บังลังค์รักภูผา
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 8
ตอน 8
ณ เรือนพักของผู้พิทักษ์มือหนึ่งของผู้ครองบัลลังก์ พ่อบ้านจ้าวนั่งมองหญิงสาว ที่นอนนิ่งไม่ได้สติอยู่ในห้องนอนของเจ้าของเรือน บนเตียงไม้ที่มีเบาะหนารองรับให้ความนุ่ม เขาสั่งคนที่รับใช้ให้ไปตามหญิงชาวบ้านมาหนึ่งคน เอาเสื้อผ้ามาให้ มาเช็ดตัว และเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ จนเรียบร้อยก็ให้กลับไป จากนั้นก็ทำการรักษาอาการป่วยและแผลที่หัวไหล่ พร้อมกับพิจารณารูปหน้าที่งดงาม ปากคอคิ้วคางของเธอรับกันอย่างเหมาะเจาะ ผิวพรรณขาวเนียนลออ รูปร่างอรชรกลมกลึงน่าถนอม ถ้าลืมตาตื่นขึ้นมาคงงามเหมือนนางกวาง ที่เสือทั้งป่าอยากจะครอบครองเป็นแน่แท้
มุมปากของพ่อบ้านจ้าวเผยยิ้มออกมา เมื่อคิดถึงเสือตัวแรก ที่ได้พบนางกวางตัวนี้และดูจะถูกใจไม่น้อย ไม่งั้นคงไม่แบกมาและไม่มีทางเปลี่ยนจากเชลยที่ไม่ต้องไปสนใจใยดี มาเป็นภาระที่ต้องดูแลเป็นแน่...ถูกใจความสวยนั้นคงเป็นอย่างแรก แต่จากที่เขารู้จักผู้พิทักษ์มือหนึ่งมา คงไม่พาตัวเองไปผูกพันด้วยความสวยแค่นี้ มันต้องมีอะไรมากกว่าที่เขารู้และคิดอยู่ และแผลที่หัวไหล่ของเธอ ที่เขาแน่ใจว่ามาจากรอยกระสุน เธอได้มายังไง
พ่อบ้านจ้าวคิดไปต่างๆนาๆ แล้วหยุดความคิดเอาไว้ เมื่อดวงตาบนใบหน้างามเริ่มเปิดปรือเหมือนจะลืมขึ้น แต่ไม่ลืม ก่อนจะตามมาด้วยมือที่ยกขึ้นคล้ายจะคว้าอะไรบางอย่าง สายตาพ่อบ้านจับจ้องมองและต้องแปลกใจ เมื่อได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากริมฝีปาก
“พ่อ ไม่ ไม่นะ อย่า!!” เสียงตอนท้ายบอกความตกใจและหวาดกลัว ขณะที่มือก็ยังพยายามไขว่คว้า และพูดออกมาอีกหลายประโยคที่เขาฟังไม่ได้ศัพท์ ก่อนจะบอกตัวเองว่า ...เธอละเมอ
พ่อบ้านจ้าวยกแขนให้จับ ทันทีที่ได้จับ นิ้วเรียวก็จิกลงบนแขน ดวงตาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน หรี่ลงมองการกระทำที่กำลังบอกเขาว่าเธอฝันร้าย หรือไม่เธอก็ต้องเจอเรื่องร้ายๆมา ซึ่งอาจจะเป็นรอยกระสุนที่เขากำลังสงสัยอยู่ก็ได้
“ปล่อย อย่านะ ฉัน อึก ฉัน” เสียงชัดขึ้นพร้อมกับสะอื้นออกมา และงึมงำอีกหลายประโยค และเหมือนเดิมที่เสียงตอนหลังนั้นฟังไม่รู้เรื่อง แม้จะพยายามฟังเผื่อหญิงสาวจะหลุดอะไรออกมาบ้าง แต่ไม่มี แล้วดวงตาเปิดปรืออยู่ก็ค่อยๆลืมขึ้นมา
ความงุนงงคือสิ่งแรกที่เขาเห็น ดวงตาเธอกลมสวยไม่ต่างจากที่เขาคิดไว้ และจ้องมาที่เขา ก่อนจะปล่อยมือที่จับแขนเขาไว้อย่างตกใจ และเด้งตัวขึ้นมาถดถอยหนี เมื่อสติบอกว่าไม่ใช่คนที่คุ้นเคย พ่อบ้านจ้าวจึงต้องรีบบอกว่า
“ที่นี่ไม่มีอันตราย ไม่ต้องกลัว นอนลงไปเถอะ”
แม้จะได้ยินแบบนั้น แต่ขวัญชนกก็ไม่สามารถไว้ใจใครได้จริงๆ นอกจากคนที่เห็นเธอเป็นภาระ สายตาเธอกวาดมองไปรอบๆที่ๆอยู่ ไม่มีป่าไม้ ก้อนหิน ดิน เสียงร้องของแมลง และความหนาวเย็น เห็นเป็นห้องที่กั้นด้วยไม้แผ่นหนา มีตู้ไม้ใบใหญ่อยู่ตรงปลายเตียงและตู้ไม้เล็กๆติดกระจกให้พอได้ส่องดูตัวเอง กับเตียงที่เธอนั่งอยู่ซึ่งให้ความอบอุ่นพอสมควร แล้วละสายตามามองตัวเอง เสื้อผ้าที่ใส่แปลกใหม่ไม่ใช่ชุดเดิมที่ใส่ ก็มองคนที่นั่งอยู่ขอบเตียง
พ่อบ้านจ้าวที่จับตามองอยู่ ยิ้มให้อย่างพอจะเข้าใจว่าเธอกำลังสงสัยอะไร ก็บอกว่า “ฉันให้ผู้หญิงชาวบ้านเปลี่ยนให้ และที่นี่ก็คือเรือนของคนที่พาหนูมา”
“ภูเขาดำ”
“ถ้าหนูจะหมายความว่าเรือนที่อยู่นี้อยู่ที่ไหน ก็ใช่ภูเขาดำ” พ่อบ้านจ้าวบอก และไม่สงสัยว่าเธอรู้ได้ไง หลายวันที่รอนแรมอยู่ในป่ากับภูผา คงได้รู้หรือไม่ก็รู้ตั้งแต่ถูกจับตัวมาเป็นเชลยแล้ว “ฉันชื่อจ้าว เป็นพ่อบ้านที่ดูแลที่นี่ รวมถึงหนูที่ฉันต้องดูแล”
“ขอบคุณค่ะ” ขวัญชนกไม่เพียงแค่พูด ยังยกมือไหว้ด้วย เพราะแน่ใจว่าอาการป่วยของตัวเองที่ดีขึ้น คงมาจากพ่อบ้านสูงวัยคนนี้ ซึ่งก็พอใจที่หญิงสาวมีกิริยาที่อ่อนน้อมบอกไปถึงรากเหง้าที่มาพอสมควร “หนูชื่อขวัญชนกค่ะ” เธอแนะนำตัวแค่นั้น แล้วถามถึงคนที่แบกเธอมา “แล้ว เขาละคะ”
“มีงานต้องทำ” พ่อบ้านจ้าวบอก แล้วลุกขึ้นเดินไปที่ตู้ใบใหญ่ หยิบบางอย่างที่วางอยู่ข้างตู้ ถือเดินกลับมาหาเธอ แล้วบอกว่า “หนูควรจะพักเสีย แล้วถ้ามีอะไร ก็ให้เคาะไม้นี้ ก็จะมีคนมายืนรอคำสั่งอยู่ที่หน้าเรือน แต่วันสองวันนี้ไม่ต้องเคาะ ฉันจะให้เด็กมานั่งเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูห้อง และถ้าหิว ข้างนอกมีอาหาร ทานได้เลย”
“ขอบคุณค่ะ”
พ่อบ้านจ้าววางลำไม้ไผ่ยาวแค่ศอกพร้อมไม้เคาะไว้ที่ปลายเตียง เรียบร้อยแล้วก็เดินไปที่ประตู แต่ก่อนจะเปิดออกไป ก็หันกลับมามองหญิงสาวที่นั่งมองอยู่ นัยน์ตาคู่สวยดูหวาดหวั่นแต่ไม่มีความอ่อนแอให้เห็น มีแต่ความเข้มแข็งที่แสดงออกมา ก็บอกว่า
“โชคชะตาของคนเรามีไม่เท่าเทียมกัน เมื่อได้มาแล้วก็ควรจะรักษาไว้ให้ดี เพราะต่อไปอาจจะไม่โชคดีแบบนี้แล้วก็ได้”
ประตูห้องถูกเปิดออกแล้วปิดลงอย่างสนิท แต่ขวัญชนกยังมองนิ่งอยู่ที่บานประตูเพราะคำพูดที่ถูกทิ้งไว้ บอกให้รู้ว่าคนพูดรู้เรื่องราวของเธอพอสมควร เชลยที่กลายมาเป็นภาระของเจ้าของเรือน ไม่ใช่ความลับของพ่อบ้านอีกต่อไป แต่เขาคงไม่รู้ว่าโชคชะตาที่ให้ความโชคดีมา แท้ที่จริงแล้วคือความโชคร้ายต่างหาก เมื่อภาระได้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปแล้ว
*********
ผู้เฒ่าโพธิ์ผู้ครองบัลลังก์ภูเขาดำ นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้หัวเสือ หลังโต๊ะขัดมันวาวที่วางอยู่ในห้องหนังสือ ซึ่งเป็นที่ส่วนตัว ห้ามไม่ให้ใครเข้ามาได้ง่ายๆ นอกจากพ่อบ้านจ้าวคนเดียวเท่านั้น แต่ตอนนี้ผู้พิทักษ์มือหนึ่งได้เข้ามายืนนิ่งอยู่กลางห้อง รอบห้องนั้นส่วนใหญ่จะเป็นชั้นวางหนังสือ มีโต๊ะวางอยู่ข้างหน้าต่างที่เปิดแง้มให้สายลมพัดเข้ามา หนังสือหลายเล่มวางอยู่บนนั้นและมีบางเล่มที่เปิดค้างไว้
ดวงตาคมกริบสบนิ่งที่ดวงตาท่านผู้เฒ่า หลังจากผู้นำหุบผากับลูกชายและคนสนิทกลับไป เขาก็ถูกสั่งให้ตามมายืนอยู่ในห้องนี้ พร้อมกับเรื่องรอยเลือดก็ถูกถ่ายทอดออกมาให้ฟัง ความนิ่งเงียบเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ผู้เฒ่าโพธิ์ยังไม่มีคำพูดใดออกมา เพราะเป้าหมายของไอ้โม่ง นั่นคือคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ช่างน่าหวาดหวั่นนัก
“คิดว่ามันจะเป็นคนของใคร จะใช่หนึ่งในสองที่มาเยี่ยมข้าหรือเปล่า” เสียงท่านถามขึ้น เมื่ออยากรู้ความคิดของคนตรงหน้า
“ไม่แน่ขอรับ ทุกอย่างยังกว้างไป แต่อีกไม่นานก็คงจะแคบลงมา เพราะจิ้งจอกต้องออกมาล่าเหยื่ออีกครั้งแน่นอน แม้จะยังไม่ออกมาทั้งตัว ก็ต้องมาด่อมๆมองๆ และถึงตอนนั้นก็อาจจะได้รู้ว่าใครคือจิ้งจอกตัวนั้น”
“ขึ้นชื่อว่าจิ้งจอกคงจัดการไม่ได้ง่ายๆแน่ สัตว์ประเภทนี้เล่ห์เหลี่ยมเยอะ คงต้องระวังกันให้ดี”
“แต่มันก็ต้องระวังเหมือนกันเพราะกลัวจะถูกล่า เพราะคำพูดของท่านที่เอ่ยก่อนที่พวกเขาจะกลับกันไป”
“ก็ใช่” เสียงท่านผู้เฒ่าเนิบนาบและมีรอยยิ้มอยู่นิดๆ “ข้าแค่เขียนเสือให้วัวกลัว แต่ไม่รู้ว่าจะได้ผลแค่ไหน เพราะแต่ละคนข้ารู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ ไม่รู้ว่าใครจะคิดคดทรยศบ้าง การกำราบคงทำได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะบัลลังก์ภูเขาดำมันช่างหอมหวานสามารถสร้างอำนาจและบารมี ให้กับคนที่ได้ครอบครองมากมายเหลือเกิน”
คนที่ฟังอยู่รู้ดีถึงข้อนี้เช่นกัน ไม่งั้นเขาคงไม่เผชิญกับการเข่นฆ่า กิเลสในใจคนคือสันดานที่แก้ไม่ได้ และจะไม่เปลี่ยนจนกว่าจะได้สิ่งที่หวัง หรือไม่ก็ใกล้จะตายแล้วนั่นแหละ การกำจัดเขาก็เหมือนการแผ้วถางทางเพื่อเดินไปสู่บัลลังก์ได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ต้องรอให้ถึงเวลา แต่อย่าหวัง ตราบใดที่เขายังอยู่ ไม่มีทางที่ใครจะเดินขึ้นไปได้โดยไม่ชอบธรรม
“ข้าจะป้องกันให้ดีที่สุด จะไม่ยอมให้ใครได้ขึ้นไปนั่งก่อนเวลาที่สมควร”
“ขอบใจ ข้ารู้ว่าเจ้าจะทำเช่นนั้น เพราะตลอดเวลาที่ข้าเลือกเจ้ามาเป็นผู้พิทักษ์มือหนึ่ง เจ้าทำหน้าที่ได้ดี แต่จากนี้ไปเจ้าต้องระวังให้มากๆ เพราะตราบใดที่ความหวังของพวกมันยังไม่สำเร็จ การเข่นฆ่าก็ยังไม่จบลงแน่นอน เพราะวาระของข้ามันใกล้เข้ามาแล้ว”
“ขอรับ” เสียงรับคำนั้นไร้ความหวั่นไหวใดๆให้เห็น มิหนำซ้ำแววตายังกร้าว ลำตัวก็ยืดตรง บอกความพร้อมที่จะรับมือกับทุกคนที่เข้ามาทำร้ายผู้ครองบัลลังก์
“งั้นเจ้าก็กลับไปพักเถอะ เพราะจากนี้ไปต้องเหนื่อยหนักอีกมาก แต่เจ้าจะไม่พูดถึงคนที่แบกมาด้วยเหรอ”
น้ำเสียงยังเรียบง่ายเหมือนเดิม แต่สายตาของท่านผู้เฒ่า ไม่ได้ละไปจากใบหน้าคมที่มองอยู่เลย ซึ่งเขาก็มองตอบ ด้วยสายตาที่แน่นิ่งที่ยากจะอ่านว่าเป็นอย่างไร และไม่ต้องถามว่าท่านรู้ได้ยังไง ในฐานะที่เขาเป็นผู้พิทักษ์มือหนึ่งรู้ว่า ไม่ว่าอะไรที่โผล่เข้ามาในเขตยอดเขาที่ท่านผู้เฒ่าอยู่ จะถูกจับตามองและรายงานให้รู้เสมอ
“แค่ภาระ ไม่ได้สำคัญอะไรขอรับ”
“แต่ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ภาระ เจ้าก็รู้ว่าต้องมีมากกว่านั้น”
“ผู้หญิงของข้า ผู้พิทักษ์ภูเขาดำ ท่านจะรับรองได้หรือไม่ขอรับ”
ผู้เฒ่าโพธิ์ลุกขึ้นจากเก้าอี้หัวเสือ เดินมายืนตรงหน้าร่างสูง ที่ท่านรักดั่งลูกหลาน เพราะเห็นมาตั้งแต่เด็ก เด็กกำพร้าในภูเขาดำที่พ่อแม่ตายตั้งแต่ยังเล็ก จะถูกเก็บมาเลี้ยง ใครที่มีหน่วยก้านดีก็จะถูกฝึกให้เก่ง และทดสอบคัดเลือกให้เป็นหนึ่งเพื่อมาปกป้องคุ้มครองผู้ครองบัลลังก์
ส่วนคนที่เหลือก็อารักขาตามกันไป ซึ่งเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ... เวลาที่ผ่านมาชายหนุ่มตรงหน้าทำหน้าที่ตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม และไม่เคยที่จะสนใจผู้หญิงคนไหน ทั้งๆที่ผู้หญิงในภูเขาดำและในหุบผา ต่างมีพร้อมที่จะเป็นคู่ครอง แต่ไม่เคยเอ่ยปากถึงใครเลยสักคน
“ถึงกับขอให้ข้ารับรองแสดงว่าต้องถูกใจ” ไม่มีคำปฏิเสธจากภูผา แววตาก็ยังแน่นิ่งเหมือนเดิม เสียงผู้เฒ่าจึงเอ่ยต่อว่า “แต่นอกจากเธอจะเป็นเชลยที่บุกรุกเข้ามาในภูเขาดำแล้ว เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับเธอบ้าง”
“เป้าหมายของไอ้โม่ง”
ความแปลกใจปรากฏขึ้นในแววตาของผู้เฒ่าโพธิ์ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นรอยครุ่นคิด ก่อนจะถามออกมา “เธอไปเกี่ยวกับมันได้ยังไง มีเหตุและผลหรือเปล่า”
“ไม่มีขอรับ รู้แค่ว่าเธอไม่ได้บุกรุกแต่ถูกจับตัวมา แต่จะเป็นพวกไหนยังไม่รู้”
“ทุกอย่างดูเกี่ยวพันกันซินะ คนสองคนโผล่เข้ามาในภูเขาดำ ในเวลาไล่เลี่ยกัน พร้อมกระสุนและรอยเลือด ความสงบสุขคงไม่มีอีกแล้ว” ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้หัวเสือ สายตามองนิ่งมาที่ภูผา “ทั้งศึกในศึกนอกที่ยากจะคาดเดา เป็นภัยที่น่ากลัวและป้องกันยากเหลือเกิน เราต้องระวังกันให้ดี รีบหาต้นตอแล้วตัดไฟเสีย แม้จะยากเพราะยังไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่อาจจะดับไฟไม่ให้ลุกลามหรือไม่ก็ดับสลายไปเลย”
“ขอรับ”
“ฝากเจ้ากับผู้พิทักษ์คนอื่นๆด้วยแล้วกัน ไปพักเสีย แล้ววันชุมนุมของพวกเรา ข้าจะประกาศรับรองผู้หญิงของเจ้า”
ภูผาก้มหน้าลงให้ความเคารพ แล้วหมุนตัวเดินออกมาจากห้อง ทันทีที่ประตูปิดลง ผู้เฒ่าโพธิ์ก็หลับตาลงอย่างช้าๆ แต่ก็ยังรับรู้ถึงประตูที่ถูกเปิดเข้ามา ซึ่งก็รู้ดีว่าเป็นใคร จึงไม่ลืมตาขึ้นมอง...พ่อบ้านจ้าวเดินเข้ามาในห้อง มองนายผู้ครองบัลลังก์ที่หลับตาอยู่ก็ไม่พูดอะไร แต่สายตาห่วงใยเพราะรู้ว่าตอนนี้ท่านกังวลกับภัย กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆในภูเขาดำ
นั่นเพราะวาระผู้ครองบัลลังก์กำลังจะหมดไป คนที่อยากครอบครอง จึงต้องมีการแย่งชิง แม้จะไม่มีการพูดกันออกมา แต่ก็รู้กันอยู่แก่ใจ เรื่องร้ายๆจึงเริ่มเกิดขึ้นมา ทั้งที่ทั้งสามผู้นำมีสิทธิโดยชอบธรรม แต่ของมีชิ้นเดียว ขณะที่คนมีสามคน แล้วจะไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นมาได้ยังไง เมื่อต่างก็อยากเป็นหนึ่งที่ได้ครอบครอง
*******
ม้าสีดำสามตัวเดินเหยาะย่างไปบนทางที่ขรุขระ ลัดเลี้ยวไปตามแนวต้นไม้ที่ขึ้นปกคลุมอยู่ทั่วภูเขาดำ ม้าตัวแรกเป็นของผู้นำหุบผาแดง ตัวที่สองเป็นของพนาลูกชาย ตัวที่สามเป็นของคนสนิทสิงห์ ส่วนเสือนั้นรั้งอยู่ดูแลหุบผา ทั้งสามบังคับม้าให้เดินไปเรื่อยๆ แต่ไม่กี่อึดใจต่อมากลับบังคับให้มันหยุดนิ่ง เพราะมีเสียงบางอย่างดังแว่วมาเข้าหู
พยัคหันไปมองลูกชายกับคนสนิท ซึ่งก็สบตาอย่างบอกให้รู้ว่าได้ยินเช่นกัน แล้วทั้งสามก็พากันบังคับม้าให้เดินไปหลบตรงแนวป่าทึบ ลูบคอมันเบาๆเพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมา พร้อมกับจับตามองเส้นทางที่ยืนอยู่เมื่อกี้ และไม่นานก็มีนกโผผินบินขึ้นจากกิ่งไม้ เป็นสัญญาณให้รู้ว่ามีบางอย่างผ่านมาทางนี้ สิ่งนั้นจะต้องใหญ่และสร้างความกลัวให้ จนมันต้องบินหนี แล้วก็ได้เห็น...
ม้าสามตัววิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่กลุ่มที่จับตามองก็ยังเห็นว่า คนที่นั่งอยู่บนหลังนั้นเป็นใครบ้าง ทั้งสามหันมาสบตากัน ความแปลกใจเกิดขึ้นมา ว่ากลุ่มที่ผ่านไปนั้นไปไหนกันมา สายตาทั้งสามคนตวัดไปมองเส้นทางอีกครั้ง แล้วพากันนิ่ง เมื่อรู้คำตอบ ก็จะบังคับม้าให้เดินออกมาจากที่ซ่อน แต่กลับมีเสียงให้ต้องหยุดอยู่ที่เดิม เมื่อมีม้าอีกสามตัววิ่งผ่านไป
เวลาเหมือนจะหยุดนิ่ง เพราะทั้งสามคนนิ่งเงียบ กระทั่งม้าตัวหนึ่งพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ พยัคก็บังคับมันให้เดินนำมายืนอยู่บนเส้นทางที่ม้าทั้งหกตัววิ่งผ่านไป พร้อมกับมองไปสุดสายตา และสงสัยว่าผู้นำสองหุบผาไปที่นั้นทำไม
“ไม่หาข่าวผู้พิทักษ์มือหนึ่ง ก็ต้องเขย่าบัลลังก์ผู้เฒ่าโพธิ์” เสียงสิงห์ดังขึ้นมา อย่างพอจะรู้ว่าคนเป็นนายคิดอะไรอยู่ เพราะเขาก็คิดเหมือนกัน
“คนจะชั่วไม่กลัวอะไรจริงๆ” น้ำเสียงผู้นำหุบผาแดงเหยียดหยันกลุ่มคนที่เพิ่งขี่ม้าผ่านไป “แต่ก็อย่างว่าตอนนี้อำนาจกับความยิ่งใหญ่ มันหอมหวานเกินคำว่ากลัวเสียแล้ว”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง นายก็ไม่ควรจะนิ่งเฉยอยู่นะครับ ควรจะรีบทำอะไรกันอย่าง”
ท่านผู้นำนิ่งไปนิด ก็บอกว่า “งั้นก็รีบไปกันเถอะ” พูดจบก็จะบังคับม้าให้ออกเดิน แต่...
“พ่อจะคิดชั่วเหมือนพวกเขาเหรอ” พนาท้วงติงคนเป็นพ่อออกมาทันที สีหน้าของท่านจึงตึงขึ้นด้วยความไม่พอใจ และบอกว่า
“เลือดของฉันที่อยู่ในตัวแกนี่มันไม่ได้บอกแกบ้างหรือยังไง ว่าฉันคิดอะไรอยู่”
“ไม่ครับ เพราะถ้ามันบอกได้ ผมคงไม่ถาม และพ่อก็คงไม่มาที่นี่”
“แล้วแกไม่คิดว่าฉันจะมาเพื่อการณ์อื่น ไม่ใช่มาทำชั่วบ้างได้ไหม”
“แล้วพ่อมาทำอะไร” พนาถามอย่างไม่ลดละ เพราะคิดว่าความคิดของคนเป็นพ่อ ยังไม่ได้ดีไปกว่าคำพูดที่พูดออกมา อีกอย่างเขาเกลียดเรื่องการต่อสู้ แย่งอำนาจพวกนี้เต็มทีแล้ว แล้วยังถูกบังคับให้มาด้วยอีก
“ดูสิ่งที่ฉันทำ แต่วันนี้ฤกษ์มันคงไม่ดีแล้ว เพราะปากแกทำให้ฉันหมดอารมณ์”
พูดจบท่านผู้นำก็บังคับม้าให้ออกเดิน ก่อนจะวิ่งเหยาะๆนำหน้าลูกชายกลับหุบผา ซึ่งก็ต้องบังคับม้าตัวเองให้วิ่งตามไปด้วยสีหน้า ที่แสนจะยินดีที่คนเป็นพ่อเปลี่ยนใจ ส่วนสิงห์คนสนิทก็ตามไปติดๆพร้อมกับคิดว่า สิ่งที่คนเป็นนายเลือกจะทำนั้น ไม่ว่าจะชั่วหรือดี มันมีเส้นบางๆที่จะพลิกชะตาของหุบผาแดงกับชีวิตของทุกคนตลอดไป
*******
ม้าสามตัวพาคนที่นั่งอยู่บนหลังมัน วิ่งผ่านแผ่นไม้ขนาดใหญ่สลักตัวอักษรหุบผาเขียว ไปตามเส้นทางขรุขระที่คดเคี้ยวไปตามแนวต้นไม้หนา ฝุ่นละอองคละคลุ้งขึ้นตามแรงวิ่งของมัน กระทั่งมาหยุดอยู่หน้ากระท่อม วิหคผู้นำหุบผาลงจากหลังมันได้ก็เดินเข้าไปในกระท่อม ลูกชายกับคนสนิทที่ตามมาติดๆก็รีบทำแบบเดียวกัน ทั้งคู่เร่งฝีเท้าเดินตามเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างๆและมองตามสายตาที่มองไปยังคนที่นอนหลับตานิ่งอยู่บนแคร่ไม้
ใบหน้าของวิหคเคร่งเครียด สายตากระด้างเพราะความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจ แล้วตวัดมามองลูกชายกับคนสนิท เพียงนิดเดียวก็เดินนำออกมายืนหน้ากระท่อม พอทั้งสองคนเดินตามออกมายืนข้างๆ เสียงกร้าวแข็งก็ถามคนสนิททันที
“หาคำอธิบายมาว่ามันคืออะไร ทำไมไอ้ภูผามันถึงมายืนหัวโด่ ลับฝีปากกับฉันอยู่แบบนั้น ทำไมมันไม่เป็นตามข่าวที่แกได้มาว่ามันหายไป และไอ้โม่งที่นอนไร้สภาพนั้นบอกแกมาด้วย”
“ข่าวของเราไม่น่าจะผิดพลาด แต่มันอาจจะกลับมาทันเวลาพอดี ส่วนที่ไอ้โม่งบอก เราก็ยังไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร”
“ก็อาจจะเป็นไปได้นะครับพ่อ” เวหาเห็นด้วยกับพิชิต แล้วอธิบายว่า “เพราะตอนที่เราไปถึงท่านผู้เฒ่าก็พูดเหมือนรออะไรสักอย่าง และข่าวที่เรารู้มา พ่อคิดว่าท่านจะไม่รู้หรือไง”
“รู้ซิ คนอย่างไอ้แก่นั่นต้องรู้อยู่แล้ว และถ้าไม่รู้ก็คงต้องรู้จากไอ้เมฆา ที่เสนอหน้าไปก่อนเรา เราจึงอาจจะถูกไอ้แก่นั่นเล่นแง่เอา”
“ผมก็คิดอย่างนั้น พอพ่อถามเรื่องไอ้ผู้พิทักษ์มือหนึ่ง คำตอบถึงได้บอกว่ามันไม่ได้หายไปไหน แล้วก็ปรากฏตัวออกมายังกับรอเวลาอยู่แล้ว แม้ท่าทางยังหยิ่งผยอง ตัวมันมีร่องรอยฟกช้ำให้เห็น แต่รอยเลือดที่มันพูดออกมาอีก ก็แสดงว่ามันได้เจอกับไอ้โม่ง และซัดกันจริงๆ”
“งั้นมันก็ต้องหาตัวไอ้โม่ง เพื่อเค้นเอาคำตอบว่าใครอยู่เบื้องหลัง ซึ่งคงไม่พ้นผู้นำสามหุบผาที่น่าสงสัย ไม่งั้นคงไม่พูดเหมือนโยนหินถามทางแบบนั้น รวมถึงไอ้แก่โพธิ์ด้วย คำพูดที่ทิ้งท้ายนั้นคงเป็นคำเตือน”
“แล้วพ่อจะทำยังไงต่อไปครับ” เวหาถามขึ้น แต่ยังไม่มีคำตอบจากคนเป็นพ่อก็พูดต่อว่า “การที่ไอ้ภูผากลับมายืนเคียงข้างท่าน จะทำให้สิ่งที่เราหวังยากขึ้นถึงขั้นต้องล้มกระดานหรือเปล่า”
“ไม่” เสียงวิหคกร้าวแข็ง “ไอ้แก่โพธิ์ที่ใกล้จะหมดวาระเข้ามาทุกที ไม่มีใครรอให้ถึงวันที่มันจะประกาศผู้สืบทอดออกมา เพราะจะไม่มีใครยอมเป็นเบี้ยล่างของใครอีกแล้ว นอกจากจะเป็นผู้ครอบครอง เพราะทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาลที่มันเก็บไว้ รวมถึงทรัพย์ในดินของภูเขาดำ จะทำให้คนที่ได้ครอบครองมีอำนาจบารมีที่จะทำอะไรหรือชี้เป็นชี้ตายใครก็ได้ ฉะนั้นใครที่มันเป็นปัญหา ถ้ามีโอกาสก็จัดการเสีย แต่จะบุ่มบ่ามหุนหันพลันแล่นให้ผิดสังเกตไม่ได้เด็ดขาด ต้องระวังให้ดี และถ้าเราทำได้ สิ้นไอ้ผู้พิทักษ์มือหนึ่งไอ้แก่โพธิ์ก็เหมือนงูที่ไร้พิษ”
“งั้นเราก็ต้องวางแผนให้ดี และช่วงนี้ควรจะกบดานไม่ควรเคลื่อนไหวอะไรทั้งสิ้น ไม่งั้นหินที่โยนขึ้นไปจะร่วงลงมาโดนเราจนเจ็บ”
“พ่อเห็นด้วย มันเตือนมาเสียขนาดนั้น ก็อย่าเพิ่งขยับตัวทำอะไรก็แล้วกัน รอดูท่าทีไปก่อน และส่งคนไปจับตามองอีกสองหุบผาด้วย วันนี้ไอ้เมฆามันแสดงออกมาให้เห็นแล้วว่าคงคิดไม่ต่างจากเรา ไม่งั้นคงไม่โผล่ไปที่นั้น ส่วนไอ้พยัคการที่มันไม่โผล่ไป ก็ใช่ว่าจะไม่รู้อะไรเลย มันอาจจะจับตามองดูเราอยู่ก็ได้”
“ผมก็คิดอย่างนั้น พวกน้ำนิ่งไหลลึกนั้นน่ากลัวกว่าคนที่โฉงฉ่าง แสดงออกมาให้เห็นว่าเป็นยังไงมากนัก”
“ใช่ โดยเฉพาะไอ้เมฆ ลูกชายของไอ้เมฆา จับตาดูมันให้ดี เพราะความใจร้อนของมันคือจุดอ่อนที่จะทำให้เราได้ประโยชน์”
“ผมจะทำหน้าที่นี่เองครับนาย” พิชิตขันอาสา เพราะเป็นงานที่ถนัด
“ดี คนใจร้อนอย่างนั้น สะกิดถูกจุดเข้าก็กลายเป็นควายดีๆให้เราหลอกใช้นั่นแหละ”
ว่าแล้วทั้งสามคนก็พากันยิ้มหยันที่มุมปาก เพราะต่างก็รู้กิติศักดิ์ของคนที่พูดถึงเป็นอย่างดี นอกจากจะใจร้อนแล้ว ยังอวดเบ่งอีกด้วย
“แล้วนายจะทำยังไงกับไอ้โม่ง” พิชิตเอ่ยถามพลางมองเข้าไปในกระท่อม “ตอนนี้ไอ้ผู้พิทักษ์มือหนึ่งกลับมาแล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว ปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้แน่ ถ้าไอ้ผู้พิทักษ์มาเจอเข้าคงเป็นภัยกับเรา กลบร่องรอยมันเสียก่อนดีไหมครับ”
“อย่าเพิ่ง” วิหคห้ามคนสนิท “ รออีกหน่อย เผื่ออาการมันจะดีขึ้น อาจจะมีอะไรที่เป็นประโยชน์กับเราบ้างก็ได้ ระหว่างนี้ก็หาคนมาเฝ้ามันเพิ่ม อย่าให้ใครผ่านเข้ามาแถวนี้เด็ดขาด”
“ครับ แต่ถ้าวันนั้นมาถึง แล้วมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย”
“แกก็กลบร่องรอยมันเสีย”
เสียงท่านผู้นำเหี้ยม แววตาของคนรับคำสั่งก็ไม่ต่างกัน แต่ทั้งสามคนไม่รู้หรอกว่า ทุกคำพูดที่พูดกันนั้น ไม่ได้สลายหายไปเหมือนสายลมที่พัดผ่านมา กลับไปเข้าหูคนที่พวกเขาคิดจะกลบร่องรอย ลืมตาขึ้นมาและแววตานั้นก็ไม่ได้เลือนลอยเช่นคนที่จำอะไรไม่ได้เลย!
********
บรรยากาศภายในห้องทำงานบนเรือนของผู้นำหุบผาเหลืองมีแต่ความเคร่งเครียด เพราะอารมณ์ของคนสามคนที่นั่งอยู่ โดยเฉพาะเมฆาผู้เป็นใหญ่ ตั้งแต่หันหลังให้ผู้ครองบัลลังก์ภูเขาดำ สีหน้าเขาก็กระด้าง ความแค้นเคืองคุกรุ่นอยู่ในใจ กระทั่งกลับมาถึงเรือนแล้วเข้ามานั่งอยู่ในห้องนี้ แม้จะไม่มีคำพูดใดออกมา แต่สองมือที่กำเข้าหากันแล้วทุบลงบนที่วางแขนเก้าอี้ที่นั่งนั้นก็บอกความรู้สึกได้ดี
เมฆลูกชายของเขาก็ไม่ต่างกัน นั่งฮึดฮัดอยู่บนเก้าอี้ เพราะนิสัยใจร้อนของตัวเอง มีแต่หมอกลูกเลี้ยงที่นิ่งเก็บอารมณ์ได้ดีที่สุด
“เรื่องทั้งหมดมันคืออะไรกันแน่พ่อ” เสียงเมฆเอ่ยออกมาเมื่อไม่สามารถทนนิ่งเฉยได้อีกแล้ว “ทำไมทุกอย่างมันกลับตาลปัตร ไม่เป็นตามข่าวที่เราได้มา ไอ้ภูผาไม่ได้หายไปไหน แต่ยังมายืนพูดแปลกๆราวกับรู้อะไรมาอีกด้วย”
“พ่อกำลังคิดอยู่”
“หรือมันจะระแคระคายเรื่องที่พวกเราจะคิดคดต่อไอ้แก่โพธิ์”
เมฆาขบกรามเข้าหากันแน่น เมื่อลูกชายพูดออกมาราวกับนั่งอยู่ในใจเขา “ก็อาจจะเป็นไปได้ เมื่อวาระของไอ้แก่ใกล้จะหมดลง ผู้คุ้มครองก็ต้องรู้ว่าตำแหน่งนั้นก็เหมือนอาหารอันโอชะ ที่ใครๆก็อยากกิน จึงต้องระวังหรือไม่ก็ทำทุกวิธีไม่ให้ใครแตะต้องจนกว่าจะถึงเวลา”
“รวมถึงการที่อาจจะเป็นคนปล่อยข่าวนี้ออกมาเสียเอง”
เสียงของหมอกที่ดังขึ้นเรียกสายตาของสองพ่อลูกให้เลื่อนไปมองเขา พลางคิดตาม แล้วปรายตามามองหน้ากันอย่างเห็นด้วย และคิดตามคำพูดของหมอกที่บอกออกมาอีกว่า
“ก็เหมือนกับการล่อเสือออกจากถ้ำ แค่วางเหยื่อไว้แล้วรอดู ว่าจะมีตัวไหนออกมากินบ้าง จากนั้นก็ค่อยจัดการ”
“โชคดีที่ยังไม่มีตัวไหนออกมากิน” เสียงผู้นำหยันออกมา “แต่รอยเลือดที่มันพูดถึง ก็บอกให้รู้ว่าอาจจะมีเสือบางตัวออกมาด่อมๆมองๆ มันจึงจัดการล่า แต่คงยังไม่ได้ตัวมา”
“ใช่ครับ เพราะร่องรอยบนตัวมัน บอกให้รู้ว่าไปฟัดกับอะไรมาสักอย่าง”
“แล้วพ่อคิดว่าไอ้เสือตัวนั้นมันจะเป็นใคร” เมฆถามขึ้นอย่างสงสัย พลางสบตาคนเป็นพ่อ เพื่อฟังคำตอบ “จะใช่คนที่มีตำแหน่งเท่าเทียมกับพ่อหรือเปล่า”
เมฆาหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด แต่ไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกมา “คิดว่าไงหมอก” เขาโยนคำถามใส่ลูกเลี้ยงเพื่อฟังความคิดเห็น โดยไม่รู้ว่ายิ่งสร้างความชิงชังให้ลูกแท้ๆ เพราะท่านทำเหมือนคำพูดนั้นไม่มีความสำคัญพอที่ท่านจะตอบ กลับไปขอฟังความเห็นของไอ้กาฝาก
“ยังชี้ชัดยังไม่ได้ครับ แต่ด้วยรูปการแล้วก็คิดว่าใช่ เพราะผู้ที่จะสืบทอดผู้ครองบัลลังก์ภูเขาดำ มีแค่ผู้นำหุบผาเท่านั้นที่จะมีสิทธิ ถ้าสละสิทธิไปหรือเป็นอะไรไป ผู้ที่จะสืบทอดก็จะเป็นลูกหลาน แต่วันนี้หนึ่งในสองผู้นำอยู่ที่นั้นกับเรา ก็เหลือแต่...”
“ไอ้พยัค ไอ้น้ำนิ่งไหลลึก”
“ครับ แต่จะใช่เขาหรือเปล่า เราปักใจไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐาน อีกอย่างบางทีคนที่เราสงสัยอาจจะไม่ใช่คนทำก็ได้ เพราะแต่ละคนก็มีหมารับใช้ด้วยกันทั้งนั้น”
คำพูดของหมอกนิ่งด้วยเหตุผลเหมือนเดิม ท่านผู้นำพยักหน้าเห็นด้วย แต่เมฆนั่นไม่ใช่ เขาสะดุดหูกับคำว่าหมารับใช้ ยิ้มเหยียดใส่ตาคนพูดให้รู้ว่าเขาหมายถึงมันแล้วเหยียดหยามด้วยคำพูดอีกว่า
“งั้นเราก็ควรจะใช้ไอ้หมารับใช้พวกนี้ให้เป็นประโยชน์นะครับพ่อ ปล่อยให้ไปกัดไอ้ภูผากับผู้พิทักษ์คนอื่นๆ เพื่อแผ้วถางทางให้เราได้เดินขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ ดีไหมครับ ขาดมันเสียคน ผู้ครองบัลลังก์ก็เหมือนขาดมือ ดีกว่านิ่งเฉยรอโอกาส ที่ไม่รู้ว่าจะมีเมื่อไร และไม่ต้องไปแย่งชิงกับใคร แต่วิ่งเข้าหาโอกาส เพื่อให้เป็นของเราเร็วๆไม่ดีกว่าหรือครับ”
“เสี่ยงเกินไปครับ” หมอกค้านออกมา “ตอนนี้ภูผาเริ่มสงสัยพวกผู้นำทั้งสามหุบผาแล้ว แม้จะยังดมกลิ่นไม่ได้ แต่พวกเราต่างก็รู้ยังอยู่แก่ใจ และถ้าเราขยับตัว ก็เท่ากับเดินไปติดกับดัก”
“ขี้ขลาด” เมฆเหยียดหยันออกมา “แค่กับดักจะกลัวอะไรนักหนา ในเมื่อเราก็มีอาวุธครบมือเหมือนกัน และถ้ามั่วแต่กลัวและไม่เสี่ยง แล้วเมื่อไรจะได้อย่างที่หวังสักที”
“สิ้นคิดมากครับ”
เมฆตาลุกวาวขึ้นมาถลาไปขย้ำคอเสื้อหมอก ดึงตัวเขาขึ้นมาจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่แล้วคำรามเสียงกร้าว “ไอ้ลูกหมาแกว่าฉันโง่เหรอ”
หมอกหรี่ตามองมือที่จับคอเสื้อเขา แล้วตวัดสายตาขึ้นสบตาโกรธแค้นของอีกฝ่าย ยิ้มเย็นใส่ตาที่มองแล้วบอกว่า “เปล่าครับ แต่อยากให้คิดสักนิดว่าระหว่างโง่กับขี้ขลาด อันไหนจะทำให้ตายช้ากว่ากัน และอาจจะมีโอกาสได้สิ่งที่หวังมากขึ้นด้วย”
“หมายความว่าไง”
หมอกยิ้มมากขึ้นขณะแววตาเปลี่ยนเป็นดูแคลนคนโง่ตรงหนายิ่งนัก ที่อวดฉลาดออกมา ทั้งๆที่ไม่มีอะไรจะอวดนอกจากความใจร้อนที่จะทำลายตัวเอง “ก็หมายความว่า ถ้าเราขี้ขลาดเราจะไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม และมีเวลาที่จะคิดก่อนทำหรือไม่ทำเลยก็ได้ จึงไม่ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับอันตราย แต่ถ้าโง่ รู้ทั้งรู้ว่าข้างหน้าอันตราย มีหลุมพรางรออยู่ก็ยังจะเดินไป ต่อให้มีอาวุธครบมือ ก็ใช่ว่าจะรอด เพราะฝ่ายที่ขุดหลุมไว้ ได้เตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว ถึงตอนนั้นต่อให้เรามีปีกก็บินไม่รอดแน่นอน”
พูดจบหมอกก็ยกมือขึ้นง้างมือของเมฆออกจากคอเสื้อตน แต่เมฆกลับไม่ยอมปล่อย แม้จะเห็นจริง แต่ก็ไม่ยอมรับให้มันหัวเราะเอาเด็ดขาด จึงแข็งขืนเอาไว้พร้อมท้าทายด้วยสายตา หมอกมองนิ่งแต่แววตากำลังบอกถึงอารมณ์ที่พร้อมจะเอาเรื่องคนตรงหน้า ผู้นำหุบผาที่นั่งมองอยู่และเลี้ยงทั้งสองคนมาพร้อมกัน รู้ดีว่าถ้ายังปล่อยไว้ ลูกที่ใจร้อนของตัวเองจะต้องเสียเลือดแน่จึงต้องปรามออกมา
“พอได้แล้วเมฆ”
เมฆหันไปมองคนเป็นพ่อ แววตาบอกความดื้อดึง แต่สู้สายตาที่แข็งกร้าวของท่านไม่ได้ จึงต้องยอมปล่อยแต่ยังเหยียดริมฝีปากฝากรอยหยันให้อีกฝ่าย ขณะที่หมอกก็ปรับสีหน้าและแววตาให้สุขุมเหมือนเดิม
“ออกไปก่อนหมอก”
เขาก้มหน้าลงคำนับแล้วเดินออกไปเงียบๆ ผู้นำหุบผารอจนประตูห้องปิดสนิทลง ก็หันมาพูดกับลูกชายด้วยน้ำเสียงที่เอือมระอาและเต็มไปด้วยความเคืองขุ่น “เมื่อไรแกจะใจเย็นแล้วใช้สมองมากกว่าอารมณ์เสียที”
“แล้วพ่อไม่ได้ยินที่มันพูดเหรอ มันหยามผมชัดๆ”
“ก็เรื่องจริง”
“พ่อ” เสียงของเมฆทั้งเคืองขุ่นและน้อยใจคนเป็นพ่อ และโกรธเกลียดไอ้คนที่เป็นต้นเหตุให้ท่านว่าเขามากขึ้นไปอีกหลายเท่า
“สิ่งที่แกพูด มันคือความใจร้อนที่ไม่ได้ไตร่ตรองอะไรออกมาเลย”
“แล้วผมพูดผิดตรงไหน ตอนนี้พ่อก็เห็นแล้วว่าไอ้สองผู้นำก็ขยับตัวแล้ว ถ้าพ่อไม่ขยับตาม ก็รอเวลาให้มันเอาตีนมาเหยียบอยู่บนอกก็แล้วกัน อีกอย่างผมไม่เข้าใจว่าพ่อจะปล่อยไอ้สองผู้นำเขียวแดง ไว้เป็นหนามหยอกอกทำไม ทำไมไม่จัดการกับพวกมันให้หมดคู่แข่งไป ดีกว่ามาแย่งชิงกันอยู่แบบนี้ แล้วค่อยไปจัดการไอ้แก่โพธิ์”
“ความคิดแกนี้มันยังอยู่ในกะลาเหมือนเดิมจริงๆ ที่หมอกด่าแกไปนี้ไม่ทำให้รอยหยักในสมองแกมันกระเตื้องขึ้นมาเลยหรือไง” เสียงวิหคกร้าวอย่างเหลืออดกับลูกที่หวังจะให้สืบทอดทุกอย่าง แต่ไม่ได้อย่างใจอะไรเลย “แกลองคิดดูซิ ถ้าฉันทำอย่างแกว่าก็เท่ากับฉันเปิดศึกหลายด้าน สร้างศัตรูหลายทาง แล้วผลมันจะเป็นยังไง ฉันอาจจะตายก่อนที่จะได้ขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ภูเขาดำ แต่ถ้าฉันจัดการไอ้แก่โพธิ์ได้ แล้วฉันจะได้อะไรบ้าง”
เมฆข่มอารมณ์ที่ร้อนรุ่มไว้ แล้วค่อยๆคิด ไม่นานก็ได้คำตอบ “อำนาจ ที่เปรียบดังประกาศิตวิเศษที่จะชี้เป็นชี้ตายใครก็ได้”
แววตาของคนเป็นพ่อเปล่งประกายบอกความพอใจออกมา ที่ลูกชายคิดได้เสียที ก็บอกว่า “คิดได้ก็ดีแล้ว แล้วใช้เป็นบทเรียนด้วยว่าความใจร้อนไม่ได้ช่วยอะไร นอกจากอาจจะกลายเป็นเหยื่อของคนฉลาด ที่สำคัญ” เมฆาลุกจากเก้าอี้มายืนตรงหน้าลูกชาย มองใบหน้าที่ถอดแบบเขาออกมามิผิดเพี้ยน ก็บอกก่อนจะให้ออกไปจากห้องว่า “ฉันไม่เคยเห็นใครดีกว่าแก แค่รู้จักที่จะใช้คนเท่านั้นเอง”
เมฆยืนยิ้มอยู่หน้าประตูห้องที่เพิ่งเดินออกมา ความดีใจฉายชัดเต็มใบหน้า ที่ได้รู้ว่าคนเป็นพ่อไม่ได้เห็นไอ้กาฝากนั้นดีไปกว่าเขา แล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นเหยียดทั้งหยันทั้งหยามคนที่เกลียดชัง ที่ช่างไม่รู้เลยว่า สุดท้ายแล้วมันก็เป็นได้แค่หมารับใช้เท่านั้น
*******
ดวงอาทิตย์ลับลาไปหลังทิวเขา ความสลัวก็เริ่มปกคลุมไปทั่วภูเขาดำ เรือนของผู้พิทักษ์มือหนึ่งก็เช่นกัน แต่ไม่นานก็มีแสงไฟสว่างขึ้นมาขับไล่ความมืดออกไป ซึ่งคนที่ทำหน้าที่นี้ก็คือเด็กรับใช้ของพ่อบ้านจ้าว เป็นคนนำพามาพร้อมกับอาหาร วางไว้ที่บนโต๊ะหน้าห้องนอน และจะทำแบบนี้กับเรือนของผู้พิทักษ์ทุกคนทุกวัน แล้วกลับออกไป
ภูผาเดินขึ้นมาบนเรือน ดวงตาคมจับจ้องไปที่ห้องนอนของตัวเอง ผู้หญิงที่เขาเปรียบเป็นภาระนอนอยู่ในนั้น หลังจากที่เขาแบกเธอเข้าไปแล้วขอให้พ่อบ้านจ้าวช่วยดูแล ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง เขาไม่ได้อยู่รอดูอาการเพราะต้องไปพบผู้เฒ่าโพธิ์ และก็ยังไม่ได้พัก เมื่อหน้าที่ต้องมาก่อนเรื่องอื่นใด ผู้พิทักษ์ทั้งหมดจึงถูกเรียกมาคุยกันอย่างลับๆ แล้วแยกย้ายกันไป เขาก็กลับมาที่เรือน
เด็กหนุ่มที่พ่อบ้านจ้าวให้มาเฝ้าอยู่หน้าห้อง รีบขยับตัวทันทีที่เห็นเจ้าของเรือน ก้มหน้าลงให้ความเคารพแล้วนั่งเงียบรอฟังคำสั่ง ภูผาหรี่ตามองเล็กน้อย ก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบๆว่า
“คนของฉันเป็นไงบ้าง”
“ปลอดภัยแล้วครับ ท่านพ่อบ้านให้แจ้งว่าให้เธอพักมากๆ และให้ทานยาที่ท่านจัดไว้ให้ให้หมดด้วยครับ”
ภูผาพยักหน้าแล้วบอกให้เด็กหนุ่มกลับไปได้ จากนั้นเขาก็เปิดประตูห้องออก สองขาก้าวพาตัวเองเข้าไปด้านใน สายตาเขาไม่ได้มองไปทางใด นอกจากเตียงนอนที่หญิงสาวนอนนิ่งอยู่เท่านั้น กระทั่งเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างเตียง กวาดตามองร่างอรชรในชุดเสื้อผ้าใหม่ ใบหน้างามสะอาดสะอ้านและไม่ซีดขาวเหมือนตอนที่เขาแบกมา มีสีเลือดซับขึ้นมาจางๆสร้างพอใจอยู่ในใจ แล้วยื่นมือไปแตะที่หน้าผากวัดความร้อน เพียงแค่แตะ ก็เหมือนเป็นการปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมา
ขวัญชนกกะพริบตาไล่ความมึนงงออกไป แล้วรู้สึกถึงรอยอุ่นที่หน้าผาก จึงเหลือบตาขึ้นมองจากนั้นก็เลื่อนเรื่อยไปถึงเจ้าของมือที่สร้างความรู้สึกให้เกิดขึ้นมา ความยินดีเกิดขึ้นในใจ ที่ได้เห็นใบหน้าคม ดวงตา ปากคอคิ้วคางทุกอย่างบนใบหน้าเขาเป็นความคุ้นเคยของเธอไปแล้ว
“ดีขึ้นแล้วใช่ไหม”
เสียงนี้ก็อีกที่จดจำจนเผลอยิ้มออกมา คนที่มองอยู่ก็มองนิ่ง จนเธอเริ่มรู้ตัว รู้ว่าก่อนหน้าที่จะหมดสติไปนั้น เธออยู่ในฐานะอะไร ไม่ใช่ภาระอีกต่อไปแต่เป็นผู้หญิงของเขาไปแล้ว รอยยิ้มเลือนหายเหลือแค่ความนิ่งเฉย น้ำเสียงที่พูดออกมาก็ไม่ต่างกัน “ฉันดีขึ้นแล้ว แล้วฉันต้องทำอะไรบ้าง”
“ทำตัวเองให้หายไข้ก่อน”
“แล้วหลังจากนั้นละ” เธอถามเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ภายในใจหวาดหวั่น เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่ผู้หญิงคนหนึ่ง จะทำใจให้ยอมรับความสัมพันธ์กับผู้ชายที่รู้จักก็เหมือนไม่รู้จัก เพราะรู้แค่หน้าตาเท่านั้น แม้จะมีความรู้สึกดีๆก่อเกิดขึ้นมาบ้างแล้วก็ตาม
“อยากรู้ไปเพื่ออะไร”
“เตรียมตัว”
ภูผาหรี่ตาลงแล้วเลื่อนมือจากหน้าผากมนมาท้าวอยู่ข้างหมอน พร้อมกับโน้มตัวไปเหมือนคร่อมอยู่บนตัวเธอ สายตาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเธอ ที่ปิดบังความรู้สึกไว้ไม่มิด เพราะไหวระริกให้เขาเห็นว่าตอนนี้รู้สึกยังไงอยู่ “อยากให้ฉันทับมากนักเหรอ”
ใบหน้างามร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีที่เข้าใจคำพูดเขา แต่ก็ยังนิ่ง และพูดออกมาราวกับไม่ได้รู้สึกอะไร “ไม่ แต่เมื่อหนีไม่พ้น จะเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็ไม่ต่างกัน”
“ต่าง” บอกแล้วก็ก้มหน้าลงไปใกล้ใบหน้างามอีก “ถ้าเริ่มวันนี้แน่ใจหรือว่าจะไหว เพราะฉันไม่ได้ทับแค่ครั้งเดียวแล้วก็จบ ยิ่งสดใหม่แล้วหอมหวานจนฉันติดใจ ฉันจะทับทั้งคืน”
แก้มนวลระเรื่อแดงขึ้นมา และต่อว่าอย่างโกรธๆ “หยาบคาย”
“ถ้าแค่นี้ว่าหยาบคาย แล้วแบบนี้ละ”
แบบนี้ของเขาคือแนบริมฝีปากลงมาบนเรียวปากนุ่ม ดวงตากลมสวยโตขึ้นอย่างตกใจ หัวใจเต้นแรง และอยากจะผลักตัวเขาออกไป แต่ต้องกำมือไว้แน่นเมื่อเธอได้เลือกเป็นผู้หญิงของเขาแล้ว ก็ต้องยอมรับทุกอย่างๆที่ได้พูดไว้
นัยน์ตาคมเหมือนจะมีรอยยิ้มผุดขึ้นมา แค่เขาทาบริมฝีปาก ยังไม่ได้จูบ เธอยังหวั่นขนาดนี้ แล้วถ้า...เขาจ้องลึกเข้าไปในแววตาที่หวาดหวั่น แล้วดันตัวขึ้น ถอดเสื้อออกจากตัว ขวัญชนกหัวใจแทบจะหยุดเต้น ลมหายใจวาบหาย ตัวแข็งทื่อเหมือนคนถูกสาบ... คนที่จ้องอยู่หรี่ตาลงนิดๆ แล้วโน้มตัวลงมาปัดปลายจมูกผ่านแก้มนุ่ม เพียงแค่นั้นขวัญชนกก็ลุกพรวด ถอยลงไปจากเตียง ไปยืนอยู่ตรงมุมห้อง
ภูผาตวัดสายตาตามไปมอง แล้วลุกขึ้นเดินไปที่ตู้ปลายเตียง เปิดตู้หยิบเสื้อผ้าติดมือออกมา ก็เดินออกไปจากห้อง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มุมปากหยักขึ้นยิ้มขำคนอวดเก่ง พอเขาเอาจริงก็วิ่งป่าราบ และไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่า ทันทีที่เขาปิดประตูคนที่ยืนอยู่ข้างหลังจะตัวอ่อนไปพิงผนังทันที ซึ่งก็จริงอย่างที่เขาคิด
ถ้าไม่มีผนังคอยรอบรับ เธอคงจะทรุดตัวลงนั่ง ลมหายใจที่เก็บกดไว้ถูกปล่อยออกมาเหมือนคนที่จมน้ำแล้วโผล่พรวดขึ้นมา รีบสูดอากาศเข้าปอด ขณะสายตาก็มองไปที่ประตูทั้งค้อนทั้งขุ่นเคืองเขาโดยไม่รู้ตัว ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ทั้งที่เขาหยาบคายกับเธอเป็นขนาดนี้ ทำไมเธอถึงไม่เกลียดเขานะ ...ทำไม
*******
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
ณ เรือนพักของผู้พิทักษ์มือหนึ่งของผู้ครองบัลลังก์ พ่อบ้านจ้าวนั่งมองหญิงสาว ที่นอนนิ่งไม่ได้สติอยู่ในห้องนอนของเจ้าของเรือน บนเตียงไม้ที่มีเบาะหนารองรับให้ความนุ่ม เขาสั่งคนที่รับใช้ให้ไปตามหญิงชาวบ้านมาหนึ่งคน เอาเสื้อผ้ามาให้ มาเช็ดตัว และเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ จนเรียบร้อยก็ให้กลับไป จากนั้นก็ทำการรักษาอาการป่วยและแผลที่หัวไหล่ พร้อมกับพิจารณารูปหน้าที่งดงาม ปากคอคิ้วคางของเธอรับกันอย่างเหมาะเจาะ ผิวพรรณขาวเนียนลออ รูปร่างอรชรกลมกลึงน่าถนอม ถ้าลืมตาตื่นขึ้นมาคงงามเหมือนนางกวาง ที่เสือทั้งป่าอยากจะครอบครองเป็นแน่แท้
มุมปากของพ่อบ้านจ้าวเผยยิ้มออกมา เมื่อคิดถึงเสือตัวแรก ที่ได้พบนางกวางตัวนี้และดูจะถูกใจไม่น้อย ไม่งั้นคงไม่แบกมาและไม่มีทางเปลี่ยนจากเชลยที่ไม่ต้องไปสนใจใยดี มาเป็นภาระที่ต้องดูแลเป็นแน่...ถูกใจความสวยนั้นคงเป็นอย่างแรก แต่จากที่เขารู้จักผู้พิทักษ์มือหนึ่งมา คงไม่พาตัวเองไปผูกพันด้วยความสวยแค่นี้ มันต้องมีอะไรมากกว่าที่เขารู้และคิดอยู่ และแผลที่หัวไหล่ของเธอ ที่เขาแน่ใจว่ามาจากรอยกระสุน เธอได้มายังไง
พ่อบ้านจ้าวคิดไปต่างๆนาๆ แล้วหยุดความคิดเอาไว้ เมื่อดวงตาบนใบหน้างามเริ่มเปิดปรือเหมือนจะลืมขึ้น แต่ไม่ลืม ก่อนจะตามมาด้วยมือที่ยกขึ้นคล้ายจะคว้าอะไรบางอย่าง สายตาพ่อบ้านจับจ้องมองและต้องแปลกใจ เมื่อได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากริมฝีปาก
“พ่อ ไม่ ไม่นะ อย่า!!” เสียงตอนท้ายบอกความตกใจและหวาดกลัว ขณะที่มือก็ยังพยายามไขว่คว้า และพูดออกมาอีกหลายประโยคที่เขาฟังไม่ได้ศัพท์ ก่อนจะบอกตัวเองว่า ...เธอละเมอ
พ่อบ้านจ้าวยกแขนให้จับ ทันทีที่ได้จับ นิ้วเรียวก็จิกลงบนแขน ดวงตาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน หรี่ลงมองการกระทำที่กำลังบอกเขาว่าเธอฝันร้าย หรือไม่เธอก็ต้องเจอเรื่องร้ายๆมา ซึ่งอาจจะเป็นรอยกระสุนที่เขากำลังสงสัยอยู่ก็ได้
“ปล่อย อย่านะ ฉัน อึก ฉัน” เสียงชัดขึ้นพร้อมกับสะอื้นออกมา และงึมงำอีกหลายประโยค และเหมือนเดิมที่เสียงตอนหลังนั้นฟังไม่รู้เรื่อง แม้จะพยายามฟังเผื่อหญิงสาวจะหลุดอะไรออกมาบ้าง แต่ไม่มี แล้วดวงตาเปิดปรืออยู่ก็ค่อยๆลืมขึ้นมา
ความงุนงงคือสิ่งแรกที่เขาเห็น ดวงตาเธอกลมสวยไม่ต่างจากที่เขาคิดไว้ และจ้องมาที่เขา ก่อนจะปล่อยมือที่จับแขนเขาไว้อย่างตกใจ และเด้งตัวขึ้นมาถดถอยหนี เมื่อสติบอกว่าไม่ใช่คนที่คุ้นเคย พ่อบ้านจ้าวจึงต้องรีบบอกว่า
“ที่นี่ไม่มีอันตราย ไม่ต้องกลัว นอนลงไปเถอะ”
แม้จะได้ยินแบบนั้น แต่ขวัญชนกก็ไม่สามารถไว้ใจใครได้จริงๆ นอกจากคนที่เห็นเธอเป็นภาระ สายตาเธอกวาดมองไปรอบๆที่ๆอยู่ ไม่มีป่าไม้ ก้อนหิน ดิน เสียงร้องของแมลง และความหนาวเย็น เห็นเป็นห้องที่กั้นด้วยไม้แผ่นหนา มีตู้ไม้ใบใหญ่อยู่ตรงปลายเตียงและตู้ไม้เล็กๆติดกระจกให้พอได้ส่องดูตัวเอง กับเตียงที่เธอนั่งอยู่ซึ่งให้ความอบอุ่นพอสมควร แล้วละสายตามามองตัวเอง เสื้อผ้าที่ใส่แปลกใหม่ไม่ใช่ชุดเดิมที่ใส่ ก็มองคนที่นั่งอยู่ขอบเตียง
พ่อบ้านจ้าวที่จับตามองอยู่ ยิ้มให้อย่างพอจะเข้าใจว่าเธอกำลังสงสัยอะไร ก็บอกว่า “ฉันให้ผู้หญิงชาวบ้านเปลี่ยนให้ และที่นี่ก็คือเรือนของคนที่พาหนูมา”
“ภูเขาดำ”
“ถ้าหนูจะหมายความว่าเรือนที่อยู่นี้อยู่ที่ไหน ก็ใช่ภูเขาดำ” พ่อบ้านจ้าวบอก และไม่สงสัยว่าเธอรู้ได้ไง หลายวันที่รอนแรมอยู่ในป่ากับภูผา คงได้รู้หรือไม่ก็รู้ตั้งแต่ถูกจับตัวมาเป็นเชลยแล้ว “ฉันชื่อจ้าว เป็นพ่อบ้านที่ดูแลที่นี่ รวมถึงหนูที่ฉันต้องดูแล”
“ขอบคุณค่ะ” ขวัญชนกไม่เพียงแค่พูด ยังยกมือไหว้ด้วย เพราะแน่ใจว่าอาการป่วยของตัวเองที่ดีขึ้น คงมาจากพ่อบ้านสูงวัยคนนี้ ซึ่งก็พอใจที่หญิงสาวมีกิริยาที่อ่อนน้อมบอกไปถึงรากเหง้าที่มาพอสมควร “หนูชื่อขวัญชนกค่ะ” เธอแนะนำตัวแค่นั้น แล้วถามถึงคนที่แบกเธอมา “แล้ว เขาละคะ”
“มีงานต้องทำ” พ่อบ้านจ้าวบอก แล้วลุกขึ้นเดินไปที่ตู้ใบใหญ่ หยิบบางอย่างที่วางอยู่ข้างตู้ ถือเดินกลับมาหาเธอ แล้วบอกว่า “หนูควรจะพักเสีย แล้วถ้ามีอะไร ก็ให้เคาะไม้นี้ ก็จะมีคนมายืนรอคำสั่งอยู่ที่หน้าเรือน แต่วันสองวันนี้ไม่ต้องเคาะ ฉันจะให้เด็กมานั่งเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูห้อง และถ้าหิว ข้างนอกมีอาหาร ทานได้เลย”
“ขอบคุณค่ะ”
พ่อบ้านจ้าววางลำไม้ไผ่ยาวแค่ศอกพร้อมไม้เคาะไว้ที่ปลายเตียง เรียบร้อยแล้วก็เดินไปที่ประตู แต่ก่อนจะเปิดออกไป ก็หันกลับมามองหญิงสาวที่นั่งมองอยู่ นัยน์ตาคู่สวยดูหวาดหวั่นแต่ไม่มีความอ่อนแอให้เห็น มีแต่ความเข้มแข็งที่แสดงออกมา ก็บอกว่า
“โชคชะตาของคนเรามีไม่เท่าเทียมกัน เมื่อได้มาแล้วก็ควรจะรักษาไว้ให้ดี เพราะต่อไปอาจจะไม่โชคดีแบบนี้แล้วก็ได้”
ประตูห้องถูกเปิดออกแล้วปิดลงอย่างสนิท แต่ขวัญชนกยังมองนิ่งอยู่ที่บานประตูเพราะคำพูดที่ถูกทิ้งไว้ บอกให้รู้ว่าคนพูดรู้เรื่องราวของเธอพอสมควร เชลยที่กลายมาเป็นภาระของเจ้าของเรือน ไม่ใช่ความลับของพ่อบ้านอีกต่อไป แต่เขาคงไม่รู้ว่าโชคชะตาที่ให้ความโชคดีมา แท้ที่จริงแล้วคือความโชคร้ายต่างหาก เมื่อภาระได้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปแล้ว
*********
ผู้เฒ่าโพธิ์ผู้ครองบัลลังก์ภูเขาดำ นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้หัวเสือ หลังโต๊ะขัดมันวาวที่วางอยู่ในห้องหนังสือ ซึ่งเป็นที่ส่วนตัว ห้ามไม่ให้ใครเข้ามาได้ง่ายๆ นอกจากพ่อบ้านจ้าวคนเดียวเท่านั้น แต่ตอนนี้ผู้พิทักษ์มือหนึ่งได้เข้ามายืนนิ่งอยู่กลางห้อง รอบห้องนั้นส่วนใหญ่จะเป็นชั้นวางหนังสือ มีโต๊ะวางอยู่ข้างหน้าต่างที่เปิดแง้มให้สายลมพัดเข้ามา หนังสือหลายเล่มวางอยู่บนนั้นและมีบางเล่มที่เปิดค้างไว้
ดวงตาคมกริบสบนิ่งที่ดวงตาท่านผู้เฒ่า หลังจากผู้นำหุบผากับลูกชายและคนสนิทกลับไป เขาก็ถูกสั่งให้ตามมายืนอยู่ในห้องนี้ พร้อมกับเรื่องรอยเลือดก็ถูกถ่ายทอดออกมาให้ฟัง ความนิ่งเงียบเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ผู้เฒ่าโพธิ์ยังไม่มีคำพูดใดออกมา เพราะเป้าหมายของไอ้โม่ง นั่นคือคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ช่างน่าหวาดหวั่นนัก
“คิดว่ามันจะเป็นคนของใคร จะใช่หนึ่งในสองที่มาเยี่ยมข้าหรือเปล่า” เสียงท่านถามขึ้น เมื่ออยากรู้ความคิดของคนตรงหน้า
“ไม่แน่ขอรับ ทุกอย่างยังกว้างไป แต่อีกไม่นานก็คงจะแคบลงมา เพราะจิ้งจอกต้องออกมาล่าเหยื่ออีกครั้งแน่นอน แม้จะยังไม่ออกมาทั้งตัว ก็ต้องมาด่อมๆมองๆ และถึงตอนนั้นก็อาจจะได้รู้ว่าใครคือจิ้งจอกตัวนั้น”
“ขึ้นชื่อว่าจิ้งจอกคงจัดการไม่ได้ง่ายๆแน่ สัตว์ประเภทนี้เล่ห์เหลี่ยมเยอะ คงต้องระวังกันให้ดี”
“แต่มันก็ต้องระวังเหมือนกันเพราะกลัวจะถูกล่า เพราะคำพูดของท่านที่เอ่ยก่อนที่พวกเขาจะกลับกันไป”
“ก็ใช่” เสียงท่านผู้เฒ่าเนิบนาบและมีรอยยิ้มอยู่นิดๆ “ข้าแค่เขียนเสือให้วัวกลัว แต่ไม่รู้ว่าจะได้ผลแค่ไหน เพราะแต่ละคนข้ารู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ ไม่รู้ว่าใครจะคิดคดทรยศบ้าง การกำราบคงทำได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะบัลลังก์ภูเขาดำมันช่างหอมหวานสามารถสร้างอำนาจและบารมี ให้กับคนที่ได้ครอบครองมากมายเหลือเกิน”
คนที่ฟังอยู่รู้ดีถึงข้อนี้เช่นกัน ไม่งั้นเขาคงไม่เผชิญกับการเข่นฆ่า กิเลสในใจคนคือสันดานที่แก้ไม่ได้ และจะไม่เปลี่ยนจนกว่าจะได้สิ่งที่หวัง หรือไม่ก็ใกล้จะตายแล้วนั่นแหละ การกำจัดเขาก็เหมือนการแผ้วถางทางเพื่อเดินไปสู่บัลลังก์ได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ต้องรอให้ถึงเวลา แต่อย่าหวัง ตราบใดที่เขายังอยู่ ไม่มีทางที่ใครจะเดินขึ้นไปได้โดยไม่ชอบธรรม
“ข้าจะป้องกันให้ดีที่สุด จะไม่ยอมให้ใครได้ขึ้นไปนั่งก่อนเวลาที่สมควร”
“ขอบใจ ข้ารู้ว่าเจ้าจะทำเช่นนั้น เพราะตลอดเวลาที่ข้าเลือกเจ้ามาเป็นผู้พิทักษ์มือหนึ่ง เจ้าทำหน้าที่ได้ดี แต่จากนี้ไปเจ้าต้องระวังให้มากๆ เพราะตราบใดที่ความหวังของพวกมันยังไม่สำเร็จ การเข่นฆ่าก็ยังไม่จบลงแน่นอน เพราะวาระของข้ามันใกล้เข้ามาแล้ว”
“ขอรับ” เสียงรับคำนั้นไร้ความหวั่นไหวใดๆให้เห็น มิหนำซ้ำแววตายังกร้าว ลำตัวก็ยืดตรง บอกความพร้อมที่จะรับมือกับทุกคนที่เข้ามาทำร้ายผู้ครองบัลลังก์
“งั้นเจ้าก็กลับไปพักเถอะ เพราะจากนี้ไปต้องเหนื่อยหนักอีกมาก แต่เจ้าจะไม่พูดถึงคนที่แบกมาด้วยเหรอ”
น้ำเสียงยังเรียบง่ายเหมือนเดิม แต่สายตาของท่านผู้เฒ่า ไม่ได้ละไปจากใบหน้าคมที่มองอยู่เลย ซึ่งเขาก็มองตอบ ด้วยสายตาที่แน่นิ่งที่ยากจะอ่านว่าเป็นอย่างไร และไม่ต้องถามว่าท่านรู้ได้ยังไง ในฐานะที่เขาเป็นผู้พิทักษ์มือหนึ่งรู้ว่า ไม่ว่าอะไรที่โผล่เข้ามาในเขตยอดเขาที่ท่านผู้เฒ่าอยู่ จะถูกจับตามองและรายงานให้รู้เสมอ
“แค่ภาระ ไม่ได้สำคัญอะไรขอรับ”
“แต่ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ภาระ เจ้าก็รู้ว่าต้องมีมากกว่านั้น”
“ผู้หญิงของข้า ผู้พิทักษ์ภูเขาดำ ท่านจะรับรองได้หรือไม่ขอรับ”
ผู้เฒ่าโพธิ์ลุกขึ้นจากเก้าอี้หัวเสือ เดินมายืนตรงหน้าร่างสูง ที่ท่านรักดั่งลูกหลาน เพราะเห็นมาตั้งแต่เด็ก เด็กกำพร้าในภูเขาดำที่พ่อแม่ตายตั้งแต่ยังเล็ก จะถูกเก็บมาเลี้ยง ใครที่มีหน่วยก้านดีก็จะถูกฝึกให้เก่ง และทดสอบคัดเลือกให้เป็นหนึ่งเพื่อมาปกป้องคุ้มครองผู้ครองบัลลังก์
ส่วนคนที่เหลือก็อารักขาตามกันไป ซึ่งเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ... เวลาที่ผ่านมาชายหนุ่มตรงหน้าทำหน้าที่ตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม และไม่เคยที่จะสนใจผู้หญิงคนไหน ทั้งๆที่ผู้หญิงในภูเขาดำและในหุบผา ต่างมีพร้อมที่จะเป็นคู่ครอง แต่ไม่เคยเอ่ยปากถึงใครเลยสักคน
“ถึงกับขอให้ข้ารับรองแสดงว่าต้องถูกใจ” ไม่มีคำปฏิเสธจากภูผา แววตาก็ยังแน่นิ่งเหมือนเดิม เสียงผู้เฒ่าจึงเอ่ยต่อว่า “แต่นอกจากเธอจะเป็นเชลยที่บุกรุกเข้ามาในภูเขาดำแล้ว เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับเธอบ้าง”
“เป้าหมายของไอ้โม่ง”
ความแปลกใจปรากฏขึ้นในแววตาของผู้เฒ่าโพธิ์ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นรอยครุ่นคิด ก่อนจะถามออกมา “เธอไปเกี่ยวกับมันได้ยังไง มีเหตุและผลหรือเปล่า”
“ไม่มีขอรับ รู้แค่ว่าเธอไม่ได้บุกรุกแต่ถูกจับตัวมา แต่จะเป็นพวกไหนยังไม่รู้”
“ทุกอย่างดูเกี่ยวพันกันซินะ คนสองคนโผล่เข้ามาในภูเขาดำ ในเวลาไล่เลี่ยกัน พร้อมกระสุนและรอยเลือด ความสงบสุขคงไม่มีอีกแล้ว” ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้หัวเสือ สายตามองนิ่งมาที่ภูผา “ทั้งศึกในศึกนอกที่ยากจะคาดเดา เป็นภัยที่น่ากลัวและป้องกันยากเหลือเกิน เราต้องระวังกันให้ดี รีบหาต้นตอแล้วตัดไฟเสีย แม้จะยากเพราะยังไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่อาจจะดับไฟไม่ให้ลุกลามหรือไม่ก็ดับสลายไปเลย”
“ขอรับ”
“ฝากเจ้ากับผู้พิทักษ์คนอื่นๆด้วยแล้วกัน ไปพักเสีย แล้ววันชุมนุมของพวกเรา ข้าจะประกาศรับรองผู้หญิงของเจ้า”
ภูผาก้มหน้าลงให้ความเคารพ แล้วหมุนตัวเดินออกมาจากห้อง ทันทีที่ประตูปิดลง ผู้เฒ่าโพธิ์ก็หลับตาลงอย่างช้าๆ แต่ก็ยังรับรู้ถึงประตูที่ถูกเปิดเข้ามา ซึ่งก็รู้ดีว่าเป็นใคร จึงไม่ลืมตาขึ้นมอง...พ่อบ้านจ้าวเดินเข้ามาในห้อง มองนายผู้ครองบัลลังก์ที่หลับตาอยู่ก็ไม่พูดอะไร แต่สายตาห่วงใยเพราะรู้ว่าตอนนี้ท่านกังวลกับภัย กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆในภูเขาดำ
นั่นเพราะวาระผู้ครองบัลลังก์กำลังจะหมดไป คนที่อยากครอบครอง จึงต้องมีการแย่งชิง แม้จะไม่มีการพูดกันออกมา แต่ก็รู้กันอยู่แก่ใจ เรื่องร้ายๆจึงเริ่มเกิดขึ้นมา ทั้งที่ทั้งสามผู้นำมีสิทธิโดยชอบธรรม แต่ของมีชิ้นเดียว ขณะที่คนมีสามคน แล้วจะไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นมาได้ยังไง เมื่อต่างก็อยากเป็นหนึ่งที่ได้ครอบครอง
*******
ม้าสีดำสามตัวเดินเหยาะย่างไปบนทางที่ขรุขระ ลัดเลี้ยวไปตามแนวต้นไม้ที่ขึ้นปกคลุมอยู่ทั่วภูเขาดำ ม้าตัวแรกเป็นของผู้นำหุบผาแดง ตัวที่สองเป็นของพนาลูกชาย ตัวที่สามเป็นของคนสนิทสิงห์ ส่วนเสือนั้นรั้งอยู่ดูแลหุบผา ทั้งสามบังคับม้าให้เดินไปเรื่อยๆ แต่ไม่กี่อึดใจต่อมากลับบังคับให้มันหยุดนิ่ง เพราะมีเสียงบางอย่างดังแว่วมาเข้าหู
พยัคหันไปมองลูกชายกับคนสนิท ซึ่งก็สบตาอย่างบอกให้รู้ว่าได้ยินเช่นกัน แล้วทั้งสามก็พากันบังคับม้าให้เดินไปหลบตรงแนวป่าทึบ ลูบคอมันเบาๆเพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมา พร้อมกับจับตามองเส้นทางที่ยืนอยู่เมื่อกี้ และไม่นานก็มีนกโผผินบินขึ้นจากกิ่งไม้ เป็นสัญญาณให้รู้ว่ามีบางอย่างผ่านมาทางนี้ สิ่งนั้นจะต้องใหญ่และสร้างความกลัวให้ จนมันต้องบินหนี แล้วก็ได้เห็น...
ม้าสามตัววิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่กลุ่มที่จับตามองก็ยังเห็นว่า คนที่นั่งอยู่บนหลังนั้นเป็นใครบ้าง ทั้งสามหันมาสบตากัน ความแปลกใจเกิดขึ้นมา ว่ากลุ่มที่ผ่านไปนั้นไปไหนกันมา สายตาทั้งสามคนตวัดไปมองเส้นทางอีกครั้ง แล้วพากันนิ่ง เมื่อรู้คำตอบ ก็จะบังคับม้าให้เดินออกมาจากที่ซ่อน แต่กลับมีเสียงให้ต้องหยุดอยู่ที่เดิม เมื่อมีม้าอีกสามตัววิ่งผ่านไป
เวลาเหมือนจะหยุดนิ่ง เพราะทั้งสามคนนิ่งเงียบ กระทั่งม้าตัวหนึ่งพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ พยัคก็บังคับมันให้เดินนำมายืนอยู่บนเส้นทางที่ม้าทั้งหกตัววิ่งผ่านไป พร้อมกับมองไปสุดสายตา และสงสัยว่าผู้นำสองหุบผาไปที่นั้นทำไม
“ไม่หาข่าวผู้พิทักษ์มือหนึ่ง ก็ต้องเขย่าบัลลังก์ผู้เฒ่าโพธิ์” เสียงสิงห์ดังขึ้นมา อย่างพอจะรู้ว่าคนเป็นนายคิดอะไรอยู่ เพราะเขาก็คิดเหมือนกัน
“คนจะชั่วไม่กลัวอะไรจริงๆ” น้ำเสียงผู้นำหุบผาแดงเหยียดหยันกลุ่มคนที่เพิ่งขี่ม้าผ่านไป “แต่ก็อย่างว่าตอนนี้อำนาจกับความยิ่งใหญ่ มันหอมหวานเกินคำว่ากลัวเสียแล้ว”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง นายก็ไม่ควรจะนิ่งเฉยอยู่นะครับ ควรจะรีบทำอะไรกันอย่าง”
ท่านผู้นำนิ่งไปนิด ก็บอกว่า “งั้นก็รีบไปกันเถอะ” พูดจบก็จะบังคับม้าให้ออกเดิน แต่...
“พ่อจะคิดชั่วเหมือนพวกเขาเหรอ” พนาท้วงติงคนเป็นพ่อออกมาทันที สีหน้าของท่านจึงตึงขึ้นด้วยความไม่พอใจ และบอกว่า
“เลือดของฉันที่อยู่ในตัวแกนี่มันไม่ได้บอกแกบ้างหรือยังไง ว่าฉันคิดอะไรอยู่”
“ไม่ครับ เพราะถ้ามันบอกได้ ผมคงไม่ถาม และพ่อก็คงไม่มาที่นี่”
“แล้วแกไม่คิดว่าฉันจะมาเพื่อการณ์อื่น ไม่ใช่มาทำชั่วบ้างได้ไหม”
“แล้วพ่อมาทำอะไร” พนาถามอย่างไม่ลดละ เพราะคิดว่าความคิดของคนเป็นพ่อ ยังไม่ได้ดีไปกว่าคำพูดที่พูดออกมา อีกอย่างเขาเกลียดเรื่องการต่อสู้ แย่งอำนาจพวกนี้เต็มทีแล้ว แล้วยังถูกบังคับให้มาด้วยอีก
“ดูสิ่งที่ฉันทำ แต่วันนี้ฤกษ์มันคงไม่ดีแล้ว เพราะปากแกทำให้ฉันหมดอารมณ์”
พูดจบท่านผู้นำก็บังคับม้าให้ออกเดิน ก่อนจะวิ่งเหยาะๆนำหน้าลูกชายกลับหุบผา ซึ่งก็ต้องบังคับม้าตัวเองให้วิ่งตามไปด้วยสีหน้า ที่แสนจะยินดีที่คนเป็นพ่อเปลี่ยนใจ ส่วนสิงห์คนสนิทก็ตามไปติดๆพร้อมกับคิดว่า สิ่งที่คนเป็นนายเลือกจะทำนั้น ไม่ว่าจะชั่วหรือดี มันมีเส้นบางๆที่จะพลิกชะตาของหุบผาแดงกับชีวิตของทุกคนตลอดไป
*******
ม้าสามตัวพาคนที่นั่งอยู่บนหลังมัน วิ่งผ่านแผ่นไม้ขนาดใหญ่สลักตัวอักษรหุบผาเขียว ไปตามเส้นทางขรุขระที่คดเคี้ยวไปตามแนวต้นไม้หนา ฝุ่นละอองคละคลุ้งขึ้นตามแรงวิ่งของมัน กระทั่งมาหยุดอยู่หน้ากระท่อม วิหคผู้นำหุบผาลงจากหลังมันได้ก็เดินเข้าไปในกระท่อม ลูกชายกับคนสนิทที่ตามมาติดๆก็รีบทำแบบเดียวกัน ทั้งคู่เร่งฝีเท้าเดินตามเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างๆและมองตามสายตาที่มองไปยังคนที่นอนหลับตานิ่งอยู่บนแคร่ไม้
ใบหน้าของวิหคเคร่งเครียด สายตากระด้างเพราะความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจ แล้วตวัดมามองลูกชายกับคนสนิท เพียงนิดเดียวก็เดินนำออกมายืนหน้ากระท่อม พอทั้งสองคนเดินตามออกมายืนข้างๆ เสียงกร้าวแข็งก็ถามคนสนิททันที
“หาคำอธิบายมาว่ามันคืออะไร ทำไมไอ้ภูผามันถึงมายืนหัวโด่ ลับฝีปากกับฉันอยู่แบบนั้น ทำไมมันไม่เป็นตามข่าวที่แกได้มาว่ามันหายไป และไอ้โม่งที่นอนไร้สภาพนั้นบอกแกมาด้วย”
“ข่าวของเราไม่น่าจะผิดพลาด แต่มันอาจจะกลับมาทันเวลาพอดี ส่วนที่ไอ้โม่งบอก เราก็ยังไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร”
“ก็อาจจะเป็นไปได้นะครับพ่อ” เวหาเห็นด้วยกับพิชิต แล้วอธิบายว่า “เพราะตอนที่เราไปถึงท่านผู้เฒ่าก็พูดเหมือนรออะไรสักอย่าง และข่าวที่เรารู้มา พ่อคิดว่าท่านจะไม่รู้หรือไง”
“รู้ซิ คนอย่างไอ้แก่นั่นต้องรู้อยู่แล้ว และถ้าไม่รู้ก็คงต้องรู้จากไอ้เมฆา ที่เสนอหน้าไปก่อนเรา เราจึงอาจจะถูกไอ้แก่นั่นเล่นแง่เอา”
“ผมก็คิดอย่างนั้น พอพ่อถามเรื่องไอ้ผู้พิทักษ์มือหนึ่ง คำตอบถึงได้บอกว่ามันไม่ได้หายไปไหน แล้วก็ปรากฏตัวออกมายังกับรอเวลาอยู่แล้ว แม้ท่าทางยังหยิ่งผยอง ตัวมันมีร่องรอยฟกช้ำให้เห็น แต่รอยเลือดที่มันพูดออกมาอีก ก็แสดงว่ามันได้เจอกับไอ้โม่ง และซัดกันจริงๆ”
“งั้นมันก็ต้องหาตัวไอ้โม่ง เพื่อเค้นเอาคำตอบว่าใครอยู่เบื้องหลัง ซึ่งคงไม่พ้นผู้นำสามหุบผาที่น่าสงสัย ไม่งั้นคงไม่พูดเหมือนโยนหินถามทางแบบนั้น รวมถึงไอ้แก่โพธิ์ด้วย คำพูดที่ทิ้งท้ายนั้นคงเป็นคำเตือน”
“แล้วพ่อจะทำยังไงต่อไปครับ” เวหาถามขึ้น แต่ยังไม่มีคำตอบจากคนเป็นพ่อก็พูดต่อว่า “การที่ไอ้ภูผากลับมายืนเคียงข้างท่าน จะทำให้สิ่งที่เราหวังยากขึ้นถึงขั้นต้องล้มกระดานหรือเปล่า”
“ไม่” เสียงวิหคกร้าวแข็ง “ไอ้แก่โพธิ์ที่ใกล้จะหมดวาระเข้ามาทุกที ไม่มีใครรอให้ถึงวันที่มันจะประกาศผู้สืบทอดออกมา เพราะจะไม่มีใครยอมเป็นเบี้ยล่างของใครอีกแล้ว นอกจากจะเป็นผู้ครอบครอง เพราะทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาลที่มันเก็บไว้ รวมถึงทรัพย์ในดินของภูเขาดำ จะทำให้คนที่ได้ครอบครองมีอำนาจบารมีที่จะทำอะไรหรือชี้เป็นชี้ตายใครก็ได้ ฉะนั้นใครที่มันเป็นปัญหา ถ้ามีโอกาสก็จัดการเสีย แต่จะบุ่มบ่ามหุนหันพลันแล่นให้ผิดสังเกตไม่ได้เด็ดขาด ต้องระวังให้ดี และถ้าเราทำได้ สิ้นไอ้ผู้พิทักษ์มือหนึ่งไอ้แก่โพธิ์ก็เหมือนงูที่ไร้พิษ”
“งั้นเราก็ต้องวางแผนให้ดี และช่วงนี้ควรจะกบดานไม่ควรเคลื่อนไหวอะไรทั้งสิ้น ไม่งั้นหินที่โยนขึ้นไปจะร่วงลงมาโดนเราจนเจ็บ”
“พ่อเห็นด้วย มันเตือนมาเสียขนาดนั้น ก็อย่าเพิ่งขยับตัวทำอะไรก็แล้วกัน รอดูท่าทีไปก่อน และส่งคนไปจับตามองอีกสองหุบผาด้วย วันนี้ไอ้เมฆามันแสดงออกมาให้เห็นแล้วว่าคงคิดไม่ต่างจากเรา ไม่งั้นคงไม่โผล่ไปที่นั้น ส่วนไอ้พยัคการที่มันไม่โผล่ไป ก็ใช่ว่าจะไม่รู้อะไรเลย มันอาจจะจับตามองดูเราอยู่ก็ได้”
“ผมก็คิดอย่างนั้น พวกน้ำนิ่งไหลลึกนั้นน่ากลัวกว่าคนที่โฉงฉ่าง แสดงออกมาให้เห็นว่าเป็นยังไงมากนัก”
“ใช่ โดยเฉพาะไอ้เมฆ ลูกชายของไอ้เมฆา จับตาดูมันให้ดี เพราะความใจร้อนของมันคือจุดอ่อนที่จะทำให้เราได้ประโยชน์”
“ผมจะทำหน้าที่นี่เองครับนาย” พิชิตขันอาสา เพราะเป็นงานที่ถนัด
“ดี คนใจร้อนอย่างนั้น สะกิดถูกจุดเข้าก็กลายเป็นควายดีๆให้เราหลอกใช้นั่นแหละ”
ว่าแล้วทั้งสามคนก็พากันยิ้มหยันที่มุมปาก เพราะต่างก็รู้กิติศักดิ์ของคนที่พูดถึงเป็นอย่างดี นอกจากจะใจร้อนแล้ว ยังอวดเบ่งอีกด้วย
“แล้วนายจะทำยังไงกับไอ้โม่ง” พิชิตเอ่ยถามพลางมองเข้าไปในกระท่อม “ตอนนี้ไอ้ผู้พิทักษ์มือหนึ่งกลับมาแล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว ปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้แน่ ถ้าไอ้ผู้พิทักษ์มาเจอเข้าคงเป็นภัยกับเรา กลบร่องรอยมันเสียก่อนดีไหมครับ”
“อย่าเพิ่ง” วิหคห้ามคนสนิท “ รออีกหน่อย เผื่ออาการมันจะดีขึ้น อาจจะมีอะไรที่เป็นประโยชน์กับเราบ้างก็ได้ ระหว่างนี้ก็หาคนมาเฝ้ามันเพิ่ม อย่าให้ใครผ่านเข้ามาแถวนี้เด็ดขาด”
“ครับ แต่ถ้าวันนั้นมาถึง แล้วมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย”
“แกก็กลบร่องรอยมันเสีย”
เสียงท่านผู้นำเหี้ยม แววตาของคนรับคำสั่งก็ไม่ต่างกัน แต่ทั้งสามคนไม่รู้หรอกว่า ทุกคำพูดที่พูดกันนั้น ไม่ได้สลายหายไปเหมือนสายลมที่พัดผ่านมา กลับไปเข้าหูคนที่พวกเขาคิดจะกลบร่องรอย ลืมตาขึ้นมาและแววตานั้นก็ไม่ได้เลือนลอยเช่นคนที่จำอะไรไม่ได้เลย!
********
บรรยากาศภายในห้องทำงานบนเรือนของผู้นำหุบผาเหลืองมีแต่ความเคร่งเครียด เพราะอารมณ์ของคนสามคนที่นั่งอยู่ โดยเฉพาะเมฆาผู้เป็นใหญ่ ตั้งแต่หันหลังให้ผู้ครองบัลลังก์ภูเขาดำ สีหน้าเขาก็กระด้าง ความแค้นเคืองคุกรุ่นอยู่ในใจ กระทั่งกลับมาถึงเรือนแล้วเข้ามานั่งอยู่ในห้องนี้ แม้จะไม่มีคำพูดใดออกมา แต่สองมือที่กำเข้าหากันแล้วทุบลงบนที่วางแขนเก้าอี้ที่นั่งนั้นก็บอกความรู้สึกได้ดี
เมฆลูกชายของเขาก็ไม่ต่างกัน นั่งฮึดฮัดอยู่บนเก้าอี้ เพราะนิสัยใจร้อนของตัวเอง มีแต่หมอกลูกเลี้ยงที่นิ่งเก็บอารมณ์ได้ดีที่สุด
“เรื่องทั้งหมดมันคืออะไรกันแน่พ่อ” เสียงเมฆเอ่ยออกมาเมื่อไม่สามารถทนนิ่งเฉยได้อีกแล้ว “ทำไมทุกอย่างมันกลับตาลปัตร ไม่เป็นตามข่าวที่เราได้มา ไอ้ภูผาไม่ได้หายไปไหน แต่ยังมายืนพูดแปลกๆราวกับรู้อะไรมาอีกด้วย”
“พ่อกำลังคิดอยู่”
“หรือมันจะระแคระคายเรื่องที่พวกเราจะคิดคดต่อไอ้แก่โพธิ์”
เมฆาขบกรามเข้าหากันแน่น เมื่อลูกชายพูดออกมาราวกับนั่งอยู่ในใจเขา “ก็อาจจะเป็นไปได้ เมื่อวาระของไอ้แก่ใกล้จะหมดลง ผู้คุ้มครองก็ต้องรู้ว่าตำแหน่งนั้นก็เหมือนอาหารอันโอชะ ที่ใครๆก็อยากกิน จึงต้องระวังหรือไม่ก็ทำทุกวิธีไม่ให้ใครแตะต้องจนกว่าจะถึงเวลา”
“รวมถึงการที่อาจจะเป็นคนปล่อยข่าวนี้ออกมาเสียเอง”
เสียงของหมอกที่ดังขึ้นเรียกสายตาของสองพ่อลูกให้เลื่อนไปมองเขา พลางคิดตาม แล้วปรายตามามองหน้ากันอย่างเห็นด้วย และคิดตามคำพูดของหมอกที่บอกออกมาอีกว่า
“ก็เหมือนกับการล่อเสือออกจากถ้ำ แค่วางเหยื่อไว้แล้วรอดู ว่าจะมีตัวไหนออกมากินบ้าง จากนั้นก็ค่อยจัดการ”
“โชคดีที่ยังไม่มีตัวไหนออกมากิน” เสียงผู้นำหยันออกมา “แต่รอยเลือดที่มันพูดถึง ก็บอกให้รู้ว่าอาจจะมีเสือบางตัวออกมาด่อมๆมองๆ มันจึงจัดการล่า แต่คงยังไม่ได้ตัวมา”
“ใช่ครับ เพราะร่องรอยบนตัวมัน บอกให้รู้ว่าไปฟัดกับอะไรมาสักอย่าง”
“แล้วพ่อคิดว่าไอ้เสือตัวนั้นมันจะเป็นใคร” เมฆถามขึ้นอย่างสงสัย พลางสบตาคนเป็นพ่อ เพื่อฟังคำตอบ “จะใช่คนที่มีตำแหน่งเท่าเทียมกับพ่อหรือเปล่า”
เมฆาหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด แต่ไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกมา “คิดว่าไงหมอก” เขาโยนคำถามใส่ลูกเลี้ยงเพื่อฟังความคิดเห็น โดยไม่รู้ว่ายิ่งสร้างความชิงชังให้ลูกแท้ๆ เพราะท่านทำเหมือนคำพูดนั้นไม่มีความสำคัญพอที่ท่านจะตอบ กลับไปขอฟังความเห็นของไอ้กาฝาก
“ยังชี้ชัดยังไม่ได้ครับ แต่ด้วยรูปการแล้วก็คิดว่าใช่ เพราะผู้ที่จะสืบทอดผู้ครองบัลลังก์ภูเขาดำ มีแค่ผู้นำหุบผาเท่านั้นที่จะมีสิทธิ ถ้าสละสิทธิไปหรือเป็นอะไรไป ผู้ที่จะสืบทอดก็จะเป็นลูกหลาน แต่วันนี้หนึ่งในสองผู้นำอยู่ที่นั้นกับเรา ก็เหลือแต่...”
“ไอ้พยัค ไอ้น้ำนิ่งไหลลึก”
“ครับ แต่จะใช่เขาหรือเปล่า เราปักใจไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐาน อีกอย่างบางทีคนที่เราสงสัยอาจจะไม่ใช่คนทำก็ได้ เพราะแต่ละคนก็มีหมารับใช้ด้วยกันทั้งนั้น”
คำพูดของหมอกนิ่งด้วยเหตุผลเหมือนเดิม ท่านผู้นำพยักหน้าเห็นด้วย แต่เมฆนั่นไม่ใช่ เขาสะดุดหูกับคำว่าหมารับใช้ ยิ้มเหยียดใส่ตาคนพูดให้รู้ว่าเขาหมายถึงมันแล้วเหยียดหยามด้วยคำพูดอีกว่า
“งั้นเราก็ควรจะใช้ไอ้หมารับใช้พวกนี้ให้เป็นประโยชน์นะครับพ่อ ปล่อยให้ไปกัดไอ้ภูผากับผู้พิทักษ์คนอื่นๆ เพื่อแผ้วถางทางให้เราได้เดินขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ ดีไหมครับ ขาดมันเสียคน ผู้ครองบัลลังก์ก็เหมือนขาดมือ ดีกว่านิ่งเฉยรอโอกาส ที่ไม่รู้ว่าจะมีเมื่อไร และไม่ต้องไปแย่งชิงกับใคร แต่วิ่งเข้าหาโอกาส เพื่อให้เป็นของเราเร็วๆไม่ดีกว่าหรือครับ”
“เสี่ยงเกินไปครับ” หมอกค้านออกมา “ตอนนี้ภูผาเริ่มสงสัยพวกผู้นำทั้งสามหุบผาแล้ว แม้จะยังดมกลิ่นไม่ได้ แต่พวกเราต่างก็รู้ยังอยู่แก่ใจ และถ้าเราขยับตัว ก็เท่ากับเดินไปติดกับดัก”
“ขี้ขลาด” เมฆเหยียดหยันออกมา “แค่กับดักจะกลัวอะไรนักหนา ในเมื่อเราก็มีอาวุธครบมือเหมือนกัน และถ้ามั่วแต่กลัวและไม่เสี่ยง แล้วเมื่อไรจะได้อย่างที่หวังสักที”
“สิ้นคิดมากครับ”
เมฆตาลุกวาวขึ้นมาถลาไปขย้ำคอเสื้อหมอก ดึงตัวเขาขึ้นมาจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่แล้วคำรามเสียงกร้าว “ไอ้ลูกหมาแกว่าฉันโง่เหรอ”
หมอกหรี่ตามองมือที่จับคอเสื้อเขา แล้วตวัดสายตาขึ้นสบตาโกรธแค้นของอีกฝ่าย ยิ้มเย็นใส่ตาที่มองแล้วบอกว่า “เปล่าครับ แต่อยากให้คิดสักนิดว่าระหว่างโง่กับขี้ขลาด อันไหนจะทำให้ตายช้ากว่ากัน และอาจจะมีโอกาสได้สิ่งที่หวังมากขึ้นด้วย”
“หมายความว่าไง”
หมอกยิ้มมากขึ้นขณะแววตาเปลี่ยนเป็นดูแคลนคนโง่ตรงหนายิ่งนัก ที่อวดฉลาดออกมา ทั้งๆที่ไม่มีอะไรจะอวดนอกจากความใจร้อนที่จะทำลายตัวเอง “ก็หมายความว่า ถ้าเราขี้ขลาดเราจะไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม และมีเวลาที่จะคิดก่อนทำหรือไม่ทำเลยก็ได้ จึงไม่ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับอันตราย แต่ถ้าโง่ รู้ทั้งรู้ว่าข้างหน้าอันตราย มีหลุมพรางรออยู่ก็ยังจะเดินไป ต่อให้มีอาวุธครบมือ ก็ใช่ว่าจะรอด เพราะฝ่ายที่ขุดหลุมไว้ ได้เตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว ถึงตอนนั้นต่อให้เรามีปีกก็บินไม่รอดแน่นอน”
พูดจบหมอกก็ยกมือขึ้นง้างมือของเมฆออกจากคอเสื้อตน แต่เมฆกลับไม่ยอมปล่อย แม้จะเห็นจริง แต่ก็ไม่ยอมรับให้มันหัวเราะเอาเด็ดขาด จึงแข็งขืนเอาไว้พร้อมท้าทายด้วยสายตา หมอกมองนิ่งแต่แววตากำลังบอกถึงอารมณ์ที่พร้อมจะเอาเรื่องคนตรงหน้า ผู้นำหุบผาที่นั่งมองอยู่และเลี้ยงทั้งสองคนมาพร้อมกัน รู้ดีว่าถ้ายังปล่อยไว้ ลูกที่ใจร้อนของตัวเองจะต้องเสียเลือดแน่จึงต้องปรามออกมา
“พอได้แล้วเมฆ”
เมฆหันไปมองคนเป็นพ่อ แววตาบอกความดื้อดึง แต่สู้สายตาที่แข็งกร้าวของท่านไม่ได้ จึงต้องยอมปล่อยแต่ยังเหยียดริมฝีปากฝากรอยหยันให้อีกฝ่าย ขณะที่หมอกก็ปรับสีหน้าและแววตาให้สุขุมเหมือนเดิม
“ออกไปก่อนหมอก”
เขาก้มหน้าลงคำนับแล้วเดินออกไปเงียบๆ ผู้นำหุบผารอจนประตูห้องปิดสนิทลง ก็หันมาพูดกับลูกชายด้วยน้ำเสียงที่เอือมระอาและเต็มไปด้วยความเคืองขุ่น “เมื่อไรแกจะใจเย็นแล้วใช้สมองมากกว่าอารมณ์เสียที”
“แล้วพ่อไม่ได้ยินที่มันพูดเหรอ มันหยามผมชัดๆ”
“ก็เรื่องจริง”
“พ่อ” เสียงของเมฆทั้งเคืองขุ่นและน้อยใจคนเป็นพ่อ และโกรธเกลียดไอ้คนที่เป็นต้นเหตุให้ท่านว่าเขามากขึ้นไปอีกหลายเท่า
“สิ่งที่แกพูด มันคือความใจร้อนที่ไม่ได้ไตร่ตรองอะไรออกมาเลย”
“แล้วผมพูดผิดตรงไหน ตอนนี้พ่อก็เห็นแล้วว่าไอ้สองผู้นำก็ขยับตัวแล้ว ถ้าพ่อไม่ขยับตาม ก็รอเวลาให้มันเอาตีนมาเหยียบอยู่บนอกก็แล้วกัน อีกอย่างผมไม่เข้าใจว่าพ่อจะปล่อยไอ้สองผู้นำเขียวแดง ไว้เป็นหนามหยอกอกทำไม ทำไมไม่จัดการกับพวกมันให้หมดคู่แข่งไป ดีกว่ามาแย่งชิงกันอยู่แบบนี้ แล้วค่อยไปจัดการไอ้แก่โพธิ์”
“ความคิดแกนี้มันยังอยู่ในกะลาเหมือนเดิมจริงๆ ที่หมอกด่าแกไปนี้ไม่ทำให้รอยหยักในสมองแกมันกระเตื้องขึ้นมาเลยหรือไง” เสียงวิหคกร้าวอย่างเหลืออดกับลูกที่หวังจะให้สืบทอดทุกอย่าง แต่ไม่ได้อย่างใจอะไรเลย “แกลองคิดดูซิ ถ้าฉันทำอย่างแกว่าก็เท่ากับฉันเปิดศึกหลายด้าน สร้างศัตรูหลายทาง แล้วผลมันจะเป็นยังไง ฉันอาจจะตายก่อนที่จะได้ขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ภูเขาดำ แต่ถ้าฉันจัดการไอ้แก่โพธิ์ได้ แล้วฉันจะได้อะไรบ้าง”
เมฆข่มอารมณ์ที่ร้อนรุ่มไว้ แล้วค่อยๆคิด ไม่นานก็ได้คำตอบ “อำนาจ ที่เปรียบดังประกาศิตวิเศษที่จะชี้เป็นชี้ตายใครก็ได้”
แววตาของคนเป็นพ่อเปล่งประกายบอกความพอใจออกมา ที่ลูกชายคิดได้เสียที ก็บอกว่า “คิดได้ก็ดีแล้ว แล้วใช้เป็นบทเรียนด้วยว่าความใจร้อนไม่ได้ช่วยอะไร นอกจากอาจจะกลายเป็นเหยื่อของคนฉลาด ที่สำคัญ” เมฆาลุกจากเก้าอี้มายืนตรงหน้าลูกชาย มองใบหน้าที่ถอดแบบเขาออกมามิผิดเพี้ยน ก็บอกก่อนจะให้ออกไปจากห้องว่า “ฉันไม่เคยเห็นใครดีกว่าแก แค่รู้จักที่จะใช้คนเท่านั้นเอง”
เมฆยืนยิ้มอยู่หน้าประตูห้องที่เพิ่งเดินออกมา ความดีใจฉายชัดเต็มใบหน้า ที่ได้รู้ว่าคนเป็นพ่อไม่ได้เห็นไอ้กาฝากนั้นดีไปกว่าเขา แล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นเหยียดทั้งหยันทั้งหยามคนที่เกลียดชัง ที่ช่างไม่รู้เลยว่า สุดท้ายแล้วมันก็เป็นได้แค่หมารับใช้เท่านั้น
*******
ดวงอาทิตย์ลับลาไปหลังทิวเขา ความสลัวก็เริ่มปกคลุมไปทั่วภูเขาดำ เรือนของผู้พิทักษ์มือหนึ่งก็เช่นกัน แต่ไม่นานก็มีแสงไฟสว่างขึ้นมาขับไล่ความมืดออกไป ซึ่งคนที่ทำหน้าที่นี้ก็คือเด็กรับใช้ของพ่อบ้านจ้าว เป็นคนนำพามาพร้อมกับอาหาร วางไว้ที่บนโต๊ะหน้าห้องนอน และจะทำแบบนี้กับเรือนของผู้พิทักษ์ทุกคนทุกวัน แล้วกลับออกไป
ภูผาเดินขึ้นมาบนเรือน ดวงตาคมจับจ้องไปที่ห้องนอนของตัวเอง ผู้หญิงที่เขาเปรียบเป็นภาระนอนอยู่ในนั้น หลังจากที่เขาแบกเธอเข้าไปแล้วขอให้พ่อบ้านจ้าวช่วยดูแล ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง เขาไม่ได้อยู่รอดูอาการเพราะต้องไปพบผู้เฒ่าโพธิ์ และก็ยังไม่ได้พัก เมื่อหน้าที่ต้องมาก่อนเรื่องอื่นใด ผู้พิทักษ์ทั้งหมดจึงถูกเรียกมาคุยกันอย่างลับๆ แล้วแยกย้ายกันไป เขาก็กลับมาที่เรือน
เด็กหนุ่มที่พ่อบ้านจ้าวให้มาเฝ้าอยู่หน้าห้อง รีบขยับตัวทันทีที่เห็นเจ้าของเรือน ก้มหน้าลงให้ความเคารพแล้วนั่งเงียบรอฟังคำสั่ง ภูผาหรี่ตามองเล็กน้อย ก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบๆว่า
“คนของฉันเป็นไงบ้าง”
“ปลอดภัยแล้วครับ ท่านพ่อบ้านให้แจ้งว่าให้เธอพักมากๆ และให้ทานยาที่ท่านจัดไว้ให้ให้หมดด้วยครับ”
ภูผาพยักหน้าแล้วบอกให้เด็กหนุ่มกลับไปได้ จากนั้นเขาก็เปิดประตูห้องออก สองขาก้าวพาตัวเองเข้าไปด้านใน สายตาเขาไม่ได้มองไปทางใด นอกจากเตียงนอนที่หญิงสาวนอนนิ่งอยู่เท่านั้น กระทั่งเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างเตียง กวาดตามองร่างอรชรในชุดเสื้อผ้าใหม่ ใบหน้างามสะอาดสะอ้านและไม่ซีดขาวเหมือนตอนที่เขาแบกมา มีสีเลือดซับขึ้นมาจางๆสร้างพอใจอยู่ในใจ แล้วยื่นมือไปแตะที่หน้าผากวัดความร้อน เพียงแค่แตะ ก็เหมือนเป็นการปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมา
ขวัญชนกกะพริบตาไล่ความมึนงงออกไป แล้วรู้สึกถึงรอยอุ่นที่หน้าผาก จึงเหลือบตาขึ้นมองจากนั้นก็เลื่อนเรื่อยไปถึงเจ้าของมือที่สร้างความรู้สึกให้เกิดขึ้นมา ความยินดีเกิดขึ้นในใจ ที่ได้เห็นใบหน้าคม ดวงตา ปากคอคิ้วคางทุกอย่างบนใบหน้าเขาเป็นความคุ้นเคยของเธอไปแล้ว
“ดีขึ้นแล้วใช่ไหม”
เสียงนี้ก็อีกที่จดจำจนเผลอยิ้มออกมา คนที่มองอยู่ก็มองนิ่ง จนเธอเริ่มรู้ตัว รู้ว่าก่อนหน้าที่จะหมดสติไปนั้น เธออยู่ในฐานะอะไร ไม่ใช่ภาระอีกต่อไปแต่เป็นผู้หญิงของเขาไปแล้ว รอยยิ้มเลือนหายเหลือแค่ความนิ่งเฉย น้ำเสียงที่พูดออกมาก็ไม่ต่างกัน “ฉันดีขึ้นแล้ว แล้วฉันต้องทำอะไรบ้าง”
“ทำตัวเองให้หายไข้ก่อน”
“แล้วหลังจากนั้นละ” เธอถามเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ภายในใจหวาดหวั่น เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่ผู้หญิงคนหนึ่ง จะทำใจให้ยอมรับความสัมพันธ์กับผู้ชายที่รู้จักก็เหมือนไม่รู้จัก เพราะรู้แค่หน้าตาเท่านั้น แม้จะมีความรู้สึกดีๆก่อเกิดขึ้นมาบ้างแล้วก็ตาม
“อยากรู้ไปเพื่ออะไร”
“เตรียมตัว”
ภูผาหรี่ตาลงแล้วเลื่อนมือจากหน้าผากมนมาท้าวอยู่ข้างหมอน พร้อมกับโน้มตัวไปเหมือนคร่อมอยู่บนตัวเธอ สายตาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเธอ ที่ปิดบังความรู้สึกไว้ไม่มิด เพราะไหวระริกให้เขาเห็นว่าตอนนี้รู้สึกยังไงอยู่ “อยากให้ฉันทับมากนักเหรอ”
ใบหน้างามร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีที่เข้าใจคำพูดเขา แต่ก็ยังนิ่ง และพูดออกมาราวกับไม่ได้รู้สึกอะไร “ไม่ แต่เมื่อหนีไม่พ้น จะเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็ไม่ต่างกัน”
“ต่าง” บอกแล้วก็ก้มหน้าลงไปใกล้ใบหน้างามอีก “ถ้าเริ่มวันนี้แน่ใจหรือว่าจะไหว เพราะฉันไม่ได้ทับแค่ครั้งเดียวแล้วก็จบ ยิ่งสดใหม่แล้วหอมหวานจนฉันติดใจ ฉันจะทับทั้งคืน”
แก้มนวลระเรื่อแดงขึ้นมา และต่อว่าอย่างโกรธๆ “หยาบคาย”
“ถ้าแค่นี้ว่าหยาบคาย แล้วแบบนี้ละ”
แบบนี้ของเขาคือแนบริมฝีปากลงมาบนเรียวปากนุ่ม ดวงตากลมสวยโตขึ้นอย่างตกใจ หัวใจเต้นแรง และอยากจะผลักตัวเขาออกไป แต่ต้องกำมือไว้แน่นเมื่อเธอได้เลือกเป็นผู้หญิงของเขาแล้ว ก็ต้องยอมรับทุกอย่างๆที่ได้พูดไว้
นัยน์ตาคมเหมือนจะมีรอยยิ้มผุดขึ้นมา แค่เขาทาบริมฝีปาก ยังไม่ได้จูบ เธอยังหวั่นขนาดนี้ แล้วถ้า...เขาจ้องลึกเข้าไปในแววตาที่หวาดหวั่น แล้วดันตัวขึ้น ถอดเสื้อออกจากตัว ขวัญชนกหัวใจแทบจะหยุดเต้น ลมหายใจวาบหาย ตัวแข็งทื่อเหมือนคนถูกสาบ... คนที่จ้องอยู่หรี่ตาลงนิดๆ แล้วโน้มตัวลงมาปัดปลายจมูกผ่านแก้มนุ่ม เพียงแค่นั้นขวัญชนกก็ลุกพรวด ถอยลงไปจากเตียง ไปยืนอยู่ตรงมุมห้อง
ภูผาตวัดสายตาตามไปมอง แล้วลุกขึ้นเดินไปที่ตู้ปลายเตียง เปิดตู้หยิบเสื้อผ้าติดมือออกมา ก็เดินออกไปจากห้อง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มุมปากหยักขึ้นยิ้มขำคนอวดเก่ง พอเขาเอาจริงก็วิ่งป่าราบ และไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่า ทันทีที่เขาปิดประตูคนที่ยืนอยู่ข้างหลังจะตัวอ่อนไปพิงผนังทันที ซึ่งก็จริงอย่างที่เขาคิด
ถ้าไม่มีผนังคอยรอบรับ เธอคงจะทรุดตัวลงนั่ง ลมหายใจที่เก็บกดไว้ถูกปล่อยออกมาเหมือนคนที่จมน้ำแล้วโผล่พรวดขึ้นมา รีบสูดอากาศเข้าปอด ขณะสายตาก็มองไปที่ประตูทั้งค้อนทั้งขุ่นเคืองเขาโดยไม่รู้ตัว ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ทั้งที่เขาหยาบคายกับเธอเป็นขนาดนี้ ทำไมเธอถึงไม่เกลียดเขานะ ...ทำไม
*******
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ก.ย. 2559, 17:25:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ก.ย. 2559, 17:25:24 น.
จำนวนการเข้าชม : 1793
<< ตอน 7 | ตอน 9 >> |
แว่นใส 14 ก.ย. 2559, 19:26:30 น.
เริ่มยอมรับแล้วสิ
เริ่มยอมรับแล้วสิ
Zephyr 23 ต.ค. 2559, 10:59:18 น.
น่ะ รออยู่ใช่มะ ปากแข็ง ชิๆ
น่ะ รออยู่ใช่มะ ปากแข็ง ชิๆ