิงสาว

“ท่านปาระมี ผมไปด้วยครับ” โก๋บอก และเปิดประตูรถออกไปก่อนชายหนุ่มจะทันอนุญาตด้วยซ้ำ ปาระมีจึงรีบตามลงไป

วาวพลอยมองตามร่างของปาระมีกับโก๋ ที่มีท่าทางระมัดระวังทุกฝีก้าว พอไปถึงรถคันหน้าเขาได้สอบถามอะไรบางอย่างกับทหารที่กำลังตรวจสอบยางรถยนต์อยู่ แต่เพียงครู่เสียงปืนก็ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว การต่อสู้ของทหารฝ่ายปาระมีกับกองกำลังไม่ทราบฝ่ายก็เกิดขึ้นอย่างดุเดือด

“ทุกคนหมอบลง” ตะวันพราวร้องบอกทุกคนในรถ

ทั้งวาวพลอย ปาณา นางอัมพร ต่างก็หมอบอยู่ในรถกันกระสุนด้วยใจเต้นระทึก จนกระทั่งรู้สึกถึงเสียงเคาะ ทุบกระจกและตัวรถดังระรัว รถไหวโยกเยก

และพอหญิงสาวเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นคนร้ายเป็นชายร่างกำยำ สวมชุดดำ มือถือปืน มีผ้าปิดบังใบหน้าเอาไว้ และมันกำลังผลักร่างของโก๋มาปะทะกระโปรงรถ แล้วเอาปืนจ่อหัว

ขณะเดียวกันนั้นเอง พรรคพวกของมันที่อยู่ด้านหลังต่างก็กำลังต่อสู้กับพวกปาระมีและทหารอย่างดุเดือด

“โก๋...โก๋ถูกจับ มันกำลังจะฆ่าโก๋” วาวพลอยร้องขึ้นเสียงดังด้วยความตื่นตกใจ เมื่อเห็นคนร้ายพูดอะไรสักอย่าง แต่ไม่ได้ยินเพราะกระจกปิดกั้นอยู่

“โก๋ โก๋หลานป้า ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยด้วย!! ” นางอัมพรกรีดร้องอีกคน

“แม่คะ ใจเย็นๆ ค่ะแม่ มันยังไม่ฆ่าโก๋หรอกค่ะ มันแค่ขู่” ตะวันพราวบอกมารดา ก่อนหันมาทางวาวพลอย

“อยู่กันในนี้นะ พี่จะออกไปช่วยโก๋เอง” หญิงสาวกำลังจะเปิดประตู แต่วาวพลอยกลับดึงมือพี่สาวไว้

“ไม่ค่ะพี่พราว มันต้องการตัวพลอย พี่พราวอยู่ที่นี่ดูแลแม่และทุกคน แล้วค่อยหาทางช่วยพลอยนะคะ” ดวงตาของวาวพลอยเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว อย่างที่คนเป็นพี่สาวไม่เคยเห็นมาก่อน

“แต่ว่า... ” ตะวันพราวค้านได้เพียงแค่นั้น เพราะวาวพลอยเปิดประตูออกไปเสียแล้ว

“ปล่อยคนที่ไม่เกี่ยวข้องไปซะ ถ้าอยากได้ตัวหรือหัวฉันก็เอาไป” หญิงสาวก้าวลงจากรถแล้วจึงตะโกนบอกคนร้าย

“โอ้โฮ... ใจเด็ดเสียด้วยเจ้าหญิง” มันพูดแล้วปล่อยมือจากโก๋ที่สะบักสะบอม และล้มลงทันทีเมื่อไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้ง ก่อนจะคว้าแขนของเจ้าหญิงรัชทายาทแทน

“พูดง่ายๆ อย่างนี้ค่อยยังชั่ว” มันว่าพร้อมกับค่อยๆ ดึงร่างของหญิงสาวให้ออกเดิน

วาวพลอยกวาดมองไปทั่วหวังหาทางช่วยเหลือตัวเอง แต่พอเห็นพวกมันที่ยืนเรียงรายกันอยู่อีกสี่-ห้าคน พร้อมอาวุธครบมือแล้วเธอก็ได้แต่ปลงใจ

“อย่าตุกติกนะโว้ย ไม่อย่างนั้นตายหมดทุกคนแน่” มันว่าพลางดึงแขนเจ้าหญิงให้ออกเดินตาม ท่ามกลางเสียงปืนที่ยังดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว

“เจ้าหญิงถูกจับตัวไปแล้วท่านปาระมี” ทหารที่ยังยิงปืนต่อสู้อยู่ข้างๆ ชายหนุ่มบอก ปาระมีเองก็เห็นกลุ่มคนร้ายกำลังลากตัวเจ้าหญิง

รัชทายาทเข้าไปในป่าข้างทางเช่นกัน

“ฉันจะไปช่วยเจ้าหญิง นายกับพวกช่วยคุ้มกันพวกเราทางนี้ด้วย แจ้งกองกำลังของเราให้มาช่วยด่วน” เขาสั่ง แล้วร่างของปาระมีก็กระโจนหายไปในป่าข้างทางอีกคน

*-*-*-*-*-*

ร่างบอบบางถูกลากเข้าไปในป่าอย่างรีบเร่ง บางช่วงที่หกล้มก็จะถูกลากไปอย่างไร้ความปราณี เธอมองไม่เห็นทางที่จะมีคนมาช่วย เพราะปาระมีเองก็โดนสกัดเอาไว้และคงต้องช่วยคุ้มกันคนที่เหลือ

แต่ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าให้คนเหล่านั้นต้องมาเป็นอะไรไปเพราะเธอ ขอให้ทุกคนปลอดภัยด้วยเถิด วาวพลอยพร่ำวอนอยู่ในใจ หญิงสาวรู้ดีว่าใครคือคนที่ต้องการฆ่าเธอ แม้ไม่รู้ว่าจุดจบจะเป็นยังไงก็ตาม

วาวพลอยวิ่งตามแรงดึง แต่เสียงปืนที่ดังขึ้นนัดหนึ่งทำให้เจ้าของร่างบางต้องกรีดร้องออกมา พร้อมกับร่างของคนที่กำลังดึงแขนเธอล้มลงในทันที พวกมันที่เหลือต่างก็กราดยิงไปทั่วทุกทิศทาง

“พาเจ้าหญิงไปพบนายตามที่นัดก่อน” ใครคนหนึ่งในกลุ่มร้องขึ้น

แต่มันกลับถูกยิงล้มลงเป็นรายต่อมา และตามมาด้วยอีกคน จนกระทั่งคนสุดท้ายล้มลงไปกองกับพื้น ร่างสูงโปร่งของปาระมีจึงปรากฏขึ้น

“เจ้าหญิงเป็นยังไงบ้าง” ปาระมีรีบวิ่งเข้ามาหาเจ้าหญิงรัชทายาท แต่ทว่าเสียงปืนก็ดังขึ้นอีกนัดหนึ่ง คราวนี้ร่างของปาระมีล้มลงกับพื้นพร้อมเลือดสีแดงไหลทะลัก

“ท่านพี่ปาระมี! ” เจ้าหญิงรัชทายาทกรีดร้องด้วยความตกใจระคนหวาดหวั่น

“ฆ่ามันให้ตายทั้งคู่เลย” เสียงนั้นช่างคุ้นหูวาวพลอยยิ่งนัก แต่เธอก็ไม่ได้แปลกใจ เมื่อเห็นเจ้าของเสียงก้าวออกมาจากที่ซ่อนพร้อมลูกน้อง

“อย่านะอุชเชน ถ้าจะฆ่าก็ฆ่าฉันอย่าเอาคนอื่นมาเกี่ยวข้อง” หญิงสาวบอกคนที่ก้าวเข้ามาใกล้ด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ตอนนี้เธอพร้อมแล้วที่จะตาย ขอเพียงแต่ให้คนที่เธอรักปลอดภัยเท่านั้น

“ฮ่าๆ ๆ ๆ เจ้าหญิงรัชทายาทช่างน่าสมเพชนัก ฆ่าแกคนเดียวแล้วจะให้ไอ้พวกนี้มันมาจับข้าไปประหารชีวิตหรือไง” อุชเชนตัวปลอมว่าพลางหัวเราะร่า

“แกมันโหดเหี้ยมนักอุชเชน เสด็จพ่อจะไม่มีวันให้อภัยแกเด็ดขาด” คำพูดของเจ้าหญิงรัชทายาท ทำให้เสียงหัวเราะของอุชเชนสะดุดกึก เขาจ้องวาวพลอยด้วยดวงตาวาววับ

“อีนังชลันตา อย่ามาแสแสร้งทั้งที่รู้ดีว่าข้าเป็นใคร เสด็จพ่อบ้าบออะไรข้าไม่สนทั้งนั้น ข้าสนเพียงแต่ราชบัลลังก์ของริตถาวดีเท่านั้น แต่แกก็ทำลายทุกอย่างที่ข้ากับท่านอาสร้างมา แกกับพวกทำให้ข้าเหลืออด ฆ่ามันทั้งคู่ซะ!! ” ตอนท้ายเขาหันไปสั่งคนติดตามที่เตรียมพร้อมอยู่ใกล้ตัว

วาวพลอยหลับตาปี๋และคิดว่าตัวเองคงต้องตายแน่แล้ว แต่ทว่าพอเสียงปืนดังขึ้น มือของเธอกลับถูกฉุดดึงด้วยความรวดเร็ว หญิงสาววิ่งตามแรงดึง

แว่บหนึ่งเธอหันไปทางที่ปาระมีนอนจมกองเลือดอยู่เมื่อครู่ แต่กลับไม่เห็นร่างของเขา วาวพลอยจึงคิดว่ามือที่ฉุดดึงตัวเองอยู่นั้นเป็น

ปาระมี

“ท่านพี่... ” หญิงสาวเรียกพลางวิ่งตามไม่ลดละ แต่อะไรบางอย่างบอกกับเธอว่าไม่ใช่ปาระมี

ร่างสูงใหญ่ที่คุ้นเคยทำให้หัวใจที่เต้นแรงด้วยความหวาดกลัวอบอุ่นขึ้นมาในทันใด แต่เธอก็ไม่อาจพูดอะไรต่อได้อีก เนื่องจากอุชเชนกับพวกกำลังตามมาอย่างกระชั้นชิดทั้งสองจึงวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต

จนกระทั่งถึงธารน้ำตกขนาดใหญ่ ซึ่งห่างไปไม่กี่เมตรเป็นผาน้ำตกสูงชัน เสียงของน้ำที่ตกลงไปยังเบื้องล่างกลบสรรพเสียงอื่นๆ เกือบหมดสิ้น เจ้าของร่างสูงใหญ่ดึงร่างของวาวพลอยไปทางด้านข้างของธารน้ำตกที่มีโขดหินใหญ่เรียงรายกันอยู่เต็มไปหมด

“คุณหัสตะ” หญิงสาวเรียกเขาเสียงสั่น ความตื่นเต้นดีใจที่ไม่คิดว่าจะมีมากมายทำให้น้ำตาของเธอคลอเอ่อ

“ไม่ต้องกลัวผมอยู่นี่แล้ว จะไม่มีใครมาทำอะไรคุณได้” ชายหนุ่มเอื้อมมือมาแตะแก้มนวลปลอบประโลม วาวพลอยโผเข้ากอดร่างนั้นเอาไว้แน่น น้ำตามากมายหลั่งไหลออกมาอย่างไม่อาจระงับเอาไว้ได้

“เข้มแข็งเอาไว้นะเจ้าหญิง” เขากระซิบโอบกอดปลอบโยน แต่เพียงครู่เดียวก็รั้งร่างบางออกจากอก

“ตอนนี้อุชเชนมันกำลังตามล่าเราอยู่ คุณอยู่ที่นี่นะ ผมจะล่อมันไปทางอื่นเอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอย่าออกไปเด็ดขาด จนกว่าคนของท่าน

ปาระมีจะมาถึง” หัสตะบอก ทำท่าจะผละไป แต่วาวพลอยดึงแขนเขาไว้

“ไม่ได้นะคะ อุชเชนมีคนตั้งมากมาย คุณคนเดียวจะไปสู้มันได้ยังไง” พลางรีบร้องขึ้นด้วยความเป็นห่วง

“แต่ถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่างมันจะต้องตามตัวคุณเจอ คุณรอผมอยู่ที่นี่ ผมจะกลับมารับทันทีที่เรื่องจบลง ผมสัญญา” หัสตะจับมือบางบีบกระชับ

“แต่ว่า... ” ดวงตาคู่สีเทาอมฟ้าที่เธอแสนคิดถึงนั้นเต็มไปด้วยความจริงจัง ทำให้หญิงสาวถึงกับพูดไม่ออก

“ผมรักคุณนะวาวพลอย รักคุณมาก” น้ำเสียงนั้นเจือกระแสนุ่มนวลอ่อนโยนอย่างที่เธอเคยคุ้น

ชายหนุ่มจ้องดวงตาคู่หวานซึ้งเพื่อยืนยันสิ่งที่อยู่ในหัวใจอีกครั้ง และวาวพลอยก็สัมผัสได้ด้วยหัวใจของเธอเอง เวลานี้หญิงสาวลืมทุกความรู้สึกที่เคยขวางกั้นหัวใจของเขากับเธอไปหมดสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในใจจึงพรั่งพรูออกมา

“พลอยก็รักคุณค่ะ พลอยคิดถึงคุณ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร พลอย... ” ถ้อยคำเหล่านั้นถูกกลืนหายไป

เมื่อหัสตะโน้มใบหน้าลงมา และปิดปากบางนั้นเอาไว้ด้วย

ริมฝีปากของเขา ไม่มีถ้อยคำใดจะเปิดเปลือยความรู้สึกได้ดีกว่าสัมผัสแห่งหัวใจนี้อีกแล้ว

ความคิดถึงและโหยหาจากช่วงเวลาที่ห่างเหินกันไป ทำให้จุมพิตของทั้งคู่ดูดดื่ม ลึกซึ้งถ่ายทอดความรู้สึกในหัวใจให้แก่กันและกัน ประหนึ่งว่าช่วงเวลาที่ห่างเหินนั้นเนิ่นนานเหลือเกิน ทั้งสองร่างกอดกันแนบแน่นด้วยไม่อยากพรากจากกันอีก

จนกระทั่งชายหนุ่มถอนริมฝีปากออกมา ต่างประสานสายตากันอยู่ชั่วครู่ ในใจของทั้งคู่ตระหนักดีว่ามีความจริงที่น่าหวาดหวั่นรออยู่ และทางเดียวที่ต้องทำก็คือ... เผชิญกับมัน

“ระวังตัวด้วยนะคะ” หญิงสาวบอกอย่างเป็นห่วง

หัสตะทำเสียงรับในลำคอพร้อมกับรั้งร่างบอบบางมากอดแนบแน่นอีกครั้ง ก่อนจะผละออกไปจากที่กำบัง

*-*-*-*-*-*

วาวพลอยมองตามร่างของหัสตะที่วิ่งไปอีกทางด้วยใจไหวหวั่น พอดีอุชเชนกับพวกหันมาเห็นหัสตะเข้าก็รีบตามไปในทันที พร้อมกับเสียงสั่งการดังก้องไปทั่วราวป่า

ก่อนที่จะได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกหลายครั้ง จนกระทั่งครู่ใหญ่จึงเห็นหัสตะกลับมา ร่างของเขาเปรอะไปด้วยเลือดขณะกำลังข้ามธารน้ำตก ที่น้ำลึกเกือบถึงเอว วาวพลอยรู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง ลืมคำสั่งของเขาไปหมดสิ้น

“คุณหัสตะ คุณต้องไม่เป็นไรนะ” หญิงสาวรีบวิ่งออกจากที่กำบังเข้าไปหาชายหนุ่ม แต่ทว่าทั้งคู่ยังไม่ทันเข้าใกล้กัน

“หยุดนะไอ้หัสตะ! ” เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังของหัสตะ

ทำให้ร่างสูงใหญ่หยุดอยู่กลางสายน้ำ ที่กำลังไหลลงไปสู่ผาน้ำตกสูงชันซึ่งอยู่ห่างไปเพียงไม่กี่เมตร อุชเชนซึ่งมีสภาพบาดเจ็บสาหัสไม่ต่างกันกับหัสตะ ถือปืนเล็งมายังร่างสูงใหญ่กลางสายน้ำ พร้อมกับค่อยๆ ลุยน้ำตรงมายังจุดที่หัสตะยืนอยู่

“อย่านะ อย่าทำเขา แกอยากจะฆ่าก็ฆ่าฉัน อย่าฆ่าเขา” วาวพลอยที่หยุดนิ่งอยู่กับที่ร้องบอก นั่นทำให้อุชเชนหันมาทางเธอ

“รักกันจริงนะ ถ้าอย่างนั้นแกก็เข้ามาอยู่ข้างๆ มันสิอีนังชลันตา จะได้ตายด้วยกันยังไงล่ะ” อุชเชนตัวปลอมสั่ง พร้อมแสยะยิ้มร้ายกาจ

ขณะเดียวกันนั้นเองเสียงเฮลิคอปเตอร์ก็ดังมาจากเบื้องบน เสียงความผิดปกติบางอย่างแทรกอยู่ในเสียงน้ำตก แม้จะยังไม่เห็นที่มาของเสียงเหล่านั้น แต่ก็ส่งผลให้อุชเชนหน้าซีดเผือด นึกรู้ว่าทุกสิ่งกำลังจะจบสิ้นลงแล้ว

หัสตะถือจังหวะนั้นโถมตัวเข้าใส่อุชเชน ทั้งคู่ต่อสู้กันอยู่ในสายน้ำ เพียงไม่กี่นาทีก็พากันล้มกลิ้งและไหลไปตามสายน้ำที่พัดพาไปยังหน้าผาน้ำตก

“คุณหัสตะ... ระวัง!! ” วาวพลอยร้องตะโกนด้วยความตกใจและตื่นตระหนก

ขณะที่ร่างของหัสตะกับอุชเชนถูกสายน้ำพัดพาเข้าไปริมน้ำ วาวพลอยไม่รอช้า รีบวิ่งเลียบริมธารน้ำไปยังจุดที่ร่างของทั้งคู่ถูกพัดพาไปเพื่อช่วยหัสตะ หญิงสาวคว้ากิ่งไม้ที่โน้มลงมาริมน้ำเอาไว้เป็นที่ยึด

ก่อนจะใช้มืออีกข้างพยายามคว้ามือของหัสตะที่กำลังจะผ่านไปตามแรงของน้ำ ในที่สุดหญิงสาวก็คว้ามือของหัสตะเอาไว้ได้ โดยร่างของชายหนุ่มกับอุชเชนยังคงกอดกันอยู่

แต่ทว่าสายน้ำนั้นแม้ไม่ลึกมาก แต่ยังคงไหลเชี่ยว อีกทั้งน้ำหนักของสองร่างที่หน่วงหนักทำให้วาวพลอยแทบต้านทานเอาไว้ไม่ไหว แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้

“เปาะ!! ” จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังแทรกเสียงกระหึ่มของน้ำตก มันเป็นเสียงกิ่งไม้ที่หญิงสาวยึดเอาไว้หักลงนั่นเอง

“กรี๊ด!! ” วาวพลอยหวีดร้องสุดเสียงด้วยความตกใจและหวาดกลัว

ร่างของเธอไถลลงไปตามแรงเหนี่ยวรั้งของหัสตะและอุชเชนที่ไหลไปตามกระแสน้ำ แต่ทว่ากิ่งไม้ที่หักยังไม่หลุดจากต้น ร่างของเธอจึงอยู่ในน้ำครึ่งหนึ่ง

แต่ทว่าร่างของหัสตะที่ต่อจากหญิงสาวหมิ่นเหม่จะไหลไปตามน้ำเต็มที ยิ่งใกล้ผาน้ำตกน้ำก็ยิ่งไหลแรง ขณะที่อุชเชนเองก็กอดหัสตะเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยเช่นกัน

หญิงสาวรู้ว่าหากปล่อยมือจากหัสตะ เธอจะไม่มีวันได้เห็นเขาไปตลอดชีวิต และเธอก็ทนไม่ได้ แต่ทว่าเสียงลั่นของกิ่งไม้ก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันดังถี่ระรัวจนน่ากลัว

“วาวพลอยปล่อยมือผม ไม่อย่างนั้นเราจะตายกันหมดนะ! ” หัสตะร้องขึ้นผสานเสียงกิ่งไม้ที่ลั่นระรัว พยายามดึงมือออกจากมือของหญิงสาว

“ไม่ค่ะ ไม่ ฉันไม่กลัว ตายก็ตายด้วยกัน” หญิงสาวร้องบอกเสียงสั่น แม้จะอ่อนแรงลงเต็มที

“ไม่ได้เด็ดขาด คุณจะต้องอยู่ ปล่อยผมไปเถอะ” หัสตะรวบรวมเรี่ยวแรงดึงมือออกจากมือของวาวพลอยที่กำลังอ่อนล้า

“ไม่นะคุณหัสตะ อย่าทำแบบนี้... ไม่!!...” ไม่ทันเสียแล้ว

มือของทั้งคู่หลุดออกจากกัน ร่างของหัสตะที่มีอุชเชนกอดรัดเอาไว้ก็ไหลไปตามสายน้ำอันเชี่ยวกรากอย่างรวดเร็ว สายน้ำพัดพาทั้งสองร่างไปบนหน้าผาน้ำตกสูงชัน

วาวพลอยกรีดร้องสุดเสียงเมื่อร่างนั้นตกลงไปต่อหน้าต่อตา หญิงสาวมองภาพนั้นด้วยหัวใจสลาย

###ติดตามตอนจบได้ในรูปแบบ E-Book และรูปแบบเล่มค่า###



**‘มงกุฎแสงดาว’ รูปแบบ E-Book สนใจเข้าไปโหลดฉบับเต็มกันได้นะคะ ที่

MEB

https://www.mebmarket.com/index.php?action=

BookDetails&data=YToyOntzO

jc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiNzEyOTE2IjtzO

jc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMjY2NzYiO30

ookbee

http://www.ookbee.com/Shop/Book/3

cbffb2b-d724-41df-87e9-b81cd2f83d83

ebooks.in.th

http://www.ebooks.in.th/ebook/344

30/%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%

B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%8E%E0

%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%

E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7/



Hytexts

http://www.hytexts.com/ebook/book/B004883



นายอินทร์ปัณณ์

https://www.naiin.com/product/detail/184068/



ซีเอ็ด

https://www.se-ed.com/product/มงกุฎแสงดาว-

PDF.aspx?no=9786164063174



banbanbook



http://banbanbook.com/banbanbook/

cart/get_detail_book/1110








กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ส.ค. 2559, 13:12:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ส.ค. 2559, 13:12:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 947





<< บทที่ 41   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account