พันธนา
สำหรับบางคน พันธนาการอาจเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้ง
บ่วงแห่งความห่วงกลายเป็นเครื่องจองจำจิตวิญญาณ

แต่สำหรับเขา พันธนาการไม่ใช่ความเจ็บปวด...


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 7

“เศร้าจัง” คนพูดกรีดนิ้วป้ายหัวตา ปลายจมูกออกสีจัดตามประสาคนผิวขาว รู้สึกหดหู่จนน้ำหูน้ำตาไหล เจ้าหล่อนสูดจมูกฟืดฟาด “ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นด้วยนะ”

สงสารแดนสรวง สงสารคุณภัทร สงสารความรักที่เป็นไปไม่ได้ สงสารตัวเองที่ยังพิมพ์รายงานไม่เสร็จ สงสารมะลิทำไมก็ไม่รู้...รศนาสะอื้นฮั่ก ทำไมชีวิตคนเรามันช่างเต็มไปด้วยเรื่องน่าเศร้า

มะลิมองเพื่อนที มองแดนสรวงที รู้ดีว่าที่รศนาออกอาการ ”อินจัด” ตามแดนสรวงขนาดหนักเพราะอะไร

ถึงแม้คลื่นจะไม่ตรงกันทำให้รศนามองไม่เห็นดวงวิญญาณของรุ่นพี่ แต่ก็สัมผัสถึงความเศร้าสร้อยที่ลอยอิ่งในบรรยากาศและซึมซับมันได้ ยิ่งอยู่ใกล้สัมผัสยิ่งรุนแรง อีกทั้งเจ้าหล่อนอ่อนไหวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงทำให้พลอยรู้สึกเจ็บปวดตามไปด้วย จิตใจหมองหม่นจนในหัวคิดแต่อะไรด้านลบ มะลิเองก็สัมผัสได้เช่นกัน แต่เป็นเพราะเจอบ่อยจนชินจึงปรับตัว และพอจะแยกแยะได้ว่าความรู้สึกที่เกิดเป็นเพียงเพราะได้รับอิทธิพลมาจากคลื่นวิญญาณอีกที

เธอดุหัวโต๊ะเสียงดัง “หยุดเศร้าเลยนะพี่แดน ตั้งสติหน่อย ที่ให้เล่าเพราะจะได้รู้ว่าต้องช่วยอะไรตรงไหน ไม่ได้ให้มานั่งอาลัยอดีต เห็นไหม ยัยนาพลอยน้ำตาแตกไปด้วยแล้ว” มะลิบ่นพลางควักห่อกระดาษทิชชู่ส่งให้เพื่อน “แกก็ด้วยนา ทำจิตใจให้มันเข้มแข็งหน่อย ไม่ใช่พลอยรู้สึกตามเขาไปหมด”

“ใครจะไปเจอบ่อยจนจิตแข็งอย่างแกล่ะ” คนสะอื้นไม่วายหันมากัดเพื่อนก่อนสั่งน้ำมูกดังพรืด ทำเอาทั้งคนทั้งผีเบ้หน้าแทบจะพร้อมกัน

เป็นเพราะรอบห้องกรุกระจกใส คนที่เดินไปเดินมาด้านนอกบางคนบังเอิญหันเข้ามามองพอดี หลายคนมีทีท่าแปลกใจระคนสงสัยที่เห็นนักศึกษาสาวนั่งร้องไห้อืดๆ หน้าแดงก่ำอยู่ในห้อง มะลินึกอยากจะมุดดินหนีเสียให้รู้แล้วรู้รอด ได้แต่ก้มหน้าหลบตา เอ็ดเพื่อนไปด้วย “หยุดร้องนะยัยนา คนมองใหญ่แล้ว อายเค้า”

รศนาพยายามระงับสติอารมณ์ เธอหลับตาพลางสูดลมหายใจลึกเข้าออกหลายๆ หน ถอนสะอื้นดังฮึกๆ ในขณะที่มะลิบอกแดนสรวงว่า “พักก่อนสักเดี๋ยวเถอะพี่แดน ช่วยคิดอะไรที่มันชวนให้รู้สึกเบิกบานสักแป๊บเถอะนะ คิดเรื่องสนุกๆ ก็ได้ ไม่อย่างนั้นคงคุยต่อไม่รู้เรื่องแน่”

เพราะมัวแต่หันไปบอกคนนั้นที คนนี้ที เธอจึงไม่ทันได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เจ้าของเสียงเคาะปริศนาโผล่หน้าเข้ามาอย่างถือวิสาสะ และนั่นทำให้มะลิที่เพิ่งทำมาดเข้มไปหมาดๆ ถึงกับอ้าปากค้าง

อินทัชเป็นหนึ่งในคนที่หันเข้ามามองในห้องพอดี ทันได้เห็นรศนายกกระดาษชำระขึ้นสั่งน้ำมูกรอบสอง และหน้าตาเลิ่กลั่กของมะลิที่ดูเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก จึงโผล่เข้ามาดูเผื่อสองสาวต้องการความช่วยเหลือ

“เราสองคนโอเคไหม มีอะไรกันหรือเปล่า”

พอเห็นว่าเป็นใคร มะลิจึงได้แต่ก้มหน้างุด ถ้ามุดโต๊ะได้คงทำไปแล้ว ในขณะที่คนบ่นว่าเศร้าถึงกับหายเศร้าเป็นปลิดทิ้ง “ไม่มีอะไรค่ะพี่ทัช คือ...พวกเราคุยกันเรื่องละครเมื่อคืนน่ะค่ะ อินไปหน่อย” หญิงสาวหัวเราะแหะกลบเกลื่อน ยกมือป้ายน้ำตา คว้าซากกระดาษทิชชู่บนโต๊ะยัดใส่กระเป๋า “ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง”

น่าแปลก...ภาพที่เห็นจากนอกห้อง กับตอนเดินเข้ามาแล้วแตกต่างกันแบบคนละขั้ว ทีแรกอินทัชตัดสินใจเดินเข้ามาถามไถ่รุ่นน้องทั้งสองเพราะท่าทางรศนาดูไม่ค่อยดี แต่พอเปิดประตูเข้ามา มะลิดูท่าจะอาการหนักกว่า เธอเอาแต่ก้มหน้า ไม่ยอมเงยขึ้นมามองเขาเลย

“แล้วมะลิล่ะ เป็นยังไงบ้าง ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า หรือแค่อินละครเหมือนกัน”

หญิงสาวตอบ “ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ” เสียงเบา แต่ยังคงก้มหน้างุดอยู่เหมือนเดิม

อันที่จริงเธอวางมันไปนานแล้ว...ไอ้ความรู้สึกรักเขาข้างเดียวที่กินเวลานานปี หลังจากวันที่เข้าใจผิดกับแดนสรวง ว่าเขาเอาเธอไปเล่าให้เพื่อนฟังแบบเสียๆ หายๆ เธอก็เลิกหวังลมๆ แล้งๆ ว่าผู้ชายดีๆ อย่างอินทัชจะมาสนใจผู้หญิงเพี้ยนๆ อย่างเธอ ยิ่งนานยิ่งห่างจนความรู้สึกวูบไหวเวลาอยู่ใกล้เริ่มเลือน

...แล้วไอ้ความรู้สึกนั้นมันกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่เธอได้รู้ความจริงทั้งหมดจากแดนสรวง

...อย่าไปว่ามะลิแบบนั้น...แค่คำสั้นๆ นี่แหละ ที่จุดประกายความหวังของเธอ หญิงสาวเลือกเข้าข้างตัวเองว่าเขาทำไปเพราะต้องการปกป้อง ถึงอย่างนั้น ความหวังของเธอก็เปล่งประกายอยู่แค่ในมุมมืดเท่านั้น เธอยังไม่กล้าเข้าไปพูดคุยกับอินทัชด้วยเพราะห่างกันมานานมากแล้ว อีกทั้งยังไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยเหมือนเมื่อก่อน เพิ่งจะมีวันนี้ที่ได้พูดคุยกันต่อหน้า และมันก็ฉุกละหุกเกินกว่าจะตั้งตัวได้ทัน

“ถ้าอย่างนั้น พี่ไม่กวนแล้ว”

มะลิบอกตัวเองว่าเธอจะไม่เงยหน้าขึ้นมาจนกว่าจะได้ยินเสียงปิดประตู ไม่ใช่ว่าไม่อยากคุย แต่จะให้คุยได้ยังไงในเมื่อเธอยังไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเขาด้วยซ้ำ ได้แต่คิดในใจว่า...ไม่กวนก็ไม่กวนสิ เมื่อไหร่จะออกไปซะที๊ นั่งก้มๆ อยู่แบบนี้มันเมื่อยคอนะ เธอบอกตัวเองแบบนั้นจนกระทั่งได้ยินเสียงจากวิญญาณหนุ่มโพล่งดังขึ้นมาว่า

“เฮ้ย หนังสือ!”

“หนังสือ?” เจ้าหล่อนลืมตัวเงยหน้าขึ้นมา มองตามสายตาของแดนสรวงแล้ว...ไม่ผิดแน่ วิญญาณหนุ่มหมายถึงหนังสือในมืออินทัชนั่นแหละ

ตัวอักษรที่ตอนนี้อยู่ในมุมตะแคงทำให้เธออ่านไม่ออก รู้แต่ว่าเป็นหนังสือเล่มหนาที่มีหน้าปกสีขาวเท่านั้นเอง

“หมายถึงนี่น่ะเหรอ” อินทัชยื่นหนังสือให้คนทักดูใกล้ๆ แปลกใจที่รุ่นน้องดูสนใจหนังสือแบบเดียวกัน ไม่ทันได้สังเกตกิริยาอีกฝ่ายว่าพอคิดขึ้นมาได้ ก็กลับไปก้มหน้าส่องโต๊ะเหมือนเดิม “อยากอ่านเหรอ จะยืมก่อนก็ได้นะ”

แม้คำพูดจะฟังดูเหมือนคำถาม แต่อินทัชวางหนังสือไว้ตรงหน้ามะลิก่อนเดินออกไปจากห้อง ส่วนคนรับก็เอาแต่นั่งมึน...ลืมแม้กระทั่งมารยาทว่าควรจะขอบคุณเขาสักคำ

วิญญาณหนุ่มนิ่งคิดจนคิ้วขมวด หนังสือเล่มที่อินทัชถือมาช่วยปลุกความทรงจำบางอย่างขึ้น...

“มองตาค้างเลยนะแก ไม่ขอบคุณพี่เขาสักคำ” คนเป็นเพื่อนเอ่ยทั้งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ข้อศอกแหลมทิ่มสีข้างคนที่เอาแต่ก้มหน้าจนสะดุ้ง ตอนนี้บรรยากาศในห้องผ่อนคลายขึ้นมาก...ถึงจะเป็นหนังสือห้องสมุดก็เถอะ อย่างน้อยเขาก็มีน้ำใจให้เพื่อนเธอได้ยืมก่อน “แบบนี้นี่ เราควรจะกลับไปลุ้นกันอย่างตอนนั้นไหม”

“ไม่ล่ะ ฉันเข็ดแล้ว” ถึงความจริงจะปรากฏ แต่ใช่ว่าเธอจะลืมนี่นา ไอ้เรื่องลุ้นน่ะอยากอยู่ แต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้ เธอทำเสอ้างไปเรื่องอื่น “เรื่องนี้เอาไว้ก่อนเถอะ เราจะคุยเรื่องพี่แดนกันต่อได้หรือยัง”

นึกว่าลืมกันไปเสียแล้ว...แดนสรวงค่อนในใจ “หนังสือนั่นทำให้พี่นึกอะไรบางอย่างออก”

แล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขัดจังหวะขึ้นอีกหนจนวิญญาณหนุ่มที่กำลังจะอ้าปากพูดต่อค้อนขวั่บ คราวนี้มะลิรู้ทันรีบก้มหน้า วางหนังสือไว้ที่เก่าราวกับยังไม่เคยหยิบมันมาพลิกดู

“พี่ทัชลืมอะไรหรือเปล่า” คราวนี้รศนารู้งาน วิ่งไปเปิดประตูให้เสียด้วยซ้ำ แล้วเธอก็ต้องหน้าหงิกเมื่อหลังประตูไม่ใช่คนที่หวังไว้ แต่กลายเป็นคนที่อยากวิ่งหนีต่างหาก

แววตาอยู่ในชุดไปรเวท แม้เจ้าหล่อนจะระบายยิ้มให้เต็มที่แต่รศนากลับไม่รู้สึกยินดีแม้แต่น้อย “แปลกใจจังที่เห็นพวกเธออยู่ที่นี่” เธอก้าวเข้ามาในห้อง พอเห็นหน้าปกหนังสือเล่มที่สองสาวหยิบติดมือมาตั้งแต่แรกก็เดาขึ้นเอง “มาหาข้อมูลทำรายงานกันใช่ไหม เล่มนี้ฉันหาแล้วล่ะ ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่” คนมาใหม่เปิดหนังสือเล่มนั้นอย่างคล่องแคล่ว “อีกอย่าง เล่มนี้ฉันสำเนาไปตั้งแต่เราคุยกันครั้งที่แล้วแล้ว นี่ไง หน้า 42”

สองสาวมองตากันปริบๆ แม้มะลิจะไม่ค่อยอยากสู้หน้าอินทัช แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าให้อินทัชโผล่มายังดีกว่าแววตาเป็นไหนๆ

แม้วันนี้จะเป็นวันหยุด แต่แววตาถือคติว่าไม่ว่าวันไหน เวลาใด เราก็สามารถหาความรู้เพิ่มเติมได้เสมอ...รายงานเดี่ยวเธอทำเสร็จแล้ว งานที่ได้รับมอบหมายก็จัดการเสร็จสรรพ เหลือแต่รายงานกลุ่มนี่แหละที่ยังลูกผีลูกคนอยู่ ถึงจะได้ข้อมูลครบถ้วน แต่ประสาคนที่รักความสมบูรณ์แบบอย่างเธอ อดไม่ได้ที่จะมาหาข้อมูลเพิ่มเติม เผื่อจะมีอะไรนำเสนอในรายงานได้อีก “ทุ่มเทเข้าไว้ให้สุดๆ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดายทีหลังว่าพลาดอะไรไป” สาวแว่นยึดมั่นในคำนี้

“ดีใจจังที่ได้เห็นว่าเธอสองคนคิดเหมือนฉัน ว่าเหมือนมันยังขาดอะไรไป” เธอวางหนังสือที่หอบมาด้วยลงบนโต๊ะ “เธอสองคนมาช่วยฉันดูในนี้ดีกว่า ฉันเปิดดูสารบัญคร่าวๆ มาแล้ว น่าสนใจอยู่นะ” ในนี้ ที่ว่าคือหนังสือเล่มหนา 4-5 เล่ม...รศนาไม่แน่ใจว่ากี่เล่มกันแน่เพราะกวาดตาดูแค่แป๊บเดียวก็ถึงกับขนลุกซู่จนเบือนหน้าหนี “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ฉันขอใช้ห้องด้วยก็แล้วกันนะ”

แววตาพูดจบก็นั่งแหมะลงบนเก้าอี้หัวโต๊ะ แต่นั่งได้แค่ประเดี๋ยวเดียวก็ลุกขึ้นพลางว่า “ฉันว่าฉันเปลี่ยนไปนั่งข้างๆ นาดีกว่า สงสัยตรงนี้แอร์ตก เย็นชะมัด”

อย่าใช้คำว่าเย็นเลยจ้ะ...ใช้คำว่าเยือกเลยเถอะ

คนไม่เห็นน่ะไม่เท่าไหร่ แต่คนเห็นนี่สิแทบช็อก...แดนสรวงซึ่งลุกหนีไม่ทันค้อนขวั่บใส่คนมาใหม่ที่ดันทิ้งตัวนั่งลงบนที่เขาพอดี วิญญาณหนุ่มบ่นกับมะลิทั้งหน้างอ “ทำไมไม่เตือนเพื่อนหน่อย นั่งทับพี่แล้ว ไม่เห็นเหรอ”

มะลิได้แต่ยิ้มเจื่อน...จะให้บอกให้เตือนอะไรล่ะยะ พอแววตามาถึงก็เอาแต่พูดเอาๆ ไม่เปิดช่องให้เธอได้พูดได้ปฏิเสธแม้แต่น้อย สองสาวได้แต่มองตากันปริบๆ ก่อนพร้อมใจกันถอนหายใจเฮือกใหญ่

อุตส่าห์ถ่อมาห้องสมุดวันหยุดเพราะจะคุยกับแดนสรวงแท้ๆ กลายเป็นได้นั่งทำรายงานแทนซะนี่ เวรกรรมจริงจริ๊ง...


อันที่จริง หนังสือที่อินทัชให้เธอยืมก่อน ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องของแดนสรวงแม้แต่น้อย ที่ร้องทักขึ้นมาเพราะพอเห็นหนังสือปั๊บ ก็นึกถึงเรื่องที่เคยลืมไปขึ้นมาได้เท่านั้นเอง

มะลิมองหนังสือที่มีภาษาอังกฤษเขียนว่า Economics ตัวเบ้อเริ่มในมือราวกับมันเป็นภาระชิ้นใหญ่ มีสองทางให้เลือก หนึ่งคือเอาไปคืนห้องสมุดซะ (เพราะดันบ้าจี้ ทำเรื่องขอยืมหนังสือมาเป็นที่เรียบร้อย) ซึ่งก็ง่ายดี หรือสอง ทางเลือกนี้รศนาเสนอมา...ฟังดูเข้าท่าแต่ว่าทำไม่ง่ายเลย

“เอาไปให้พี่ทัชยืมต่อ หรืออย่างน้อย เธอก็ควรบอกเขาว่ากำลังจะเอาไปคืน” คนพูดรีบเสริมเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ส่ายหน้าปฎิเสธ “เขามีน้ำใจให้แกยืมก่อน แกก็ควรจะมีน้ำใจไปบอกเขาหน่อยว่าหนังสือมันยืมต่อได้แล้ว

จะเอาอะไรนักหนากับคนที่แม้แต่หน้ายังไม่กล้ามอง รศนาไม่ใช่เธอก็พูดง่ายน่ะสิ

ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังไม่ได้ตัดสินใจ ตามระเบียบของห้องสมุดอนุญาตให้นักศึกษายืมหนังสือไว้ได้ตั้ง 7 วัน ยังมีเวลาให้คิดอีกถมเถ

“เรื่องนั้นน่ะเอาไว้ก่อนเถอะ ห่วงเรื่องหนังสือพี่แดนดีกว่า” มะลิตัดบท พักหลังๆ เธอชักนิสัยเสียขึ้นทุกที เวลารศนาพูดเรื่องอะไรที่เธอไม่อยากตอบก็มักจะดึงเรื่องของแดนสรวงขึ้นมาอ้างตลอด (ซึ่งวิธีนี้ก็ใช้ได้ผลดีทีเดียว)

ครึ่งวันเช้าหมดไปกับการช่วยแววตาหารายงานกลุ่ม กว่าจะปลีกตัวออกมาได้ก็ปาเข้าไปเกือบบ่าย สองสาวเปลี่ยนที่หมายเป็นร้านอาหารที่ไกลออกมาจากมหาวิทยาลัย...ไกลชนิดที่ว่า หากแม่สาวคงแก่เรียนเกิดนึกอยากจะออกมาหาอะไรทาน คงไม่ลงทุนเดินมาไกลขนาดนี้

ทั้งคู่เลือกนั่งชั้นบนที่กรุกระจกติดแอร์ เพราะชั้นล่างเปิดโล่งมีคนนั่งอยู่ก่อนจนเกือบเต็มร้าน ส่วนใหญ่เลือกนั่งชั้นล่างเพราะบรรยากาศสวนร่มรื่น เจ้าของร้านจัดสัดส่วนได้ดีทำให้แม้มีลูกค้าจำนวนมากแต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกอึดอัด อีกทั้งตอนนี้ชั้นบนก็ยังไม่มีลูกค้าขึ้นมานั่งเลยสักราย...ถ้ารู้ก่อนคงไม่โผล่ไปห้องสมุดตั้งแต่แรก

โซฟาเข้ามุมและโต๊ะเหลี่ยมสีขาว ตัดกันกับพื้นไม้โอ๊คสีเข้ม บนโต๊ะมีแจกันประดับดอกไม้สดช่อเล็กที่เด็ดมาจากสวน สองสาวเลือกนั่นมุมหลบใน เผื่อมีใครขึ้นมาจะได้ไม่ต้องระวังเสียงกันมากนัก

แดนสรวงนั่งลงตรงที่ว่างข้างรศนาเพื่อจะได้เห็นหน้ามะลิชัดๆ เวลาพูดคุย เพราะหากนั่งข้างมะลิ เจ้าหล่อนคงต้องหันซ้ายที (เวลาพูดกับเขา) หันขวาที (เวลาพูดกับรศนา) ใครมาเห็นเข้าคงเก็บไปเม้าท์ว่าเธอเพี้ยน

“พี่แดนบอกว่า พอเห็นหนังสือในมือพี่ทัชปั๊บ ก็เลยนึกขึ้นได้น่ะ”

ก่อนหน้าวันที่แดนสรวงจะเสียชีวิตเกือบสัปดาห์ เขากับเพื่อนอีกสองคนยังนัดติวหนังสือกันก่อนสอบ อินทัชกับน้องชายมากจากต่างจังหวัดและเช่าห้องอยู่ด้วยกัน ในวันนั้นเพื่อนน้องชายจะมาที่ห้องจึงไม่ค่อยสะดวกนัก ส่วนแดนสรวงไม่คิดจะชวนใครไปที่ห้องอยู่แล้ว อพาร์ทเมนท์ที่โกศลพักอยู่จึงเหมาะที่สุด

โกศลไม่ได้พักในหอพักของมหาวิทยาลัย เขาเป็นพวกไม่ชอบกฎระเบียบเคร่งครัดทั้งยังหวงความเป็นส่วนตัวจึงเช่าอพาร์ทเมนท์ใกล้ๆ ห้องที่เลือกแยกสักส่วนห้องน้ำ ห้องนอน ห้องนั่งเล่นให้เสร็จสรรพ ราคาเหมาะสำหรับหารค่าเช่ากันสักสองสามคน แต่ครอบครัวก็พร้อมจ่ายให้ลูกชายคนเดียวอยู่แล้ว

ตอนนั้นเป็นช่วงที่แดนสรวงใจคอไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว เพราะณภัทรเริ่มมาๆ หายๆ น้อยครั้งที่จะอยู่ค้างคอนโด ถึงแม้เขาจะรู้ถึงความจำเป็น แต่หลายหนก็อดฟุ้งซ่านไม่ได้ ความกดดันจากที่บ้านทำให้ณภัทรกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ในบางครั้ง ส่วนเขาก็กลายเป็นคนคิดมากและซึมเศร้าขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคิดถึงอนาคตที่มองไม่เห็นทาง เป็นอีกเหตุผลที่เลือกมาติวหนังสือก่อนสอบกับเพื่อนๆ เพราะหากอยู่ที่ห้องคนเดียวคงไม่เป็นอันได้อ่านอะไร

การคบหาของเขากับณภัทรเป็นความลับ แม้กระทั่งเพื่อนสนิททั้งสองก็ยังไม่รู้ คบกันมาหลายปีแต่กลับมีรูปคู่แค่ใบเดียว ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ค่อยพกมันไว้ติดตัว รูปนั้นถูกใส่กรอบอะคริลิคใสเก็บไว้ที่ห้อง จนกระทั่งความห่างกระตุ้นความคิดถึงให้มากเข้า วันที่เขาไปพักอยู่ที่ห้องเพื่อนจึงพกมันแนบใส่ในหนังสือเรียนไปด้วย

กว่าจะทบทวนวิชากันเสร็จ ฟ้าก็มืดแถมฝนยังตกหนัก โกศลชวนเพื่อนทั้งสองให้ค้างคืนที่ห้องดีกว่าต้องไปเรียกรถกันกลางดึก แดนสรวงตอบตกลงอย่างไม่มีทางเลือก เขากดโทรศัพท์ส่งข้อความให้ณภัทรว่าวันนี้ค้างกับเพื่อน ไม่ต้องเป็นห่วงอะไร ทั้งที่แน่ใจว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ไปที่ห้องเหมือนกัน

ถึงโกศลกับอินทัชไม่ใช่คนอยากรู้อยากเห็น แต่แดนสรวงกลับระแวงเหมือนคนมีชนักปักหลังทั้งที่บอกตัวเองอยู่เสมอว่าตนและณภัทรไม่ได้ทำผิดอะไร ในระหว่างที่เพื่อนแต่ละคนแยกย้ายไปทำธุระส่วนตัว เขาจึงแอบเอาหนังสือเรียนเล่มนั้นวางไว้หลังตู้สูงใกล้โทรทัศน์ ดันเข้าไปในแนวลึกให้พ้นจากระยะที่จะมองเห็น มั่นใจว่าในความสูงระดับที่ต้องเอื้อมคงไม่มีใครสนใจมาปีนดู ยิ่งโกศลเป็นพวกขี้เกียจทำความสะอาด จ้างแม่บ้านมาปัดกวาดห้องให้แค่อาทิตย์ละครั้ง ยิ่งไม่ต้องเป็นห่วงว่าเพื่อนนึกรักสะอาดจนปีนมาปัดฝุ่นหลังตู้เอากลางดึก

วันรุ่งขึ้นต้องเข้าสอบแต่เช้า ทั้งเขาทั้งเพื่อนรีบเตรียมตัวกันวุ่นวายเพราะดันตื่นสายกันหมด จนลืมเรื่องหนังสือเล่มนั้นไปเสียสนิท มานึกขึ้นได้ก็ตอนที่เข้าห้องสอบแล้ว แดนสรวงตั้งใจจะกลับไปเอาหนังสือที่ห้องโกศลหลังสอบเสร็จ แต่พอออกจากห้องสอบปั๊บ ณภัทรก็โทรมาปุ๊บ คนรักพอมีเวลาว่างปลีกตัวจากความวุ่นวายมาได้และต้องการพบ คนที่ได้แต่คิดถึงมาหลายวันเลยกระดี๊กระด๊ารีบรี่ไปหา คราวนี้เขาลืมจริงๆ...เรียกได้ว่าลืมยาวเลย เพิ่งมานึกออกอีกทีก็ตอนเห็นหนังสือที่อินทัชถือมานั่นแหละ

“และตอนนี้ หนังสือเล่มนั้นก็น่าจะยังอยู่ในห้องพี่สน” มะลิสรุปความให้หลังจากยกแก้วน้ำส้มขึ้นกระดกรวดเดียวหมดเพราะถ่ายทอดสารจากแดนสรวงให้รศนาฟังมาเสียยาวยืด ได้ยินเสียงเคี้ยวน้ำแข็งดังกร้วมๆ “ปัญหาคือ เราจะไปเอาไอ้หนังสือเล่มนั้นออกมาจากห้องพี่สนกันยังไง”

ถึงจะเคยพูดคุยกัน แต่นั่นก็นานมาแล้ว หลังจากที่เธอมีปากเสียงกับแดนสรวง พลอยให้ไม่ค่อยได้พูดคุยกับเพื่อนๆ เขาไปด้วย ตอนนี้แค่กลับไปคุยกันยังปั้นหน้ายาก นี่จะให้บุกเข้าไปถึงในห้อง...จะเข้าไปได้ยังไง๊

“เดี๋ยวนะ” สาวอวบที่นั่งเงียบฟังอยู่นาน จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “แกนั่งมองอะไรน่ะมะลิ”

เธอรู้สึกเหมือนขนอ่อนที่ต้นคอกำลังลุกชัน นั่งฟังมาตั้งนาน เอาแต่มองนั่นมองนี่ไปตามเรื่อง เพิ่งมาสังเกตว่าทิศทางการมองของเพื่อนมักจะมาหยุดอยู่ข้างเธอ หลังจากหยุดได้พักหนึ่งจึงเล่าเรื่องที่ได้ยินจากแดนสรวงให้ฟัง อย่าบอกนะว่า...

“ฉันก็มองไปตามเรื่อง” มะลิปดหน้าซื่อ เธอไม่บื้อถึงขนาดจะบอกให้คนขี้กลัวอย่างรศนารู้หรอกว่าที่นั่งถัดจากเธอไปน่ะ มันแดนสรวง “พี่แดนเขานั่งอยู่ข้างๆ ฉันนี่แหละ” เธอตบเบาะที่ว่างข้างตัว “แต่ถ้าฉันเอาแต่หันไปทางนั้น มันก็ดูพิลึกๆ ใช่ไหมล่ะ เหมือนกำลังหันไปมองอะไรก็ไม่รู้ทั้งที่แกนั่งอยู่ตรงนี้”

ได้ยินแบบนี้ก็ค่อยโล่งใจ คนฟังมองไปยังที่ว่างข้างๆ เพื่อนราวกับมีบางอย่างอยู่ตรงนั้น ยิ้มแห้งๆ พลางเอ่ยว่า “ขอโทษนะคะพี่แดน นาไม่ได้อะไรกับพี่แดนนะคะ แค่ยังไม่ค่อยชินเท่านั้นเอง”

ถึงจะมีเรื่องให้กังวล แต่วิญญาณหนุ่มก็อดยิ้มขันคนข้างตัวไม่ได้ รศนาก็แสนซื่อ มะลิบอกอะไรก็เชื่อหมด

“เดาว่าเรื่องหนังสือคงไม่หมูซะแล้วสิ” มะลิเอนหลังพิงโซฟา ดึงทุกคน (และตน) กลับเข้าสู่บทสนทนาหลัก เธอดูหน้าวิญญาณหนุ่มก็รู้ว่าเขากังวลแต่ไม่อยากเซ้าซี้เพราะรู้ว่าเรื่องที่ขอน่ะมันยาก ทีแรกก็ว่าจะปฏิเสธ แต่พอเห็นหน้าหงอยๆ แล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้ ถ้าไม่ติดว่าเขาเคยพยายามช่วยเธอให้พันจากความเจ้าชู้ของหนุ่มเพลย์บอยอย่างโกศลคงปฏิเสธง่ายกว่านี้

จริงสิ...

อันที่จริงยังพอมีทางเป็นไปได้ มะลิเท้าศอกลงโต๊ะชะโงกหน้าคุยกับแดนสรวง “พี่แดนว่า ถ้าตอนนี้มะลิไปคุยกับพี่สน เขาจะคุยด้วยไหม”

ไม่ต้องถึงขั้นก้อร่อก้อติก เพียงแค่ไม่เมินหน้าเธอก็พอ เพลย์บอยอย่างเขา น่าจะมีน้ำใจเหลือเฟือให้สาวๆ อยู่แล้ว อีกอย่าง ตอนที่แดนสรวงเข้าไปวุ่นวายในฝัน เขาเป็นคนพูดเองว่าโกศลสนใจเธอ (ถึงจะแค่สนใจเพราะดูแปลกก็เถอะ) แถมรายนั้นยังเป็นหนุ่มเจ้าชู้อีกต่างหาก ถ้าเธอจับจุดอะไรได้บ้าง ก็ไม่น่ายากที่จะรุกไปถึงที่ แถมเพื่อนสนิทเขายังนั่งอยู่ตรงนี้ น่าจะมีข้อมูลอะไรดีๆ ให้พวกเธอได้บ้าง

“เดี๋ยวนะ มะลิ” รศนาแทรกขึ้น สีหน้าเป็นกังวล

“ฉันมีแผนอยู่ในหัวน่า ถ้าพี่สนยังไม่เหม็นหน้าฉัน ฉันก็พอมีข้ออ้างไปห้องเขาได้นี่” เธอว่าเสริมเมื่อเห็นคนขัดคอยังหน้าเสียอยู่ “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ออกโรงคนเดียวหรอกนา ยังไงก็ต้องหนีบแกไปด้วยอยู่แล้ว”

มันไม่ใช่เรื่องนั้นน่ะสิ...

“มันจะเสี่ยงไปไหมมะลิ ถึงพี่จะอยากให้พวกเธอช่วย แต่ถ้าต้องเอาตัวไปยุ่งถึงขั้นนั้น...” อันที่จริงเขาเองก็พูดไม่เต็มปาก เขาห้ามเพราะห่วง...ในขณะที่กลัวเธอเปลี่ยนใจอยู่เหมือนกัน

ไม่ใช่ไม่รู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัว เขายืมมือรุ่นน้องให้ช่วยทำในสิ่งที่ต้องการ เพื่อคนที่เธอทั้งคู่ไม่ได้รู้จักเลยแม้แต่น้อย ท่าทีกระตือรือร้นของมะลิ ทำให้เขารู้สึกมีหวัง แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้ว่าตัวเองควรห้ามไม่ให้สองสาวทำอะไรเสี่ยงๆ

“พวกเราทำได้น่าพี่แดน ไปกันสองคนจะกลัวอะไร” มะลิเอ่ยกับแดนสรวงเมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวล “พี่สนหัวเดียว พวกเรามีกันตั้งสามหัว ไม่เคยได้ยินเหรอ สามหัวดีกว่าหัวเดียว” จะว่าไปก็ไม่เคยได้ยินนะ เคยได้ยินแต่สองหัว “ไม่มีปัญหาหรอกน่า...เนอะ ยัยนา”

เพิ่งสังเกตว่ารศนาสงบคำเป็นพิเศษ แถมยังไม่เออออรับคำเป็นลูกคู่กับเธออย่างเคย มะลิบีบแขนอวบๆ ของอีกฝ่ายเพื่อเรียกสติ “เป็นอะไรไปยัยนา” ท่าทางมั่นใจเมื่อครู่ดูถอยลงเมื่อเห็นท่าทางของเพื่อน “หรือว่า แกไม่เห็นด้วยกับฉันเหรอ”
จบคำเท่านั้นแหละ อีกฝ่ายที่กำลังทำหน้าแหยๆ เหมือนจะร้องไห้จึงหันมาเฉลยปากคอสั่น

“ไม่ใช่ไม่เห็นด้วย แต่ว่ามะลิ...ไหนแกบอกว่าพี่แดนนั่งข้างๆ แกไง แล้วทำไมแกชะโงกมาข้างๆ ฉันตลอดเลย ตกลงพี่เขานั่งข้างแกหรือข้างฉันกันแน่”

อ้าว ความแตกจนได้ ดันลืมไปซะสนิทเลยแฮะ...


ตลาดต้นไม้จัดขึ้นทุกเย็นวันพฤหัสบดี ลานกว้างที่เคยว่างโล่งเต็มไปด้วยไม้เล็กไม้ใหญ่ มีทั้งไม้กระถางและประเภทต้องปลูกลงดิน ไม้ดอกไม้ใบไปจนถึงพืชสวนครัวก็ยังมีให้เลือกมากมาย

แม้ภายนอกจะดูเป็นหนุ่มสังคมเจ้าสำอาง แต่โกศลก็ยังมีมุมที่แตกต่างจากภาพที่ใครๆ เห็น ชายหนุ่มแต่งตัวสบายๆ สวมเสื้อยืด กางเกงขาสั้น เดินมาชมต้นไม้เกือบทุกเย็นที่มีตลาด หากน้อยครั้งที่จะซื้อกลับไป เขามันพวกคนมือร้อน ปลูกอะไรก็ตายเรียบ แต่เพราะสีเขียวของมันช่วยให้เขารู้สึกผ่อนคลาย จึงอาศัยมาเดินชมและอุดหนุนของอื่นที่มีวางขายในตลาดเดียวกันไปแทน

เขาเดินทอดน่องชมข้างทางซ้ายขวา คิดอยู่ว่าบางทีอาจจะลองซื้อกระบองเพชรไปปลูกดู ต้นไม้ชนิดนี้ไม่ต้องดูแลอะไรมากมาย แถมไม่ต้องรดน้ำทุกวัน มันอาจจะเหมาะกับเขาก็ได้

“แบบนี้ ขายตัวละเท่าไหร่คะ”

น้ำเสียงคุ้นหูทำให้เขาต้องหันมอง เด็กสาวกำลังสอบถามราคาตุ๊กตาเซรามิกอยู่ที่ซุ้มขายอุปกรณ์จัดสวนจิ๋ว ในมือเธอเป็นเซรามิกปั้นรูปเห็ดโคนหลากสีขนาดเล็กกว่าข้อนิ้ว เขายิ่งแน่ใจเมื่อเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของเธอ “น้องนา”

“อ้าว พี่สน มาทำอะไรแถวนี้คะ” ท่าทางเธอดูประหลาดใจที่หันมาเจอเขา ทั้งที่เขาควรเป็นฝ่ายแปลกใจมากกว่า ก็ตลาดนี้มันอยู่ด้านหลังอพาร์ทเม้นท์ที่เขาเช่าอยู่นี่นา

เธอเป็นเด็กสาวอารมณ์ดีช่างจ้อ แต่หลังๆ ไม่ค่อยได้คุยกันสักเท่าไหร่ตั้งแต่เพื่อนของเธอมีเรื่องขุ่นใจกับเพื่อนของเขา จนทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าไปมีเรื่องอะไรกันมา ถึงได้เข้าหน้ากันไม่ติดขนาดนั้น

รศนาเล่าว่าเพื่อนสนิทต้องการหาซื้ออุปกรณ์จัดสวนจิ๋ว เพื่อไปทำเป็นของขวัญวันเกิดให้คุณแม่ ตัวเธอเองได้ยินมาว่ามีตลาดต้นไม้ทุกเย็นวันพฤหัสบดีที่นี่ อีกทั้งมาตลาดนี้สะดวกดีเพราะไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก นั่งแท็กซี่แค่สิบกว่านาทีก็ถึง จึงชักชวนกันมา

“น่าเสียดาย ไม่มีร้านขายหนังสือ เห็นมะลิบ่นว่าอยากได้หนังสือสอนจัดด้วย...มือใหม่น่ะค่ะ”

คนถูกเอ่ยถึงโผล่หน้าออกมาจากด้านใน ในมือมีขวดแก้วต่างขนาดต่างทรงสองใบ “นา แกว่าแบบไหนดี”

ครั้งหนึ่งเขาเคยนึกสนใจรุ่นน้องตรงหน้า ทั้งที่เธอไม่ใช่คนสวยน่ารักหรือแม้กระทั่งมีอารมณ์ขัน มะลิเป็นเด็กเงียบๆ ที่จะพูดมากเฉพาะกับเรื่องที่ตัวเองสนใจ ดูซื่อๆ ไม่มีจริต เป็นคนที่ยากจะเดาว่ากำลังคิดอะไรอยู่ หากเวลาอยู่ด้วยก็ไม่รู้สึกอึดอัด
ไม่ใช่ไม่รู้ว่าตัวเองสเน่ห์แรง...เพราะเป็นคนยิ้มง่ายและคุยได้กับทุกคนจึงมีสาวๆ เข้ามาทำความรู้จักอยู่เรื่อยๆ นานวันเข้ากลายเป็นเบื่อหน่าย แต่ละคนที่เข้าหาก็มาแนวๆ เดียวกันหมดไม่มีอะไรแปลกใหม่ เพิ่งจะมีรายนี้เท่านั้นที่ทำเอาไปไม่ถูก เพราะเธอดูไม่สนใจเขาเป็นพิเศษเลย การเอาชนะใจผู้หญิงแบบนี้ นับเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งสำหรับเขา...อย่างน้อยก็ในเวลานั้น

“ไม่นึกว่าจะเจอพี่สนที่นี่ มาดูต้นไม้เหมือนกันหรือคะ” เธอเริ่มต้นบทสนทนาพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าเธอดูเป็นมิตรกว่าแต่ก่อน บรรยากาศไม่น่าอึดอัดแม้จะไม่ได้พูดคุยกันมานาน โกศลอาสาช่วยมะลิเลือกต้นไม้ขนาดจิ๋วสำหรับใส่ลงขวดเมื่อรู้ว่าเธอต้องการจัดเทอราเรียมให้คุณแม่เป็นของขวัญ และแนะนำแบบขวดแก้วที่เหมาะกับมือใหม่ให้

“ถึงพี่จะปลูกต้นไม้ไม่ค่อยขึ้น แต่ชอบอ่านชอบดู พอจะรู้นิดๆ หน่อยๆ น่าจะพอช่วยได้บ้างนะ”

มือใหม่รับน้ำใจอย่างไม่อิดออด เธอบอกว่าพรุ่งนี้จะถึงวันเกิดคุณแม่แล้วจึงมีเวลาไม่มากนัก

อันที่จริงที่ร้านมีชุดจัดเทอราเรียมขายแบบเป็นเซ็ต สนนราคาไม่สูงมากนัก ในหนึ่งชุดประกอบด้วยวัตถุดิบที่ต้องใช้เสร็จสรรพ อาทิ ดิน หิน ถ่าน สแฟ็กนั่มมอส พร้อมทั้งขวดแก้วใส แต่มะลิอยากเลือกต้นไม้เองจึงตัดสินใจซื้อแยกเป็นอย่างๆ ไป โดยมีโกศลช่วยแนะนำ ไม่ลืมบอกให้เธอซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็น อย่างเช่นตะเกียบสำหรับคีบต้นไม้ลงขวด และขวดสเปรย์ฉีดน้ำไปด้วย ไม่นานก็ได้วัตถุดิบพร้อมต้นมอสและต้นไม้อื่นๆ จนครบ

“ขอบคุณนะคะพี่สน ตอนนี้ได้ของครบแล้วล่ะค่ะ” เธอเอ่ยขอบคุณเขาซ้ำเป็นรอบที่...ที่เท่าไหร่ เขาก็ลืมนับไปแล้ว ท่าทางเธอดูเกรงอกเกรงใจ ไม่ว่าจะทำอะไรให้นิดๆ หน่อยๆ ก็เป็นต้องเอ่ยขอบคุณเขาตลอด หยิบหินให้ก็ขอบคุณที ช่วยเลือกมอสก็ขอบคุณที

“งั้นพวกเราขอตัวนะคะพี่สน ต้องไปหาแวะร้านหนังสือกันอีก” รศนายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง สีหน้าดูเป็นกังวล “ต้องรีบแล้วล่ะมะลิ ไม่อย่างนั้นคงกลับถึงบ้านมืดแหงๆ”

“หนังสือสอนจัดเทอราเรียมน่ะเหรอ” โกศลจำได้ว่ารศนาพูดถึงตั้งแต่ต้น สองสาวทำตาแป๋ว พยักหน้าหงึ่กๆ ดูแล้วน่าขัน...สองคนนี้เหมือนกันอย่างกับฝาแฝด “ยืมของพี่ไหมล่ะ พี่มีอยู่หลายเล่มเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องไปซื้อ”

แม้จะเอ่ยนำว่าเกรงใจ แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธ ดูท่าสองสาวคงเดินเลือกซื้อของนานจนเมื่อย รศนาถึงกับออกปากว่า “ดีเลยค่ะ เอาจริงๆ นาเองก็เมื่อยขาแล้ว ไม่ค่อยอยากไปเดินต่อที่ไหนเหมือนกัน”

“แถมของก็หนักด้วย” มะลิกับรศนาพร้อมใจกันชูถุงที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบและอุปกรณ์ขึ้นยืนยัน “งั้นพวกเราขอรบกวนพี่สนอีกทีแล้วกันนะคะ”

ชายหนุ่มระบายยิ้มสดใส อารมณ์ดีอย่างไม่มีสาเหตุในขณะแย่งถุงนั้นจากมือสองสาวมาช่วยถือแทน เขาเอ่ยก่อนเดินนำหน้าไปทางอพาร์ทเมนท์

“เอาสิ จะรบกวนกี่ทีก็ได้”


อินทัชไม่ได้เข้าชั้นเรียนทั้งวัน ปกติแล้วเขาไม่ค่อยอยากขาดเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์สักเท่าไหร่เพราะเนื้อหาเยอะและเป็นเรื่องที่ไม่ถนัด อาศัยว่าขยันกว่าคนอื่นถึงวิ่งตามเพื่อนๆ ทัน แต่วันนี้เพราะติดไปทำธุระกับทางบ้านถึงต่างจังหวัดจึงจำใจต้องหยุดไป

เขาบอกเพื่อนไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเย็นนี้จะแวะไปที่อพาร์ทเมนท์เพื่อขอยืมสมุดแลคเชอร์ คนเป็นเพื่อนค่อนว่าทำไมต้องรีบร้อน ขอยืมวันรุ่งขึ้นก็ยังทัน จะขยันอะไรนักหนา ค่อนเสร็จก็ทิ้งท้ายว่า “เออ แต่มาก็ดี เอาเสื้อผ้ามาค้างด้วยนะ ช่วงนี้เซ็งๆ ว่ะ มาอยู่เป็นเพื่อนกันสักคืน”

“ไม่ไปปาร์ตี้กับสาวๆ หรือไง” เขาย้อน ทั้งที่พอจะรู้มาว่าช่วงนี้พ่อหนุ่มทรงเสน่ห์ชักจะเริ่มเบื่อเที่ยว เจ้าตัวบ่นให้เขาฟังบ่อยๆ ว่าสงสัยใกล้จะถึงจุดอิ่มตัว เพราะไม่ยักรู้สึกสนุกอย่างแต่ก่อน

อินทัชแน่ใจว่าไม่ใช่แค่นั้น ตั้งแต่เพื่อนสนิทจากไป โกศลก็เงียบขรึมลงกว่าเมื่อก่อน...เมื่อตอนที่แดนสรวงยังอยู่

สามคนสนิทกันก็จริง แต่สนิทกันในมุมที่แตกต่าง โกศลมองแดนสรวงเป็นเพื่อนที่ปรับทุกข์ได้ ในขณะที่มองเขาว่าเหมือนผู้ปกครอง สำหรับแดนสรวง เขาเป็นเพื่อนที่ปรึกษาได้ คอยให้แนะนำได้ และมองโกศลเหมือนน้องชายไม่รู้จักโตที่ยังต้องคอยดูแล ซึ่งเขาเองก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน แต่ต่างตรงที่แดนสรวงห่วงเพื่อนแต่ไม่กล้าขัดใจ ส่วนเขา มีอะไรมักจะว่ากล่าวตามตรง เป็นเหตุผลที่ทำให้เวลามีเรื่องมีราวอะไรเกิดขึ้น โกศลมักเลือกที่จะปิดบังเขาและเล่าให้แดนสรวงฟังมากกว่า โดยไม่เคยรู้ว่า บางเรื่องแดนสรวงก็ต้องเอามานั่งปรึกษาเขาอีกทอดอยู่ดี

มือใหญ่ผลักบานประตูกระจกใส พนักงานทำความสะอาดจำหน้าเขาได้และส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร เขาทักทายเธอสองสามคำก่อนปลีกตัว กดลิฟท์ขึ้นไปที่ชั้น 4

ห้องของโกศลอยู่ด้านในเกือบสุดทาง ร่างสูงก้าวยาวไปตามทางอย่างคุ้นเคย หวังว่าโกศลคงจะอยู่ที่ห้อง ไม่อย่างนั้นคงต้องลงไปนั่งรอที่ร้านกาแฟซึ่งอยู่เลยจากอพาร์ทเมนท์ไปไม่ไกล ขณะยกมือขึ้นเพื่อเคาะประตู ประตูเจ้ากรรมดันเปิดออกพอดี ชายหนุ่มก้าวถอยหลังอุทาน “เฮ้ย!” ดีนะที่กำปั้นของเขาไม่เคาะลงบนหน้าผากคนเปิดแทน

อีกฝ่ายดูตกใจไม่แพ้กัน เจ้าหล่อนทำหน้าเหมือนเห็นผีเมื่อเงยหน้าขึ้นมาและพบว่าเป็นเขา ท่าทางของเธอลนลานไม่ปกติ พยายามซ่อนอะไรบางอย่างไว้ด้านหลัง

“งั้นพวกเรากลับก่อนแล้วกันนะคะ ถ้าดึกกว่านี้เดี๋ยวจะกลับลำบาก” บานประตูแง้มอยู่ทำให้ได้ยินเสียงแจ๋วๆ ดังออกมาจากในห้อง หญิงสาวปฏิเสธเมื่อชายหนุ่มอาสาจะขับรถไปส่ง “ไม่กวนพี่สนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวนากับมะลิกลับบ้านกันเองได้ ขอบคุณมากเลยนะคะ”

แม้จะปรับสีหน้าได้ไว แต่เขาก็ทันสังเกตเห็นว่าสาวรุ่นน้องดูตกใจไม่แพ้เพื่อนที่ออกมานอกห้องก่อน “อ้าว พี่ทัช สวัสดีค่ะ”

มะลิที่เอาแต่ตกใจคงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ทักทายเขา เธอเอ่ยสวัสดีทั้งที่ยังก้มหน้า ชายหนุ่มพยักหน้าตอบแทนคำทักทาย ก่อนถามว่า “มาทำอะไรกันที่นี่เหรอ”

เจ้าของห้องเดินออกมาสมทบ เขาได้ยินเสียงอินทัชแล้ว แต่หน้าประตูยืนออกันอยู่เลยยังหาจังหวะออกมาไม่ได้ จนกระทั่งรศนาเบี่ยงตัวหลบพ้นประตู “นากับมะลิมายืมหนังสือน่ะ” พูดจบ รศนาก็ชูหนังสือเล่มหนาในมือขึ้นมาอวด หน้าปกเป็นรูปต้นไม้ต้นน้อยในขวดแก้ว ส่วนอีกเล่มถูกวางซ้อนไว้ด้านหลังจึงมองไม่เห็นว่าเป็นหนังสืออะไร ในขณะที่คนขอยืมจริงๆ ยืนยุกยิกไม่อยู่สุข

ร่ำลากันอีกเพียงสั้นๆ รศนาเดินนำเพื่อนไปที่ลิฟท์ด้วยท่าทีรีบร้อนโดยมีมะลิเดินตาม ในขณะที่โกศลเดินกลับเข้าห้องไปแล้ว อินทัชอาศัยจังหวะนั้น ก้าวยาวๆ จนไปถึงตัวรุ่นน้องสาวที่กำลังจ้ำอ้าว (แต่ขาสั้น) เขาคว้าข้อศอกเพื่อให้เธอหยุดและก้มลงเอ่ยบางอย่างกับเธอ ดวงตาคู่นั้นส่อแววตกใจ แต่สุดท้าย เจ้าตัวเลือกใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวและก้มหน้างุดๆ วิ่งตามเพื่อนเข้าลิฟท์ที่เพิ่งเปิดออกพอดิบพอดี



NLaT
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ก.ย. 2559, 08:47:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ก.ย. 2559, 08:47:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 852





<< ตอนที่ 6   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account