รอวันฉันรักเธอ
เธอ เชื่อในพรหมลิขิตและรักแท้

เขา ไม่เคยศรัทธาในความรัก ไม่เชื่อว่ารักแท้มีจริง

เส้นทางชีวิตในโลกของเขากับโลกของเธอช่างดูแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ทว่า ความเชื่อมั่นในรักแท้ของเธอ ก็เข้ามาทำให้โลกของเขาต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

Tags: ปวินท์ ศกุนตลา รอวันฉันรักเธอ รักโรแมนติก

ตอน: ตอนที่ 12 ด้วยเหตุและผลที่มีมากมาย

ปวินท์อ่านข้อความในจดหมายซ้ำอีกรอบ ราวกับอยากจะแน่ใจว่าเป็นเรื่องจริง ก่อนจะค่อยๆเงยหน้ามองสบตาเจ้าของจดหมาย ศกุนตลาเองก็มองเขานิ่งๆเหมือนรอลุ้นฟังในสิ่งที่เขาจะพูดเช่นกัน

“นี่คือจดหมายที่แตมเขียนให้เราตอนจบ ม. 6 เหรอ จดหมายที่เราทำมันหาย”

“ใช่ ถึงจะเขียนใหม่แต่ข้อความก็ยังเหมือนเดิม รูปวาดก็เหมือนเดิม ตอนนั้นเรายังเด็กด้วยมั้ง คิดว่ามันน่ารักดี ทีนี้เข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าทำไมเราถึงถามหาจดหมายที่เคยให้”

ชายหนุ่มมองใบหน้า แววตา ของคนพูดแล้ว ก็รู้สึกเหมือนกำลังย้อนเวลากลับไปในสมัยเรียนมัธยมอีกครั้ง

“เราขอบคุณแตมมากนะ สำหรับความรู้สึกดีๆที่เคยมีให้เรา เราไม่เคยรู้ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยจริงๆว่าแตมจะคิดกับเราแบบนี้”

“มันไม่ใช่แค่เคยรู้สึก เพราะถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกแบบนั้นอยู่ ไม่เคยเปลี่ยน”

ศกุนตลายืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“แตม ไม่ได้มีแฟนแล้วเหรอ แล้วที่เราเห็นแตมกับผู้ชายอีกคนที่เกาะกูด”

“เห็นเมื่อไหร่ ตรงไหน”

“ก็ที่ชายหาดตอนเช้า แตมกับผู้ชายคนนั้นดูท่าทางสนิทกัน เหมือนเป็นแฟนกัน”

“แปลว่าตอนนั้น เป็ดเห็นเรา จำเราได้ แต่ก็ไม่ยอมเข้าไปทักเหรอ”

หญิงสาวถามกลับอย่างนึกเคือง

“ก็เราคิดว่าแตมมาเที่ยวกับแฟน แล้วเราก็ไม่แน่ใจด้วยว่าแตมจะจำเราได้ไหม”

“งั้นก็รู้ไว้เลยนะ ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่แฟนเรา เขาเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน อยู่คนละแผนกด้วยซ้ำ วันนั้นเราไปงานสัมมนาบริษัทนะ ไม่ได้ไปเที่ยวกับเขา ตอนนี้เราไม่ได้มีใคร ที่ผ่านมาเราก็ไม่เคยมีใคร เพราะในใจเรามีใครคนหนึ่งอยู่ในนั้นมาตลอด และถ้าเรามีแฟนอยู่แล้วจริงๆ เราจะกล้ามาสารภาพความรู้สึกกับเธออีกเหรอ”

“ขอโทษด้วยแล้วกันที่เราเข้าใจผิด”

ปวินท์บอกเสียงอ่อน และยังคงมองสบตาคนตรงหน้านิ่ง เหมือนทำตัวไม่ถูก

“เราบอกความรู้สึกของเราไปหมดแล้ว เราอยากรู้ความรู้สึกของเธอบ้างได้ไหม”

“คือเรายังงงๆอยู่เลย บอกตรงๆว่ามันนึกไม่ถึง เหมือนไม่ทันตั้งตัว ไม่อยากเชื่อจริงๆว่าแตมจะคิดแบบนี้กับเรา ถ้านึกย้อนกลับไปตอนเรียน ม.ปลาย สำหรับเรา แตมคือเพื่อนที่ดีที่สุดที่เรามี แต่ชีวิตของเราแตกต่างกันมาก ต่างกันเหมือนอยู่คนละโลก แตมมีแม่ขับรถมารับมาส่งที่โรงเรียนทุกวัน เรียนก็เก่ง เป็นคนที่เข้ากับเพื่อนๆในห้องได้ทุกคน ชีวิตมีแต่ความสุข ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องเป็นกังวลหรือทุกข์ใจ ซึ่งมันตรงข้ามกับเรา ที่ในแต่ละวันเราต้องลุ้นว่าจะมีเงินมาโรงเรียนไหม วันไหนมีก็ถือว่าโชคดี วันไหนไม่มีก็ต้องอดต้องทน เรียนหนังสือก็ไม่มีสมาธิเพราะคิดถึงแต่ปัญหาที่บ้าน พ่อก็ติดเหล้า แม่หาเงินมาได้เท่าไหร่ก็เอาไปซื้อแต่เหล้า ใครห้ามก็โวยวาย ไล่ตี พี่ชายเรียนจบแค่ ม.3 ก็ต้องออกมาหางานทำส่งเราเรียน บ้านก็ต้องเช่า เดือนไหนจ่ายค่าเช่าช้า จ่ายไม่ครบก็โดนด่าโดนไล่สารพัด ถ้าไม่ได้อาจารย์สมเกียรติคอยช่วยไว้ เราคงเรียนไม่จบ เพราะลาออกมาก่อน แล้วก็คงไม่มีวันนี้”

ศกุนตลาพอรู้เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของปวินท์อยู่บ้าง ว่าฐานะทางบ้านเขาไม่ค่อยจะดีมัก ความเป็นอยู่ค่อนข้างลำบาก หากก็ไม่นึกว่าในจะหนักหนาสาหัสกับเขาที่ตอนนั้นเป็นเพียงเด็กมัธยมคนหนึ่งได้ขนาดนี้

“แต่มันก็ผ่านมาแล้วไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ชีวิตเป็ดก็เปลี่ยนไปมาก อะไรๆก็น่าจะดีขึ้นแล้วใช่ไหม”

“ถ้าพูดแบบชาวบ้านๆ ก็ต้องบอกว่า พอลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้บ้าง เราพยายามทำทุกอย่างให้คนในครอบครัวมีความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่พ่อมาเสียไปหลังเราไปเรียนจ่าทหารเรือได้หนึ่งปี แม่ก็ทำงานไม่ค่อยไหวแล้ว ตอนนี้เราก็ไม่ได้ให้ทำอะไร พี่ชายเราเมื่อก่อนรับจ้างทำงานทุกอย่าง แต่พอเก็บเงินได้ก็เปิดร้านคาร์แคร์เป็นของตัวเอง เราก็ช่วยประคับประคองช่วงแรกๆ ตอนนี้ก็เริ่มอยู่ตัวแล้ว”

“เราดีใจด้วยจริงๆนะ ขอชื่นชมจากใจจริงเลยว่าเก่งมาก ที่พาชีวิตตัวเองมาถึงจุดนี้ได้ แถมยังเป็นเสาหลักของบ้านที่คอยดูแลชีวิตทุกคนอีก”

“ที่เราเล่าเรื่องชีวิตเราทั้งหมดให้แตมฟัง ก็เพราะเราอยากบอกว่า ภาระในชีวิตของเรามันเยอะมาก ทั้งภาระทางครอบครัวและหน้าที่การงาน มันเยอะมากซะจน เราไม่กล้ามีความรักกับใครเลย เราคิดและบอกตัวเองเสมอว่า ถ้ายังไม่พร้อมก็จะไม่พาใครมาลำบากด้วยกันเด็ดขาด”

ศกุนตลามองหน้าคนพูดด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

“เราไม่เข้าใจ เราไม่คิดว่าเหตุผลนี้จะทำให้เธอต้องปิดตัวเองหรือไม่ยอมรับใครเข้ามาในชีวิตเลยนะ ชีวิตคนเรามันมีหลายแง่มุมนะเป็ด ครอบครัว หน้าที่ ความฝัน ความรัก เราคิดว่าเราน่าจะบาลานซ์มันได้ ทำไมต้องตัดสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกไปจากชีวิตด้วยล่ะ ที่เป็ดมองว่าชีวิตเราเหมือนไม่มีปัญหาอะไรเลย ดูมีความสุข รู้ได้ไงว่าเราไม่เคยมีปัญหา ไม่มีความทุกข์ เชื่อเถอะว่าคนเราทุกคนมีปัญหาเป็นของตัวเองทั้งนั้นแหละ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองมันแบบไหน จะจัดการกับมันยังไง เรื่องของความรักก็เหมือนกัน”

ปวินท์หลบสายตาหญิงสาวและเมินหน้าไปทางอื่น เหมือนไม่ยอมรับในสิ่งที่เธอพูด

“เราเติบโตกันมาคนละแบบนะแตม มุมมองชีวิตของเราต่างกัน ความฝันของเราก็ต่างกัน สำหรับเรา ความรักมันไม่ได้เป็นเรื่องจำเป็นในชีวิตเลยจริงๆ”

ศกุนตลาต้องยอมรับว่า ถึงเธอจะรู้สึกกับปวินท์มากแค่ไหน ทว่าเธอก็รู้จักตัวตนของเขาน้อยมาก ที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ตอนนี้ เทียบกับตอนที่ยังเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยม เขาก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนักหรอก ยังคงเข้าถึงยาก เข้าใจยากเหมือนเดิม

“ถามจริงๆนะ เธอรู้สึกดีใจบ้างไหม ที่เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง”

“ดีใจสิ ได้เจอเพื่อนอีกครั้งทำไมเราจะไม่ดีใจล่ะ”

“เราไม่สามารถทำให้เธอเปลี่ยนความรู้สึกจากเพื่อน เป็นอย่างอื่นได้เลยใช่ไหม”

อีกครั้งที่คำถามของคนตรงหน้าทำให้ชายหนุ่มนิ่งเงียบ

“ถึงตอนนี้ เราก็จะรู้สึกแบบนี้ต่อไป ไม่ว่าเธอจะรู้สึกยังไงกับเราก็ตาม อย่างน้อยเราก็บอกความในใจทุกอย่างไปหมดแล้ว ไม่ต้องเก็บไว้ให้อึดอัดใจอีก”

“ความเป็นเพื่อนของเราก็ยังเหมือนเดิมนะแตม เราขอบคุณอีกครั้งกับความรู้สึกดีๆที่มีให้ จากนี้ไป ถ้าแตมจะมีโอกาสได้เจอคนที่ดีกว่า เราก็ไม่อยากให้แตมปิดกั้นตัวเองกับใครอีก เราจะยินดีมากถ้าได้เห็นแตมมีความสุข”

ศกุนตลานิ่งฟังด้วยความรู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ เขาช่างพูดคำพูดแบบนี้ออกมาได้อย่างเย็นชา ไร้ความรู้สึกเหลือเกิน

“บอกตัวเองเถอะ ถ้าเธอพร้อมจะมีความรักเมื่อไหร่ ก็อย่าปฏิเสธหัวใจตัวเองอีกเลย ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นใคร เราก็จะยินดีด้วยเหมือนกัน”

ราวกับว่าการนัดเขาออกมาสารภาพความในใจครั้งนี้จะจบลงแล้ว เธออาจจะคาดหวังกับเขามากเกินไป ตั้งแต่ได้รับรู้ว่าเขายังโสด ยังไม่มีใคร แล้วก็ได้พบกับความจริงที่ว่า การที่เขายังไม่มีใคร ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะรู้สึกกับเธอแบบที่เธอรู้สึกกับเขาอยู่ฝ่ายเดียว สุดท้ายก็จบที่คำว่าเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม

“อ้าว วิน มาร้านนี้เหมือนกันเหรอ”

เสียงเรียกทักทายอย่างสนิทสนมคุ้นเคยที่ดังขึ้นไม่ไกลนัก ทำให้คนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ทั้งสองหันไปมองเจ้าของเสียงพร้อมกัน ปวินท์รีบพับกระดาษจดหมายกับซองเก็บใส่กระเป๋าเสื้อทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นใคร

“พี่หมอ สวัสดีครับ มาคนเดียวเหรอครับ”

“เออสิ ไม่ได้แอบมีนัดกับสาวๆเหมือนคนแถวนี้หรอก”

นฤนาทตอบพลางมองไปที่ศกุนตลาและยิ้มให้อย่างสุภาพ

“นี่ แตม เพื่อนผมครับ แตม นี่ผู้กองนฤนาท เป็นรุ่นพี่ของเราเอง”

ศกุนตลาพนมมือไหว้พร้อมกับถาม

“ขอโทษนะคะ คุณคือคุณหมอโน้ต ไม่ใช่สิ ต้องเรียกผู้กองโน้ต ใช่ไหมคะ”

“รู้จักผมด้วยเหรอครับ”

“ค่ะ ประมาณสองปีก่อน ฉันกับแม่ เคยไปบริจาคของในพื้นที่ประสบภัยน้ำป่าไหลหลาก แล้วคุณก็เป็นหัวหน้าหน่วยแพทย์ทหารที่ไปช่วยดูแลผู้ประสบภัย ใครๆก็รู้จักและจำคุณได้ทั้งนั้นแหละ ตอนนั้นคุณออกจะดัง มีรายการทีวี หนังสือพิมพ์มาสัมภาษณ์กันเยอะแยะ”

นฤนาทยิ้มกว้างและถือวิสาสะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ข้างๆ ปวินท์

“ดีใจจังเลยที่ยังจำผมได้ น่าเสียดายตอนนั้นผมไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักกับคุณ นี่เป็นเพื่อนหมวดวินมานานรึยังครับ ตั้งแต่รู้จักกันมา ผมเพิ่งรู้ว่ามันมีเพื่อนผู้หญิงกับเขาด้วย มิน่า วันนี้ครึ้มฟ้าครึ้มฝนแปลกๆ”

“เว่อร์ไปครับพี่ ผมกับแตมเป็นเพื่อนสมัยเรียน ม.ปลายครับ”

นฤนาทพยักหน้ากับคำตอบของหนุ่มรุ่นน้อง ในขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ศกุนตลาด้วยแววตาสนใจอย่างเปิดเผย

“เป็นเพื่อนกับหมวดวิน ก็เหมือนเป็นน้องพี่ น้องแตมเรียกพี่ว่าพี่โน้ตก็ได้นะครับ จะได้ดูคุ้นเคยกัน เมื่อกี้น้องแตมบอกว่าไปบริจาคของช่วยผู้ประสบภัยกับคุณแม่ใช่ไหม พี่รู้จักคุณแม่ของน้องไหมนะ ขอทบทวนความทรงจำก่อน”

“ถ้าจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มีคนไปร่วมงานเยอะแยะ จำได้ไม่หมดก็ไม่เห็นแปลก”

“แต่พี่ขอเดาว่า น้องแตมน่าจะเป็นลูกสาวของคุณกังสดาลแน่เลยใช่ไหม พี่จำได้ว่า หลังจบงานนั้น ทางคุณกังสดาลเลี้ยงอาหารเจ้าหน้าที่ทุกคนด้วย และเธอก็พูดถึงลูกสาวให้ผู้ใหญ่ในงานคนหนึ่งฟัง พี่นึกออกแล้ว”

“ค่ะ ที่พี่พูดถึงคือแม่ของแตมเอง”

หญิงสาวตอบแล้วก้มมองหน้าจอโทรศัพท์ที่มีสัญญาณกะพริบเตือนข้อความเข้า

“ยินดีที่มีโอกาสได้รู้จักกันนะครับ ฝากความคิดถึงไปถึงคุณกังสดาลด้วย คุณแม่น้องน่าจะยังจำพี่ได้”

“แม่จำคนที่เคยร่วมงานกันได้ทุกคนแหละค่ะ เดี๋ยวจะบอกให้นะคะ”

“นั่งเงียบเลย วิน ฉันมาขัดจังหวะอะไรแกรึเปล่าวะ”

นฤนาทเห็นหนุ่มรุ่นน้องไม่พูดไม่จาก็หันไปถามล้อๆ ปวินท์ส่ายหน้าทันควัน

“ไม่ใช่อย่างนั้นเลยครับ ผมแค่แปลกใจนิดหน่อยที่พี่กับแตมเคยรู้จักกันมาก่อนด้วย”

“ตอนนั้นไม่น่าเรียกว่ารู้จักนะ เพิ่งมารู้จักจริงจังก็ตอนนี้เอง”

“เดี๋ยวเราต้องขอตัวกลับแล้วนะ พอดีเพื่อนตามตัวด่วน ขอตัวกลับก่อนนะคะ “

ศกุนตลาบอกกับชายหนุ่มทั้งสองพลางลุกขึ้นยืน

“ไว้เจอกันใหม่นะครับ น้องแตม”

“กลับดีๆนะ”

หลังจากร่างบางพ้นสายตาไปแล้ว นฤนาทก็หันไปซักไซ้ไล่เรียงปวินท์ยกใหญ่

“วิน น้องแตมคือคนที่มาคอมเม้นท์แกในไลน์ตอนนั้นรึเปล่าวะ”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่เขา เพื่อนเขาแกล้ง เลิกพูดเรื่องนี้เถอะพี่”

ปวินท์ตอบด้วยน้ำเสียงอึดอัด

“ทำไมต้องทำเสียงหงุดหงิดด้วยวะ นานๆทีฉันจะเห็นแกมีผู้หญิงเข้าในชีวิตเหมือนชาวบ้านเขาบ้าง สรุป เป็นแค่เพื่อนเหรอวะ ถ้ารู้จักกันมาตั้งแต่ ม.ปลาย แกก็น่าจะรู้ว่าเขาเป็นลูกใคร คุณกังสดาลนี่ หม้ายสาวไฮโซคนดังเหมือนกันนะเว้ย”

“ก็พอรู้อยู่บ้าง แต่มันก็ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับผมนี่ เดี๋ยวผมก็ต้องกลับบ้านแล้วเหมือนกัน ขอตัวนะครับ”

“อ้าว จะรีบไปไหนวะ ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย”

“มีเวลาเจอกันอีกเยอะแยะตอนอยู่ค่าย แต่ตอนนี้ผมขอใช้เวลากับครอบครัวก่อน ไปนะครับ”


ปวินท์เดินออกมาจากร้านกาแฟและกำลังเดินตามทางเท้าไปที่สถานีรถไฟฟ้า พออยู่คนเดียวความคิดอะไรต่างๆ ก็พรั่งพรูเข้ามาจนสับสนวุ่นวายต้องถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ภาพหนุ่มสาวที่เดินจับจูงมือเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปรอรถไฟฟ้า ทำให้เขาอดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ว่า การมีใครสักคนอยู่เคียงข้าง มันจะดีกว่าการใช้ชีวิตตามลำพังคนเดียวรึเปล่านะ จดหมายจากศกุนตลาที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อถูกดึงเอาออกมาเปิดอ่านอีกครั้ง เมื่อเขาก้าวเข้าไปนั่งในรถแท็กซี่หลังลงมาจากรถไฟฟ้า ภาพของเธอ น้ำเสียงของเธอ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พูดออกมาจากความรู้สึกของเธอ สะท้อนก้องอยู่รอบกายเขา และภาพเก่าๆที่ไม่เคยลืมเลือนก็หวนกลับคืนมาอีกครั้ง

เสียงกีต้าร์จากคนเพิ่งหัดเล่น ที่ฟังดูไม่ค่อยต่อเนื่องเพราะมัวแต่เปิดหนังสือเล่นตาม ดังมาจากในห้องเรียนที่ไม่มีใครเหลืออยู่หลังจากเลิกเรียน เสียงฟ้าร้องฟ้าแลบด้านนอก เป็นเหตุผลที่ปวินท์ยังไม่รีบกลับบ้าน เพราะถึงรีบออกไปตอนนี้ก็คงต้องรอฝนหยุดก่อนอยู่ดี

‘เล่นเก่งขึ้นแล้วนี่ ขนาดหัดไปไม่กี่วันเอง’

คนที่กำลังมีสมาธิกับการฝึกจับคอร์ดกีต้าร์เงยหน้ามองเพื่อนที่เดินเข้ามาในห้องอย่างแปลกใจ

‘นึกว่ากลับบ้านไปตั้งนานแล้ว เราอยากฝึกให้เป็นเพลงเร็วๆ เลยไปขอยืมของชมรมดนตรีมาซ้อม’

‘แม่เราติดธุระ บอกให้รออีกสักพัก เราเดินผ่านมาได้ยินเสียงกีต้าร์ เดาว่าต้องเป็นเป็ด เลยเดินมาดู ใช่จริงๆด้วย กินขนมไหม แก้หิว’

ไม่รอให้เพื่อนตอบรับหรือปฏิเสธ ศกุนตลาก็เปิดกระเป๋าเป้หยิบกล่องคุ้กกี้ออกมาส่งให้เพื่อน

‘อร่อยนะ ลองชิมดู’

ปวินท์มองกล่องขนมแล้วก็รับรู้ได้ว่า มันเป็นขนมราคาแพงของร้านเบเกอรี่ชื่อดัง ที่ตัวเขาเคยได้แค่มองเท่านั้น

‘ขอบใจนะ’

เขาหยิบคุ้กกี้มาหนึ่งชิ้น แค่ชิ้นเดียวก็เพียงพอแล้ว ไม่ใช่ไม่อร่อย ก็เพราะมันอร่อยมากนั่นแหละ ถึงไม่อยากกินเยอะจนติดใจในรสชาติของมัน ของแพงๆแบบนี้ ไม่เหมาะกับคนอย่างเขานักหรอก

‘ทำไมทานน้อยจัง ไม่ชอบเหรอ’

‘เราไม่หิว อยากซ้อมกีต้าร์มากกว่า มีเวลาน้อยด้วย เดี๋ยวก่อนกลับก็ต้องรีบเอาไปคืนห้องชมรมอีก’

ทั้งที่อยากมีกีต้าร์เป็นของตัวเองใจจะขาด สำหรับเพื่อนๆคนอื่น การมีกีต้าร์เป็นของตัวเองสักตัวช่างเป็นเรื่องง่ายดาย แต่กับตัวเขาคงได้แค่มองและฝันถึง เงินที่ได้มาโรงเรียนแต่ละวัน แค่พอค่าอาหารกลางวันเท่านั้นจริงๆ

‘ความจริง เป็ดเอากีต้าร์ของเราไปซ้อมที่บ้านก็ได้นะ จะได้ซ้อมวันเสาร์อาทิตย์ด้วย’

ปวินท์เกือบจะพลั้งปากถามไปแล้ว ว่า ได้เหรอ หากก็ยับยั้งชั่งใจไว้ได้ทัน

‘อย่าเลย ไม่เป็นไรหรอก เรายืมของชมรมซ้อมก็พอแล้ว เสาร์อาทิตย์ก็ใช่ว่าจะมีเวลา เราต้องช่วยแม่กับพี่ทำงาน’

‘แต่เราให้ยืมได้จริงๆนะ ยืมไปนานแค่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นว่าแค่ซ้อมงานกลุ่มอย่างเดียว’

ศกุนตลาย้ำอีกครั้ง แต่ปวินท์ทำเหมือนไม่ได้ยิน เขาก้มหน้าก้มตาอ่านคอร์ดจากหนังสือเพลง แล้วก็ไม่สนใจอะไรอีก

‘เอ้อ ลืมบอก ช่วงที่ไป รด. อาจารย์สั่งงานเยอะเลย มีสอบย่อยด้วย อย่าลืมตามย้อนหลังนะ ถ้ามีอะไรสงสัยมาถามเราได้ อ้าว แม่โทรมาพอดี กลับบ้านด้วยกันไหม เดี๋ยวไปส่ง’

ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่เธอชวนเขากลับบ้านด้วยกัน และอาสาจะไปส่งด้วย แต่ปวินท์ก็ปฏิเสธทุกครั้งเช่นกัน

‘บ้านเราอยู่แค่นี้เอง เรากลับเองได้ แตมรีบไปเถอะเดี๋ยวแม่จะรอนาน’


เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้น ทำให้ความคิดของปวินท์ต้องสะดุดลง ชายหนุ่มหันไปมองนอกหน้าต่างรถยนต์ก็พบว่าใกล้จะถึงทางเข้าบ้านแล้ว

“ฮัลโหล ปลายฟ้า”

“น้ำเองค่ะ พี่เป็ด”

เสียงร้อนรนของน้ำเพชรตอบกลับมา

“ปลายฟ้าขอให้น้ำโทรมาหาพี่เป็ดค่ะ ตอนนี้ที่บ้านมีเรื่องใหญ่แล้ว”

“มีเรื่อง ? เรื่องอะไร”

“พี่ไก่กับพี่อ้อน่ะสิคะ ทะเลาะกันใหญ่แล้ว ปลายฟ้าก็ร้องไห้ใหญ่เลย ป้านวลก็ไม่อยู่บ้าน น้ำไม่รู้จะทำยังไงจริงๆค่ะ”

“ผมกำลังนั่งแท็กซี่กลับ ใกล้จะถึงบ้านแล้ว แค่นี้ก่อนนะ”

คิ้วเข้มของชายหนุ่มขมวดเข้าหากันแน่น เมื่อจบบทสนทนากับน้ำเพชร เท่าที่จำได้ ตั้งแต่แต่งงานกันมา พี่ชายกับพี่สะใภ้ของเขา แทบไม่เคยทะเลาะกันรุนแรงให้เขาหรือคนในครอบครัวเห็นเลย ถ้าทะเลาะกันรุนแรงจนปลายฟ้าถึงขั้นร้องไห้จริงๆ ก็ต้องบอกว่าฟังดูน่าตกใจไม่น้อย ชายหนุ่มได้แต่ภาวนาว่าขออย่าให้มีอะไรร้ายแรงนักเลย เพราะคนที่เขาเป็นห่วงความรู้สึกที่สุดก็คือ ปลายฟ้า หลานสาวที่เขารักและผูกพันราวกับเป็นลูกสาวแท้ๆ

จบตอนที่ 12

-คุณKim มาต่อแล้วค่ะ พอดีได้กลับมาเร็วกว่าที่คิด คนแบบอ้อ เป็นตัวอย่างของคนที่ทำทุกอย่างได้เพื่อตัวเองจริงๆค่ะ

-คุณกาซะลองพลัดถิ่น ต้องบอกว่าอ้อทำทุกอย่างได้เพื่อตัวเองค่ะ ส่วนเป็ดกับน้ำเพชร ก็ต้องติดตามกันต่อไป

-คุณkaelek แตมบอกว่าเป็นผู้หญิงสมัยนี้ก็ต้องกล้าๆแบบนี้แหละ ไม่งั้นอาจโดนค้นอื่นมาชิงคว้าไปได้ ><

-คุณZephyr อย่าเพิ่งผิดหวังกับเป็ดนะคะ เส้นทางความรักครั้งนี้ยังอีกยาวไกลค่ะ

ขอบคุณผู้อ่านทุกๆท่านที่เข้ามาติดตามอ่านด้วยค่ะ :)



สเลเต
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ส.ค. 2559, 17:30:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ส.ค. 2559, 17:30:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 1334





<< ตอนที่ 11 ความลับที่ซ่อนไว้   
แว่นใส 14 ส.ค. 2559, 17:55:36 น.
ทีปัญหาตามมาอีกละ


กาซะลองพลัดถิ่น 14 ส.ค. 2559, 19:13:29 น.
ปัญหาเยอะ โถมซัดมาเป็นระลอกยังกับคลื่นเลย แล้วจะลงเอยกันได้ไหมเนี่ยะ ....ลุ้น ๆ


Zephyr 14 ส.ค. 2559, 20:12:40 น.
นังดอก... ความลับแตกสินะ
หึหึ ฮ่าๆๆๆๆ ดีค่ะ
เจ็บครั้งเดียวจบเลยนะพี่ไก่
ปลายฟ้าเข้มแข็งนะลูก
ถ้าไล่ ไล่คู่เลยนะคะ เอายัยน้ำออกไปด้วย
โอ้ยยย อินอ่ะอิน


kaelek 14 ส.ค. 2559, 22:29:08 น.
โหยยยย เป็ดใจไม่กล้าเท่าแตมเลย ๆ มีใจแต่ไม่กล้ารักอ่ะ ..พี่ไก่จับได้หรืออ้อ บอกเลิก สงสารปลายฟ้า


Kim 15 ส.ค. 2559, 02:06:32 น.
เมื่อไหร่นายเป็ดจะเปิดใจซะที ขนาดยังไม่เคยอกหักยังกลัวขนาดนี้ โชคดีของนายเป็ดนะที่แตมเป็นคนมั่นคง หวังว่าแตมจะไม่ท้อใจไปซะก่อน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account