พันธนา
สำหรับบางคน พันธนาการอาจเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้ง
บ่วงแห่งความห่วงกลายเป็นเครื่องจองจำจิตวิญญาณ

แต่สำหรับเขา พันธนาการไม่ใช่ความเจ็บปวด...


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 6

ณภัทรซื้อคอนโดห้องหนึ่งเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่มันเปิดขายใหม่ๆ ตั้งใจไว้ทีแรกว่าจะเก็บไว้ทำกำไร

เป็นคอนโดที่ไม่ได้หรูหราอะไรมากมาย ไม่ใช่โครงการที่ประชาสัมพันธ์หนาหู แต่ตั้งอยู่ในทำเลดี เดินทางสะดวก ถึงไม่ขายก็เปิดให้เช่าได้สบาย เพียงแต่เขายังไม่มีเวลาตกแต่ง จึงปล่อยค้างเอาไว้แบบนั้น และยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับมันต่อ

ความคิดของเขาเปลี่ยนไปหลังจากคบหากับแดนสรวงได้พักหนึ่ง เพราะเคยขับรถไปส่งที่หอพักและได้เห็นความเป็นอยู่ของอีกฝ่ายว่าไม่ค่อยสะดวกสบายนัก แดนสรวงเช่าหอพักราคาถูก ต้องเดินเข้าซอยค่อนข้างลึก สภาพแวดล้อมโดยรอบไม่ค่อยดีนัก ตัวอาคารเป็นตึกแถวเก่าที่ดูเหมือนไม่ได้รับการดูแล ไม่มีแม้แต่ราวบันได ประตูห้องเป็นประตูไม้และครอบซ้ำด้วยเหล็กดัด ความปลอดภัยหลักขึ้นอยู่กับแม่กุญแจที่ต้องหามาคล้องเอง และเพราะห้องที่เช่าอยู่ชั้นบนสุดของอาคาร ตอนบ่ายจึงเป็นเวลาที่ควรหนีออกจากห้องมากที่สุดโดยเฉพาะในฤดูร้อน ณภัทรจึงเสนอให้มาพักที่คอนโดของเขาแทน

“ผมไม่ได้ใช้ ปล่อยไว้ก็ว่างเปล่าๆ”

ใช้เวลาโน้มน้าวอยู่นาน อ้างเรื่องการเดินทางที่ช่วยประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย เป็นส่วนตัวเพราะเขาเองก็ไม่ได้ใช้ห้อง แถมสถานที่อำนวยให้เจอกันได้ง่ายเพราะไม่ไกลจากที่ทำงานของณภัทรมากนัก

“ถ้าคุณไม่ได้ใช้ห้องจริงๆ งั้นผมขอจ่ายค่าเช่าก็แล้วกัน”

ณภัทรยอมตามอย่างว่าง่าย เขารู้ว่าแดนสรวงถือเรื่องศักดิ์ศรีอยู่ไม่น้อย เจ้าตัวคงไม่อยากให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายมาขอพึ่งพาหรือเป็นเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ ถึงอย่างนั้น ณภัทรก็ยังเก็บค่าเช่าห้องในราคาแสนถูก ถูกกว่าค่าเช่าหอพักเดิมที่แดนสรวงพักอยู่เสียอีก ชายหนุ่มให้เงื่อนไขว่า “ถ้าคุณเรียนจบ มีงานทำแล้ว ผมค่อยขึ้นราคา คราวนี้อย่ามาบ่นว่าแพงก็แล้วกัน”

แดนสรวงเดินสำรวจรอบห้อง ห้องขนาด 56 ตารางเมตรถูกออกแบบอย่างเป็นสัดส่วน สองห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ มีส่วนของห้องนั่งเล่น เชื่อมกับห้องอาหารและห้องครัวซึ่งถูกรวมเข้าด้วยกัน ข้าวของเป็นของเดิมที่แถมมาตั้งแต่ตอนซื้อห้อง เพราะไม่คิดว่าจะมาอยู่แต่แรกจึงไม่ได้ตกแต่งเป็นเรื่องเป็นราว พอไม่ได้ตกแต่งจัดวาง ห้องจึงดูกว้าง...กว้างเกินกว่าจะอยู่คนเดียว

คนเช่าห้องเปรยขึ้นลอยๆ “ห้องกว้างๆ อยู่คนเดียวมันก็เหงาเนอะ”

ณภัทรตบไหล่อีกฝ่ายพลางหัวเราะเสียงดัง “พูดแบบนี้นี่ยังไง จะชวนให้ผมมาอยู่ด้วยเหรอ” หากรอยยิ้มเศร้าพร้อมคำตอบจากอีกฝ่ายทำเอาเขาหัวเราะไม่ออก

“คุณมาอยู่ไม่ได้หรอก คุณมีครอบครัวที่ต้องกลับไปหา ผมรู้”

แม้ภายนอกจะดูเข้มแข็ง แต่ลึกๆ แล้วแดนสรวงเป็นคนขี้เหงา เจ้าตัวเคยเล่าให้ฟังว่าที่ผ่านมาแทบจะใช้ชีวิตตามลำพังมาโดยตลอด พ่อแม่เลิกรากันตั้งแต่เขายังอายุได้ไม่ถึงขวบ แม่ต้องกระเตงเขาพาย้ายมาอยู่กับป้าในขณะที่พ่อออกไปอยู่กับภรรยาใหม่ บ้านซึ่งเต็มไปด้วยความทรงจำอันเลวร้ายสำหรับทั้งคู่ถูกขายทิ้ง หลังจากหย่าได้ไม่นาน แม่เขาก็ตรอมใจตาย เขาต้องอาศัยอยู่กับป้าและสามีไม่เอาถ่านที่ทำให้ต้องดุว่าทั้งเช้าเย็น ทั้งยังมีลูกสาวอีกสองคนซึ่งวัยไล่เลี่ยกัน “แสบๆ ทั้งนั้น” เขาให้นิยามพวกเธอแบบสั้นๆ

ยิ่งโตขึ้น การอยู่ร่วมบ้านยิ่งสร้างความอึดอัดใจ ตัวบ้านคับแคบเมื่อเทียบกับผู้อาศัย 5 คน แดนสรวงตัดสินใจขอย้ายมาอยู่หอพักเพื่อความสบายใจ หางานพิเศษทำ พยายามดูแลตัวเองโดยไม่รบกวนใคร ถึงอย่างนั้นป้าก็ยังคงเมตตาและช่วยเหลือค่าใช้จ่ายบางส่วน ทั้งยังว่า “ถ้าไม่พอยังไงก็มาขอได้ ยังไงแกก็หลานป้า” แต่ดูจากท่าทางแล้ว ท่านก็สบายใจอยู่ไม่น้อยที่เขาย้ายออกไปได้

ถึงอย่างนั้นแดนสรวงก็ยังไม่ได้ตัดขาดกับครอบครัวของป้า...ชายหนุ่มมักจะซื้อของฝากเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่เกินกำลังตัวเองไปฝากพวกท่านและน้องๆ ในวันสำคัญอยู่เสมอ

รอยยิ้มเศร้าทำให้ณภัทรใช้เวลาเพียงไม่กี่วันในการตัดสินใจขนข้าวของมาอยู่คอนโด ให้เหตุผลกับครอบครัวว่าเพราะการเดินทางจากคอนโดไปที่ทำงานสะดวกกว่า และรับปากว่าจะกลับมาใช้เวลากับครอบครัวทุกสุดสัปดาห์

เขาไม่ได้โกหก...การเดินทางจากคอนโดไปที่ทำงานสะดวกกว่าจริง ถึงแม้มันจะเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ของเหตุผลหลักก็ตามที

ภาพนั้นยังติดตาเขา...รอยยิ้มยินดีของอีกฝ่ายเมื่อเปิดประตูมาและเห็นว่าเขาหิ้วกระเป๋าใบใหญ่ยืนอยู่หน้าห้อง ท่าทางดีใจเหมือนเด็กๆ เมื่อเขาบอกว่า “ห้องนอนมันมีสองห้องนี่นะ ผมขอใช้ห้องนึงก็แล้วกัน”

แดนสรวงเดินเกาะหลังเขาอย่างกับลูกลิง ช่วยจัดเสื้อผ้าข้าวของเก็บเข้าที่ ทำอาหารให้ทาน ด้วยความที่ต้องดูแลตัวเองมาโดยตลอดจึงพอมีฝีมืออยู่บ้าง เป็นการฉลองเล็กๆ ที่ได้อยู่ด้วยกันเป็นวันแรก รอยยิ้มสดใสของหนุ่มรุ่นน้องกระจ่างชัด แววตาประกายสุขโดยไม่ต้องพูดบอกเป็นถ้อยคำ เขารู้ว่าแดนสรวงมีความสุขมากแค่ไหน

ตอนนี้ เวลานี้...รอยยิ้มนั้นกลายเป็นแค่อดีตที่เขาไม่อาจเรียกคืน

ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าห้องอย่างคนหมดเรี่ยวแรง ข้าวของข้างในยังวางไว้ที่เก่าในขณะที่ฝุ่นเริ่มจับหนา ทุกๆ ที่คือความทรงจำ...เป็นเหตุผลที่เขาไม่ยอมเปลี่ยนตำแหน่งของมัน แม้แต่หนังสือกีฬาที่ถูกกางคว่ำไว้เพราะแดนสรวงยังอ่านค้างไว้อยู่
ณภัทรเดินตรงไปยังห้องนอน...แม้ในนี้จะมีห้องนอนสองห้องแต่ความจริงมันถูกใช้แค่ห้องเดียว

นอกจากเตียงนอนขนาดใหญ่แล้ว ห้องนี้ยังถูกจัดมุมสำหรับทำงานเอาไว้ด้วย บนโต๊ะมีตำราเรียนของแดนสรวงวางเรียงอยู่ คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะซื้อมาใหม่เอาไว้ใช้ด้วยกันแต่ส่วนใหญ่เขาจะเป็นคนใช้งานมันมากกว่า ร่างสูงนั่งลงบนปลายเตียง ในหัววนเวียนอยู่แต่กับเรื่องที่เกิดขึ้น ภาพร่างของคนรักที่ถูกห่อด้วยผ้าดิบยังคงติดตา และสิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัว ก่อตัวเป็นมรสุมแห่งความทุกข์อย่างเงียบๆ

คิดถึง...

ชายหนุ่มสะอื้นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ช่วงสุดท้าย ก่อนหน้านั้นเขาถูกทางบ้านเรียกตัวกลับ พ่อใช้ไม้แข็งด้วยการขู่ว่าจะตัดพ่อตัดลูกในขณะที่แม่ใช้ไม้อ่อนคือน้ำตา เขาจำใจต้องกลับบ้านหากยังแอบมาพบกับแดนสรวงหลายครั้ง ทุกอย่างหมุนเวียนเป็นวงจร...แอบพบกัน ผู้ใหญ่รู้ ถูกสั่งห้าม และมาแอบพบกันอีกครั้ง...เขาพยายามประคับประคองเพื่อให้ความสัมพันธ์ยังดำเนินต่อไปได้และเชื่อว่าแดนสรวงก็คงต้องการแบบเดียวกัน แต่ยิ่งนานก็ยิ่งแย่ ทุกอย่างบานปลายและเขาก็ควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ มารู้ในภายหลังว่าเรื่องถึงขั้นเลวร้าย เพราะมีผู้ใหญ่ฝั่งเขาเข้ามาเกี่ยวข้อง

คำพูดสุดท้ายที่เขาได้ยินจากแดนสรวง...เรายังไม่ยอมแพ้กันแค่นี้ใช่ไหม...

คนพูดเอ่ยเสียงเครือ ใบหน้าออกสีจัดแต่ไม่มีน้ำตาสักหยด แต่ในเวลานั้น ณภัทรจำใจต้องกลับเข้าบ้านก่อน เขาเริ่มร้อนร้นตั้งแต่น้องชายโทรมาบอก “พี่ภัทร กลับมาบ้านหน่อยเถอะ แม่ร้องไห้จนเป็นลมไปแล้ว”

ณภัทรเลือกที่จะดูแลแม่ หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ติดต่อกับแดนสรวงอีก

...ส่วนคนรักประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในอีกสองวันถัดมา

เขากำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ สะอื้นเอ่ยทั้งน้ำตานองหน้า ภาวนาให้อีกฝ่ายได้รับรู้หากดวงวิญญาณยังวนเวียนอยู่ที่นี่ “ผมขอโทษนะแดน...ผมขอโทษ”

ชายหนุ่มมองไม่เห็นว่าตรงหน้าคือวิญญาณที่เศร้าโศกฟูมฟาย แดนสรวงจับมือของคนรัก เขาได้ยินทุกถ้อยคำและสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่อีกฝ่ายแบกรับไว้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องร้ายๆ

“อย่าร้องไห้เลยคุณภัทร ขอร้องล่ะ หยุดทำร้ายตัวเองเสียที” วิญญาณหนุ่มก้มหน้าซุกลงกับมือนั้น ภาวนาให้คนรักพ้นจากความรู้สึกผิดบาป

ณภัทรไม่รู้สึกถึงสัมผัสบนมือ ไม่ได้ยินคำพูดใดๆ และไม่รับรู้ถึงน้ำตาที่หยดลงบนมือของตัวเอง

จิตของแดนสรวง สื่อไม่ถึงณภัทรเลยแม้แต่น้อย...


ภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยมีห้องย่อยซึ่งเป็นห้องเก็บเสียง กรุกระจกใสโดยรอบ ไว้สำหรับบริการนักศึกษาที่ต้องการติวหนังสือหรือรวมกลุ่มทำรายงานและอาจมีการใช้เสียงดัง...ไม่มีที่ไหนเหมาะไปกว่าที่นี่อีกแล้ว

สองสาวอยู่ในชุดไปรเวท วันนี้ไม่มีเรียนแต่ก็ชวนกันมามหาวิทยาลัยตั้งแต่เช้าเพื่อมาใช้ห้องสมุด แถมยังไม่ได้ใช้เพื่อการศึกษาเสียด้วย

จะให้คุยที่บ้านของมะลิก็ไม่สะดวกนัก หากใครในบ้านมาได้ยินเธอคุยกับแดนสรวงเข้าคงไม่ดีสักเท่าไหร่ บ้านของรศนาก็ไม่เหมาะเพราะคนเยอะประสาครอบครัวใหญ่ ตามที่สาธารณะอื่นๆ ก็มีคนเดินไปเดินมา ครั้นจะคุยกันผ่านด้วยกระแสจิต...เธอก็ไม่อยากหยุดเรียนบ่อยจนเกินไปเพราะกว่าจะคุยกันจบคงได้ปวดหัวหนัก เทียบระหว่างสงสารตัวเองกับแดนสรวง...เธอเลือกสังขารตัวเองมากกว่า จึงใช้ห้องเก็บเสียงในห้องสมุดนี่แหละ ดีที่สุดแล้ว

พอเห็นมะลิเฉย ไม่มีทีท่าหวาดกลัวใดๆ รศนาจึงพอทำใจกล้าขึ้นมาได้บ้าง ซึ่งก็นับว่ามากพอดูเพราะเธอสามารถอยู่ในห้องเก็บเสียงที่มีเพียงมะลิและวิญญาณของแดนสรวงได้โดยไม่หนีเตลิดไปเสียก่อน

นอกจากความสงสารแล้วยังมีความสงสัย คำถามที่เคยถามไปยังไม่ได้รับคำตอบเพราะดันเกิดเรื่องชุลมุนขึ้นเสียก่อน ตั้งใจว่าหากมีโอกาสเมื่อไหร่จะต้องถามให้ได้สักที

“เอาล่ะ จะเริ่มจากตรงไหนดี” มะลิเปิดหนังสือที่หยิบมาจากชั้นวาง ทำท่าทางเหมือนกำลังคุยเรื่องรายงานกับรศนา เพราะกลัวว่าหากมานั่งคุยกันเฉยๆ จะถูกคุณบรรณารักษ์ดุเอาว่าใช้ห้องเก็บเสียงผิดวัตถุประสงค์ (ซึ่งก็ผิดจริงๆ นั่นแหละ)

“ก่อนคุยเรื่องพี่แดน ฉันขอถามอะไรก่อนได้ไหม คาใจมาหลายวันแล้ว”

หลังจากวันที่เกิดเรื่องขึ้นในห้องเรียน มะลิก็หยุดเรียนในวันรุ่งขึ้นเพราะอาการปวดศีรษะกำเริบ คนช่างซักเก็บงำความสงสัยไม่โทรไปถามเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคงอาการไม่ค่อยดี จนตอนนี้ความสงสัยปะทุกรุ่น หากไม่ได้รู้ความจริงคงอกแตกตาย

“มีอะไรก็ว่ามา” มะลิใช้ปากกาในมือชี้ไปยังที่ว่างหัวโต๊ะ “เจ้าตัวเขานั่งอยู่ตรงนั้น”

สาวอวบรวบรวมความกล้า เธอจินตนาการว่าแดนสรวงกำลังนั่งจ้องเธออยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทั้งที่ความจริง เจ้าตัวแค่นั่งเท้าคางรอฟังคำถามจากเธอด้วยทีท่าสบายๆ เท่านั้นเอง

“คนรักของพี่แดนคือผู้ชายคนนั้น ถูกไหม” เธอเกริ่นย้อนความจำ เน้นหนักตรงคำว่า ผู้ชาย โดยมีมะลิพยักหน้ายืนยันว่านั่นไม่ใช่ความเข้าใจผิด “ถ้าพี่แดนชอบผู้ชาย แล้วพี่แดนมาให้ความหวังนาทำไม”

สีหน้าของเขาดูกระอักกระอ่วนกับคำเน้นของรุ่นน้อง แดนสรวงนิ่งไปพักใหญ่ราวกับกำลังเรียบเรียงความคิดในหัว “พี่ไม่ได้ชอบผู้ชาย พี่แค่ชอบคุณภัทร”

มะลิกลอกตา โอ๊ย...หมอนี่สำบัดสำนวนจริง “แล้วคุณภัทรไม่ใช่ผู้ชายหรือไงยะ”

แม้ณภัทรจะเคยบอกว่าเขาเป็นรักแรกพบ แต่สำหรับเขานั้นไม่ใช่ ทีแรกแค่คิดว่าณภัทรเป็นคนมีน้ำใจ เป็นความขอบคุณมากกว่าความรัก เวลาและความใกล้ชิดต่างหากที่ทำให้เห็นในตัวตนของอีกฝ่าย ความรู้สึกพัฒนาขึ้นหลังจากนั้น จากแค่สบายใจที่ได้คุย กลายเป็นอยากอยู่ใกล้ๆ อยากเจอหน้าทุกๆ วัน เขารักสิ่งที่ณภัทรเป็นจนมองข้ามเรื่องเพศสภาพไปแล้ว และเชื่อว่าอีกฝ่ายก็คงรู้สึกแบบเดียวกัน เด็กที่โตมาด้วยตัวเองคนเดียว ไม่มีอะไรมีค่ามากไปกว่าการได้เป็นที่รัก และณภัทรทำให้เขารู้สึกในทุกวันว่าตัวเองกำลังถูกรักจากใครสักคน

สำหรับเขา ต่อให้ณภัทรเป็นผู้หญิง เขาก็ยังจะรักอยู่ดี...

แดนสรวงไม่หวังให้ใครเข้าใจ ในเมื่อทีแรก เขาเองก็ยังไม่คิดว่าความผูกพันที่มีให้จะกลายเป็นความรักขึ้นมาได้...ไม่ได้คิดว่าไกลตัว แต่คิดว่าเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

แน่นอน...ยัยเด็กตรงหน้าฟังไปก็คงไม่เข้าใจ แถมคำพูดของเจ้าหล่อนฟังดูเหมือนย้อน ไม่ใช่ถาม เขาจึงบอกเธอไปแค่สั้นๆ ว่า “เธอไม่เข้าใจหรอก”

“ก็ไม่เข้าใจน่ะสิ” มะลิยักไหล่ ลีลานัก ไม่ถามแล้วก็ได้ “แล้วตกลงเรื่องที่ให้ความหวังนานี่มันยังไง ทำไมฉันไม่เห็นรู้ พวกเธอไปคุยอะไรกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“จริงสิ พี่ก็อยากถามนาเหมือนกัน ว่าพี่ไปทำอย่างนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่” แดนสรวงไม่ได้ตอบคนตั้งคำถาม แต่หันไปหามะลิแทน “ช่วยถามให้หน่อยสิ”

รศนาทำท่าฟึดฟัดหลังจากได้คำถามกลับมาเป็นคำตอบ แถมเพื่อนเธอก็ทำท่าสงสัยทั้งยังดูเออออกับเขาเสียด้วย “นั่นน่ะสิ ฉันก็อยากรู้”

หญิงสาวค้อนใส่วิญญาณหนุ่ม (ที่เธอมองไม่เห็น) และเพื่อนคนละที “ทานตะวันไงล่ะ พี่แดนชมว่านาน่ารัก บอกว่านาเหมือนดอกทานตะวัน แถมยังชอบให้ขนมนาบ่อยๆ ด้วย ถ้าไม่รู้สึกอะไรกับนาเลย พี่จะทำแบบนั้นไปทำไม”

เขานั่งนึกอยู่นานกว่าจะถึงบางอ้อ วิญญาณหนุ่มกุมขมับเรียบเรียงถ้อยคำอย่างระมัดระวัง ก่อนบอกมะลิว่า “จะบอกอะไรนา ช่วยฟังให้จบก่อนนะมะลิ เรื่องมันเป็นอย่างนี้...”

รศนาร่าเริงสดใส หัวเราะเสียงดัง เวลาเจอกันถ้าเขามีขนมติดไม้ติดมือก็มักจะแบ่งให้เธออยู่เสมอ และเธอเองก็ดวงตาเป็นประกายทุกครั้งที่ได้รับ ท่าทางเวลาทานดูมีความสุข เคี้ยวตุ้ยเป็นเด็กๆ ท่าทางน่าเอ็นดู เห็นแล้วก็เพลินตาดีเพราะเจ้าตัวทานแบบไม่กังวลเรื่องน้ำหนัก คนให้พอเห็นคนรับชอบอกชอบใจเลยให้อยู่บ่อยๆ

พักหลังๆ ชักสุขมากไปจนใบหน้าเริ่มขยาย แต่เธอก็ยังมีความสุข สดใส และดูไม่ทุกข์ร้อน...

“พอจะเข้าใจหรือยัง...ทานตะวันน่ะ” เขาดูลำบากใจเมื่อต้องอธิบาย มือไม้ไม่อยู่นิ่ง ในขณะที่มะลิพยายามกลั้นไม่ให้ตัวเองเผลอยิ้มออกมา “ทานตะวันมันดูสดใสไง แล้วเกสรที่รวมกันอยู่ตรงกลางมันก็...”

ใหญ่...สรุปยัยนาดูเหมือนดอกทานตะวัน เพราะหน้าบานเหมือนเกสรของมันนี่เอง แถมเจ้าตัวยังเข้าใจผิด เก็บไปคิดว่าหนุ่มมาเกี้ยวตัวเองอีกต่างหาก โถ เด็กเอ๊ย...

“พี่เขาบอกว่าขอโทษ เขาชมเพราะเห็นว่าแกน่ารักดี แค่นั้นเอง” นี่ฉันช่วยแก้ตัวให้แบบสุดๆ แล้วนะ

ดูท่ารศนาจะพอใจในคำตอบ ความจริงคีย์เวิร์ดมันอยู่ตรงคำว่าน่ารัก ไม่รู้จะเรียกว่าโกรธง่ายหายไวหรือว่าบ้ายอดี...เจ้าหล่อนพยักหน้าก่อนว่า “งั้นก็แล้วไป” แถมยังสอนอีกว่า “พี่แดนก็อย่าไปทำอย่างนี้กับใครเขาอีกล่ะ เดี๋ยวเขาจะเข้าใจผิด” เอ่อ...นี่เธอลืมไปหรือเปล่าว่าเขาตายไปแล้ว

“งั้นเรากลับมาเรื่องพี่แดนกับคุณภัทรได้แล้วใช่ไหม” มะลิเว้นช่วงรอจนทั้งสองพยักหน้ารับ ไม่พาเข้าเรื่องเดี๋ยวจะพลอยเลยเถิด

การพูดคุยค่อนข้างใช้เวลาเพราะสารต้องถูกถ่ายทอดทีละทอด จากแดนสรวงไปยังมะลิ แล้วจึงค่อยเล่าสู่รศนาซึ่งนั่งตาแป๋วรอฟังอย่างอดทน

สิ่งที่บั่นทอนความอยากมีชีวิตอยู่ของณภัทรในตอนนี้ไม่ใช่แค่ความสูญเสีย แต่เป็นเพราะความรู้สึกผิดที่เกาะกินราวกับเนื้อร้าย หากชีวิตจะดำเนินต่อไปได้ จำเป็นต้องแก้ไขความเข้าใจผิดนั้นเสียก่อน

“พี่ไม่เคยมีความคิดจะฆ่าตัวตายเลย” ชายหนุ่มยืนยันคำเก่าอีกครั้ง “นี่คือเรื่องสำคัญที่พี่อยากให้คุณภัทรรู้”

แดนสรวงเล่าว่า หลังจากคบหากันได้พักใหญ่ ความบังเอิญที่เขานิยามมันว่าเป็น “โชคร้าย” ก็เกิดขึ้น

เรื่องที่ซื้อคอนโดไว้ไม่ใช่ความลับ ทุกคนในบ้านรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน แต่ที่ไม่เคยได้แวะไปหาเพราะคิดว่าณภัทรคงใช้เวลาอยู่ที่ทำงานมากกว่า ยิ่งเขาโทรกลับบ้านทุกวันและกลับบ้านทุกสุดสัปดาห์ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปหาถึงคอนโด อีกทั้งเจ้าตัวยังเคยบอกที่บ้านเอาไว้ว่าหากจะไปให้โทรบอกก่อน เพราะเขาเองเอาแน่เอานอนกับเวลาเลิกงานไม่ค่อยได้

เรื่องที่ซื้อคอนโดไว้ไม่ใช่ความลับ แต่เรื่องที่ไม่ได้อยู่คนเดียว ก็ไม่เคยเปิดเผยให้ใครรู้

ฤดูหนาวที่ผ่านมา มีข่าวเรื่องการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ออกมาอย่างหนาหู ณภัทรบ่นครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดศีรษะ ไอ จาม และคอแห้ง ถึงอย่างนั้นก็ยังดื้อไปทำงานไม่ได้ขาด บอกแค่ว่าไม่เป็นอะไรมาก อีกแค่ไม่กี่วันก็คงดีขึ้น

“อาการหนักไหมลูก” คนเป็นแม่ถามผ่านทางโทรศัพท์ด้วยความเป็นห่วงเมื่อน้ำเสียงของลูกชายเปลี่ยนไปเพราะไอหนัก แม้มันจะเป็นแค่อาการอักเสบบริเวณกล่องเสียงตามประสาคนเป็นหวัดก็ตามที “ภัทรไปหาหมอมาหรือยัง”

“ไม่เป็นไรหรอกครับแม่ พรุ่งนี้ลาป่วยสักวัน ได้พักหน่อยก็ไปทำงานต่อได้แล้ว” ณภัทรยอมลางานเพราะถูกแดนสรวงขอไว้ อีกทั้งพรุ่งนี้ไม่มีงานเร่งด่วนอะไรจึงไม่ค่อยกังวล “แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ”

คำว่า “ไม่ต้องห่วง” จากคนเป็นลูก อย่างไรก็ไม่สามารถบรรเทาความห่วงใยจากผู้เป็นแม่ได้

รุ่งขึ้นท่านเตรียมข้าวของสำหรับเยี่ยมลูกชาย ทั้งอาหารอุ่นๆ สารพัดวิตามิน ผลไม้ ราวกับอีกฝ่ายป่วยไข้หนักหนา เป็นการไปหาโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า คิดว่าคงไม่จำเป็น...ณภัทรบอกว่าจะลาป่วย ไม่พ้นคงพักผ่อนอยู่ที่ห้องนั่นแหละ

ท่านมาถึงคอนโดราวบ่ายโมง เมื่อโทรหาลูกชาย เสียงสัญญาณบ่งบอกว่าสายว่างแต่ไม่มีคนรับ ท่านโทรซ้ำอีกสองสามหนแต่ได้ผลเหมือนเดิม คิดเอาเองว่าณภัทรอาจลืมนำโทรศัพท์ติดตัวไป พนักงานรักษาความปลอดภัยเข้ามาสอบถามเพราะเห็นว่าหิ้วข้าวของพะรุงพะรังมาตัวคนเดียว จึงแจ้งกับอีกฝ่ายไปตามตรงว่ามาเยี่ยมลูกชายซึ่งพักอยู่ที่นี่ และกำลังหาทางติดต่ออยู่เพราะเจ้าตัวไม่รับสาย พนักงานแจ้งว่าไม่สามารถให้คนนอกที่ไม่มีบัตรขึ้นอาคาร แต่หากต้องการรอ ก็สามารถนั่งบริเวณลอบบี้ได้

ท่านเลือกที่นั่งที่มองเห็นด้านนอกได้ชัดเจน เผื่อว่าลูกชายแค่ออกไปหาอะไรทานใกล้ๆ เมื่อเดินกลับเข้ามาจะได้มองเห็นในทันที ตั้งใจไว้ว่าจะรอสักชั่วโมง ถ้าไม่เจอจริงๆ ก็คงต้องกลับ

รถแท็กซี่มาส่งทั้งคู่ที่ฝั่งตรงข้ามอาคารหลังจากนั้นไม่นาน แดนสรวงตื๊ออยู่นานจนณภัทรใจอ่อนยอมไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจอาการ แพทย์แจ้งว่าชายหนุ่มเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา ไม่ได้หนักหนาอะไรอย่างที่กังวล

“บอกแล้วว่าไม่เป็นอะไรมาก” ณภัทรเอ่ยทั้งหัวเราะเนือยๆ ทั้งคู่แวะทานมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารใกล้โรงพยาบาล แดนสรวงจัดยาหลังอาหารให้ทานเรียบร้อยเพราะห่วงว่าเดี๋ยวเจ้าตัวจะลืมหรือไม่ก็อาจจะแกล้งลืม คนป่วยยกมือแตะหน้าผากตัวเอง “เดี๋ยวก็หาย นี่ไง ไข้ลดแล้ว”

“มันจะไปลดเร็วขนาดนั้นได้ยังไง” แดนสรวงเอ็ดคนที่ทำตัวเหมือนเด็กๆ กว่าจะลากไปหาหมอได้ก็ยาก กว่าจะส่งยาเข้าปากก็โยเย เขารู้ว่าณภัทรยังอยากนั่งทำงานต่ออีกสักหน่อยจึงไม่อยากทานยาที่ทำให้มีอาการง่วงซึม แต่เขาห่วงสุขภาพของณภัทรมากกว่าจึงขัดใจ ชายหนุ่มยื่นหลังมือแตะหน้าผากแตะคอวัดอุณหภูมิอีกฝ่าย “ไข้ลดอะไรล่ะ นี่ยังตัวรุมๆ อยู่เลย”

“ดุอย่างกับพ่อ” ถึงจะบ่นอย่างนี้ แต่น้ำเสียงไม่ได้สื่อถึงอารมณ์หงุดหงิดใจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับชื่นใจมากกว่าที่คนรักเป็นห่วง ยอมหยุดเรียนครึ่งวันเพื่อพาเขาไปโรงพยาบาล แถมยังต้องหยุดงานอีก คนเรามักอ่อนแอเวลาป่วยไข้ ไม่ว่าใครก็ต้องอยากให้มีคนห่วงใยดูแลอยู่แล้ว

แดนสรวงจูงมือณภัทรข้ามถนน ดันให้คนป่วยเดินชิดด้านในทางเดิน เพราะบริเวณนั้นเป็นทางรถผ่านเข้าออก คนป่วยเพิ่งทานยา เดี๋ยวจะมึนจนเดินไปให้รถชนเอาได้ง่ายๆ มือจูง ปากก็บ่น “ถ้ายอมไปหาหมอตั้งแต่วันแรกๆ ก็หายไปตั้งนานแล้ว มัวแต่ดื้ออยู่ได้”

“ห่วงเหรอ”

“ไม่ต้องมาทำตาแบบนี้ใส่เลยนะ” แดนสรวงแกล้งดุ ยกสองมือขึ้นบีบแก้มอีกฝ่าย บิดไปบิดมาจนเจ้าตัวร้องโอ๊ยๆ ทั้งหัวเราะ

ทุกภาพอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ ภาพที่เห็นทำให้คนเป็นแม่ถึงกับพูดไม่ออก ท่านอายุใกล้หกสิบแล้ว ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก มีหรือจะดูไม่รู้ว่าทั้งคู่ไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดา ไม่ใช่แค่การกระทำของเด็กหนุ่มแปลกหน้า แต่เพราะสายตาของลูกชายที่มองเด็กคนนั้นด้วย ท่านพยายามไม่ตัดสินอะไรแค่เท่าที่ตาเห็น แต่ก็ยากหากจะให้คิดว่าสิ่งที่เห็นเป็นอื่น

ณภัทรดูตกใจไม่น้อยที่เห็นผู้เป็นแม่ยืนมองหน้าเครียด นั่นทำให้แดนสรวงรีบปล่อยมือที่จับไว้และยกมือไหว้ทักทาย ท่านรับไหว้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนหันไปคุยกับลูกชาย “แม่เป็นห่วงเลยมาหา ไม่คิดว่าภัทรจะไม่อยู่บนห้อง”

“ผมเพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาลครับแม่” เขาอึกอักอยู่พักใหญ่ การมาของท่านเป็นเรื่องที่ณภัทรไม่คาดคิด และสายตาที่มองราวกับจะบอกว่ารู้ทันทุกอย่างทำให้เขาปั้นหน้าไม่ถูก

“ขึ้นไปคุยกันบนห้องดีกว่าครับ” แดนสรวงเอ่ยทำลายความเงียบ เขาอาสาช่วยถือสารพัดถุงที่ท่านนำมา ก่อนแตะคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตูกระจกใสที่กั้นระหว่างส่วนรับรองแขกกับโถงลิฟต์


ห้องของณภัทรอยู่ที่ชั้นแปด ใช้ระบบคีย์การ์ดสำหรับผ่านเข้าออกประตู แดนสรวงหยิบบัตรอีกใบแตะที่เครื่องอ่านก่อนผลักบานประตูค้างไว้ให้ณภัทรกับแม่เดินนำเข้าไปในห้องก่อน เขาลอบถอนหายใจหนักตอนที่บานประตูปิดลง...เห็นเค้าความยุ่งยากมาแต่ไกล

ชายหนุ่มนำของเยี่ยมไปวางบนเคาวน์เตอร์ครัว ส่วนสองแม่ลูกพากันไปนั่งคุยที่โซฟาในห้องนั่งเล่นซึ่งเป็นบริเวณเชื่อมต่อกัน นั่นทำให้มองเห็นได้ว่าท่านกวาดตามองรอบห้องอย่างสังเกตสังกา ไม่เกินไปนักหากจะเรียกว่าจับผิด เขาได้ยินณภัทรแนะนำสั้นๆ ว่าเขาเป็นรุ่นน้อง แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรมากไปกว่านี้

“แล้วหมอว่ายังไงบ้างล่ะภัทร” ท่านวกกลับมาที่อาการของลูกชาย ยังไม่อยากซักไซ้เพราะรู้ว่าเจ้าตัวซึ่งนั่งตาแทบปิดเพราะฤทธิ์ยาคงไม่สะดวกใจจะตอบตอนนี้ ผู้สูงวัยพยักหน้าเมื่อได้รู้ว่าอาการของลูกชายไม่หนักหนา แค่ไข้หวัดธรรมดา และทานข้าวทานยาเรียบร้อยแล้ว

ท่านพูดคุยกับณภัทรอีกเพียงครู่สั้นๆ เห็นเจ้าตัวท่าทางอยากพักเต็มแก่จึงลากลับ โดยมีแดนสรวงอาสาลงไปส่ง เขาเห็นสีหน้าไม่สู้ดีนักของคนรักจึงบอกอีกฝ่ายว่าไม่ต้องเป็นห่วง

บรรยากาศในลิฟท์น่าอึดอัดเพราะแม่ของณภัทรเอาแต่เงียบตลอดทาง ทั้งที่เขาดูออกว่าท่านอยากระเบิดคำถามใส่เขามากเท่าไหร่ กระทั่งเดินไปส่งถึงรถที่จอดไว้ตรงลานจอดสำหรับผู้มาติดต่อซึ่งอยู่ด้านหน้าอาคาร คำถามแรกจึงค่อยหลุดออกมา

“เธอมาเยี่ยมภัทรงั้นหรือ” คำถามแรกยังไม่ทันได้ตอบ คำถามที่สองก็ตามมาติดๆ “แล้วไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่”

เขาตอบตามตรงว่าบังเอิญได้เจอกับณภัทรที่มหาวิทยาลัย และณภัทรมีน้ำใจให้เขาใช้หนึ่งในสองห้องนอนได้โดยคิดค่าเช่ารายเดือนราคาถูก เพราะเห็นใจว่าหอพักเก่าเดินทางลำบากและสภาพไม่ค่อยดี อีกทั้งเขายังเป็นเพียงนักศึกษาที่ไม่มีรายได้ประจำ ไม่มีประโยชน์จะปดว่าแค่มาเยี่ยม ท่านกวาดตามองรอบห้องขนาดนั้นคงพอมองออก อาจจะถามเพื่อทดสอบว่าเขาจะปิดบังอะไรหรือเปล่า อีกทั้งก่อนกลับท่านยังขอใช้ห้องน้ำซึ่งในนั้นมีของใช้ส่วนตัวทั้งของเขาและณภัทรวางไว้ด้วยกัน...เขาแน่ใจว่าท่านรู้แล้ว

“ย้ายมาอยู่กับภัทรนานแค่ไหนแล้ว”

“ราวสามปีครับ”

ท่านพยักหน้ารับรู้ หากดวงตาส่อแววกังวล ถึงอย่างนั้นก็ไม่ถามอะไรเพิ่มอีก ท่านว่า “ขอบใจที่พาภัทรไปหาหมอนะ ฉันกลับล่ะ”

เขาไม่รู้ว่าท่านใช้คำว่า ฉัน เฉพาะกับเขา หรือว่าเป็นปกติที่ใช้คำนี้แทนตัวเอง เพราะจากที่เคยไปเยี่ยมเพื่อนฝูงที่บ้าน พ่อแม่ของเพื่อนมักแทนตัวเองด้วยคำเรียก พ่อ และ แม่ ทั้งนั้น ส่วนคำว่า ฉัน นี่ เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

หากท่านใช้คำว่า ฉัน กับเขาเป็นกรณีพิเศษ...เท่ากับว่านี่เป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนัก


“คุณภัทรกลับบ้านตอนสุดสัปดาห์ตามปกติ ก่อนหน้านั้น เราแทบไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีกเลย”

หลังจากไปส่งแม่ของณภัทรแล้ว แดนสรวงกลับขึ้นห้องพัก ทำตัวตามปกติ ไม่ถามในสิ่งที่สงสัย ณภัทรต่างหากที่พยายามถามว่าคุยอะไรกันบ้าง แต่เขาตอบเพียงแค่ว่า “ไม่มีอะไรหรอกคุณภัทร พักเยอะๆ เถอะ จะได้หาย”

ได้พบกับณภัทรอีกทีในเย็นวันจันทร์ แดนสรวงนั่งรออยู่ที่โซฟาเดี่ยว หันหน้ามองประตู คอยจ้องว่าเมื่อไหร่มันจะถูกเปิดออกได้เกือบชั่วโมงแล้ว แม้จะฝืนทำตัวตามปกติแต่ในใจนึกกลัวอยู่ไม่น้อย

อาจเพราะคิดน้อยและหวังไกลว่าทุกอย่างจะราบรื่น แค่คิดว่ารักและอยากอยู่ด้วยกัน แต่ไม่เคยคิดว่าคนรอบข้างจะมองยังไง...เขาไม่เคยสนและไม่คิดจะสน หากคนๆ นั้นไม่ใช่ครอบครัวของณภัทร

สีหน้า แววตา แสดงออกชัดถึงการไม่ยอมรับแม้จะยังไม่แน่ใจว่าเขากับณภัทรคบหากันในสถานะไหน เท่านี้ก็พอจะเดาได้ว่าความสัมพันธ์นี้มีความเสี่ยงว่าจะต้องลงเอยไปในทิศทางใด ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร มันอาจไม่เลวร้าย เขากับณภัทรไม่ได้ทำอะไรผิด...เราแค่รักกัน

“คุณภัทร” เขาเรียกเสียงรื่นเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินผ่านเข้าประตูมา คนรักหน้าตาอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอนแต่ยังฝืนส่งยิ้มให้ เมื่อเดินมาถึงก็โผเข้ากอดทิ้งน้ำหนักทั้งตัวใส่ราวกับคนไม่มีแรงยืน “ขอร้องนะ อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้”

แดนแสรวงทำตามคำขอ เขาไม่ถามอะไรสักคำและพยายามทำทุกอย่างตามปกติอย่างที่เคยทำให้ในวันแรกของทุกๆ สัปดาห์ที่เจอกัน...เข้าครัวทำอาหารให้ทาน หาน้ำหาท่าให้ดื่ม ชวนคุยเรื่องจิปาถะที่เกิดขึ้นในระหว่างสองวันที่ณภัทรไม่อยู่ รอจนเจ้าตัวพร้อมจะเปิดปากเอง

“ผมคงต้องกลับไปอยู่บ้าน” ริมฝีปากของคนตรงหน้าเม้มแน่นราวกับไม่อยากพูดอะไรต่อ ใบหน้าของณภัทรตอนนี้แดงก่ำ ก้มหน้าหลบเมื่อน้ำตาหยดลงร่องแก้ม อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรต่อแล้วก็เอาแต่สะอื้น

ครอบครัวของณภัทรรู้เรื่องทั้งหมดหลังจากเค้นถามจากลูกชาย ตัวณภัทรเองก็ไม่คิดว่ามันจะปิดไปได้นานกว่านี้ เขายอมเล่าทุกอย่างด้วยหวังว่าพ่อแม่จะเข้าใจ ในเมื่อเขาโตพอที่จะดูแลตัวเองได้ ทำหน้าที่ลูกที่ดี ดูแลทุกคนในครอบครัว เดินตามทางที่ทางบ้านอยากให้เดิน ทำทุกอย่างเพื่อความสุขของทุกคนมาโดยตลอด

“ขอแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น” ชายหนุ่มละล่ำละลักอ้อนวอน ในขณะที่คนเป็นพ่อและแม่ก็ขอ...ขอห้ามแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเช่นกัน

แดนสรวงหายใจลึกและระบายมันออกแรงๆ สิ่งที่ได้ยินไม่ได้เหนือความคาดหมาย ทั้งที่รู้แน่แก่ใจว่าวันหนึ่งต้องมาถึง สองคนจะคบกันอย่างปิดบังไปได้นานสักแค่ไหนกันกับความรักที่พยายามหลีกหนีจากโลกแห่งความเป็นจริงทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าไม่มีวันหนีพ้น

เขาเคยวาดภาพฝันร้ายนี้เอาไว้...ณภัทรต้องกลับไปอยู่กับครอบครัว ส่วนเขาต้องย้ายออก การย้ายออกไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นการต้องกลับไปใช้ชีวิตตามลำพังและสองคนไม่มีวันจะได้พบกันอีกต่างหาก...แดนสรวงเลือกที่จะลบฝันร้ายที่ดูดกลืนพลังชีวิตนี้ทิ้งและหลีกเลี่ยงที่จะคิดถึงอีก เพราะมันให้ความรู้สึกหดหู่อ้างว้าง เมื่อก่อนไม่เคยรู้สึกเพราะอยู่คนเดียวมาจนชิน จนถึงวันที่มีใครสักคนอยู่ข้างๆ...เขาไม่อยากกลับไปเป็นแบบเดิมอีกแล้ว

“พี่รู้ว่าคุณภัทรทุกข์ใจ ตอนนั้นใจแข็งบอกให้เขากลับไปอยู่ที่บ้านก่อน รอให้สถานการณ์ดีกว่านี้ค่อยกลับมาอยู่ด้วยกัน” แดนสรวงนิ่งเงียบไปพักใหญ่ เหตุการณ์ช่วงนั้นหนักหนา และการเอ่ยถึงเหมือนยิ่งซ้ำแผลเก่า เขาต้องฝืนเล่าเพราะจำเป็นต้องให้สองสาวรู้หากจะขอให้ช่วย “คุณภัทรยอมกลับบ้าน เราติดต่อกันน้อยลงแต่ยังแอบไปพบกันบ่อยๆ ส่วนพี่ก็เอาเวลาไปทุ่มเรื่องเรียน”

แดนสรวงเชื่อว่าเขาไม่ได้คิดมากไป อย่างน้อยทางบ้านณภัทรคงมองว่าหนุ่มรุ่นน้องที่อายุห่างกันเกือบสิบปีพยายามเกาะลูกชาย ด้วยความช่วยเหลือ ด้วยวัยที่ต่าง แถมณภัทรยังยอมออกจากบ้านมาอยู่ด้วย มันพาลให้คนที่ไม่รู้พลอยคิดไปแบบนั้นได้ เขาจึงใช้เวลาที่ห่างกันพยายามพิสูจน์ตัวเองทุกทาง

ไม่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากณภัทร เขาก็ดูแลตัวเองได้ และต่อให้ณภัทรไม่เหลืออะไร เขาก็ดูแลคนรักของเขาได้เช่นกัน

สุดท้าย แดนสรวงก็ต้องยอมรับ...ไม่ว่าจะพิสูจน์ได้หรือไม่ เรื่องของเขากับณภัทรก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่ดี



NLaT
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ก.ย. 2559, 11:21:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.ย. 2559, 11:21:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 820





<< ตอนที่ 5   ตอนที่ 7 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account