น้ำค้างเปื้อนสี
'เพชร' ของสูงค่าที่ใครๆ ต่างหมายปอง
ชีวิตของ ‘เธอ’ จึงถูกเจียระไนเพื่อให้เป็นเพชรน้ำงามที่สุดที่เจ้าของจะได้อวดใครๆ
แต่กว่าจะเป็นเพชรต้องผ่านความร้อน ชีวิตคนเล่า ต้องผ่านความทุกข์สักเพียงไหน เมื่อคนคนหนึ่งหวังให้เพชรเปรอะเปื้อนโคลนตม
หากในวันที่เพชรอับแสง 'เขา' จึงได้ตระหนักถึงคุณค่าของเพชร และต่อให้เพชรมีรอยร้าว เธอก็ยังเป็นเพชรเม็ดเดียวในใจที่เขาปรารถนาจะครอบครอง
Tags: ดราม่า แอบรัก รักต้องห้าม สะท้อนสังคม
ตอน: บทนำ
บทนำ
สนามบินดอนเมืองยามเช้าตรู่คลาคล่ำด้วยผู้โดยสารทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เมื่อรอรับกระเป๋าสัมภาระจากสายพานแล้วเสร็จ กุสุมาก็ต้องจูงมือหลานสาววัยสิบสองปีฝ่าผู้คนออกมาหาที่นั่งเพื่อรอคนที่จะมารับ
สาวใหญ่ผู้เป็นป้าอยู่ในชุดสูทลำลองสีดำกับกางเกงผ้าสีเดียวกัน ส่วนหลานสาวหน้าตาอิดโรยสวมเสื้อคอบัวสีดำกับกางเกงยีนส์ ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนเพิ่งกลับจากการท่องเที่ยวพักผ่อน สีเสื้อผ้าบ่งบอกถึงความหมองเศร้าของผู้สวมใส่
"รอในร้านนี่เถอะ จะได้หากันเจอง่ายๆ แล้วเราก็จะได้หาอะไรรองท้องเสียหน่อย เมื่อเย็นวานป้าเห็นกินไปนิดเดียว" เธอตัดสินใจเสร็จสรรพมากกว่าจะถามความสมัครใจของหลาน
แน่นอนว่านั่นไม่สำคัญสำหรับเด็กหญิงน้ำหนึ่งมากไปกว่ามือที่จูงไม่ปล่อยของป้าซึ่งกลายมาเป็นผู้ปกครองของเธอนับจากนี้ หลังจากต้องสูญเสียบิดามารดาไปเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ครบสัปดาห์
น้ำหนึ่งลอบมองป้าซึ่งนั่งตรงข้าม บนโต๊ะตรงหน้าเธอคือชุดอาหารฟาสต์ฟู้ดที่ประกอบด้วยนักเก็ตและเฟรนช์ฟรายส์ หากป้าดูจะไม่สนใจแตะอาหารเหล่านี้ นอกจากพยายามต่อโทรศัพท์หาใครคนหนึ่งด้วยสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย กระนั้นป้าก็ยังดูสวยงามในสายตาน้ำหนึ่ง สวยและสาวกว่าวัยห้าสิบปีต่างจากคุณครูที่โรงเรียนของเธอ
เด็กหญิงหลุบสายตาลงเมื่อท่านเริ่มบ่นคนปลายสาย จากคำพูดโต้ตอบฝ่ายเดียวที่ได้ยิน ดูเหมือนคนที่จะมารับป้ากับเธอเพิ่งตื่นนอน หมายความว่าเธอคงต้องรออีกอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงจึงจะได้เห็นบ้านหลังใหม่ของตน
"เอาซอสเพิ่มไหม ป้าไปกดให้" ท่านเอ่ยหลังวางสาย
ป้าใจดีจัง... เด็กหญิงได้แต่คิดในใจพลางสั่นศีรษะปฏิเสธ แต่เมื่อเสียงคำสอนของพ่อกับแม่ดังขึ้นในใจ เธอจึงเอ่ยตอบผู้ใหญ่แทนการส่ายหน้าซึ่งไม่สุภาพ
"ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนึ่งไปกดเอง"
"เถอะน่ะ ป้าจะไปสั่งกาแฟด้วย รู้ว่าเราเป็นเด็กดี พ่อแม่สอนมาดี แต่อยู่กับป้าไม่ต้องเกรงใจ จะเอาอะไรก็บอก"
กุสุมาพูดเร็วทำเร็วอย่างเคย โดยมีสายตาหลานสาวมองตามด้วยความไม่มั่นใจ ระหว่างคำสอนที่พ่อแม่ปลูกฝังมากับการเอาอกเอาใจของป้า เธอควรทำตัวอย่างไร
กุสุมาอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้จิบกาแฟอุ่นๆ เธอนั่งกอดอกมองเด็กหญิงวัยแรกสาวอย่างพิจารณา เรียกว่าแกเป็นญาติคนเดียวที่เหลืออยู่ก็ได้ ทันทีที่ทราบข่าวการเสียชีวิตของน้องสาวและน้องเขย เธอจึงรีบขึ้นเครื่องบินไปขอนแก่นทันที โชคดีที่ญาติฝ่ายพ่อของเด็กหญิงต่างก็มีภาระ น้ำหนึ่งจึงตกอยู่ในอุปการะของเธอด้วยความยินยอมพร้อมใจจากทุกฝ่าย
เด็กกำพร้า... น่าเวทนานัก แม้แกจะไม่ร้องไห้โยเยก็ตาม กุสุมาถือภาษิตที่ว่าทำบุญกับหมาแมวได้ แล้วนี่หลานแท้ๆ เธอจะเลี้ยงให้ได้ดีอย่างแน่นอน
"ป้าสั่งคนงานจัดห้องให้เรา เดี๋ยวไปดูนะว่าชอบไหม เปียโนที่บ้านเก่าเราก็ไม่ต้องขนมา ไว้ไปเดินเลือกซื้อกัน"
ไม่ทันปฏิเสธ ท่านก็ถามมาอีกเหมือนต้องการซักประวัติชีวิตเธอ
"แล้วมีอะไรอีก นอกจากเรื่องเรียนที่โรงเรียนแล้วเรียนอะไรอีกไหม พวกภาษาหรือว่ากิจกรรม อันไหนที่เรียนมาป้าก็จะให้เรียนต่อ"
"ไม่มีค่ะ หนึ่งไม่ได้เรียน"
"ฮื้อ แล้วเปียโนล่ะ ไม่เรียนแล้วเล่นเป็นได้ไง"
"พ่อสอนค่ะ สอนทั้งหนึ่งกับแม่"
ดวงตากลมโตหม่นแสงลงเมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่พ่อ แม่ และตนสามคนนั่งเล่นเปียโนอยู่บนเก้าอี้เดียวกัน ทว่าจากนี้คงไม่มีคืนวันเหล่านั้นอีกต่อไป
"ก็ไหนว่าโตขึ้นอยากเป็นหมอเหมือนพ่อกับแม่ ต้องเริ่มเรียนพิเศษเสียแต่ตอนนี้ล่ะ หรือไม่อยากเป็นแล้วป้าก็ไม่บังคับนะ"
"อยากค่ะ หนึ่งอยากเป็นหมอ" เด็กหญิงรีบตอบโดยไม่ต้องคิด
เธอจะต้องเป็นหมอเหมือนพ่อกับแม่ให้ได้ ความฝันความตั้งใจนั้นเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตที่เหลืออยู่ เธออยากทำให้ท่านภูมิใจ
“ดี... เด็กสมัยนี้น่ะเขาเรียนอะไรต่อมิอะไรกันเยอะแยะ มันต้องครบเครื่องถึงจะแข่งขันคนอื่นได้ เชื่อป้าสิ”
กุสุมาลูบผมซึ่งถักเป็นเปียของหลานสาวด้วยความพึงใจ น้ำหนึ่งใช่เพียงแต่เหมือนตุ๊กตามีชีวิตให้เธอได้ลองเล่น แต่ยังเหมือนเพชรที่รอการเจียระไนเพิ่มมูลค่า
กุสุมารู้สึกตื่นเต้น กระชุ่มกระชวยอีกครั้ง เมื่อชีวิตสาวใหญ่ แม่ม่ายผัวตาย ยังมีเรื่องให้เฝ้ารอชมความเป็นไปในอนาคตข้างหน้า ไม่ช้าไม่นานเลย
คนที่จะมารับโทรศัพท์เข้ามาหลังป้าหลานรออยู่นานนับชั่วโมง ดูเหมือนเขาคงใกล้มาถึงเมื่อกุสุมาลุกยืนมองหา หลานสาวจึงหันไปชะเง้อมองเช่นกัน แล้วก็ได้เห็นผู้ชายคนหนึ่งโบกมือตอบรับป้า ก่อนร่างสูงใหญ่จะก้าวเร็วเข้ามาในร้านที่พวกเธอนั่งรอ
น้ำหนึ่งตกใจระคนแปลกใจเมื่อท่อนแขนกำยำรวบเอวหนั่นแน่นของป้าไว้หมับ อากัปกิริยานั้นบอกถึงระดับความสัมพันธ์ได้ดี เหมือนคนรัก... หากน้ำหนึ่งไม่กล้าปักใจเชื่อ ก็สามีของป้าเพิ่งเสียชีวิตเมื่อปีกลาย
"นี่ไง น้ำหนึ่ง หลานสาวฉัน"
เด็กหญิงพนมมือไหว้เมื่อสายตาคู่คมปราดมองมาทางตน เขารับไหว้ ยื่นมือมาจับผมเธอทีหนึ่ง
"น่ารักนะครับ เด็กผู้หญิงนี่ยังไงก็น่าเอ็นดูกว่าเด็กผู้ชาย"
น้ำหนึ่งไม่ค่อยชอบคำพูดนั้น ฟังเหมือนเขามองเธอเป็นลูกสุนัขในฟาร์มก็ไม่ปาน
"นี่ดัสกร เป็นคนของป้า อืม... จะให้เรียกอะไรดีล่ะ"
น้ำหนึ่งคิดว่าตนพอรู้ความหมายของคำว่า 'คนของป้า' ไม่อยากเชื่อเลยว่าป้าจะมีความรักครั้งใหม่กับชายหนุ่มรุ่นน้องที่ดูอย่างไรก็อ่อนวัยกว่านับสิบปี หรืออาจยี่สิบปี
ป้าของเธอยังสวยยังสาวก็จริง แต่มันออกจะผิดธรรมชาติ ผิดจากความรักแวดล้อมที่เธอเติบโตมา น้ำหนึ่งไม่ได้ผิดหวังหรือเสียใจ เธอห่างเหินกับป้าเกินกว่าจะรู้สึกต่อท่านเช่นนั้น เพียงแต่เป็นความตะลึงลานเหมือนได้พบเจอเรื่องแปลกก็เท่านั้น
"เรียกอะไรก็ได้ พี่ก็ได้นะ"
"บ้าเหรอ ไม่เอาหรอก" กุสุมาตีเผียะยังต้นแขนหนุ่มรุ่นน้อง "เรียกคุณกรแล้วกัน หนึ่งเรียกพี่เขาว่าคุณกรนะจ๊ะ"
ดัสกรหัวเราะขันเมื่ออีกฝ่ายหลุดคำว่า 'พี่' ออกมาจนได้ ขณะที่เด็กหญิงเพียงพยักหน้ารับและคลายยิ้มน้อยๆ ให้ป้าสบายใจ
ได้ฤกษ์กลับบ้านเสียทีหลังการแนะนำตัวเสร็จสิ้นลง ดัสกรลากกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งพร้อมกับสะพายกระเป๋าเสื้อผ้าอีกใบโดยมีสาวใหญ่เดินคล้องแขนไปด้วยกัน มือหนึ่งของกุสุมาจับจูงหลานสาวไม่ปล่อย เธอรู้สึกเหมือนนี่เป็นครอบครัวอบอุ่นของตัวเองเสียจนต้องเอนซบไหล่หนาอย่างครึ้มอกครึ้มใจ
"พี่ไม่ลืมที่สัญญากับผมนะครับ" ชายหนุ่มทวงคำสัญญาขณะรถแล่นฉิวไปบนโทลล์เวย์
"ไม่ลืมหรอกน่า พรุ่งนี้ไปรับมาเลย พี่น่ะอยากมีลูกสาวลูกชายอยู่แล้ว"
กุสุมาปรายตามองกระจกหลังก็เห็นหลานสาวกำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้เธอรับอุปการะเด็กหญิงคนหนึ่ง จะเป็นไรไปล่ะถ้ารับลูกชายของคนรักมาเติมเต็มครอบครัวให้สมบูรณ์อีกคน
.........................................
สวัสดีค่ะ วันนี้แพรวก็มาพร้อมกับนิยายเรื่องใหม่ที่ยาวสุดในชีวิตการเขียนเลยค่ะ
"น้ำค้างเปื้อนสี" เล่าถึงชีวิตของเด็ก 2 คน คือน้ำหนึ่งและดรัณ (ที่จะมามีบทบาทในตอนหน้านี้)
ตั้งแต่เด็กจนเติบโตเป็นหนุ่มสาวใต้ชายคาเดียวกัน ด้วยการเลี้ยงดูของผู้ใหญ่ที่ร้อนๆ หนาวๆ ไม่อบอุ่นพอดี
ฝากติดตามการเติบโตของพวกเขา เจ็บปวดไปกับพวกเขา และก้าวผ่านไปด้วยกันนะคะ
สนามบินดอนเมืองยามเช้าตรู่คลาคล่ำด้วยผู้โดยสารทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เมื่อรอรับกระเป๋าสัมภาระจากสายพานแล้วเสร็จ กุสุมาก็ต้องจูงมือหลานสาววัยสิบสองปีฝ่าผู้คนออกมาหาที่นั่งเพื่อรอคนที่จะมารับ
สาวใหญ่ผู้เป็นป้าอยู่ในชุดสูทลำลองสีดำกับกางเกงผ้าสีเดียวกัน ส่วนหลานสาวหน้าตาอิดโรยสวมเสื้อคอบัวสีดำกับกางเกงยีนส์ ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนเพิ่งกลับจากการท่องเที่ยวพักผ่อน สีเสื้อผ้าบ่งบอกถึงความหมองเศร้าของผู้สวมใส่
"รอในร้านนี่เถอะ จะได้หากันเจอง่ายๆ แล้วเราก็จะได้หาอะไรรองท้องเสียหน่อย เมื่อเย็นวานป้าเห็นกินไปนิดเดียว" เธอตัดสินใจเสร็จสรรพมากกว่าจะถามความสมัครใจของหลาน
แน่นอนว่านั่นไม่สำคัญสำหรับเด็กหญิงน้ำหนึ่งมากไปกว่ามือที่จูงไม่ปล่อยของป้าซึ่งกลายมาเป็นผู้ปกครองของเธอนับจากนี้ หลังจากต้องสูญเสียบิดามารดาไปเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ครบสัปดาห์
น้ำหนึ่งลอบมองป้าซึ่งนั่งตรงข้าม บนโต๊ะตรงหน้าเธอคือชุดอาหารฟาสต์ฟู้ดที่ประกอบด้วยนักเก็ตและเฟรนช์ฟรายส์ หากป้าดูจะไม่สนใจแตะอาหารเหล่านี้ นอกจากพยายามต่อโทรศัพท์หาใครคนหนึ่งด้วยสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย กระนั้นป้าก็ยังดูสวยงามในสายตาน้ำหนึ่ง สวยและสาวกว่าวัยห้าสิบปีต่างจากคุณครูที่โรงเรียนของเธอ
เด็กหญิงหลุบสายตาลงเมื่อท่านเริ่มบ่นคนปลายสาย จากคำพูดโต้ตอบฝ่ายเดียวที่ได้ยิน ดูเหมือนคนที่จะมารับป้ากับเธอเพิ่งตื่นนอน หมายความว่าเธอคงต้องรออีกอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงจึงจะได้เห็นบ้านหลังใหม่ของตน
"เอาซอสเพิ่มไหม ป้าไปกดให้" ท่านเอ่ยหลังวางสาย
ป้าใจดีจัง... เด็กหญิงได้แต่คิดในใจพลางสั่นศีรษะปฏิเสธ แต่เมื่อเสียงคำสอนของพ่อกับแม่ดังขึ้นในใจ เธอจึงเอ่ยตอบผู้ใหญ่แทนการส่ายหน้าซึ่งไม่สุภาพ
"ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนึ่งไปกดเอง"
"เถอะน่ะ ป้าจะไปสั่งกาแฟด้วย รู้ว่าเราเป็นเด็กดี พ่อแม่สอนมาดี แต่อยู่กับป้าไม่ต้องเกรงใจ จะเอาอะไรก็บอก"
กุสุมาพูดเร็วทำเร็วอย่างเคย โดยมีสายตาหลานสาวมองตามด้วยความไม่มั่นใจ ระหว่างคำสอนที่พ่อแม่ปลูกฝังมากับการเอาอกเอาใจของป้า เธอควรทำตัวอย่างไร
กุสุมาอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้จิบกาแฟอุ่นๆ เธอนั่งกอดอกมองเด็กหญิงวัยแรกสาวอย่างพิจารณา เรียกว่าแกเป็นญาติคนเดียวที่เหลืออยู่ก็ได้ ทันทีที่ทราบข่าวการเสียชีวิตของน้องสาวและน้องเขย เธอจึงรีบขึ้นเครื่องบินไปขอนแก่นทันที โชคดีที่ญาติฝ่ายพ่อของเด็กหญิงต่างก็มีภาระ น้ำหนึ่งจึงตกอยู่ในอุปการะของเธอด้วยความยินยอมพร้อมใจจากทุกฝ่าย
เด็กกำพร้า... น่าเวทนานัก แม้แกจะไม่ร้องไห้โยเยก็ตาม กุสุมาถือภาษิตที่ว่าทำบุญกับหมาแมวได้ แล้วนี่หลานแท้ๆ เธอจะเลี้ยงให้ได้ดีอย่างแน่นอน
"ป้าสั่งคนงานจัดห้องให้เรา เดี๋ยวไปดูนะว่าชอบไหม เปียโนที่บ้านเก่าเราก็ไม่ต้องขนมา ไว้ไปเดินเลือกซื้อกัน"
ไม่ทันปฏิเสธ ท่านก็ถามมาอีกเหมือนต้องการซักประวัติชีวิตเธอ
"แล้วมีอะไรอีก นอกจากเรื่องเรียนที่โรงเรียนแล้วเรียนอะไรอีกไหม พวกภาษาหรือว่ากิจกรรม อันไหนที่เรียนมาป้าก็จะให้เรียนต่อ"
"ไม่มีค่ะ หนึ่งไม่ได้เรียน"
"ฮื้อ แล้วเปียโนล่ะ ไม่เรียนแล้วเล่นเป็นได้ไง"
"พ่อสอนค่ะ สอนทั้งหนึ่งกับแม่"
ดวงตากลมโตหม่นแสงลงเมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่พ่อ แม่ และตนสามคนนั่งเล่นเปียโนอยู่บนเก้าอี้เดียวกัน ทว่าจากนี้คงไม่มีคืนวันเหล่านั้นอีกต่อไป
"ก็ไหนว่าโตขึ้นอยากเป็นหมอเหมือนพ่อกับแม่ ต้องเริ่มเรียนพิเศษเสียแต่ตอนนี้ล่ะ หรือไม่อยากเป็นแล้วป้าก็ไม่บังคับนะ"
"อยากค่ะ หนึ่งอยากเป็นหมอ" เด็กหญิงรีบตอบโดยไม่ต้องคิด
เธอจะต้องเป็นหมอเหมือนพ่อกับแม่ให้ได้ ความฝันความตั้งใจนั้นเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตที่เหลืออยู่ เธออยากทำให้ท่านภูมิใจ
“ดี... เด็กสมัยนี้น่ะเขาเรียนอะไรต่อมิอะไรกันเยอะแยะ มันต้องครบเครื่องถึงจะแข่งขันคนอื่นได้ เชื่อป้าสิ”
กุสุมาลูบผมซึ่งถักเป็นเปียของหลานสาวด้วยความพึงใจ น้ำหนึ่งใช่เพียงแต่เหมือนตุ๊กตามีชีวิตให้เธอได้ลองเล่น แต่ยังเหมือนเพชรที่รอการเจียระไนเพิ่มมูลค่า
กุสุมารู้สึกตื่นเต้น กระชุ่มกระชวยอีกครั้ง เมื่อชีวิตสาวใหญ่ แม่ม่ายผัวตาย ยังมีเรื่องให้เฝ้ารอชมความเป็นไปในอนาคตข้างหน้า ไม่ช้าไม่นานเลย
คนที่จะมารับโทรศัพท์เข้ามาหลังป้าหลานรออยู่นานนับชั่วโมง ดูเหมือนเขาคงใกล้มาถึงเมื่อกุสุมาลุกยืนมองหา หลานสาวจึงหันไปชะเง้อมองเช่นกัน แล้วก็ได้เห็นผู้ชายคนหนึ่งโบกมือตอบรับป้า ก่อนร่างสูงใหญ่จะก้าวเร็วเข้ามาในร้านที่พวกเธอนั่งรอ
น้ำหนึ่งตกใจระคนแปลกใจเมื่อท่อนแขนกำยำรวบเอวหนั่นแน่นของป้าไว้หมับ อากัปกิริยานั้นบอกถึงระดับความสัมพันธ์ได้ดี เหมือนคนรัก... หากน้ำหนึ่งไม่กล้าปักใจเชื่อ ก็สามีของป้าเพิ่งเสียชีวิตเมื่อปีกลาย
"นี่ไง น้ำหนึ่ง หลานสาวฉัน"
เด็กหญิงพนมมือไหว้เมื่อสายตาคู่คมปราดมองมาทางตน เขารับไหว้ ยื่นมือมาจับผมเธอทีหนึ่ง
"น่ารักนะครับ เด็กผู้หญิงนี่ยังไงก็น่าเอ็นดูกว่าเด็กผู้ชาย"
น้ำหนึ่งไม่ค่อยชอบคำพูดนั้น ฟังเหมือนเขามองเธอเป็นลูกสุนัขในฟาร์มก็ไม่ปาน
"นี่ดัสกร เป็นคนของป้า อืม... จะให้เรียกอะไรดีล่ะ"
น้ำหนึ่งคิดว่าตนพอรู้ความหมายของคำว่า 'คนของป้า' ไม่อยากเชื่อเลยว่าป้าจะมีความรักครั้งใหม่กับชายหนุ่มรุ่นน้องที่ดูอย่างไรก็อ่อนวัยกว่านับสิบปี หรืออาจยี่สิบปี
ป้าของเธอยังสวยยังสาวก็จริง แต่มันออกจะผิดธรรมชาติ ผิดจากความรักแวดล้อมที่เธอเติบโตมา น้ำหนึ่งไม่ได้ผิดหวังหรือเสียใจ เธอห่างเหินกับป้าเกินกว่าจะรู้สึกต่อท่านเช่นนั้น เพียงแต่เป็นความตะลึงลานเหมือนได้พบเจอเรื่องแปลกก็เท่านั้น
"เรียกอะไรก็ได้ พี่ก็ได้นะ"
"บ้าเหรอ ไม่เอาหรอก" กุสุมาตีเผียะยังต้นแขนหนุ่มรุ่นน้อง "เรียกคุณกรแล้วกัน หนึ่งเรียกพี่เขาว่าคุณกรนะจ๊ะ"
ดัสกรหัวเราะขันเมื่ออีกฝ่ายหลุดคำว่า 'พี่' ออกมาจนได้ ขณะที่เด็กหญิงเพียงพยักหน้ารับและคลายยิ้มน้อยๆ ให้ป้าสบายใจ
ได้ฤกษ์กลับบ้านเสียทีหลังการแนะนำตัวเสร็จสิ้นลง ดัสกรลากกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งพร้อมกับสะพายกระเป๋าเสื้อผ้าอีกใบโดยมีสาวใหญ่เดินคล้องแขนไปด้วยกัน มือหนึ่งของกุสุมาจับจูงหลานสาวไม่ปล่อย เธอรู้สึกเหมือนนี่เป็นครอบครัวอบอุ่นของตัวเองเสียจนต้องเอนซบไหล่หนาอย่างครึ้มอกครึ้มใจ
"พี่ไม่ลืมที่สัญญากับผมนะครับ" ชายหนุ่มทวงคำสัญญาขณะรถแล่นฉิวไปบนโทลล์เวย์
"ไม่ลืมหรอกน่า พรุ่งนี้ไปรับมาเลย พี่น่ะอยากมีลูกสาวลูกชายอยู่แล้ว"
กุสุมาปรายตามองกระจกหลังก็เห็นหลานสาวกำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้เธอรับอุปการะเด็กหญิงคนหนึ่ง จะเป็นไรไปล่ะถ้ารับลูกชายของคนรักมาเติมเต็มครอบครัวให้สมบูรณ์อีกคน
.........................................
สวัสดีค่ะ วันนี้แพรวก็มาพร้อมกับนิยายเรื่องใหม่ที่ยาวสุดในชีวิตการเขียนเลยค่ะ
"น้ำค้างเปื้อนสี" เล่าถึงชีวิตของเด็ก 2 คน คือน้ำหนึ่งและดรัณ (ที่จะมามีบทบาทในตอนหน้านี้)
ตั้งแต่เด็กจนเติบโตเป็นหนุ่มสาวใต้ชายคาเดียวกัน ด้วยการเลี้ยงดูของผู้ใหญ่ที่ร้อนๆ หนาวๆ ไม่อบอุ่นพอดี
ฝากติดตามการเติบโตของพวกเขา เจ็บปวดไปกับพวกเขา และก้าวผ่านไปด้วยกันนะคะ
ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ก.ย. 2559, 16:09:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.ย. 2559, 16:09:02 น.
จำนวนการเข้าชม : 940
บทที่ ๑ >> |
แว่นใส 22 ก.ย. 2559, 18:51:50 น.
ท่าจะเศร้าอีกนะ
ท่าจะเศร้าอีกนะ
ภาพิมล_พิมลภา 24 ก.ย. 2559, 15:48:04 น.
คุณแว่นใส - เรื่องนี้สะเทือนซางนิดนึงค่ะ ฝากด้วยนะคะ
คุณแว่นใส - เรื่องนี้สะเทือนซางนิดนึงค่ะ ฝากด้วยนะคะ