บังลังค์รักภูผา
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 7
ตอน 7
ใต้ต้นไม้สูงที่แผ่กิ่งก้านผลิดอกออกใบให้ร่มเงาแก่พืชและสัตว์น้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ในป่า ผู้พิทักษ์ของผู้ครองบัลลังก์ภูเขาดำ ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยสองเท้าที่มั่นคง ทั้งที่บนหลังมีหญิงสาวเกาะอยู่ ใบหน้าแนบอยู่บนไหล่เขา สองแขนกอดคอไว้หลวมๆ ไอร้อนจากตัวเธอยังมีให้เขารู้สึก และกังวลอยู่เงียบๆว่าเธอจะทนได้นานแค่ไหน
“หลับหรือเปล่า”
เสียงที่ดังขึ้นมานั้น ทำให้ดวงตาของขวัญชนกที่ปิดอยู่ลืมขึ้นมา ภาพแรกที่เห็นคือต้นคอแข็งแกร่ง ตั้งตรงและมั่นคง ไรผมดกดำไรเคราที่ข้างแก้ม ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวเขา กลายเป็นความทรงจำของเธอไปไม่รู้ตัว “เปล่า” เสียงเธอแผ่ว แล้วนึกไปถึงเมื่อเช้า ที่ตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนเขา ความอบอุ่นโอบล้อมไปถึงหัวใจเธอ แต่ร่างกายเธอไม่ได้ดีขึ้นมาเลย พิษไข้ยังคงเล่นงาน จนรู้สึกว่าลมหายใจมันสั้นลงไปทุกที
ตอนที่เขาบอกให้เธอขึ้นหลังนั้น เธอนิ่งงันด้วยความคาดไม่ถึง ว่าคนที่เฉยเมย เย็นชา เห็นเธอเป็นเพียงภาระ จะยอมช่วยเธอถึงขนาดนี้ ความรู้สึกดีๆก่อเกิดเพิ่มขึ้นมา แต่ก็ถูกกลบไว้ด้วยความจริงที่เขาพูดตอกใส่หน้าไว้ว่า ที่ช่วยๆไม่ใช่เพราะความเมตตาหรือสงสาร แต่เป็นเพราะยังไม่ได้ใช้ชีวิตเธอให้คุ้มค่าต่างหาก ความดีที่เขาทำจึงยังเป็นความร้ายกาจสำหรับเธออยู่ดี การปฏิเสธจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
‘ฉันดีขึ้นแล้ว’
‘แล้วจะไปได้สักกี่น้ำ’ เขาถาม เธอไม่ตอบ แต่สภาพของเธอในสายตาเขานั้นแย่ลง แม้แต่ยืนยังแทบจะไม่ไหว น้ำเสียงที่เฉียบขาดจึงดังออกมาอีกว่า ‘อย่าทำให้ฉันเสียเวลา รีบขึ้นมา’
‘ฉันไม่มีอะไรจะตอบแทนคุณแล้ว’
‘ฉันก็ไม่ได้ต้องการ แค่เวทนาเท่านั้น’
นั่นซินะ เธอจะหวังอะไรจากการกระทำของเขา แต่ความหวังเดียวที่เธอมีล่อเลี้ยงจิตใจคือคนเป็นพ่อแม่ จึงเดินไปหาเขา ซึ่งก็ย่อตัวลงนั่งบนส้นเท้ารับตัวเธอที่โน้มตัวลงเกาะบ่าเขาไว้ พอเขาลุกขึ้นก็เอ่ยขอบคุณด้วยความเฉยชา แต่ตอนนี้เธอขอบคุณด้วยหัวใจ ที่ไม่ทิ้งเธอไว้กลางทาง
“ก่อนหน้านี้เคยได้ยินชื่อภูเขาดำไหม”
เสียงที่ดังขึ้นหยุดความคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา แล้วบอกว่า “ไม่” เสียงเธอยังดังแผ่ว แต่เขาก็ได้ยินชัด “แต่ตอนนี้ฉันพอจะรู้แล้ว”
“ว่าไง” เขาชวนคุย เพื่อให้รู้ว่าความพยายามของเธอยังอยู่
“โหดร้าย ป่าเถื่อน น่ากลัว”
“หมายถึงฉันซินะ” เสียงเขายังเรียบไม่บ่งบอกความรู้สึกใด แต่เธอกลับรู้สึกว่าผ่อนคลายไม่ได้จริงจังเหมือนทุกครั้งและมีรอยยิ้มเกิดขึ้นที่ริมฝีปากโดยไม่มีเหตุผล “แล้วมาทำอะไรในป่า จึงถูกจับตัวมา”
ขวัญชนกนิ่งไปเพราะเขากับเธอนั้นแม้จะอยู่ในโลกเดียวกัน แต่ความผูกพันความสัมพันธ์ใดๆไม่มี จนมาพบเจอกันไม่ว่าจะเป็นเพราะพรหมลิขิตหรืออะไรก็ตาม ก็ยังเป็นได้แค่เชลยกับเจ้าชีวิต จะให้เธอบอกทุกอย่าง คงไม่ได้ ที่สำคัญเลือดสีน้ำเงินของคนเป็นพ่อ เธอต้องทูนไว้เหนือสิ่งอื่นใด จะไม่ยอมให้ใครไปแตะต้องท่านได้อีกเด็ดขาด... ภาพที่เลือดพ่อไหลรินยังติดตาเธออยู่ ความรู้สึกเจ็บปวดฝังแน่น จนสัญญากับตัวเองว่า ตราบเท่าที่เธอมีชีวิตอยู่ จะขอแลกทุกอย่างจะทำทุกทางไม่ให้ท่านเจ็บอีกแล้ว
“ฉันมาหาต้นไม้ประดับความรู้กับพ่อ แล้วพวกโจรก็โผล่มา ทำร้ายคนอื่นแล้วจับตัวฉันมาก็เท่านั้น”
“รู้สาเหตุไหม”
“ไม่รู้”
สิ้นคำตอบสมองของภูผาก็บอกว่าไม่เชื่อ เอียงหน้าปรายตามองใบหน้าที่เอียงแนบชิดหัวไหล่ แล้วหันกลับไปมองทางเดินพร้อมกับเสียงดังขึ้นมาอีก “จะปิดบังไว้เพื่ออะไร”
“ฉันไม่ได้ปิดบัง แต่ไม่รู้อย่างที่บอกจริงๆ”
“คนกลุ่มหนึ่งจับตัวผู้หญิงคนหนึ่งมา ถ้าไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ก็ต้องสนองอารมณ์ เพราะเธอสาวและสวยเรียกความกักขฬะจากพวกมันได้เป็นอย่างดี แต่พวกมันไม่ทำ ก็แสดงว่าที่ทำเพื่อผลประโยชน์อะไรสักอย่าง แต่คงจะมีอะไรผิดพลาดหรือไม่ก็หลงป่า จึงพาเธอเดินหลงเข้ามาในเขตภูเขาดำ แล้วระหว่างทางพวกมันพูดอะไรให้ได้ยินบ้าง”
“ไม่มี” เธอบอกทั้งๆที่รู้ว่ามี คำว่า ‘อำนาจ’ ยังดังก้องอยู่ในสมองให้จดจำไม่มีวันลืม และคิดมาตลอดเวลาว่ามันหมายความว่ายังไง ใครกันที่ต้องการคำๆนี้ ถึงขนาดไม่เกรงกลัวเลือดสีน้ำเงินของพ่อ ที่สำคัญตัวเธอก็ไม่ได้มีค่าพอที่จะเทียบกับคำๆนี้ได้เลย
“พ่อของเธอเป็นใคร” คำถามราวกับรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่นั้น ทำให้ลมหายใจของขวัญชนกหายไปเสี่ยวนาที ความหวั่นใจก่อตัวขึ้นมา และเกือบจะสะดุ้งเมื่อเสียงห้วนห้าวยังเอ่ยออกมาอีกว่า “ทหาร ตำรวจ นักธุรกิจ เจ้าพ่อ มาเฟีย หรือ...”
“คนธรรมดา”
“ที่ไม่ธรรมดาซินะ ไม่งั้นจะถูกหมายหัวได้ยังไง”
เสียงที่สวนกลับมาทันควันบอกให้เธอรู้ว่าเขาไม่เชื่อ แต่ก็ไม่แก้ตัวอะไรออกมา อีกฝ่ายจึงใช้เป็นจุดอ่อนโจมทีทันที “ไม่ปฏิเสธ แสดงว่าใช่ แล้วรู้ไหมว่าที่ไม่บอกฉันเป็นการโง่มาก”
“ฉันยอมโง่”
“เพื่ออะไร”
“เลือดสีน้ำเงิน”
ดวงตาคมกริบของภูผาหรี่ลงเพียงนิด สองเท้าก็เบี่ยงเส้นทางเดินไปยังต้นไม้ใหญ่ ปล่อยร่างอรชรให้ลงมายืนที่พื้นดินแล้วหมุนตัวมามองใบหน้าที่ขาวซีด ก่อนจะสบตากลมสวย ซึ่งก็สบอย่างไม่หลบไปไหนเหมือนกัน และไม่รู้ว่าเขารู้ความหมายของคำที่เธอพูดออกไปแค่ไหน แต่ระยะเวลาที่ได้ใกล้ชิดกัน ทำให้เธอแน่ใจว่าเขา...รู้
“พ้นจากแนวป่าตรงหน้านั้นไป ก็จะเป็นที่ๆเธอหนีมาคืนนั้น และเมื่อไปถึงเธอก็จะถูกสอบสวนอย่างหนักก่อนจะลงทัณฑ์อย่างรุนแรงที่บุกรุกเข้ามาในเขตภูเขาดำ”
“ฉันไม่ได้บุกรุก คุณก็รู้ว่าฉันถูกจับตัวมา และคุณก็จับฉันมาอีกทีหนึ่งและยัดเยียดข้อหาเชลยให้โดยที่ไม่ให้ความเป็นธรรมสักนิด”
“จะถามหาความเป็นธรรมอะไรในป่าแบบนี้ และจะไม่มีการรับฟัง ไม่ว่าใครหน้าไหนที่เหยียบย่างเข้ามา ก็ถือว่าบุกรุก จะมาตั้งศาลร้องขอโน้นนี่นั่นกัน ภูเขาดำก็คงกลายเป็นที่พื้นที่เปิดให้ไอ้พวกหน้าเลือด หน้าเนื้อใจเสือ เข้ามาทำอะไรก็ได้แล้วซิ และไม่ว่ามันจะเป็นความจริงแค่ไหนก็ตาม การลงทัณฑ์ก็จะไม่ต่างจากที่เธอเคยมองฉันไว้ว่าโหดร้ายป่าเถื่อนนั่นแหละ”
“หมายความว่าฉันจะไม่ได้เป็นคน แต่เป็นเหมือนหมูเหมือนหมา หรือสัตว์อะไรสักอย่างที่พวกคุณจะทำอะไรก็ได้ยังงั้นเหรอ” เสียงเธอเคืองขุ่นขึ้นมา
“ใช่” คำตอบนั่นเหมือนมีดที่กรีดลงมาบนเนื้อเธอให้เจ็บปวด หัวใจหวิว จนต้องกำมือให้ตัวฝืนยืนอยู่ได้ แต่หน้าเขายังนิ่งเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย “แต่ภูเขาดำก็ไม่ไร้อารยะธรรมเสียทีเดียว ยังมีกฎมีข้อให้ยกเว้นได้”
“อะไร”
“คนที่จะอยู่ที่นี่ได้ ต้องได้รับการรับรองจากผู้ครองบัลลังก์ และคนที่จะได้รับการรับรองคือผู้หญิงของฉันหรือไม่ก็คนที่ถูกตัดสินให้เป็นทาส”
“แต่คุณเป็นเจ้าชีวิตฉันแล้ว ก็เท่ากับฉันเป็นคนของคุณไปโดยปริยายไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ แต่นั่นมันเป็นเรื่องตกลงระหว่างเรา ไม่ใช่ระหว่างภูเขาดำ”
เธอนิ่งไปกับคำตอบที่ได้ยิน ก่อนจะเหยียดริมฝีปากออกเยาะ เมื่อคิดถึงสองทางเลือกที่เขาบอกมา ซึ่งความหมายของมันไม่ได้ต่างกันเลย “แล้วถ้าฉันไม่เลือก”
“เธอก็จะเป็นสมบัติของส่วนรวม ที่ไม่ว่าใครหรือผู้ชายคนไหนจะลากไปทำระยำที่ไหนก็ได้”
คำตอบนั้นเหมือนเธอถูกผลักออกไปสู่ลานประหาร ความหวาดหวั่นเกาะกุมไปทั้งจิตใจ ยิ่งคิดตามความโหดร้ายก็ยิ่งจะทำให้ทนไม่ได้ แต่เธอก็ต้องยืนอยู่ให้ได้ ใบหน้าขาวซีดเชิดหน้าขึ้นทั้งที่ขยะแขยงความเลวร้ายที่ได้ยินที่สุด “งั้นฉันขอเลือกทาส ฉันไม่กลัวงานหนัก ไม่กลัวความลำบาก ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เพราะการเป็นผู้หญิงของคุณ ก็คงไม่ต่างจากทาส”
“ฉันก็คิดอยู่แล้วว่าเธอจะต้องตอบแบบนี้” คำพูดยังนิ่งเฉย ทั้งที่เห็นความหวาดหวั่นจากแววตาคนตรงหน้า “แต่จะบอกอะไรให้สักอย่างก่อนการตัดสินใจครั้งสุดท้าย ว่าการเลือกเป็นทาสก็ไม่ต่างจากการเป็นสมบัติส่วนรวมนั่นแหละ เป็นสมบัติผลัดกัดชม เร่ไปเร่มา ยิ่งไปกว่านั้น กว่าจะถูกเร่ เธอจะถูกย่ำยียิ่งกว่าโสเภณีเสียอีก”
ขวัญชนกรู้สึกเหมือนเห็นมีดกำลังฟันใกล้ลำคอ ลมหายใจขาดเป็นห่วงๆ ก่อนสำนึกสุดท้ายบอกว่าอย่ายอมแพ้ มือของเธอยกขึ้นรับคมมีด แม้มันจะบาดเนื้อจนเลือดไหน เธอก็ต้องยึดเอาไว้ ความคิดเธอเป็นอย่างนั้นแต่ความจริงก็ไม่ต่างกัน เมื่อตัวเธอโอนเอนไปมา แล้วไม่รับรู้อะไรอีกเลย
*******
ม้าสามตัววิ่งไปบนเส้นทางขรุขระที่คดเคี้ยวทอดยาวไปตามแนวต้นไม้สูง เสียงฝีเท้าของพวกมันดังก้องไปทั้งป่า คนที่นั่งอยู่บนหลังมันนั้น จับเชือกที่ใช้บังคับมันไว้แน่น คนแรกคือเมฆาผู้นำหุบผาเหลือง คนต่อมาคือเมฆลูกชาย ตามด้วยหมอกลูกบุญธรรม ทั้งสามคนใช้เข่ากระทุ้งสีข้างม้าให้เร่งฝีเท้าขึ้นห้อเหยียดไปข้างหน้า จนกระทั่งใกล้ถึงจุดหมาย ก็ค่อยๆดึงเชือกรั้งให้มันชะลอฝีเท้า เปลี่ยนมาเป็นเหยาะย่างเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงป้ายไม้ขนาดใหญ่ที่มีตัวอักษรเขียนไว้ว่า ‘อาณาจักรผู้ครองบัลลังก์’
“ปัก”
มีดคมกริบถูกปาไปปักบนแผ่นไม้ตรงคำว่าครองได้อย่างแม่นยำ แววตาเจ้าของมีดคือเมฆ วาววับไปด้วยความทะเยอทะยาน ก่อนจะตวัดสายตาไปมองคนอีกคนที่มองอยู่ “สักวันผมจะทำให้คำๆนี้เป็นของพ่อ”
“หึๆๆ ขอบใจไอ้ลูกชาย แต่แกใจเย็นไว้ก่อน ไปดึงมีดออกมาก่อนที่ไอ้ผู้พิทักษ์ที่คุ้มครองผู้ครองบัลลังก์จะมาเห็นเข้า แล้วเอามีดมาปักบนอกแก”
เมฆเหยียดริมฝีปากออกเยาะชื่อผู้พิทักษ์ แล้วบังคับม้าให้เดินไปใกล้แผ่นไม้ ดึงมีดออกมาเก็บไว้ที่ซอกขาแล้วหันมาถามคนเป็นพ่อว่า “พ่อมาที่นี่ทำไมครับ เยี่ยมผู้ครองบัลลังก์หรือหาข่าวไอ้ผู้พิทักษ์มือหนึ่ง”
“ทั้งสองอย่าง คนที่อยู่เหนือคน แต่ตอนนี้ไม่มีคนเก่งอยู่เคียงข้าง จึงเป็นช่วงที่มีความอ่อนแอ ให้เราทำอะไรก็ได้ ถึงจะไม่ได้มากมาย แต่การมาได้เห็นอาจจะทำให้เราเห็นโอกาสที่จะได้ช่วงชิงสิ่งที่เราหวังกันอยู่ หรือรุกให้เร็วเพื่อจะได้ชัยชนะก็เป็นไปได้”
“แล้วก้างที่ขวางอยู่ละครับ จะทำยังไง”
เมฆารู้ว่าลูกหมายถึง ไอ้สองผู้นำของสองหุบผา เหยียดเรียวปากออกเยาะพวกมัน ก่อนจะบอกว่า “ถ้าเราชนะ ก้างพวกนั้นก็ไร้ความหมาย จะกำจัดทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ จริงไหมหมอก”
คนที่ถูกเรียกชื่อ สบตาทั้งคู่ที่มองมา แล้วตอบด้วยความสุขุมว่า “ถ้ามันเป็นจริงก็ใช่ครับ แต่เหรียญมีสองด้านฉันท์ใด สิ่งที่เราคิดหรือหวังก็มีสองด้านไม่ต่างกัน คือไม่แพ้ก็ชนะ ฉะนั้นการไม่ประมาทดีที่สุด เพราะก้างที่ขวางอยู่ไม่ใช่อ่อนๆแต่แข็งแรงไม่ใช่น้อย และอาจจะทิ่มแทงให้เราเจ็บหรือเพลี่ยงพล้ำโดยไม่รู้ตัวก็ได้”
“และพวกมันก็อาจจะคิดเหมือนอย่างที่ฉันกำลังคิดอยู่ก็ได้”
“ถ้าคิดเหมือนกัน ก็รับมือได้ไม่ยาก เพราะรู้วิธีแก้อยู่แล้ว แต่ที่ยากกว่าคือการที่ไม่รู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ อันตรายมากนะครับ”
ผู้นำหุบผาเหลืองพยักหน้าเห็นด้วยแต่ไม่กังวล เพราะคิดว่าตัวเองเดินนำหน้าไอ้สองผู้นำนั้นอยู่แล้ว “คนที่อยากจะเป็นคนเหนือคน คิดอยู่ไม่กี่อย่างหรอก และหนึ่งในนั้นก็คือ การกำจัดคนที่ขวางทางให้พ้นทาง อยู่ที่ว่าใครจะมีแผนที่แยบยล และเร็วกว่ากันเท่านั้น”
“งั้นเราก็ต้องรีบแล้วใช่ไหมครับพ่อ”
คนเป็นพ่อตวัดสายตาไปหาลูกชาย ซึ่งเพียงสบกัน ความฮึกเหิมก็ก่อเกิดขึ้นในใจของเมฆ แววตาเปล่งประกายความกระหาย สร้างความพอใจให้คนเป็นพ่อ แล้วบังคับม้าให้ออกวิ่งนำเลือดในอกกับนอกอก เข้าไปในอาณาเขตของผู้ครองบัลลังก์ภูเขาดำทันที
การมาของผู้นำหุบผาเหลืองถูกผู้พิทักษ์รายงานให้ผู้ครองบัลลังก์ได้รับรู้ ซึ่งท่านนั่งอ่านตำราอยู่ที่ศาลาไม้สักข้างเรือน รายล้อมด้วยความร่มรื่นจากต้นไม้ และกลิ่นหอมของดอกไม้ กลางศาลามีโต๊ะกลมวางอาหารและน้ำชาให้ท่านได้แก้กระหาย โดยมีพ่อบ้านจ้าวนั่งคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ และได้รับรู้การมาเยือนครั้งนี้ด้วย จึงถามท่านผู้เฒ่าว่า
“จะต้อนรับที่ไหนขอรับ”
“ที่นี่แหละ แค่มาหาข่าวไม่ได้มีเรื่องอะไรสำคัญ ก็ไม่ต้องไปให้ความสำคัญ เดี๋ยวจะสำคัญตัวผิดไปเปล่าๆ”
พ่อบ้านจ้าวจึงพยักหน้าให้ผู้พิทักษ์ไปเชิญตัวมาได้ ซึ่งก็ก้มหน้ารับคำสั่งแล้วรีบเดินไปทันที พ่อบ้านจ้าวก็เลื่อนสายตามามองผู้ครองบัลลังก์ พอใจกับสายตาที่เฉียบคมของท่าน ที่พอจะมองออกว่าคนที่มานั้นประสงค์สิ่งใด การเป็นคนเหนือคน ไม่ใช่ว่าใครจะเป็นก็ได้ เพราะนอกจากจะเก่งแล้ว ต้องมีความเฉลียวฉลาดรอบคอบ รู้เท่าทันคนในปกครอง แม้จะเป็นการยาก เพราะจิตใจที่อยู่ลึกลงไปในอกด้านซ้ายนั้น ไม่อาจจะมองเห็นด้วยตาและรู้ว่าเป็นยังไง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้อะไรเลย
การที่ไม่เห็นผู้พิทักษ์มือหนึ่งในวันประชุม เปรียบเหมือนเหยื่อให้พวกอีแร้ง รีบบินมากิน ซ้ำตอนนี้ยังมีข่าวลือออกมาอีกว่า ได้หายตัว ยิ่งทำให้กลิ่นเหยื่อหอมหวานสำหรับพวกมัน
“แต่คงมีบางอย่างแอบแฝงมากกว่าการมาหาข่าวแน่ๆขอรับ”
“ก็ช่างเขาเถอะ แค่ข่าวลอยๆอยากได้ก็ให้ไป แต่อย่าชักน้ำเข้าลึกอย่าชักศึกเข้าบ้าน อย่าเอาความนัยไปขายให้คนนอก ให้ภูเขาดำต้องเดือดร้อนก็พอแล้ว” ผู้เฒ่าบอกทั้งๆที่สายตายังอ่านตำราอยู่
“เป็นการป้องกันที่ยากมากขอรับ เพราะเมื่อคนมันจนหนทาง ก็เปรียบเหมือนหมาที่จนตรอก ต้องดิ้นรนทุกวิธีทางเพื่อหาทางออกไป ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนแม้กระทั่งกัดคนที่เลี้ยงดูมาก็ตาม จึงเป็นความน่ากลัวที่เราอาจจะป้องกันไม่ได้ก็ได้ขอรับ”
“งั้นข้าก็ควรต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อจะยุติสิ่งนี้ซินะ”
พ่อบ้านจ้าวไม่มีคำตอบ แต่แววตานั้นสื่อได้ชัดเจนว่า...ใช่ ผู้เฒ่าโพธิ์จึงปิดตำราที่อยู่ในมือ พร้อมๆกับที่ผู้พิทักษ์เดินนำผู้นำหุบผาเหลืองกับเลือดในอกและนอกอกเข้ามา แล้วเดินไปหาพ่อบ้านจ้าว กระซิบบอกเรื่องบางอย่าง ก็ถอยออกมายืนอยู่ตรงมุมศาลา...
การกระทำนั้นอยู่ในสายตาของสามคนพ่อลูก และเห็นว่าแววตาของพ่อบ้านจ้าวเปล่งประกาย แสดงว่าต้องมีเรื่องบางอย่างที่น่ายินดี แต่ไม่ถามออกมา เพราะจะทำให้อีกฝ่ายรู้ทันทีว่าสงสัย ทำได้แค่พากันก้มหน้าลงคำนับผู้ครองบัลลังก์เท่านั้น
ผู้เฒ่าโพธิ์เปิดยิ้มรับทั้งสามคน แล้วเชิญให้นั่งลงบนเก้าอี้ แต่มีเพียงท่านผู้นำเท่านั้นที่นั่งลงตามคำเชิญ ส่วนลูกในอกกับลูกบุญธรรม ถอยไปยืนอยู่ด้านหลังเก้าอี้ หมอกนั้นยืนนิ่งสายตาจับจ้องแค่ผู้ครองบัลลังก์ แต่เมฆตวัดสายตามองไปรอบศาลา แล้วขบฟันข่มรอยหยันไว้เมื่อเห็นไอ้ผู้พิทักษ์หลายคน ยืนเป็นหมาเฝ้าเจ้านายอยู่ ก็ละสายตากลับมามองไอ้พ่อบ้านจ้าว ที่กำลังรินน้ำชาให้คนเป็นพ่อ เรียบร้อยแล้วก็เดินไปกระซิบบอกบางอย่างให้คนเหนือคนรู้
“งั้นเหรอ”
เสียงของผู้ครองบัลลังก์ที่ฟังออกว่ายินดีนั้น ยิ่งสร้างความสงสัยให้กับสามคนพ่อลูกมากขึ้นไปอีก และพากันมองพ่อบ้านจ้าวที่เดินลงจากศาลาไป และคิดไม่ต่างกันว่าต้องมีอะไรสำคัญมากๆ จึงทำให้พ่อบ้านที่เปรียบเหมือนเงาตามตัวของผู้เฒ่าโพธิ์ ห่างจากท่านไปได้
“มีอะไรเหรอครับท่านผู้เฒ่า” เมฆถามออกมาตามประสาคนใจร้อน เก็บกดอารมณ์ความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่ได้อีกแล้ว
“อย่าเสียมารยาทเมฆ” เมฆาปรามลูกชายเสียงเข้ม แล้วหันมาบอกกับผู้ครองบัลลังก์ว่า “ขอโทษแทนลูกชายด้วยขอรับ” พูดจบผู้นำหุบผาเหลืองก็หันไปมองลูกชายอีกครั้งพร้อมคำสั่ง “ขอโทษท่านผู้เฒ่าเสีย”
“ขอโทษครับ” เมฆทำตามทันที สีหน้านั้นสำนึกผิด แต่จิตใจไม่ค่อยพอใจคนเป็นพ่อ ที่ดุเขาต่อหน้าผู้ครองบัลลังก์ ซึ่งอาจจะเปรียบเทียบเขากับไอ้กาฝากหมอกได้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างที่คิด แน่นอนว่าราศีของมันที่เป็นคนสุขุม นิ่งๆต้องดีกว่าเขาที่ใจร้อนแน่ๆ
“ไม่เป็นไร” ผู้เฒ่าโพธิ์เอ่ยออกมา “ไม่มีอะไรหรอก แค่มีบางอย่างที่น่ายินดี พ่อบ้านจ้าวจึงต้องไปดูให้รู้ แล้วเดี๋ยวก็จะได้รู้กัน”
“ขอรับ” ผู้นำหุบผาเหลืองยอมรับเหมือนไม่สงสัยอีก แล้วพูดถึงจุดประสงค์ที่เขาพาตัวเองเข้ามาที่นี่ “ข้าเพิ่งได้ข่าวเรื่องผู้พิทักษ์มือหนึ่งของท่านหายไป จึงแวะมาเยี่ยมด้วยความเป็นห่วง และพร้อมจะช่วยติดตามเต็มกำลังความสามารถ”
“ขอบใจ แต่ท่านสบายดีเหรอ แล้วภรรยากับลูกสาวละ ทำไมไม่พามาด้วย”
“ข้าและทุกคนสบายดีขอรับ”
“คนหนุ่มคนสาวก็อย่างนี้ ร่างกายยังแข็งแรง โรคภัยไม่ค่อยถามหา ไม่เหมือนคนแก่อย่างข้า โรคภัยมักมาหาสามวันดีสี่วันไข้อยู่บ่อยๆ” ผู้เฒ่าโพธิ์ว่าพลางเชิญชวนให้ดื่มน้ำชา ที่วางอยู่ตรงหน้า “ชารสดี แก้อาการคอแห้ง ดื่มแล้วชุ่มคอดีนะ”
“ขอรับ แต่ท่านผู้เฒ่ายังแข็งแรงอยู่”
น้ำเสียงเยินยอแต่จิตใจนั้นมีแต่ความเคลือบแคลง แล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มตามคำเชิญชวน พลางคิดว่าเหตุใดผู้เฒ่าโพธิ์ถึงดูไม่ได้เดือดร้อนกับเรื่องที่ไอ้ผู้พิทักษ์มือหนึ่งหายไป แถมยังชวนพูดเรื่องอื่น มันยังไงกันแน่หรือยังมีอะไรที่เขาไม่รู้อีก ความคิดของผู้นำหุบผาไม่ต่างจากเลือดในอกกับนอกอกที่ยืนฟังอยู่ด้วย
เสียงพูดคุยยังคงดังไปอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่มีเฉียดใกล้เรื่องของผู้พิทักษ์ที่หายไปอีกเลย กระทั่ง...สายตาของทุกคนเลื่อนไปมองคนที่โผล่เข้ามาในบริเวณที่คุยกันอยู่ ความเหยียดหยันผุดขึ้นมาในใจของพ่อลูกจากหุบผาเหลืองทันที ขณะที่คนที่โผล่มานั้น ก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน
*******
สองเท้าของพ่อบ้านจ้าวเดินขึ้นบันไดห้าขั้นที่ทอดขึ้นไปบนเรือนที่ปิดตายมาหลายวัน สองมือผลักประตูให้เปิดออก สายตาที่ยาวตามอายุที่ใกล้ฝั่ง กวาดมองไปรอบห้องแล้วหยุดนิ่งที่ห้องที่ประตูปิดอยู่ เท้าขยับเดินไปแค่สองก้าวก็เปลี่ยนเป็นหมุนตัวออกมายืนที่ระเบียง แววตาหรี่ลงครุ่นคิด แล้วเดินลงจากเรือนตรงไปที่แนวป่าไผ่ ที่ขึ้นอยู่ไม่ห่างจากเรือน...
ทางเดินที่ซ่อนอยู่ในดงไผ่ อาจจะทำให้คนที่ไม่คุ้นเคยหลงได้ แต่คนที่ชำนาญนั้นง่ายนิดเดียว เสียงฝีเท้าดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ กระทั่งมาถึงลานโล่งกลางดงไผ่ ร่างสูงที่แสนจะคุ้นเคยก็โผล่ออกมาให้เห็น สายตาสำรวจไปทั่วตัวอย่างรวดเร็ว ความพึงพอใจฉายชัดขึ้นมาเต็มใบหน้า เมื่อไม่เห็นบาดแผลใดที่ฉกรรจ์ แต่บนหลังนั้น...ความสงสัยถูกเก็บไว้
ขณะที่คนที่ถูกสำรวจ ก็สบตาคนที่รู้เรื่องการกลับมาของเขา ความแปลกใจเกิดขึ้นภายใต้ใบหน้าที่นิ่งเฉย เพราะเส้นทางที่ใช้เดินเข้ามาในอาณาเขตของผู้ครองบัลลังก์นั้น แทบจะไม่มีใครรู้นอกจากผู้พิทักษ์ที่ทำหน้าที่เดียวกันกับเขา... ภูผาก้มหน้าทักทายพ่อบ้านจ้าว ซึ่งก็พยักหน้ารับรู้แล้วเดินมาหยุดยืนตรงหน้า เอ่ยเสียงที่บ่งบอกความดีใจออกมา
“ดีใจที่เจ้ากลับมา และกลับมาได้ทันเวลาพอดี”
“ข่าวท่านเร็วเสมอ”
“ภาวะเช่นนี้หูตาข้า ต้องยาวกว่าอายุ”
“โอกาสมักเป็นของคนที่จับจ้องอยู่ซินะ”
“คนอื่นจะอาจจะใช่ แต่สำหรับข้ากับท่านผู้เฒ่า รออยู่ต่างหาก และทางไหนที่จะสามารถหาเจ้าเจอ ข้าก็จะทำ เพื่ออะไรนั้นคิดว่าเจ้าก็รู้อยู่แก่ใจ” ไม่มีคำตอบให้พ่อบ้านจ้าวรู้ แต่ก็รู้อยู่แล้วว่าหน้าที่ของผู้พิทักษ์คือปกป้องผู้ครองบัลลังก์ยิ่งกว่าชีพตน “แล้วนั้น...” ความสงสัยที่ถูกเก็บไว้ก่อนหน้านี้ถูกถามออกมา “เชลยที่เจ้าตามไปเหรอ”
“เมื่อก่อนนะใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว”
“แล้วเป็นอะไร”
“ภาระ”
พ่อบ้านจ้าวนิ่งไปกับคำตอบ แต่ไม่ไขข้อข้องใจใดๆ บอกแค่ว่า “ตอนนี้เจ้าคงต้องฝากภาระไว้กับข้าเสียแล้ว เพราะเจ้ามีภาระที่ยิ่งใหญ่กว่าที่ต้องทำ” ไม่มีคำถามว่าอะไร เสียงพ่อบ้านก็พูดต่อว่า “อย่างที่เจ้าบอกนั่นแหละว่าโอกาสมักเป็นของคนที่จับจ้องอยู่ และตอนนี้ก็เคลื่อนไหวเข้ามาหาเรา เพื่อทำให้บรรลุเป้าหมาย”
“ผู้นำหุบผา”
คำตอบนั้นสร้างความพอใจให้พ่อบ้านจ้าวและแปลกใจไปในคราวเดียวกัน ที่ภูผารู้ แสดงว่าต้องจับตามองอยู่หรือรู้เห็นอะไรมาบ้าง หรือไม่ก็... “เกิดอะไรขึ้นในช่วงที่เจ้าออกตามหาเชลย”
ไม่มีคำตอบจากภูผา นอกจาก...“ตอนนี้พวกเขาอยู่ไหน”
“ศาลาไม้สัก”
สิ้นเสียงพูดร่างสูงก็ออกเดิน พ่อบ้านจ้าวหมุนตัวมองตามไป สายตาจับจ้องที่เบื้องหลัง ใบหน้าที่แนบซบไหล่นั้นเห็นไม่ชัด แต่บาดแผลที่ไหล่บางกับรอยแผลบนตัวเขา ตอบคำถามเมื่อกี้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาในระหว่างที่ตามหาเชลย ความกังวลใจที่เคยมีเกิดขึ้นแล้วจริงๆ คงมีใครสักคนไปจุดไฟเผาป่า โชคดีที่เขาไม่เป็นอะไรและกลับมาอย่างปลอดภัย แต่ที่เหนือไปกว่านั้นคือสิ่งที่ผู้เฒ่าโพธิ์กล่าวไว้ ความคุ้มค่ามันเกิดขึ้นตามมาหรือไม่
*******
วิหคผู้นำหุบผาเขียวนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าผู้ครองบัลลังก์ โดยมีเวหาลูกชายกับพิชิตคนสนิทยืนอยู่ข้างหลัง ทั้งสามไม่คิดว่าจะเจอพวกหุบผาเหลือง ซึ่งอีกฝ่ายก็คิดไม่ต่างกัน จึงมองหน้ากันเหมือนจะหยั่งเชิงกันอยู่เงียบๆ แต่...เมฆายังติดใจเรื่องที่น่ายินดีของผู้เฒ่าโพธิ์ที่พูดไว้เมื่อกี้ หรือจะหมายถึงไอ้วิหค ถ้าใช่ แล้วทำไมไอ้พ่อบ้านจ้าวยังไม่โผล่ตามมา
ความสงสัยนี้ถูกเก็บเงียบ และแอบมองผู้ครองบัลลังก์ ซึ่งสีหน้ายังปรกติและรินน้ำชาให้ไอ้วิหค ยกขึ้นดื่มเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ยินเสียมันเอ่ยออกมาว่า “ท่านผู้เฒ่าสบายดีนะขอรับ”
“สบายดี ตามอัตภาพที่เห็นนั่นแหละ แล้วท่านกับครอบครัวละ สบายดีเหมือนกันใช่ไหม”
“ขอรับ”
“ดีแล้ว” ท่านผู้เฒ่ายิ้มให้พลางมองหน้าสองผู้นำสลับกันไปมา “วันนี้ท่านสองคนใจตรงกันมาเยี่ยมเยียนข้า นอกจากจะถามเรื่องสุขภาพข้าเหมือนกันแล้ว เรื่องอื่นจะตรงกันหรือเปล่า เมฆานะถามข้ามาแล้ว แล้วท่านละวิหค มีเรื่องอื่นจะถามไหม”
รอยยิ้มผุดขึ้นตรงมุมปากของวิหค ก่อนจะตอบว่า “ไม่มีขอรับ ข้าตั้งใจมาเยี่ยมท่านจริงๆ แต่ก็ได้ยินข่าวมาบ้างมาผู้พิทักษ์มือหนึ่งของท่านผู้เฒ่าหายไป”
“เมื่อกี้เมฆาก็พูดกับข้าเรื่องนี้ งั้นข้าขอบอกให้ได้ฟังพร้อมกันเลยว่าภูผาไม่ได้หายไป”
ความแปลกใจเกิดขึ้นบนใบหน้าและนัยน์ตาของผู้มาเยี่ยมทุกคน เพราะข่าวที่ได้มานั้นยืนยันแน่ชัดว่าไม่ได้โคมลอยแน่นอน ที่สำคัญคนที่เอาข่าวมาให้คือคนที่ไว้ใจได้ทั้งนั้น ต่างคนต่างครุ่นคิด และเก็บงำกันไว้ แต่ที่คิดตรงกันคือในวันที่ประชุม ถ้ามันไม่ได้หายไป แล้วทำไมไม่มาร่วมประชุมหรืออารักขาท่านผู้เฒ่า
“งั้นหรือขอรับ” เมฆายอมรับเหมือนจะไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก
“ใช่ แต่ว่าพวกท่านสองคนถามเรื่องนี้ออกมาเหมือนกัน เอาข่าวกันมาจากไหน”
คำถามของท่านผู้เฒ่ากับสายตาที่มองมานั้นทำให้สองผู้นำหุบผานิ่งไป ก่อนจะปรับท่าทีไม่ให้เคร่งเครียดกับการถูกจับตามอง เมฆายิ้มที่มุมปากเพียงนิดก็บอกว่า “ข่าวมันลอยมาเข้าหู แต่ต้นตอจะมาจากไหนนั้น ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน โชคดีที่วันนี้ตั้งใจมาเยี่ยมท่าน จึงได้ถามให้หายข้องใจ และอย่างที่บอกไว้ว่าข้าแค่จะช่วย แต่เมื่อเขาไม่ได้หายไปหรือเป็นอะไร ก็ดีแล้ว”
“แล้วท่านละวิหค” สายตาของท่านผู้เฒ่าเลื่อนมาจับจดอยู่หน้าของผู้นำหุบผาเขียว ซึ่งก็บอกว่า
“ข้าก็ไม่ต่างจากเมฆาหรอกขอรับ ภูเขาดำของเรา ไม่ได้ใหญ่มากมาย พอมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นนิดหน่อย ก็พูดกันไป แต่ที่น่าสนใจ ถ้าเรื่องนี้ไม่จริงแล้วข่าวนี้เกิดขึ้นได้ยังไง และคนที่ทำต้องการอะไร”
“นั่นนะซิ” เมฆาสนับสนุนออกมา แสดงสีหน้าให้เห็นว่าสงสัยเป็นอย่างมาก และมองหน้าท่านผู้เฒ่าอย่างจะอ่านให้ออกว่าท่านจะคิดยังไง และรอให้พูดออกมา แต่แทนที่จะได้คำตอบกลับเป็นคำถามอีกว่า
“แล้วพวกท่านคิดว่ายังไง หรือพอจะสงสัยใครไหม”
“คงต้องสืบ” วิหคให้เหตุผล “แต่ถ้าจะให้ตอบตอนนี้ ข้าก็คิดว่าข่าวน่าจะมาจากวันที่ประชุมของพวกเรา แล้วไม่เห็นเขา จึงพูดกันไปต่างๆนา”
“แต่ถ้าไม่มีควัน ไฟก็ไม่ลุกขึ้นมา”
“ท่านก็พูดเกินไป ท่านเมฆา ก็แค่ข่าวโคมลอยจะมีควันมีไฟอะไร หรือท่านมีใครให้น่าสงสัย จึงพูดออกมาแบบนี้”
“ก็ต้องมีกันบ้าง” ว่าแล้วนัยน์ตาของเมฆาก็มีแววท้าทายวิหคอยู่นัยๆ “เพียงแต่ว่าตอนนี้อาจจะเป็นแค่ควันจางๆ รอให้หนาทึบขึ้นมาก่อนเถอะ ท่านอาจจะรู้เป็นคนแรก หรือไม่ก็รู้อยู่แก่ใจดี”
“พูดแบบนี้ ก็คล้ายจะกล่าวหากันนะท่าน” เสียงวิหคออกจะไม่พอใจ
“ท่านก็อย่ากินปูนร้อนท้องซิ ข้าแค่เปรียบให้ฟัง ไม่ได้พูดอะไรออกมาที่บ่งบอกว่าเป็นท่านเลย”
“งั้นท่านก็ไม่ต่างจากข้ามากนัก เพราะที่พูดออกมา ก็อาจจะกินปูนแล้วร้อนท้องอยู่ก็เป็นได้ จึงต้องหาวิธีกลบเกลื่อนอยู่”
สองผู้นำโต้ตอบหยั่งเชิงกันไปมา สายตาก็เริ่มจะดุดัน เลือดในอกกับคนสนิทที่ยืนฟังอยู่หลังเก้าอี้ ได้แต่ปรายตามองหน้ากัน เพราะรู้สึกเหมือนทั้งคู่กำลังพากันสาวไส้ตัวเองออกมา ถ้ามีเฉพาะคนของตัวเองไม่เป็นไร แต่นี่... สายตาเมฆ หมอก เวหาและพิชิตเลื่อนไปมองผู้ครองบัลลังก์ ราวกับนัดกันไว้ แม้สีหน้ากับท่าทางยังปรกติ แต่คำพูดที่ได้ยิน พวกเขาคิดตรงกันว่าท่านสงสัย
“ฮึม ฮึม” เสียงกระแอมเบาๆดังออกมาจากใครคนหนึ่ง แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้นำหุบผาทั้งสองคนเริ่มรู้ตัว ปรับเปลี่ยนแววตาให้นิ่ง ก่อนมองไปที่ท่านผู้เฒ่า
“ถ้าภูผาไม่ได้หายไป แล้วเขาไปไหนขอรับ ทำไมไม่อยู่ดูแลอารักขาท่าน” วิหคถามออกมาตรงๆ และเป็นคำถามที่หลายคนก็อยากรู้เหมือนกัน
“เขามีงานสำคัญต้องไปทำ”
“งานอะไรหรือขอรับ”
ผู้เฒ่าโพธิ์สบตาทุกคนที่มองมา ยิ้มให้เล็กน้อย แล้วบอกว่า “หาต้นตอของข่าวลือ”
ความเงียบเกิดขึ้นมาฉับพลัน แม้แต่เสียงลมหายใจของผู้นำทั้งสอง ลูกชาย และคนสนิท ก็หยุดหายไป เพราะคำตอบนั้นเหมือนโดนแทงข้างหลังทะลุหัวใจ และเหยียบซ้ำให้เจ็บจนแทบตายเมื่อคนที่ถามหาปรากฏตัวขึ้นมา ...ภูผา ผู้พิทักษ์มือหนึ่ง
ลมหายใจที่ถูกเก็บกดไว้ พากันปลดปล่อยออกมา สายตาทุกคู่มองไปที่ร่างสูง ที่ก้าวเดินอย่างมั่นคงขึ้นมาบนศาลา ดวงตาคมกริบมองนิ่งที่ผู้ครองบัลลังก์ ก้มหน้าลงให้ความเคารพเป็นคนแรก จากนั้นก็เป็นผู้นำทั้งสองคน เรียบร้อยแล้วก็เดินไปยืนอยู่หลังเก้าอี้ของท่าน
ใบหน้าคมนิ่งเฉย ดวงตามองผ่านทุกสายตาที่จ้องมาไปข้างหน้าเหมือนไม่ได้สนใจ แต่จริงๆแล้วเก็บรายละเอียดไว้หมดแล้ว ...สองผู้นำหุบผา ลูกชาย คนสนิท ก็ต่างเก็บงำทุกความรู้สึกไว้เช่นกัน แต่สีหน้าที่แสดงออกมาต่างยินดีที่ได้เห็นเขา ไม่ได้เคลือบแคลงระแวงสงสัยสิ่งใดอีก
“ท่านผู้เฒ่าบอกว่า เจ้าไปหาต้นตอของข่าวลือ” วิหคถามขึ้น ด้วยตำแหน่งผู้นำหุบผาจึงเป็นสิทธิที่เขากระทำได้ โดยไม่เป็นการก้าวก่าย เพราะตำแหน่งผู้พิทักษ์จะใหญ่ไปกว่าตำแหน่งผู้นำหุบผาอย่างเขาได้ไง และสำหรับเขามันก็ต่ำเตี้ยไม่ต่างจากสุนัขรับใช้นั่นเอง “ได้อะไรมาบ้างหรือเปล่าละ” น้ำเสียงเข้มเหมือนจะกดให้รู้ว่าใครเป็นใคร แม้จะอยู่ในอาณาเขตของผู้ครองบัลลังก์ก็ตาม
“รอยเลือด”
คำตอบนั้นเปรียบเหมือนโยนหินลงในบ่อน้ำ เกิดเป็นรอยกระเพื่อมสะเทือนไปถึงทุกคนที่หน้าซื่อใจคด โดยเฉพาะคนที่ถาม แววตากร้าวขึ้นและจ้องเข้าไปในนัยน์ตาของคนพูด ราวกับจะให้รู้แจ้งเห็นจริงในคำที่พูดออกมา แต่ไม่สามารถที่จะหยั่งรู้ในความนิ่งนั้นได้ ที่ทำได้คือ
“หมายความว่าไง”
“อันนี้ต้องขออภัยด้วยครับ ที่ไม่สามารถตอบได้ แต่ข้าจะไม่ปล่อยให้รอยที่เจอเป็นเหมือนไฟที่ไหม้ฟาง ดับสลายหายไป แต่จะขุดคุ้ยให้รู้ที่มาที่ไปแล้วจะชำแหละ ไม่ให้เหลือแม้ควันหรือเถ้าถ่านมาเป็นตัวทำลายภูเขาดำได้อีก”
“แค่รอยเลือด บอกเจ้าได้ถึงเพียงนั้นเชียวเหรอ”
“ก็แค่รอยเลือด แต่ท่านดูจะสนใจมากเหมือนกัน”
คำพูดที่สวนมานั้นเจ็บจี้เข้าไปในอกของวิหค แต่สีหน้ายังยิ้มขำให้ทุกคนที่ฟังอยู่ ได้เห็นว่าไม่ถือสาและเป็นการหยอกเย้ากันเสียมากกว่า แต่ดวงตาที่เป็นหน้าต่างของจิตใจมีแววกระด้าง เพราะโกรธที่มันกำลังท้าทายเขา โดยไม่เกรงฐานะผู้นำหุบผาที่ยิ่งใหญ่กว่ามัน
‘ไอ้ลูกหมา’ เสียงกร่นด่าดังลั่นอก แต่ภายนอกพูดออกมาด้วยเสียงปรกติว่า “ก็เป็นธรรมดา ที่ผู้นำหุบผาอย่างข้าจะสนใจ ก็ในเมื่อมีหน้าที่ต้องดูแลภูเขาดำเหมือนกัน และถ้าเจ้าได้ความคืบหน้ารอยเลือดเมื่อไร ก็ส่งคนไปบอกข้าด้วยก็แล้วกัน จะได้ช่วยกันกำจัดไง”
คำว่ากำจัดนั้นคนอื่นอาจจะไม่คิดอะไร แต่สำหรับเวหาลูกชายกับพิชิตคนสนิทนั้นรู้ดี ว่าหมายถึงไอ้ภูผา
“บอกข้าด้วยก็แล้วกัน” เมฆาผู้นำหุบผาเหลืองพูดตามน้ำที่ไหลไปอย่างใสๆ แต่ที่รู้สึกคือมันเป็นแค่ภาพลวงตา เพราะที่เขาแน่ใจว่าข้างล่างน้ำนั้นคงกำลังขุ่นควักทีเดียว “จะได้ช่วยกำจัดอีกคน”
“ขอบใจ” ผู้เฒ่าโพธิ์เอ่ยขึ้นพลางยิ้มให้ผู้นำทั้งสอง “ที่พวกท่านทั้งสองรักและช่วยกันดูแลภูเขาดำ แล้วพวกท่านมีอะไรสงสัยอีกไหม”
“ไม่แล้วล่ะ เมื่อท่านก็สบายดี และภูผาก็ไม่ได้เป็นอย่างข่าวที่ได้ยินมา ข้าก็สบายใจแล้ว”
“ข้าก็เหมือนกัน”
“แล้วพวกท่านคิดว่า คนที่สร้างข่าวลือออกมานั้นต้องการอะไร”
แววตาของสองผู้นำฉายความครุ่นคิด พร้อมกับรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะสายตาของผู้เฒ่าโพธิ์นั้นจ้องนิ่งราวกับเจาะลึกเข้าไปถึงก้านสมองที่กำลังหยักคิด และเมฆาก็ตอบคลายความรู้สึกที่เป็นอยู่ว่า
“คงอยากสร้างความร้าวฉานให้เกิดขึ้นในภูเขาดำ”
“ทำไมต้องสร้าง หรือคนสร้างรู้อะไรที่ข้ากับพวกท่านไม่รู้”
“พวกมันคงเดามั่วไปมากกว่าท่าน อย่าใส่ใจเลยท่าน”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” วิหคให้ความเห็นเพื่อจบเรื่องที่กำลังคุยกันอยู่เสียที เพราะยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าถูกสายตาของไอ้ผู้พิทักษ์มือหนึ่งจับจ้องมากยิ่งขึ้น แต่กลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เมื่อผู้เฒ่าโพธิ์บอกว่า
“แต่ข้ารู้สึก”
“แล้วท่านคิดว่ามันต้องการอะไร”
ถามออกไปแล้ว วิหคก็รอฟังคำตอบ คนอื่นๆก็ไม่ต่างกัน และพากันสบตาท่านผู้เฒ่า ซึ่งก็ยิ้มเยือนให้เล็กน้อย ก่อนจะพูดให้ผู้นำหุบผาทั้งสองคนขนลุกชันไปทั้งตัวว่า
“ตำแหน่งของข้า ผู้ครองบัลลังก์ภูเขาดำ”
******
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
ใต้ต้นไม้สูงที่แผ่กิ่งก้านผลิดอกออกใบให้ร่มเงาแก่พืชและสัตว์น้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ในป่า ผู้พิทักษ์ของผู้ครองบัลลังก์ภูเขาดำ ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยสองเท้าที่มั่นคง ทั้งที่บนหลังมีหญิงสาวเกาะอยู่ ใบหน้าแนบอยู่บนไหล่เขา สองแขนกอดคอไว้หลวมๆ ไอร้อนจากตัวเธอยังมีให้เขารู้สึก และกังวลอยู่เงียบๆว่าเธอจะทนได้นานแค่ไหน
“หลับหรือเปล่า”
เสียงที่ดังขึ้นมานั้น ทำให้ดวงตาของขวัญชนกที่ปิดอยู่ลืมขึ้นมา ภาพแรกที่เห็นคือต้นคอแข็งแกร่ง ตั้งตรงและมั่นคง ไรผมดกดำไรเคราที่ข้างแก้ม ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวเขา กลายเป็นความทรงจำของเธอไปไม่รู้ตัว “เปล่า” เสียงเธอแผ่ว แล้วนึกไปถึงเมื่อเช้า ที่ตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนเขา ความอบอุ่นโอบล้อมไปถึงหัวใจเธอ แต่ร่างกายเธอไม่ได้ดีขึ้นมาเลย พิษไข้ยังคงเล่นงาน จนรู้สึกว่าลมหายใจมันสั้นลงไปทุกที
ตอนที่เขาบอกให้เธอขึ้นหลังนั้น เธอนิ่งงันด้วยความคาดไม่ถึง ว่าคนที่เฉยเมย เย็นชา เห็นเธอเป็นเพียงภาระ จะยอมช่วยเธอถึงขนาดนี้ ความรู้สึกดีๆก่อเกิดเพิ่มขึ้นมา แต่ก็ถูกกลบไว้ด้วยความจริงที่เขาพูดตอกใส่หน้าไว้ว่า ที่ช่วยๆไม่ใช่เพราะความเมตตาหรือสงสาร แต่เป็นเพราะยังไม่ได้ใช้ชีวิตเธอให้คุ้มค่าต่างหาก ความดีที่เขาทำจึงยังเป็นความร้ายกาจสำหรับเธออยู่ดี การปฏิเสธจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
‘ฉันดีขึ้นแล้ว’
‘แล้วจะไปได้สักกี่น้ำ’ เขาถาม เธอไม่ตอบ แต่สภาพของเธอในสายตาเขานั้นแย่ลง แม้แต่ยืนยังแทบจะไม่ไหว น้ำเสียงที่เฉียบขาดจึงดังออกมาอีกว่า ‘อย่าทำให้ฉันเสียเวลา รีบขึ้นมา’
‘ฉันไม่มีอะไรจะตอบแทนคุณแล้ว’
‘ฉันก็ไม่ได้ต้องการ แค่เวทนาเท่านั้น’
นั่นซินะ เธอจะหวังอะไรจากการกระทำของเขา แต่ความหวังเดียวที่เธอมีล่อเลี้ยงจิตใจคือคนเป็นพ่อแม่ จึงเดินไปหาเขา ซึ่งก็ย่อตัวลงนั่งบนส้นเท้ารับตัวเธอที่โน้มตัวลงเกาะบ่าเขาไว้ พอเขาลุกขึ้นก็เอ่ยขอบคุณด้วยความเฉยชา แต่ตอนนี้เธอขอบคุณด้วยหัวใจ ที่ไม่ทิ้งเธอไว้กลางทาง
“ก่อนหน้านี้เคยได้ยินชื่อภูเขาดำไหม”
เสียงที่ดังขึ้นหยุดความคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา แล้วบอกว่า “ไม่” เสียงเธอยังดังแผ่ว แต่เขาก็ได้ยินชัด “แต่ตอนนี้ฉันพอจะรู้แล้ว”
“ว่าไง” เขาชวนคุย เพื่อให้รู้ว่าความพยายามของเธอยังอยู่
“โหดร้าย ป่าเถื่อน น่ากลัว”
“หมายถึงฉันซินะ” เสียงเขายังเรียบไม่บ่งบอกความรู้สึกใด แต่เธอกลับรู้สึกว่าผ่อนคลายไม่ได้จริงจังเหมือนทุกครั้งและมีรอยยิ้มเกิดขึ้นที่ริมฝีปากโดยไม่มีเหตุผล “แล้วมาทำอะไรในป่า จึงถูกจับตัวมา”
ขวัญชนกนิ่งไปเพราะเขากับเธอนั้นแม้จะอยู่ในโลกเดียวกัน แต่ความผูกพันความสัมพันธ์ใดๆไม่มี จนมาพบเจอกันไม่ว่าจะเป็นเพราะพรหมลิขิตหรืออะไรก็ตาม ก็ยังเป็นได้แค่เชลยกับเจ้าชีวิต จะให้เธอบอกทุกอย่าง คงไม่ได้ ที่สำคัญเลือดสีน้ำเงินของคนเป็นพ่อ เธอต้องทูนไว้เหนือสิ่งอื่นใด จะไม่ยอมให้ใครไปแตะต้องท่านได้อีกเด็ดขาด... ภาพที่เลือดพ่อไหลรินยังติดตาเธออยู่ ความรู้สึกเจ็บปวดฝังแน่น จนสัญญากับตัวเองว่า ตราบเท่าที่เธอมีชีวิตอยู่ จะขอแลกทุกอย่างจะทำทุกทางไม่ให้ท่านเจ็บอีกแล้ว
“ฉันมาหาต้นไม้ประดับความรู้กับพ่อ แล้วพวกโจรก็โผล่มา ทำร้ายคนอื่นแล้วจับตัวฉันมาก็เท่านั้น”
“รู้สาเหตุไหม”
“ไม่รู้”
สิ้นคำตอบสมองของภูผาก็บอกว่าไม่เชื่อ เอียงหน้าปรายตามองใบหน้าที่เอียงแนบชิดหัวไหล่ แล้วหันกลับไปมองทางเดินพร้อมกับเสียงดังขึ้นมาอีก “จะปิดบังไว้เพื่ออะไร”
“ฉันไม่ได้ปิดบัง แต่ไม่รู้อย่างที่บอกจริงๆ”
“คนกลุ่มหนึ่งจับตัวผู้หญิงคนหนึ่งมา ถ้าไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ก็ต้องสนองอารมณ์ เพราะเธอสาวและสวยเรียกความกักขฬะจากพวกมันได้เป็นอย่างดี แต่พวกมันไม่ทำ ก็แสดงว่าที่ทำเพื่อผลประโยชน์อะไรสักอย่าง แต่คงจะมีอะไรผิดพลาดหรือไม่ก็หลงป่า จึงพาเธอเดินหลงเข้ามาในเขตภูเขาดำ แล้วระหว่างทางพวกมันพูดอะไรให้ได้ยินบ้าง”
“ไม่มี” เธอบอกทั้งๆที่รู้ว่ามี คำว่า ‘อำนาจ’ ยังดังก้องอยู่ในสมองให้จดจำไม่มีวันลืม และคิดมาตลอดเวลาว่ามันหมายความว่ายังไง ใครกันที่ต้องการคำๆนี้ ถึงขนาดไม่เกรงกลัวเลือดสีน้ำเงินของพ่อ ที่สำคัญตัวเธอก็ไม่ได้มีค่าพอที่จะเทียบกับคำๆนี้ได้เลย
“พ่อของเธอเป็นใคร” คำถามราวกับรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่นั้น ทำให้ลมหายใจของขวัญชนกหายไปเสี่ยวนาที ความหวั่นใจก่อตัวขึ้นมา และเกือบจะสะดุ้งเมื่อเสียงห้วนห้าวยังเอ่ยออกมาอีกว่า “ทหาร ตำรวจ นักธุรกิจ เจ้าพ่อ มาเฟีย หรือ...”
“คนธรรมดา”
“ที่ไม่ธรรมดาซินะ ไม่งั้นจะถูกหมายหัวได้ยังไง”
เสียงที่สวนกลับมาทันควันบอกให้เธอรู้ว่าเขาไม่เชื่อ แต่ก็ไม่แก้ตัวอะไรออกมา อีกฝ่ายจึงใช้เป็นจุดอ่อนโจมทีทันที “ไม่ปฏิเสธ แสดงว่าใช่ แล้วรู้ไหมว่าที่ไม่บอกฉันเป็นการโง่มาก”
“ฉันยอมโง่”
“เพื่ออะไร”
“เลือดสีน้ำเงิน”
ดวงตาคมกริบของภูผาหรี่ลงเพียงนิด สองเท้าก็เบี่ยงเส้นทางเดินไปยังต้นไม้ใหญ่ ปล่อยร่างอรชรให้ลงมายืนที่พื้นดินแล้วหมุนตัวมามองใบหน้าที่ขาวซีด ก่อนจะสบตากลมสวย ซึ่งก็สบอย่างไม่หลบไปไหนเหมือนกัน และไม่รู้ว่าเขารู้ความหมายของคำที่เธอพูดออกไปแค่ไหน แต่ระยะเวลาที่ได้ใกล้ชิดกัน ทำให้เธอแน่ใจว่าเขา...รู้
“พ้นจากแนวป่าตรงหน้านั้นไป ก็จะเป็นที่ๆเธอหนีมาคืนนั้น และเมื่อไปถึงเธอก็จะถูกสอบสวนอย่างหนักก่อนจะลงทัณฑ์อย่างรุนแรงที่บุกรุกเข้ามาในเขตภูเขาดำ”
“ฉันไม่ได้บุกรุก คุณก็รู้ว่าฉันถูกจับตัวมา และคุณก็จับฉันมาอีกทีหนึ่งและยัดเยียดข้อหาเชลยให้โดยที่ไม่ให้ความเป็นธรรมสักนิด”
“จะถามหาความเป็นธรรมอะไรในป่าแบบนี้ และจะไม่มีการรับฟัง ไม่ว่าใครหน้าไหนที่เหยียบย่างเข้ามา ก็ถือว่าบุกรุก จะมาตั้งศาลร้องขอโน้นนี่นั่นกัน ภูเขาดำก็คงกลายเป็นที่พื้นที่เปิดให้ไอ้พวกหน้าเลือด หน้าเนื้อใจเสือ เข้ามาทำอะไรก็ได้แล้วซิ และไม่ว่ามันจะเป็นความจริงแค่ไหนก็ตาม การลงทัณฑ์ก็จะไม่ต่างจากที่เธอเคยมองฉันไว้ว่าโหดร้ายป่าเถื่อนนั่นแหละ”
“หมายความว่าฉันจะไม่ได้เป็นคน แต่เป็นเหมือนหมูเหมือนหมา หรือสัตว์อะไรสักอย่างที่พวกคุณจะทำอะไรก็ได้ยังงั้นเหรอ” เสียงเธอเคืองขุ่นขึ้นมา
“ใช่” คำตอบนั่นเหมือนมีดที่กรีดลงมาบนเนื้อเธอให้เจ็บปวด หัวใจหวิว จนต้องกำมือให้ตัวฝืนยืนอยู่ได้ แต่หน้าเขายังนิ่งเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย “แต่ภูเขาดำก็ไม่ไร้อารยะธรรมเสียทีเดียว ยังมีกฎมีข้อให้ยกเว้นได้”
“อะไร”
“คนที่จะอยู่ที่นี่ได้ ต้องได้รับการรับรองจากผู้ครองบัลลังก์ และคนที่จะได้รับการรับรองคือผู้หญิงของฉันหรือไม่ก็คนที่ถูกตัดสินให้เป็นทาส”
“แต่คุณเป็นเจ้าชีวิตฉันแล้ว ก็เท่ากับฉันเป็นคนของคุณไปโดยปริยายไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ แต่นั่นมันเป็นเรื่องตกลงระหว่างเรา ไม่ใช่ระหว่างภูเขาดำ”
เธอนิ่งไปกับคำตอบที่ได้ยิน ก่อนจะเหยียดริมฝีปากออกเยาะ เมื่อคิดถึงสองทางเลือกที่เขาบอกมา ซึ่งความหมายของมันไม่ได้ต่างกันเลย “แล้วถ้าฉันไม่เลือก”
“เธอก็จะเป็นสมบัติของส่วนรวม ที่ไม่ว่าใครหรือผู้ชายคนไหนจะลากไปทำระยำที่ไหนก็ได้”
คำตอบนั้นเหมือนเธอถูกผลักออกไปสู่ลานประหาร ความหวาดหวั่นเกาะกุมไปทั้งจิตใจ ยิ่งคิดตามความโหดร้ายก็ยิ่งจะทำให้ทนไม่ได้ แต่เธอก็ต้องยืนอยู่ให้ได้ ใบหน้าขาวซีดเชิดหน้าขึ้นทั้งที่ขยะแขยงความเลวร้ายที่ได้ยินที่สุด “งั้นฉันขอเลือกทาส ฉันไม่กลัวงานหนัก ไม่กลัวความลำบาก ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เพราะการเป็นผู้หญิงของคุณ ก็คงไม่ต่างจากทาส”
“ฉันก็คิดอยู่แล้วว่าเธอจะต้องตอบแบบนี้” คำพูดยังนิ่งเฉย ทั้งที่เห็นความหวาดหวั่นจากแววตาคนตรงหน้า “แต่จะบอกอะไรให้สักอย่างก่อนการตัดสินใจครั้งสุดท้าย ว่าการเลือกเป็นทาสก็ไม่ต่างจากการเป็นสมบัติส่วนรวมนั่นแหละ เป็นสมบัติผลัดกัดชม เร่ไปเร่มา ยิ่งไปกว่านั้น กว่าจะถูกเร่ เธอจะถูกย่ำยียิ่งกว่าโสเภณีเสียอีก”
ขวัญชนกรู้สึกเหมือนเห็นมีดกำลังฟันใกล้ลำคอ ลมหายใจขาดเป็นห่วงๆ ก่อนสำนึกสุดท้ายบอกว่าอย่ายอมแพ้ มือของเธอยกขึ้นรับคมมีด แม้มันจะบาดเนื้อจนเลือดไหน เธอก็ต้องยึดเอาไว้ ความคิดเธอเป็นอย่างนั้นแต่ความจริงก็ไม่ต่างกัน เมื่อตัวเธอโอนเอนไปมา แล้วไม่รับรู้อะไรอีกเลย
*******
ม้าสามตัววิ่งไปบนเส้นทางขรุขระที่คดเคี้ยวทอดยาวไปตามแนวต้นไม้สูง เสียงฝีเท้าของพวกมันดังก้องไปทั้งป่า คนที่นั่งอยู่บนหลังมันนั้น จับเชือกที่ใช้บังคับมันไว้แน่น คนแรกคือเมฆาผู้นำหุบผาเหลือง คนต่อมาคือเมฆลูกชาย ตามด้วยหมอกลูกบุญธรรม ทั้งสามคนใช้เข่ากระทุ้งสีข้างม้าให้เร่งฝีเท้าขึ้นห้อเหยียดไปข้างหน้า จนกระทั่งใกล้ถึงจุดหมาย ก็ค่อยๆดึงเชือกรั้งให้มันชะลอฝีเท้า เปลี่ยนมาเป็นเหยาะย่างเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงป้ายไม้ขนาดใหญ่ที่มีตัวอักษรเขียนไว้ว่า ‘อาณาจักรผู้ครองบัลลังก์’
“ปัก”
มีดคมกริบถูกปาไปปักบนแผ่นไม้ตรงคำว่าครองได้อย่างแม่นยำ แววตาเจ้าของมีดคือเมฆ วาววับไปด้วยความทะเยอทะยาน ก่อนจะตวัดสายตาไปมองคนอีกคนที่มองอยู่ “สักวันผมจะทำให้คำๆนี้เป็นของพ่อ”
“หึๆๆ ขอบใจไอ้ลูกชาย แต่แกใจเย็นไว้ก่อน ไปดึงมีดออกมาก่อนที่ไอ้ผู้พิทักษ์ที่คุ้มครองผู้ครองบัลลังก์จะมาเห็นเข้า แล้วเอามีดมาปักบนอกแก”
เมฆเหยียดริมฝีปากออกเยาะชื่อผู้พิทักษ์ แล้วบังคับม้าให้เดินไปใกล้แผ่นไม้ ดึงมีดออกมาเก็บไว้ที่ซอกขาแล้วหันมาถามคนเป็นพ่อว่า “พ่อมาที่นี่ทำไมครับ เยี่ยมผู้ครองบัลลังก์หรือหาข่าวไอ้ผู้พิทักษ์มือหนึ่ง”
“ทั้งสองอย่าง คนที่อยู่เหนือคน แต่ตอนนี้ไม่มีคนเก่งอยู่เคียงข้าง จึงเป็นช่วงที่มีความอ่อนแอ ให้เราทำอะไรก็ได้ ถึงจะไม่ได้มากมาย แต่การมาได้เห็นอาจจะทำให้เราเห็นโอกาสที่จะได้ช่วงชิงสิ่งที่เราหวังกันอยู่ หรือรุกให้เร็วเพื่อจะได้ชัยชนะก็เป็นไปได้”
“แล้วก้างที่ขวางอยู่ละครับ จะทำยังไง”
เมฆารู้ว่าลูกหมายถึง ไอ้สองผู้นำของสองหุบผา เหยียดเรียวปากออกเยาะพวกมัน ก่อนจะบอกว่า “ถ้าเราชนะ ก้างพวกนั้นก็ไร้ความหมาย จะกำจัดทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ จริงไหมหมอก”
คนที่ถูกเรียกชื่อ สบตาทั้งคู่ที่มองมา แล้วตอบด้วยความสุขุมว่า “ถ้ามันเป็นจริงก็ใช่ครับ แต่เหรียญมีสองด้านฉันท์ใด สิ่งที่เราคิดหรือหวังก็มีสองด้านไม่ต่างกัน คือไม่แพ้ก็ชนะ ฉะนั้นการไม่ประมาทดีที่สุด เพราะก้างที่ขวางอยู่ไม่ใช่อ่อนๆแต่แข็งแรงไม่ใช่น้อย และอาจจะทิ่มแทงให้เราเจ็บหรือเพลี่ยงพล้ำโดยไม่รู้ตัวก็ได้”
“และพวกมันก็อาจจะคิดเหมือนอย่างที่ฉันกำลังคิดอยู่ก็ได้”
“ถ้าคิดเหมือนกัน ก็รับมือได้ไม่ยาก เพราะรู้วิธีแก้อยู่แล้ว แต่ที่ยากกว่าคือการที่ไม่รู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ อันตรายมากนะครับ”
ผู้นำหุบผาเหลืองพยักหน้าเห็นด้วยแต่ไม่กังวล เพราะคิดว่าตัวเองเดินนำหน้าไอ้สองผู้นำนั้นอยู่แล้ว “คนที่อยากจะเป็นคนเหนือคน คิดอยู่ไม่กี่อย่างหรอก และหนึ่งในนั้นก็คือ การกำจัดคนที่ขวางทางให้พ้นทาง อยู่ที่ว่าใครจะมีแผนที่แยบยล และเร็วกว่ากันเท่านั้น”
“งั้นเราก็ต้องรีบแล้วใช่ไหมครับพ่อ”
คนเป็นพ่อตวัดสายตาไปหาลูกชาย ซึ่งเพียงสบกัน ความฮึกเหิมก็ก่อเกิดขึ้นในใจของเมฆ แววตาเปล่งประกายความกระหาย สร้างความพอใจให้คนเป็นพ่อ แล้วบังคับม้าให้ออกวิ่งนำเลือดในอกกับนอกอก เข้าไปในอาณาเขตของผู้ครองบัลลังก์ภูเขาดำทันที
การมาของผู้นำหุบผาเหลืองถูกผู้พิทักษ์รายงานให้ผู้ครองบัลลังก์ได้รับรู้ ซึ่งท่านนั่งอ่านตำราอยู่ที่ศาลาไม้สักข้างเรือน รายล้อมด้วยความร่มรื่นจากต้นไม้ และกลิ่นหอมของดอกไม้ กลางศาลามีโต๊ะกลมวางอาหารและน้ำชาให้ท่านได้แก้กระหาย โดยมีพ่อบ้านจ้าวนั่งคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ และได้รับรู้การมาเยือนครั้งนี้ด้วย จึงถามท่านผู้เฒ่าว่า
“จะต้อนรับที่ไหนขอรับ”
“ที่นี่แหละ แค่มาหาข่าวไม่ได้มีเรื่องอะไรสำคัญ ก็ไม่ต้องไปให้ความสำคัญ เดี๋ยวจะสำคัญตัวผิดไปเปล่าๆ”
พ่อบ้านจ้าวจึงพยักหน้าให้ผู้พิทักษ์ไปเชิญตัวมาได้ ซึ่งก็ก้มหน้ารับคำสั่งแล้วรีบเดินไปทันที พ่อบ้านจ้าวก็เลื่อนสายตามามองผู้ครองบัลลังก์ พอใจกับสายตาที่เฉียบคมของท่าน ที่พอจะมองออกว่าคนที่มานั้นประสงค์สิ่งใด การเป็นคนเหนือคน ไม่ใช่ว่าใครจะเป็นก็ได้ เพราะนอกจากจะเก่งแล้ว ต้องมีความเฉลียวฉลาดรอบคอบ รู้เท่าทันคนในปกครอง แม้จะเป็นการยาก เพราะจิตใจที่อยู่ลึกลงไปในอกด้านซ้ายนั้น ไม่อาจจะมองเห็นด้วยตาและรู้ว่าเป็นยังไง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้อะไรเลย
การที่ไม่เห็นผู้พิทักษ์มือหนึ่งในวันประชุม เปรียบเหมือนเหยื่อให้พวกอีแร้ง รีบบินมากิน ซ้ำตอนนี้ยังมีข่าวลือออกมาอีกว่า ได้หายตัว ยิ่งทำให้กลิ่นเหยื่อหอมหวานสำหรับพวกมัน
“แต่คงมีบางอย่างแอบแฝงมากกว่าการมาหาข่าวแน่ๆขอรับ”
“ก็ช่างเขาเถอะ แค่ข่าวลอยๆอยากได้ก็ให้ไป แต่อย่าชักน้ำเข้าลึกอย่าชักศึกเข้าบ้าน อย่าเอาความนัยไปขายให้คนนอก ให้ภูเขาดำต้องเดือดร้อนก็พอแล้ว” ผู้เฒ่าบอกทั้งๆที่สายตายังอ่านตำราอยู่
“เป็นการป้องกันที่ยากมากขอรับ เพราะเมื่อคนมันจนหนทาง ก็เปรียบเหมือนหมาที่จนตรอก ต้องดิ้นรนทุกวิธีทางเพื่อหาทางออกไป ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนแม้กระทั่งกัดคนที่เลี้ยงดูมาก็ตาม จึงเป็นความน่ากลัวที่เราอาจจะป้องกันไม่ได้ก็ได้ขอรับ”
“งั้นข้าก็ควรต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อจะยุติสิ่งนี้ซินะ”
พ่อบ้านจ้าวไม่มีคำตอบ แต่แววตานั้นสื่อได้ชัดเจนว่า...ใช่ ผู้เฒ่าโพธิ์จึงปิดตำราที่อยู่ในมือ พร้อมๆกับที่ผู้พิทักษ์เดินนำผู้นำหุบผาเหลืองกับเลือดในอกและนอกอกเข้ามา แล้วเดินไปหาพ่อบ้านจ้าว กระซิบบอกเรื่องบางอย่าง ก็ถอยออกมายืนอยู่ตรงมุมศาลา...
การกระทำนั้นอยู่ในสายตาของสามคนพ่อลูก และเห็นว่าแววตาของพ่อบ้านจ้าวเปล่งประกาย แสดงว่าต้องมีเรื่องบางอย่างที่น่ายินดี แต่ไม่ถามออกมา เพราะจะทำให้อีกฝ่ายรู้ทันทีว่าสงสัย ทำได้แค่พากันก้มหน้าลงคำนับผู้ครองบัลลังก์เท่านั้น
ผู้เฒ่าโพธิ์เปิดยิ้มรับทั้งสามคน แล้วเชิญให้นั่งลงบนเก้าอี้ แต่มีเพียงท่านผู้นำเท่านั้นที่นั่งลงตามคำเชิญ ส่วนลูกในอกกับลูกบุญธรรม ถอยไปยืนอยู่ด้านหลังเก้าอี้ หมอกนั้นยืนนิ่งสายตาจับจ้องแค่ผู้ครองบัลลังก์ แต่เมฆตวัดสายตามองไปรอบศาลา แล้วขบฟันข่มรอยหยันไว้เมื่อเห็นไอ้ผู้พิทักษ์หลายคน ยืนเป็นหมาเฝ้าเจ้านายอยู่ ก็ละสายตากลับมามองไอ้พ่อบ้านจ้าว ที่กำลังรินน้ำชาให้คนเป็นพ่อ เรียบร้อยแล้วก็เดินไปกระซิบบอกบางอย่างให้คนเหนือคนรู้
“งั้นเหรอ”
เสียงของผู้ครองบัลลังก์ที่ฟังออกว่ายินดีนั้น ยิ่งสร้างความสงสัยให้กับสามคนพ่อลูกมากขึ้นไปอีก และพากันมองพ่อบ้านจ้าวที่เดินลงจากศาลาไป และคิดไม่ต่างกันว่าต้องมีอะไรสำคัญมากๆ จึงทำให้พ่อบ้านที่เปรียบเหมือนเงาตามตัวของผู้เฒ่าโพธิ์ ห่างจากท่านไปได้
“มีอะไรเหรอครับท่านผู้เฒ่า” เมฆถามออกมาตามประสาคนใจร้อน เก็บกดอารมณ์ความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่ได้อีกแล้ว
“อย่าเสียมารยาทเมฆ” เมฆาปรามลูกชายเสียงเข้ม แล้วหันมาบอกกับผู้ครองบัลลังก์ว่า “ขอโทษแทนลูกชายด้วยขอรับ” พูดจบผู้นำหุบผาเหลืองก็หันไปมองลูกชายอีกครั้งพร้อมคำสั่ง “ขอโทษท่านผู้เฒ่าเสีย”
“ขอโทษครับ” เมฆทำตามทันที สีหน้านั้นสำนึกผิด แต่จิตใจไม่ค่อยพอใจคนเป็นพ่อ ที่ดุเขาต่อหน้าผู้ครองบัลลังก์ ซึ่งอาจจะเปรียบเทียบเขากับไอ้กาฝากหมอกได้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างที่คิด แน่นอนว่าราศีของมันที่เป็นคนสุขุม นิ่งๆต้องดีกว่าเขาที่ใจร้อนแน่ๆ
“ไม่เป็นไร” ผู้เฒ่าโพธิ์เอ่ยออกมา “ไม่มีอะไรหรอก แค่มีบางอย่างที่น่ายินดี พ่อบ้านจ้าวจึงต้องไปดูให้รู้ แล้วเดี๋ยวก็จะได้รู้กัน”
“ขอรับ” ผู้นำหุบผาเหลืองยอมรับเหมือนไม่สงสัยอีก แล้วพูดถึงจุดประสงค์ที่เขาพาตัวเองเข้ามาที่นี่ “ข้าเพิ่งได้ข่าวเรื่องผู้พิทักษ์มือหนึ่งของท่านหายไป จึงแวะมาเยี่ยมด้วยความเป็นห่วง และพร้อมจะช่วยติดตามเต็มกำลังความสามารถ”
“ขอบใจ แต่ท่านสบายดีเหรอ แล้วภรรยากับลูกสาวละ ทำไมไม่พามาด้วย”
“ข้าและทุกคนสบายดีขอรับ”
“คนหนุ่มคนสาวก็อย่างนี้ ร่างกายยังแข็งแรง โรคภัยไม่ค่อยถามหา ไม่เหมือนคนแก่อย่างข้า โรคภัยมักมาหาสามวันดีสี่วันไข้อยู่บ่อยๆ” ผู้เฒ่าโพธิ์ว่าพลางเชิญชวนให้ดื่มน้ำชา ที่วางอยู่ตรงหน้า “ชารสดี แก้อาการคอแห้ง ดื่มแล้วชุ่มคอดีนะ”
“ขอรับ แต่ท่านผู้เฒ่ายังแข็งแรงอยู่”
น้ำเสียงเยินยอแต่จิตใจนั้นมีแต่ความเคลือบแคลง แล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มตามคำเชิญชวน พลางคิดว่าเหตุใดผู้เฒ่าโพธิ์ถึงดูไม่ได้เดือดร้อนกับเรื่องที่ไอ้ผู้พิทักษ์มือหนึ่งหายไป แถมยังชวนพูดเรื่องอื่น มันยังไงกันแน่หรือยังมีอะไรที่เขาไม่รู้อีก ความคิดของผู้นำหุบผาไม่ต่างจากเลือดในอกกับนอกอกที่ยืนฟังอยู่ด้วย
เสียงพูดคุยยังคงดังไปอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่มีเฉียดใกล้เรื่องของผู้พิทักษ์ที่หายไปอีกเลย กระทั่ง...สายตาของทุกคนเลื่อนไปมองคนที่โผล่เข้ามาในบริเวณที่คุยกันอยู่ ความเหยียดหยันผุดขึ้นมาในใจของพ่อลูกจากหุบผาเหลืองทันที ขณะที่คนที่โผล่มานั้น ก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน
*******
สองเท้าของพ่อบ้านจ้าวเดินขึ้นบันไดห้าขั้นที่ทอดขึ้นไปบนเรือนที่ปิดตายมาหลายวัน สองมือผลักประตูให้เปิดออก สายตาที่ยาวตามอายุที่ใกล้ฝั่ง กวาดมองไปรอบห้องแล้วหยุดนิ่งที่ห้องที่ประตูปิดอยู่ เท้าขยับเดินไปแค่สองก้าวก็เปลี่ยนเป็นหมุนตัวออกมายืนที่ระเบียง แววตาหรี่ลงครุ่นคิด แล้วเดินลงจากเรือนตรงไปที่แนวป่าไผ่ ที่ขึ้นอยู่ไม่ห่างจากเรือน...
ทางเดินที่ซ่อนอยู่ในดงไผ่ อาจจะทำให้คนที่ไม่คุ้นเคยหลงได้ แต่คนที่ชำนาญนั้นง่ายนิดเดียว เสียงฝีเท้าดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ กระทั่งมาถึงลานโล่งกลางดงไผ่ ร่างสูงที่แสนจะคุ้นเคยก็โผล่ออกมาให้เห็น สายตาสำรวจไปทั่วตัวอย่างรวดเร็ว ความพึงพอใจฉายชัดขึ้นมาเต็มใบหน้า เมื่อไม่เห็นบาดแผลใดที่ฉกรรจ์ แต่บนหลังนั้น...ความสงสัยถูกเก็บไว้
ขณะที่คนที่ถูกสำรวจ ก็สบตาคนที่รู้เรื่องการกลับมาของเขา ความแปลกใจเกิดขึ้นภายใต้ใบหน้าที่นิ่งเฉย เพราะเส้นทางที่ใช้เดินเข้ามาในอาณาเขตของผู้ครองบัลลังก์นั้น แทบจะไม่มีใครรู้นอกจากผู้พิทักษ์ที่ทำหน้าที่เดียวกันกับเขา... ภูผาก้มหน้าทักทายพ่อบ้านจ้าว ซึ่งก็พยักหน้ารับรู้แล้วเดินมาหยุดยืนตรงหน้า เอ่ยเสียงที่บ่งบอกความดีใจออกมา
“ดีใจที่เจ้ากลับมา และกลับมาได้ทันเวลาพอดี”
“ข่าวท่านเร็วเสมอ”
“ภาวะเช่นนี้หูตาข้า ต้องยาวกว่าอายุ”
“โอกาสมักเป็นของคนที่จับจ้องอยู่ซินะ”
“คนอื่นจะอาจจะใช่ แต่สำหรับข้ากับท่านผู้เฒ่า รออยู่ต่างหาก และทางไหนที่จะสามารถหาเจ้าเจอ ข้าก็จะทำ เพื่ออะไรนั้นคิดว่าเจ้าก็รู้อยู่แก่ใจ” ไม่มีคำตอบให้พ่อบ้านจ้าวรู้ แต่ก็รู้อยู่แล้วว่าหน้าที่ของผู้พิทักษ์คือปกป้องผู้ครองบัลลังก์ยิ่งกว่าชีพตน “แล้วนั้น...” ความสงสัยที่ถูกเก็บไว้ก่อนหน้านี้ถูกถามออกมา “เชลยที่เจ้าตามไปเหรอ”
“เมื่อก่อนนะใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว”
“แล้วเป็นอะไร”
“ภาระ”
พ่อบ้านจ้าวนิ่งไปกับคำตอบ แต่ไม่ไขข้อข้องใจใดๆ บอกแค่ว่า “ตอนนี้เจ้าคงต้องฝากภาระไว้กับข้าเสียแล้ว เพราะเจ้ามีภาระที่ยิ่งใหญ่กว่าที่ต้องทำ” ไม่มีคำถามว่าอะไร เสียงพ่อบ้านก็พูดต่อว่า “อย่างที่เจ้าบอกนั่นแหละว่าโอกาสมักเป็นของคนที่จับจ้องอยู่ และตอนนี้ก็เคลื่อนไหวเข้ามาหาเรา เพื่อทำให้บรรลุเป้าหมาย”
“ผู้นำหุบผา”
คำตอบนั้นสร้างความพอใจให้พ่อบ้านจ้าวและแปลกใจไปในคราวเดียวกัน ที่ภูผารู้ แสดงว่าต้องจับตามองอยู่หรือรู้เห็นอะไรมาบ้าง หรือไม่ก็... “เกิดอะไรขึ้นในช่วงที่เจ้าออกตามหาเชลย”
ไม่มีคำตอบจากภูผา นอกจาก...“ตอนนี้พวกเขาอยู่ไหน”
“ศาลาไม้สัก”
สิ้นเสียงพูดร่างสูงก็ออกเดิน พ่อบ้านจ้าวหมุนตัวมองตามไป สายตาจับจ้องที่เบื้องหลัง ใบหน้าที่แนบซบไหล่นั้นเห็นไม่ชัด แต่บาดแผลที่ไหล่บางกับรอยแผลบนตัวเขา ตอบคำถามเมื่อกี้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาในระหว่างที่ตามหาเชลย ความกังวลใจที่เคยมีเกิดขึ้นแล้วจริงๆ คงมีใครสักคนไปจุดไฟเผาป่า โชคดีที่เขาไม่เป็นอะไรและกลับมาอย่างปลอดภัย แต่ที่เหนือไปกว่านั้นคือสิ่งที่ผู้เฒ่าโพธิ์กล่าวไว้ ความคุ้มค่ามันเกิดขึ้นตามมาหรือไม่
*******
วิหคผู้นำหุบผาเขียวนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าผู้ครองบัลลังก์ โดยมีเวหาลูกชายกับพิชิตคนสนิทยืนอยู่ข้างหลัง ทั้งสามไม่คิดว่าจะเจอพวกหุบผาเหลือง ซึ่งอีกฝ่ายก็คิดไม่ต่างกัน จึงมองหน้ากันเหมือนจะหยั่งเชิงกันอยู่เงียบๆ แต่...เมฆายังติดใจเรื่องที่น่ายินดีของผู้เฒ่าโพธิ์ที่พูดไว้เมื่อกี้ หรือจะหมายถึงไอ้วิหค ถ้าใช่ แล้วทำไมไอ้พ่อบ้านจ้าวยังไม่โผล่ตามมา
ความสงสัยนี้ถูกเก็บเงียบ และแอบมองผู้ครองบัลลังก์ ซึ่งสีหน้ายังปรกติและรินน้ำชาให้ไอ้วิหค ยกขึ้นดื่มเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ยินเสียมันเอ่ยออกมาว่า “ท่านผู้เฒ่าสบายดีนะขอรับ”
“สบายดี ตามอัตภาพที่เห็นนั่นแหละ แล้วท่านกับครอบครัวละ สบายดีเหมือนกันใช่ไหม”
“ขอรับ”
“ดีแล้ว” ท่านผู้เฒ่ายิ้มให้พลางมองหน้าสองผู้นำสลับกันไปมา “วันนี้ท่านสองคนใจตรงกันมาเยี่ยมเยียนข้า นอกจากจะถามเรื่องสุขภาพข้าเหมือนกันแล้ว เรื่องอื่นจะตรงกันหรือเปล่า เมฆานะถามข้ามาแล้ว แล้วท่านละวิหค มีเรื่องอื่นจะถามไหม”
รอยยิ้มผุดขึ้นตรงมุมปากของวิหค ก่อนจะตอบว่า “ไม่มีขอรับ ข้าตั้งใจมาเยี่ยมท่านจริงๆ แต่ก็ได้ยินข่าวมาบ้างมาผู้พิทักษ์มือหนึ่งของท่านผู้เฒ่าหายไป”
“เมื่อกี้เมฆาก็พูดกับข้าเรื่องนี้ งั้นข้าขอบอกให้ได้ฟังพร้อมกันเลยว่าภูผาไม่ได้หายไป”
ความแปลกใจเกิดขึ้นบนใบหน้าและนัยน์ตาของผู้มาเยี่ยมทุกคน เพราะข่าวที่ได้มานั้นยืนยันแน่ชัดว่าไม่ได้โคมลอยแน่นอน ที่สำคัญคนที่เอาข่าวมาให้คือคนที่ไว้ใจได้ทั้งนั้น ต่างคนต่างครุ่นคิด และเก็บงำกันไว้ แต่ที่คิดตรงกันคือในวันที่ประชุม ถ้ามันไม่ได้หายไป แล้วทำไมไม่มาร่วมประชุมหรืออารักขาท่านผู้เฒ่า
“งั้นหรือขอรับ” เมฆายอมรับเหมือนจะไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก
“ใช่ แต่ว่าพวกท่านสองคนถามเรื่องนี้ออกมาเหมือนกัน เอาข่าวกันมาจากไหน”
คำถามของท่านผู้เฒ่ากับสายตาที่มองมานั้นทำให้สองผู้นำหุบผานิ่งไป ก่อนจะปรับท่าทีไม่ให้เคร่งเครียดกับการถูกจับตามอง เมฆายิ้มที่มุมปากเพียงนิดก็บอกว่า “ข่าวมันลอยมาเข้าหู แต่ต้นตอจะมาจากไหนนั้น ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน โชคดีที่วันนี้ตั้งใจมาเยี่ยมท่าน จึงได้ถามให้หายข้องใจ และอย่างที่บอกไว้ว่าข้าแค่จะช่วย แต่เมื่อเขาไม่ได้หายไปหรือเป็นอะไร ก็ดีแล้ว”
“แล้วท่านละวิหค” สายตาของท่านผู้เฒ่าเลื่อนมาจับจดอยู่หน้าของผู้นำหุบผาเขียว ซึ่งก็บอกว่า
“ข้าก็ไม่ต่างจากเมฆาหรอกขอรับ ภูเขาดำของเรา ไม่ได้ใหญ่มากมาย พอมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นนิดหน่อย ก็พูดกันไป แต่ที่น่าสนใจ ถ้าเรื่องนี้ไม่จริงแล้วข่าวนี้เกิดขึ้นได้ยังไง และคนที่ทำต้องการอะไร”
“นั่นนะซิ” เมฆาสนับสนุนออกมา แสดงสีหน้าให้เห็นว่าสงสัยเป็นอย่างมาก และมองหน้าท่านผู้เฒ่าอย่างจะอ่านให้ออกว่าท่านจะคิดยังไง และรอให้พูดออกมา แต่แทนที่จะได้คำตอบกลับเป็นคำถามอีกว่า
“แล้วพวกท่านคิดว่ายังไง หรือพอจะสงสัยใครไหม”
“คงต้องสืบ” วิหคให้เหตุผล “แต่ถ้าจะให้ตอบตอนนี้ ข้าก็คิดว่าข่าวน่าจะมาจากวันที่ประชุมของพวกเรา แล้วไม่เห็นเขา จึงพูดกันไปต่างๆนา”
“แต่ถ้าไม่มีควัน ไฟก็ไม่ลุกขึ้นมา”
“ท่านก็พูดเกินไป ท่านเมฆา ก็แค่ข่าวโคมลอยจะมีควันมีไฟอะไร หรือท่านมีใครให้น่าสงสัย จึงพูดออกมาแบบนี้”
“ก็ต้องมีกันบ้าง” ว่าแล้วนัยน์ตาของเมฆาก็มีแววท้าทายวิหคอยู่นัยๆ “เพียงแต่ว่าตอนนี้อาจจะเป็นแค่ควันจางๆ รอให้หนาทึบขึ้นมาก่อนเถอะ ท่านอาจจะรู้เป็นคนแรก หรือไม่ก็รู้อยู่แก่ใจดี”
“พูดแบบนี้ ก็คล้ายจะกล่าวหากันนะท่าน” เสียงวิหคออกจะไม่พอใจ
“ท่านก็อย่ากินปูนร้อนท้องซิ ข้าแค่เปรียบให้ฟัง ไม่ได้พูดอะไรออกมาที่บ่งบอกว่าเป็นท่านเลย”
“งั้นท่านก็ไม่ต่างจากข้ามากนัก เพราะที่พูดออกมา ก็อาจจะกินปูนแล้วร้อนท้องอยู่ก็เป็นได้ จึงต้องหาวิธีกลบเกลื่อนอยู่”
สองผู้นำโต้ตอบหยั่งเชิงกันไปมา สายตาก็เริ่มจะดุดัน เลือดในอกกับคนสนิทที่ยืนฟังอยู่หลังเก้าอี้ ได้แต่ปรายตามองหน้ากัน เพราะรู้สึกเหมือนทั้งคู่กำลังพากันสาวไส้ตัวเองออกมา ถ้ามีเฉพาะคนของตัวเองไม่เป็นไร แต่นี่... สายตาเมฆ หมอก เวหาและพิชิตเลื่อนไปมองผู้ครองบัลลังก์ ราวกับนัดกันไว้ แม้สีหน้ากับท่าทางยังปรกติ แต่คำพูดที่ได้ยิน พวกเขาคิดตรงกันว่าท่านสงสัย
“ฮึม ฮึม” เสียงกระแอมเบาๆดังออกมาจากใครคนหนึ่ง แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้นำหุบผาทั้งสองคนเริ่มรู้ตัว ปรับเปลี่ยนแววตาให้นิ่ง ก่อนมองไปที่ท่านผู้เฒ่า
“ถ้าภูผาไม่ได้หายไป แล้วเขาไปไหนขอรับ ทำไมไม่อยู่ดูแลอารักขาท่าน” วิหคถามออกมาตรงๆ และเป็นคำถามที่หลายคนก็อยากรู้เหมือนกัน
“เขามีงานสำคัญต้องไปทำ”
“งานอะไรหรือขอรับ”
ผู้เฒ่าโพธิ์สบตาทุกคนที่มองมา ยิ้มให้เล็กน้อย แล้วบอกว่า “หาต้นตอของข่าวลือ”
ความเงียบเกิดขึ้นมาฉับพลัน แม้แต่เสียงลมหายใจของผู้นำทั้งสอง ลูกชาย และคนสนิท ก็หยุดหายไป เพราะคำตอบนั้นเหมือนโดนแทงข้างหลังทะลุหัวใจ และเหยียบซ้ำให้เจ็บจนแทบตายเมื่อคนที่ถามหาปรากฏตัวขึ้นมา ...ภูผา ผู้พิทักษ์มือหนึ่ง
ลมหายใจที่ถูกเก็บกดไว้ พากันปลดปล่อยออกมา สายตาทุกคู่มองไปที่ร่างสูง ที่ก้าวเดินอย่างมั่นคงขึ้นมาบนศาลา ดวงตาคมกริบมองนิ่งที่ผู้ครองบัลลังก์ ก้มหน้าลงให้ความเคารพเป็นคนแรก จากนั้นก็เป็นผู้นำทั้งสองคน เรียบร้อยแล้วก็เดินไปยืนอยู่หลังเก้าอี้ของท่าน
ใบหน้าคมนิ่งเฉย ดวงตามองผ่านทุกสายตาที่จ้องมาไปข้างหน้าเหมือนไม่ได้สนใจ แต่จริงๆแล้วเก็บรายละเอียดไว้หมดแล้ว ...สองผู้นำหุบผา ลูกชาย คนสนิท ก็ต่างเก็บงำทุกความรู้สึกไว้เช่นกัน แต่สีหน้าที่แสดงออกมาต่างยินดีที่ได้เห็นเขา ไม่ได้เคลือบแคลงระแวงสงสัยสิ่งใดอีก
“ท่านผู้เฒ่าบอกว่า เจ้าไปหาต้นตอของข่าวลือ” วิหคถามขึ้น ด้วยตำแหน่งผู้นำหุบผาจึงเป็นสิทธิที่เขากระทำได้ โดยไม่เป็นการก้าวก่าย เพราะตำแหน่งผู้พิทักษ์จะใหญ่ไปกว่าตำแหน่งผู้นำหุบผาอย่างเขาได้ไง และสำหรับเขามันก็ต่ำเตี้ยไม่ต่างจากสุนัขรับใช้นั่นเอง “ได้อะไรมาบ้างหรือเปล่าละ” น้ำเสียงเข้มเหมือนจะกดให้รู้ว่าใครเป็นใคร แม้จะอยู่ในอาณาเขตของผู้ครองบัลลังก์ก็ตาม
“รอยเลือด”
คำตอบนั้นเปรียบเหมือนโยนหินลงในบ่อน้ำ เกิดเป็นรอยกระเพื่อมสะเทือนไปถึงทุกคนที่หน้าซื่อใจคด โดยเฉพาะคนที่ถาม แววตากร้าวขึ้นและจ้องเข้าไปในนัยน์ตาของคนพูด ราวกับจะให้รู้แจ้งเห็นจริงในคำที่พูดออกมา แต่ไม่สามารถที่จะหยั่งรู้ในความนิ่งนั้นได้ ที่ทำได้คือ
“หมายความว่าไง”
“อันนี้ต้องขออภัยด้วยครับ ที่ไม่สามารถตอบได้ แต่ข้าจะไม่ปล่อยให้รอยที่เจอเป็นเหมือนไฟที่ไหม้ฟาง ดับสลายหายไป แต่จะขุดคุ้ยให้รู้ที่มาที่ไปแล้วจะชำแหละ ไม่ให้เหลือแม้ควันหรือเถ้าถ่านมาเป็นตัวทำลายภูเขาดำได้อีก”
“แค่รอยเลือด บอกเจ้าได้ถึงเพียงนั้นเชียวเหรอ”
“ก็แค่รอยเลือด แต่ท่านดูจะสนใจมากเหมือนกัน”
คำพูดที่สวนมานั้นเจ็บจี้เข้าไปในอกของวิหค แต่สีหน้ายังยิ้มขำให้ทุกคนที่ฟังอยู่ ได้เห็นว่าไม่ถือสาและเป็นการหยอกเย้ากันเสียมากกว่า แต่ดวงตาที่เป็นหน้าต่างของจิตใจมีแววกระด้าง เพราะโกรธที่มันกำลังท้าทายเขา โดยไม่เกรงฐานะผู้นำหุบผาที่ยิ่งใหญ่กว่ามัน
‘ไอ้ลูกหมา’ เสียงกร่นด่าดังลั่นอก แต่ภายนอกพูดออกมาด้วยเสียงปรกติว่า “ก็เป็นธรรมดา ที่ผู้นำหุบผาอย่างข้าจะสนใจ ก็ในเมื่อมีหน้าที่ต้องดูแลภูเขาดำเหมือนกัน และถ้าเจ้าได้ความคืบหน้ารอยเลือดเมื่อไร ก็ส่งคนไปบอกข้าด้วยก็แล้วกัน จะได้ช่วยกันกำจัดไง”
คำว่ากำจัดนั้นคนอื่นอาจจะไม่คิดอะไร แต่สำหรับเวหาลูกชายกับพิชิตคนสนิทนั้นรู้ดี ว่าหมายถึงไอ้ภูผา
“บอกข้าด้วยก็แล้วกัน” เมฆาผู้นำหุบผาเหลืองพูดตามน้ำที่ไหลไปอย่างใสๆ แต่ที่รู้สึกคือมันเป็นแค่ภาพลวงตา เพราะที่เขาแน่ใจว่าข้างล่างน้ำนั้นคงกำลังขุ่นควักทีเดียว “จะได้ช่วยกำจัดอีกคน”
“ขอบใจ” ผู้เฒ่าโพธิ์เอ่ยขึ้นพลางยิ้มให้ผู้นำทั้งสอง “ที่พวกท่านทั้งสองรักและช่วยกันดูแลภูเขาดำ แล้วพวกท่านมีอะไรสงสัยอีกไหม”
“ไม่แล้วล่ะ เมื่อท่านก็สบายดี และภูผาก็ไม่ได้เป็นอย่างข่าวที่ได้ยินมา ข้าก็สบายใจแล้ว”
“ข้าก็เหมือนกัน”
“แล้วพวกท่านคิดว่า คนที่สร้างข่าวลือออกมานั้นต้องการอะไร”
แววตาของสองผู้นำฉายความครุ่นคิด พร้อมกับรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะสายตาของผู้เฒ่าโพธิ์นั้นจ้องนิ่งราวกับเจาะลึกเข้าไปถึงก้านสมองที่กำลังหยักคิด และเมฆาก็ตอบคลายความรู้สึกที่เป็นอยู่ว่า
“คงอยากสร้างความร้าวฉานให้เกิดขึ้นในภูเขาดำ”
“ทำไมต้องสร้าง หรือคนสร้างรู้อะไรที่ข้ากับพวกท่านไม่รู้”
“พวกมันคงเดามั่วไปมากกว่าท่าน อย่าใส่ใจเลยท่าน”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” วิหคให้ความเห็นเพื่อจบเรื่องที่กำลังคุยกันอยู่เสียที เพราะยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าถูกสายตาของไอ้ผู้พิทักษ์มือหนึ่งจับจ้องมากยิ่งขึ้น แต่กลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เมื่อผู้เฒ่าโพธิ์บอกว่า
“แต่ข้ารู้สึก”
“แล้วท่านคิดว่ามันต้องการอะไร”
ถามออกไปแล้ว วิหคก็รอฟังคำตอบ คนอื่นๆก็ไม่ต่างกัน และพากันสบตาท่านผู้เฒ่า ซึ่งก็ยิ้มเยือนให้เล็กน้อย ก่อนจะพูดให้ผู้นำหุบผาทั้งสองคนขนลุกชันไปทั้งตัวว่า
“ตำแหน่งของข้า ผู้ครองบัลลังก์ภูเขาดำ”
******
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.ย. 2559, 17:10:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.ย. 2559, 17:10:15 น.
จำนวนการเข้าชม : 1722
<< ตอน 6 | ตอน 8 >> |
แว่นใส 13 ก.ย. 2559, 19:47:35 น.
เริ่มหลุดออกมาทีละนิดเนอะ
เริ่มหลุดออกมาทีละนิดเนอะ