น้ำค้างเปื้อนสี
'เพชร' ของสูงค่าที่ใครๆ ต่างหมายปอง
ชีวิตของ ‘เธอ’ จึงถูกเจียระไนเพื่อให้เป็นเพชรน้ำงามที่สุดที่เจ้าของจะได้อวดใครๆ
แต่กว่าจะเป็นเพชรต้องผ่านความร้อน ชีวิตคนเล่า ต้องผ่านความทุกข์สักเพียงไหน เมื่อคนคนหนึ่งหวังให้เพชรเปรอะเปื้อนโคลนตม
หากในวันที่เพชรอับแสง 'เขา' จึงได้ตระหนักถึงคุณค่าของเพชร และต่อให้เพชรมีรอยร้าว เธอก็ยังเป็นเพชรเม็ดเดียวในใจที่เขาปรารถนาจะครอบครอง
Tags: ดราม่า แอบรัก รักต้องห้าม สะท้อนสังคม
ตอน: บทที่ ๑
๑
บ้านก่ออิฐถือปูนใต้ถุนสูงในโครงการบ้านเอื้ออาทรคือบ้านที่ดัสกรซื้อให้เป็นของขวัญแม่ของตนด้วยเงินค่าตัวของกุสุมา ค่าตัวอะไรน่ะหรือ ค่าที่เขาต้องจบอาชีพเอ็มซีมาเป็นคนรักเต็มเวลาของเจ้าหล่อนอย่างไรล่ะ
เหตุผลที่ชายหนุ่มเลือกซื้อบ้านให้แม่ก็เพื่อเขาจะได้ไปมาหาสู่ท่านได้บ้าง แทนที่บ้านเดิมซึ่งอยู่ไกลถึงนครสวรรค์ และสาเหตุสำคัญอีกประการคือเขาต้องการให้ ‘ดรัณ’ บุตรชายของตนได้เล่าเรียนโรงเรียนชั้นนำ แต่ดูจะไม่เป็นไปตามที่คิดเสียทีเดียว
ดัสกรถอดรองเท้าหนังราคาหลักหมื่นที่ปลายบันได ก่อนจะก้าวขึ้นไปบนบ้านที่มีเสียงโทรทัศน์ดังแว่วมา
"แม่"
หญิงชราหยุดกรอกน้ำกระเจี๊ยบบรรจุขวดขายพลางเอี้ยวมองบุตรชายที่ขึ้นบ้านมา ทุกครั้งที่เห็นหน้ามันก็ได้แต่ลอบถอนใจให้กับโลกที่หมุนเร็วเสียจนคนแก่อย่างตนตามไม่ทัน
คนเป็นแม่อับอายที่ลูกรักกับผู้หญิงคราวแม่คราวน้า มากกว่าจะภูมิใจที่เห็นลูกอยู่ดีมีสุข ใครมองก็ย่อมคิดว่าลูกเธอเกาะผู้หญิงกิน
"ไอ้รันล่ะ" เขาถามถึงบุตรชาย
"อยู่ร้านเกมมั้ง"
"แม่..." ดัสกรเรียกมารดาอย่างขัดใจ "วันก่อนผมบอกแล้วนี่ว่าวันนี้จะมารับมันไปอยู่ด้วย"
"จะเอามันไปทำม้าย ไม่เกรงใจเขารึ"
"เมื่อก่อนก็เกรงใจ แต่พี่เขารับหลานมาอยู่ด้วย ผมก็อยากมีพวกของผมบ้าง เอาน่า พี่เขาเต็มใจน่ะแม่ เขาอยากอยู่กันเป็นครอบครัว ให้ท้องเองก็คงยากนะแม่ ปูนนี้ละ"
ยิ่งฟังหญิงชราก็ต้องโคลงศีรษะ โตๆ กันแล้ว มีปัญญาหาเลี้ยงตัวเอง ลูกหรือจะเชื่อฟังแม่
"ไปตามมันเองเถอะไป"
"แม่ก็ตามใจมันจนเสียคน ผมอยากให้เรียนโรงเรียนดีๆ ก็เข้าไม่ได้"
ชายหนุ่มลุกออกไปอย่างหัวเสีย รถก็ไม่ได้มี นี่เขาต้องเดินฝ่าเปลวแดดไปตามมันอีก
ทว่าขณะที่ดัสกรกำลังสวมรองเท้า ร่างสูงเพรียวของเด็กวัยรุ่นหนุ่มก็ผลักรั้วบ้านเข้ามา ดรัณชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นพ่อนั่งสวมรองเท้าอยู่ปลายบันได ข้างพื้นบันไดเป็นอ่างดินที่เขาเลี้ยงปลาหางนกยูง ในความรู้สึกของเด็กชายไม่มีความยินดี แต่ก็ไม่ได้ยินร้ายที่เจอพ่อแต่อย่างใด
"ไงล่ะเรา"
"พ่อ"
"ไปเปลี่ยนชุดไป เอาตัวที่ดูดีที่สุด เดี๋ยวไปกับพ่อ"
"ไปอยู่บ้านนั้นอ่ะนะ มีแต่คนแก่"
แทนที่จะดุลูก ดัสกรกลับหัวเราะขันท่าทางขนลุกขนพองของมัน
"ก็บอกแล้วไงว่ามีเด็กด้วย เด็กผู้หญิงรุ่นๆ แกนี่แหละ น่ารักนะเว้ย"
ดรัณส่ายหน้าหวือ นั่นไม่ช่วยให้เขาอยากไปอยู่บ้านนั้นสักนิด
"อะไรวะ แกรึก็หน้าตาดี ใช้หน้าตากับเสน่ห์ให้เป็นประโยชน์สิ" ดัสกรตบบ่าลูกชาย ก่อนจะขยับถอยพลางหรี่ตาครุ่นคิด "อายุสิบสี่แล้วนี่หว่า ยังไม่มีสาวอีกเหรอวะ หรือแกชอบผู้ชาย"
"โอ๊ย พ่อ"
เด็กหนุ่มผลักมือบนไหล่ตนออกเมื่อถูกบิดาสบประมาทเช่นนั้น เขารีบก้าวขึ้นบ้านไปเปลี่ยนชุดตัดรำคาญ
ห้านาทีให้หลังดรัณก็ลงจากบ้านมาในเสื้อผ้าตัวใหม่ ดัสกรมองเสื้อยืดสีดำสกรีนลายกราฟิติตัวหลวมโคร่งกับกางเกงยีนส์ที่ลูกสวมใส่อย่างพิจารณา ไม่ดีไม่เลวเกินไป
"เดี๋ยวเรียกแท็กซี่ไปห้างก่อน นัดกินข้าวกันไว้" เขาบอกแผนการกับลูกชาย
เรื่องนั้นดรัณไม่สนใจหรอก ห่วงก็แต่ย่าที่ไม่พูดกับเขาสักคำ
"พ่อ แล้วย่าล่ะ"
"ย่าก็อยู่ใกล้แค่นี้ มาหาเมื่อไรก็ได้น่า แกอย่าทำเป็นเด็กไม่หย่านมหน่อยเลย"
ดัสกรโอบไหล่บุตรชายที่สูงถึงไหล่ตนออกเดินไปด้วยกัน เมื่อบทสนทนาระหว่างทางต่อจากนั้นเป็นเรื่องเกมและหุ่นยนต์ที่เด็กหนุ่มอยากได้ ความตื่นเต้นก็มาแทนที่ความห่วงใยหญิงชรา
การจราจรมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองเริ่มติดขัด อีกทั้งเครื่องปรับอากาศบนรถแท็กซี่ก็ส่งไอเย็นออกมาเพียงน้อยนิด เรียกว่าแทบมลายหายไปเมื่อไอแดดซึ่งส่องผ่านกระจกรถเข้ามาร้อนแรงกว่า ดัสกรหงุดหงิดใจและนึกอยากได้รถยนต์ตัวเองที่ส่งซ่อมกลับคืนมา หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้น เขาอยากได้รถรุ่นใหม่ป้ายแดงสักคัน
ดัสกรรู้ดีว่าถ้าตนเอ่ยปาก คนรักของเขาย่อมเต็มใจหามาให้ แต่ความรู้สึกของกุสุมาเล่า ใครจะคิดว่าเขาเป็นแมงดา ชายหนุ่มไม่สน เว้นเพียงกุสุมาเท่านั้นที่เขาต้องการยึดครองตำแหน่งคนรักของเธอ
ยังมีเวลาตักตวงในสิ่งที่ควรจะเป็นของเขาอีกนาน อย่างน้อยก็มีดรัณอีกคนที่เขาหวังดึงมันมาร่วมเส้นทางนี้ เขาไม่เคยคิดแผนการนี้มาก่อน กระทั่งห้าวันก่อนที่กุสุมาโทรศัพท์มาจากขอนแก่น บอกว่าจะพาหลานสาวลงมาอยู่ด้วย เขาก็เริ่มคิดขึ้นมาว่าหากเศรษฐีนีผู้นั้นยกทรัพย์สมบัติให้หลานสาวในอนาคตข้างหน้า จะมีใครเหมาะเคียงคู่กับเด็กหญิงมากไปกว่าเจ้าลูกชายคนเดียวของเขา
ดัสกรปรายตามองบุตรชายที่นั่งหลับพิงประตูรถ แม้ลูกจะเกิดมาด้วยความไม่พร้อมของพ่อและแม่ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าดรัณคือผลผลิตอันงดงามของเขากับอดีตคนรัก ยิ่งโตเป็นหนุ่ม เค้าความหล่อเหลาของมันก็ยิ่งทำให้ผู้เป็นพ่อภาคภูมิใจ ไม่เสียแรงที่เลี้ยงมันมา
ชายหนุ่มย้อนนึกถึงวันเวลาในอดีต ตอนที่เขาเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยหมาดๆ ความช่างพูดประกอบกับหน้าตาดีทำให้เขาได้งานเป็นเอ็มซีตามอีเวนท์ต่างๆ ไม่ยากเย็น ดัสกรมีแฟนที่อยู่ด้วยกันเป็นพริตตี้สาวนางหนึ่ง กระทั่งเจ้าหล่อนตั้งครรภ์และต้องเบนเส้นทางออกจากสายงานในที่สุด
เมื่อใกล้คลอด หญิงสาวขอย้ายกลับไปอยู่กับครอบครัวยังต่างจังหวัด เขาต้องทำงานเก็บเงินส่งเสียเป็นค่าเลี้ยงดูซึ่งดูเหมือนเธอจะพอใจเช่นนั้นจึงมิได้ลงมากรุงเทพฯ อีกเลย และเขาเองก็ไปหาลูกเพียงปีละครั้ง
กระทั่งดรัณอายุย่างห้าขวบ เธอต้องการยกลูกให้เขาเพราะจะไปทำงานที่ออสเตรเลีย ดัสกรปรึกษาแม่ เมื่อท่านเห็นดีด้วยและบอกว่าจะเลี้ยงหลานให้ เขาจึงรับลูกมาส่งให้แม่ นั่นอาจเป็นการทำหน้าที่พ่อเพียงครั้งเดียวก็ว่าได้
ส่วนเรื่องความรักของเขากับแม่ม่ายเศรษฐีนีน่ะหรือ เรื่องมันเริ่มจากที่เขามีอาชีพขายประกันอีกทางหนึ่ง เคยได้ติดตามและเป็นตัวแทนของผู้จัดการฝ่ายขายไปพบลูกค้าก็บ่อยครั้ง หนึ่งในนั้นคือลูกค้าอย่างกุสุมาที่สามีป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้าย
เมื่อพบเจอกันด้วยเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษา เขาได้แสดงความเห็นอกเห็นใจหล่อนตามหน้าที่ เป็นโอกาสเข้าถึงผู้ซึ่งกำลังต้องการกำลังใจได้อย่างง่ายดาย
คุณสากลเสียชีวิตหลังจากนั้นสองเดือน เป็นช่วงเวลาที่สาวใหญ่ให้ความสนิทสนม เปิดใจปรับทุกข์กับเขาในเรื่องต่างๆ หนึ่งในเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นก็ไม่พ้นเรื่องชีวิตลำบากยากแค้นในอดีตที่ดัสกรเล่าให้ฟัง กลายเป็นเจ้าหล่อนที่เห็นใจเขาเสียแทน
'มาอยู่กับพี่ไหม' เธอเสนอในวันที่รถของเขาถูกไฟแนนซ์ยึด
ดัสกรปฏิเสธ เขารู้ว่าการย้ายไปอยู่กับหล่อนต้องแลกกับอะไร เขายังทำใจไม่ได้ที่ต้องตกเป็นสมบัติของสตรีที่มากวัยกว่าร่วมสิบห้าปี
ไม่นานหรอกก่อนที่ดัสกรจะรู้ว่าศักดิ์ศรีกินไม่ได้ เมื่อเขาแบกหน้าไปพบกุสุมาอีกครั้ง เธอกำลังนั่งจิบน้ำส้มอยู่บนระเบียงชั้นบนของบ้าน มองแขกนอกรั้วด้วยสีหน้าสุขสมใจ
นึกย้อนไปแล้วดัสกรไม่เคยเสียใจกับการตัดสินใจในวันนั้น เขาไม่ต้องเหนื่อยทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง แค่คิดว่าจะทำอย่างไรให้ตนไม่กระเด็นออกจากกองมรดกนี้ก็พอ
นี่ไง ตัวแทนของเขา...
"รัน ตื่นเว้ย ถึงห้างแล้ว"
ดัสกรตบไหล่ลูก ก่อนจะส่งธนบัตรให้คนขับแท็กซี่
"ไม่ต้องทอนนะลุง เอาไปเติมน้ำยาแอร์เหอะ ร้อนฉิบ"
"เอ้อ สิบกว่าบาทนี่นะ ถุ้ย" คนขับสบถ หลังผู้โดยสารลงจากรถไป
ดรัณมองห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่อย่างตื่นตา เขาไม่เคยย่างกรายเข้าห้างแบบนี้เลยสักครั้ง นอกจากนั่งรถสองแถวไปซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้านกับย่า
พ่อกำลังคุยโทรศัพท์กับคนที่นัดหมายขณะพวกเขาเดินผ่านร้านขายแผ่นภาพยนตร์ ไม่รอช้า เด็กหนุ่มปรี่เข้าไปดูแผ่นหนังต่างๆ ที่เขาอยากดูมานาน หากก็ได้แต่รอสถานีโทรทัศน์นำมาฉายสักที
"ไอ้รัน ทำไมไม่ตามมา" ดัสกรย้อนมาดุลูก
แทนที่จะสำนึก ดรัณชูแผ่นหนังที่อยากได้ให้พ่อดู
"ไม่เอา ซื้อแผ่นปลอมก็พอ"
"โห่พ่อ แค่นี้ขนหน้าแข้งพ่อไม่ร่วงหรอก ถ้าผมขอย่านะ..."
"เออๆ ไปจ่ายเงินไป"
ดัสกรส่งธนบัตรสีม่วงให้ลูกตัดรำคาญ ไอ้นี่มันฉลาด เข้าใจยกย่ามาอ้างให้เขากลัวว่ามันจะไม่ร่วมมือกับตน
ฉลาดให้ได้อย่างนี้ต่อไปเถอะ ผู้พ่อนึกกระหยิ่มใจ
กุสุมามาถึงสถานที่นัดพบก่อนแล้วและกำลังรอสองพ่อลูกอยู่ในร้านอาหาร เธอเลือกนั่งโต๊ะติดกระจกใสเพื่อที่จะได้มองเห็นคนที่นัดไว้สะดวก สาวใหญ่จิบน้ำแตงโมปั่นที่สั่งมาระหว่างรอ สายตาก็เหลือบแลเห็นคนรักเดินโอบไหล่บุตรชายเข้ามา
ดัสกรนั่งลงข้างกุสุมา ดรัณจึงต้องนั่งลงข้างเด็กหญิงที่เขยิบไปนั่งติดกระจกอย่างเสียมิได้ เขาพนมมือไหว้คนรักของพ่ออย่างรู้มารยาท
กุสุมารับไหว้เด็กชายวัยแตกหนุ่ม หน้าตามีเค้าความหล่อเหลาของผู้เป็นพ่อ ต่างแต่แววตาที่ซ่อนความดื้อรั้นไม่มิดคู่นั้นที่ทำให้เธอพึงใจ แน่ล่ะ... เด็กผู้ชายจะดื้อบ้างก็ไม่แปลก เธอออกจะชอบมากกว่าลูกชายของคุณหญิงบางคนที่หงิมๆ สนิมสร้อยเกินไป
"พ่อเราบอกฉันแล้วว่าชื่อรัน ดรัณใช่ไหม เรียนชั้นไหนแล้วล่ะ"
ดรัณสบตาพ่อวูบหนึ่ง ค่อนข้างเขินอายทุกครั้งที่ต้องตอบคำถามนี้ไม่ว่ากับใคร
"ขึ้นมอสองฮะ"
"รันมันเรียนช้าครับพี่ ตอนแม่มันเลี้ยงไม่ได้ส่งให้เรียนตามเกณฑ์ ผมมาส่งให้ลูกเรียนอนุบาลก็เกือบห้าขวบแล้ว" ดัสกรเอ่ยสำทับ
เศรษฐีนีม่ายพยักหน้าเข้าใจพลางแตะหลังมือคนรักแผ่วเบา ก่อนจะเปลี่ยนจากหัวข้อสนทนาที่อาจทำให้เสียบรรยากาศมาสั่งอาหารแทน
กุสุมาดูรายการอาหารกับดัสกร ขณะที่เมนูอีกเล่มวางอยู่ระหว่างเด็กสองคนโดยไม่มีใครเปิดดูแต่อย่างใด
"คุณหนึ่งอยากทานอะไรครับ" เขาเอ่ยสุภาพกับเด็กหญิงพลางส่งสายตาให้บุตรชายหยิบเมนูไปดู "รันเปิดดูเมนูกับน้องสิ เลือกกันมาคนละอย่างเป็นไง"
ดรัณหยิบรายการอาหารมาดูอย่างเสียมิได้ ยื่นไปกึ่งกลางระหว่างตนกับเด็กหญิงผมเปียเดี่ยวที่หันมายิ้มอ่อนให้ ก่อนต่างฝ่ายต่างหลุบตาดูเมนู
ดัสกรลอบมองผู้เป็นป้าของเด็กผู้หญิง แล้วก็ต้องยิ้มกระหยิ่มอย่างโล่งใจไปเปลาะหนึ่งเมื่อกุสุมาไม่ได้ว่าอะไรกับความใกล้ชิดของเด็กๆ
"รันกินผัดเผ็ดหมูป่าได้ไหมพ่อ" เด็กหนุ่มโพล่งถามหลังไล่สายตาเจออาหารโปรด
"มันจะเผ็ดนา แล้วก็เหนียวด้วย"
"สั่งมาเถอะน่ากร จู้จี้กับลูกไปได้" กุสุมาสั่งย้ำกับบริกรให้เอง ก่อนถามหลานของตนที่ยังไม่ได้สั่งเป็นคนสุดท้าย "หนึ่งกินไรลูก เลือกที่ชอบเลย"
"ทอดมันกุ้งก็ได้ค่ะ" น้ำหนึ่งรีบตอบเมื่อสายตาทุกคู่มองมายังตน
เมื่อบริกรรับเมนูกลับไป กุสุมาก็วกเข้าสู่หัวข้อสนทนาที่ไม่พ้นเกี่ยวกับเด็กทั้งสองคน
"เมื่อกี้พี่พายัยหนึ่งไปสมัครเรียนภาษาอังกฤษกับเปียโนที่นี่ ปิดเทอมว่างๆ จะได้ไม่เบื่อ กรอยากให้ลูกเรียนอะไรหรือเปล่าล่ะ จะได้รับส่งด้วยกันเสียทีเดียว"
"ผมกลัวพี่จะหมดเปลืองเปล่าๆ ซีฮะ ลูกผมคนนี้..."
สาวใหญ่ตีเผียะบนหน้าขาคนรัก ท่าทางกระเง้ากระงอดเหมือนสาวๆ ก็ไม่ปาน
"พูดเข้า ถามตารันเองดีกว่าว่าอยากเรียนอะไรไหมลูก"
ดรัณถึงกับเหวอเมื่อต้องตอบคำถามนั้นเสียเอง เขาปรายตามองพ่อแวบหนึ่งก็เห็นพ่อกดคางลงเล็กน้อยแทบไม่สังเกต
"เรียนที่ไหนหรือครับ" เด็กชายถามอย่างลังเล
"ที่ห้างนี้แหละ น้องก็เรียนนะ แต่ฉันไม่ได้บังคับรันหรอก กลัวเบื่ออยู่บ้านเท่านั้นแหละ"
พอได้ยินคำว่าอยู่บ้าน ดรัณก็นึกเบื่อขึ้นมาจริงๆ อีกทั้งยังเป็นบ้านที่ไม่คุ้นเคย สมาชิกในบ้านก็ไม่รู้จักมักคุ้น สู้ออกมาห้างแบบนี้ดีกว่า
"เรียนครับ ผมเรียนอะไรก็ได้"
ดัสกรลอบถอนใจหลังลุ้นกับคำตอบของลูกอยู่นาน เขารีบชิงเอ่ยก่อนที่กุสุมาจะส่งให้ลูกเขาเรียน 'อะไรก็ได้' ด้วยวิชาการต่างๆ ไม่แคล้วเจ้าตัวแสบคงโดดเรียนแน่นอน
"ให้รันเรียนกีตาร์ก็ดีนะครับพี่ ไหนๆ คุณหนึ่งก็เรียนเปียโน"
"ก็ดีนะ รันอยากเรียนไหม" กุสุมาถามความสมัครใจของผู้เรียน
ดรัณรีบพยักหน้าหงึกด้วยความดีใจที่อย่างน้อยก็ไม่ใช่พวกกวดวิชา แต่แล้วเขาก็ต้องหุบยิ้มเมื่อถูกเตะขาใต้โต๊ะ ดรัณนึกได้และพนมมือไหว้ขอบคุณสาวใหญ่แทน
ดัสกรกับกุสุมายิ้มให้แก่กัน มือหยาบกร้านลูบไล้บนตักชายหนุ่มโดยที่ไม่มีใครเห็น เท่านี้ดัสกรก็รู้แล้วว่าตนต้องตอบแทนเศรษฐีนีม่ายอย่างไร
ถุงข้าวของพะรุงพะรังถูกใส่ไว้ท้ายรถเมอร์เซเดสเบนซ์ แทบทั้งหมดในถุงเหล่านั้นเป็นเสื้อผ้า ของใช้ ของเล่นเด็กๆ ที่กุสุมาขนซื้อมารับขวัญสมาชิกใหม่สองคนของบ้าน
บนเบาะหลัง น้ำหนึ่งลืมความเศร้าหมองจากการสูญเสียบุพการีไปชั่วขณะ เธอยิ้มน้อยๆ พลางลูบผมตุ๊กตาที่เพิ่งแกะออกมาจากกล่อง เคยร่ำร้องขอพ่อกับแม่มานานแล้วก็เพิ่งได้จากป้าวันนี้เอง
"หนึ่งจะเก็บตังซื้อชุดให้ตุ๊กตานะคะป้า" เธอเยี่ยมหน้าไปบอกป้าอย่างสดใสขึ้นบ้าง
"ถ้าตั้งใจเรียนป้าซื้อให้สามชุดเลยเอ้า" กุสุมาเอ่ยกลั้วหัวเราะ
น้ำหนึ่งยิ้มกว้าง ข้อนั้นเธอมั่นใจว่าจะไม่ทำให้ป้าผิดหวังอย่างแน่นอน
"รันด้วยนะ เอาเกรดมาแลกรางวัลแข่งกับน้องได้เลย"
เด็กหญิงหันไปยิ้มดีใจกับคนที่นั่งข้างๆ แล้วก็ต้องเลิกคิ้วฉงนเมื่อได้รับสายตาไม่เป็นมิตรกลับมา เขารับคำป้าของเธอแกนๆ
"ครับ"
หรือเขาจะเหมือนเพื่อนบางคนของเธอที่ไม่ชอบไปโรงเรียน น้ำหนึ่งเห็นมาจากเพื่อนแถวบ้านและในห้องเรียน แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยอนุญาตให้เธอเกียจคร้านสักที
อย่างไรเขาก็เป็นพี่ จากนี้เขาจะเป็นเหมือนพี่แท้ๆ ของเธอ เป็นเพื่อนใหม่คนแรกในสถานที่ใหม่ ไม่คบเขาไว้ก็ไม่รู้จะคบใคร เด็กหญิงคิดอย่างที่ป้าพร่ำบอกมาแต่เช้า
ดังนั้นหลังขนข้าวของต่างๆ ลงจากรถแล้วเสร็จ เมื่อกุสุมาให้เธอมาชวนเขาไปว่ายน้ำ น้ำหนึ่งอดไม่ได้ที่จะสอดส่องดูห้องนอนเพื่อนใหม่ที่อยู่ติดกับห้องตน เธอกลั้นยิ้มเมื่อเห็นเด็กชายหมุนตัวมองไปรอบๆ ห้องซึ่งตกแต่งด้วยโทนสีขาวดำ หายใจเข้าลึกเอาไอเย็นฉ่ำปอด ท่าทางพึงพอใจกับชีวิตใหม่ไม่น้อย
"เฮ้ย!" ดรัณอุทานตกใจเมื่อหันมาเห็นใบหน้าสลอนของเด็กหญิงระหว่างช่องประตูซึ่งเปิดแง้ม
เขากระโดดลงจากเตียง ก้าวอาดมาหมายจะดึงประตูปิด แต่ยัยเด็กผมเปียคงคิดว่าเขาจะเชื้อเชิญหล่อนเข้ามากระมังจึงเปิดประตูออกเสียเอง
"เฮ้ย!" ดรัณร้องขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นเด็กหญิงสวมเพียงเสื้อคลุมอาบน้ำ
เขาหันหลังให้ด้วยความตกใจ เก้อกระดากขึ้นมาบอกไม่ถูก ก่อนจะคิดได้ว่าคนที่สมควรอายควรเป็นเด็กนั่น ไม่ใช่ตน เขาจึงหันไปเผชิญหน้าอีกครั้ง
"มีอะไร มาแอบดูห้องคนอื่น ไม่มีมารยาทว่ะ"
"ป้าให้มาชวนไปว่ายน้ำ" น้ำหนึ่งตอบพร้อมสีหน้าเจื่อนลง
"ไม่อ่ะ ขี้เกียจ"
ดรัณกดรีโมตเปิดโทรทัศน์ เมื่อหันมาเห็นเด็กหญิงยังคงยืนอยู่กลางห้อง ตนจึงก้าวมาผลักไหล่อีกฝ่ายออกไปแล้วดึงประตูปิดพร้อมกับลงกลอน
ซวยล่ะ เกิดยัยนั่นฟ้องพ่อว่าเขาพูดจาไม่ดี มีหวังโดนดุหูชาแน่ๆ
ดรัณเพิ่งคิดได้พลางก้าวเร็วออกไปยังระเบียงนอกห้อง สระว่ายน้ำข้างตัวบ้านมีเพียงไม้ระแนงพรางตา แต่เสียงพูดคุย เสียงผิวน้ำถูกกระทบได้ยินมาถึงข้างบน
เด็กหญิงเพิ่งลงไปถึงข้างสระ เขาเห็นพ่อถามถึงตนแต่เธอกลับตอบว่าเขาหลับไปแล้ว
ดรัณยิ้มหยันคนขี้โกหก เห็นเงียบๆ หงิมๆ แต่ยัยนี่ก็ไม่เบาหรอกน่า คงไม่ต่างจากบรรดาเพื่อนผู้หญิงที่เขารู้จักหรอกกระมัง
แทนที่จะกลับเข้าห้องหลังได้ฟังคำตอบที่พอใจ เด็กชายกลับยืนมองร่างผอมบางเหมือนท่อนไม้แกะปมเสื้อคลุมอาบน้ำอยู่ข้างสระ เผยให้เห็นชุดว่ายน้ำแบบวันพีซสีชมพูสด มีริ้วระบายช่วงเอว
เขาหมดความสนใจในตัวเธอแค่นั้นทันทีที่สาวใหญ่โหนตัวขึ้นจากบันไดสระมาจิบน้ำหวาน เจ้าหล่อนไม่ได้ใช้แม้แต่ผ้าขนหนูปกปิดเรือนกาย ร่างอรชรอยู่ในชุดว่ายน้ำสีดำเผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งของสตรีชัดเจน ดรัณคิดมาตลอดว่าคนรักของพ่อเป็นสาวแก่ สาวแก่ที่เหี่ยวย่นเหมือนกับย่าตน แต่เขารู้แล้วว่าไม่ใช่
'คุณแอ๊ว' ผู้ที่พ่อบอกให้เรียกเช่นนั้นยังสาวกว่าวัยมาก ไม่มีไขมันหย่อนคล้อย เนื้อหนั่นแน่นไปทุกสัดส่วน โนมเนื้อช่วงอกนั้นดึงดูดสายตาเขายิ่งกว่าส่วนใด ดรัณรู้สึกลำคอแห้งผาก ร้อนวูบวาบในช่องท้องอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเขาไม่กี่ปีหลังมานี้เอง และเขารับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่ามันเกิดจากอะไร
.......................................
ตอนหน้ามาพบกับความเฮี้ยวของดรัณ และความอยู่ยากของน้ำหนึ่งกันต่อนะคะ
บ้านก่ออิฐถือปูนใต้ถุนสูงในโครงการบ้านเอื้ออาทรคือบ้านที่ดัสกรซื้อให้เป็นของขวัญแม่ของตนด้วยเงินค่าตัวของกุสุมา ค่าตัวอะไรน่ะหรือ ค่าที่เขาต้องจบอาชีพเอ็มซีมาเป็นคนรักเต็มเวลาของเจ้าหล่อนอย่างไรล่ะ
เหตุผลที่ชายหนุ่มเลือกซื้อบ้านให้แม่ก็เพื่อเขาจะได้ไปมาหาสู่ท่านได้บ้าง แทนที่บ้านเดิมซึ่งอยู่ไกลถึงนครสวรรค์ และสาเหตุสำคัญอีกประการคือเขาต้องการให้ ‘ดรัณ’ บุตรชายของตนได้เล่าเรียนโรงเรียนชั้นนำ แต่ดูจะไม่เป็นไปตามที่คิดเสียทีเดียว
ดัสกรถอดรองเท้าหนังราคาหลักหมื่นที่ปลายบันได ก่อนจะก้าวขึ้นไปบนบ้านที่มีเสียงโทรทัศน์ดังแว่วมา
"แม่"
หญิงชราหยุดกรอกน้ำกระเจี๊ยบบรรจุขวดขายพลางเอี้ยวมองบุตรชายที่ขึ้นบ้านมา ทุกครั้งที่เห็นหน้ามันก็ได้แต่ลอบถอนใจให้กับโลกที่หมุนเร็วเสียจนคนแก่อย่างตนตามไม่ทัน
คนเป็นแม่อับอายที่ลูกรักกับผู้หญิงคราวแม่คราวน้า มากกว่าจะภูมิใจที่เห็นลูกอยู่ดีมีสุข ใครมองก็ย่อมคิดว่าลูกเธอเกาะผู้หญิงกิน
"ไอ้รันล่ะ" เขาถามถึงบุตรชาย
"อยู่ร้านเกมมั้ง"
"แม่..." ดัสกรเรียกมารดาอย่างขัดใจ "วันก่อนผมบอกแล้วนี่ว่าวันนี้จะมารับมันไปอยู่ด้วย"
"จะเอามันไปทำม้าย ไม่เกรงใจเขารึ"
"เมื่อก่อนก็เกรงใจ แต่พี่เขารับหลานมาอยู่ด้วย ผมก็อยากมีพวกของผมบ้าง เอาน่า พี่เขาเต็มใจน่ะแม่ เขาอยากอยู่กันเป็นครอบครัว ให้ท้องเองก็คงยากนะแม่ ปูนนี้ละ"
ยิ่งฟังหญิงชราก็ต้องโคลงศีรษะ โตๆ กันแล้ว มีปัญญาหาเลี้ยงตัวเอง ลูกหรือจะเชื่อฟังแม่
"ไปตามมันเองเถอะไป"
"แม่ก็ตามใจมันจนเสียคน ผมอยากให้เรียนโรงเรียนดีๆ ก็เข้าไม่ได้"
ชายหนุ่มลุกออกไปอย่างหัวเสีย รถก็ไม่ได้มี นี่เขาต้องเดินฝ่าเปลวแดดไปตามมันอีก
ทว่าขณะที่ดัสกรกำลังสวมรองเท้า ร่างสูงเพรียวของเด็กวัยรุ่นหนุ่มก็ผลักรั้วบ้านเข้ามา ดรัณชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นพ่อนั่งสวมรองเท้าอยู่ปลายบันได ข้างพื้นบันไดเป็นอ่างดินที่เขาเลี้ยงปลาหางนกยูง ในความรู้สึกของเด็กชายไม่มีความยินดี แต่ก็ไม่ได้ยินร้ายที่เจอพ่อแต่อย่างใด
"ไงล่ะเรา"
"พ่อ"
"ไปเปลี่ยนชุดไป เอาตัวที่ดูดีที่สุด เดี๋ยวไปกับพ่อ"
"ไปอยู่บ้านนั้นอ่ะนะ มีแต่คนแก่"
แทนที่จะดุลูก ดัสกรกลับหัวเราะขันท่าทางขนลุกขนพองของมัน
"ก็บอกแล้วไงว่ามีเด็กด้วย เด็กผู้หญิงรุ่นๆ แกนี่แหละ น่ารักนะเว้ย"
ดรัณส่ายหน้าหวือ นั่นไม่ช่วยให้เขาอยากไปอยู่บ้านนั้นสักนิด
"อะไรวะ แกรึก็หน้าตาดี ใช้หน้าตากับเสน่ห์ให้เป็นประโยชน์สิ" ดัสกรตบบ่าลูกชาย ก่อนจะขยับถอยพลางหรี่ตาครุ่นคิด "อายุสิบสี่แล้วนี่หว่า ยังไม่มีสาวอีกเหรอวะ หรือแกชอบผู้ชาย"
"โอ๊ย พ่อ"
เด็กหนุ่มผลักมือบนไหล่ตนออกเมื่อถูกบิดาสบประมาทเช่นนั้น เขารีบก้าวขึ้นบ้านไปเปลี่ยนชุดตัดรำคาญ
ห้านาทีให้หลังดรัณก็ลงจากบ้านมาในเสื้อผ้าตัวใหม่ ดัสกรมองเสื้อยืดสีดำสกรีนลายกราฟิติตัวหลวมโคร่งกับกางเกงยีนส์ที่ลูกสวมใส่อย่างพิจารณา ไม่ดีไม่เลวเกินไป
"เดี๋ยวเรียกแท็กซี่ไปห้างก่อน นัดกินข้าวกันไว้" เขาบอกแผนการกับลูกชาย
เรื่องนั้นดรัณไม่สนใจหรอก ห่วงก็แต่ย่าที่ไม่พูดกับเขาสักคำ
"พ่อ แล้วย่าล่ะ"
"ย่าก็อยู่ใกล้แค่นี้ มาหาเมื่อไรก็ได้น่า แกอย่าทำเป็นเด็กไม่หย่านมหน่อยเลย"
ดัสกรโอบไหล่บุตรชายที่สูงถึงไหล่ตนออกเดินไปด้วยกัน เมื่อบทสนทนาระหว่างทางต่อจากนั้นเป็นเรื่องเกมและหุ่นยนต์ที่เด็กหนุ่มอยากได้ ความตื่นเต้นก็มาแทนที่ความห่วงใยหญิงชรา
การจราจรมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองเริ่มติดขัด อีกทั้งเครื่องปรับอากาศบนรถแท็กซี่ก็ส่งไอเย็นออกมาเพียงน้อยนิด เรียกว่าแทบมลายหายไปเมื่อไอแดดซึ่งส่องผ่านกระจกรถเข้ามาร้อนแรงกว่า ดัสกรหงุดหงิดใจและนึกอยากได้รถยนต์ตัวเองที่ส่งซ่อมกลับคืนมา หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้น เขาอยากได้รถรุ่นใหม่ป้ายแดงสักคัน
ดัสกรรู้ดีว่าถ้าตนเอ่ยปาก คนรักของเขาย่อมเต็มใจหามาให้ แต่ความรู้สึกของกุสุมาเล่า ใครจะคิดว่าเขาเป็นแมงดา ชายหนุ่มไม่สน เว้นเพียงกุสุมาเท่านั้นที่เขาต้องการยึดครองตำแหน่งคนรักของเธอ
ยังมีเวลาตักตวงในสิ่งที่ควรจะเป็นของเขาอีกนาน อย่างน้อยก็มีดรัณอีกคนที่เขาหวังดึงมันมาร่วมเส้นทางนี้ เขาไม่เคยคิดแผนการนี้มาก่อน กระทั่งห้าวันก่อนที่กุสุมาโทรศัพท์มาจากขอนแก่น บอกว่าจะพาหลานสาวลงมาอยู่ด้วย เขาก็เริ่มคิดขึ้นมาว่าหากเศรษฐีนีผู้นั้นยกทรัพย์สมบัติให้หลานสาวในอนาคตข้างหน้า จะมีใครเหมาะเคียงคู่กับเด็กหญิงมากไปกว่าเจ้าลูกชายคนเดียวของเขา
ดัสกรปรายตามองบุตรชายที่นั่งหลับพิงประตูรถ แม้ลูกจะเกิดมาด้วยความไม่พร้อมของพ่อและแม่ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าดรัณคือผลผลิตอันงดงามของเขากับอดีตคนรัก ยิ่งโตเป็นหนุ่ม เค้าความหล่อเหลาของมันก็ยิ่งทำให้ผู้เป็นพ่อภาคภูมิใจ ไม่เสียแรงที่เลี้ยงมันมา
ชายหนุ่มย้อนนึกถึงวันเวลาในอดีต ตอนที่เขาเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยหมาดๆ ความช่างพูดประกอบกับหน้าตาดีทำให้เขาได้งานเป็นเอ็มซีตามอีเวนท์ต่างๆ ไม่ยากเย็น ดัสกรมีแฟนที่อยู่ด้วยกันเป็นพริตตี้สาวนางหนึ่ง กระทั่งเจ้าหล่อนตั้งครรภ์และต้องเบนเส้นทางออกจากสายงานในที่สุด
เมื่อใกล้คลอด หญิงสาวขอย้ายกลับไปอยู่กับครอบครัวยังต่างจังหวัด เขาต้องทำงานเก็บเงินส่งเสียเป็นค่าเลี้ยงดูซึ่งดูเหมือนเธอจะพอใจเช่นนั้นจึงมิได้ลงมากรุงเทพฯ อีกเลย และเขาเองก็ไปหาลูกเพียงปีละครั้ง
กระทั่งดรัณอายุย่างห้าขวบ เธอต้องการยกลูกให้เขาเพราะจะไปทำงานที่ออสเตรเลีย ดัสกรปรึกษาแม่ เมื่อท่านเห็นดีด้วยและบอกว่าจะเลี้ยงหลานให้ เขาจึงรับลูกมาส่งให้แม่ นั่นอาจเป็นการทำหน้าที่พ่อเพียงครั้งเดียวก็ว่าได้
ส่วนเรื่องความรักของเขากับแม่ม่ายเศรษฐีนีน่ะหรือ เรื่องมันเริ่มจากที่เขามีอาชีพขายประกันอีกทางหนึ่ง เคยได้ติดตามและเป็นตัวแทนของผู้จัดการฝ่ายขายไปพบลูกค้าก็บ่อยครั้ง หนึ่งในนั้นคือลูกค้าอย่างกุสุมาที่สามีป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้าย
เมื่อพบเจอกันด้วยเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษา เขาได้แสดงความเห็นอกเห็นใจหล่อนตามหน้าที่ เป็นโอกาสเข้าถึงผู้ซึ่งกำลังต้องการกำลังใจได้อย่างง่ายดาย
คุณสากลเสียชีวิตหลังจากนั้นสองเดือน เป็นช่วงเวลาที่สาวใหญ่ให้ความสนิทสนม เปิดใจปรับทุกข์กับเขาในเรื่องต่างๆ หนึ่งในเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นก็ไม่พ้นเรื่องชีวิตลำบากยากแค้นในอดีตที่ดัสกรเล่าให้ฟัง กลายเป็นเจ้าหล่อนที่เห็นใจเขาเสียแทน
'มาอยู่กับพี่ไหม' เธอเสนอในวันที่รถของเขาถูกไฟแนนซ์ยึด
ดัสกรปฏิเสธ เขารู้ว่าการย้ายไปอยู่กับหล่อนต้องแลกกับอะไร เขายังทำใจไม่ได้ที่ต้องตกเป็นสมบัติของสตรีที่มากวัยกว่าร่วมสิบห้าปี
ไม่นานหรอกก่อนที่ดัสกรจะรู้ว่าศักดิ์ศรีกินไม่ได้ เมื่อเขาแบกหน้าไปพบกุสุมาอีกครั้ง เธอกำลังนั่งจิบน้ำส้มอยู่บนระเบียงชั้นบนของบ้าน มองแขกนอกรั้วด้วยสีหน้าสุขสมใจ
นึกย้อนไปแล้วดัสกรไม่เคยเสียใจกับการตัดสินใจในวันนั้น เขาไม่ต้องเหนื่อยทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง แค่คิดว่าจะทำอย่างไรให้ตนไม่กระเด็นออกจากกองมรดกนี้ก็พอ
นี่ไง ตัวแทนของเขา...
"รัน ตื่นเว้ย ถึงห้างแล้ว"
ดัสกรตบไหล่ลูก ก่อนจะส่งธนบัตรให้คนขับแท็กซี่
"ไม่ต้องทอนนะลุง เอาไปเติมน้ำยาแอร์เหอะ ร้อนฉิบ"
"เอ้อ สิบกว่าบาทนี่นะ ถุ้ย" คนขับสบถ หลังผู้โดยสารลงจากรถไป
ดรัณมองห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่อย่างตื่นตา เขาไม่เคยย่างกรายเข้าห้างแบบนี้เลยสักครั้ง นอกจากนั่งรถสองแถวไปซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้านกับย่า
พ่อกำลังคุยโทรศัพท์กับคนที่นัดหมายขณะพวกเขาเดินผ่านร้านขายแผ่นภาพยนตร์ ไม่รอช้า เด็กหนุ่มปรี่เข้าไปดูแผ่นหนังต่างๆ ที่เขาอยากดูมานาน หากก็ได้แต่รอสถานีโทรทัศน์นำมาฉายสักที
"ไอ้รัน ทำไมไม่ตามมา" ดัสกรย้อนมาดุลูก
แทนที่จะสำนึก ดรัณชูแผ่นหนังที่อยากได้ให้พ่อดู
"ไม่เอา ซื้อแผ่นปลอมก็พอ"
"โห่พ่อ แค่นี้ขนหน้าแข้งพ่อไม่ร่วงหรอก ถ้าผมขอย่านะ..."
"เออๆ ไปจ่ายเงินไป"
ดัสกรส่งธนบัตรสีม่วงให้ลูกตัดรำคาญ ไอ้นี่มันฉลาด เข้าใจยกย่ามาอ้างให้เขากลัวว่ามันจะไม่ร่วมมือกับตน
ฉลาดให้ได้อย่างนี้ต่อไปเถอะ ผู้พ่อนึกกระหยิ่มใจ
กุสุมามาถึงสถานที่นัดพบก่อนแล้วและกำลังรอสองพ่อลูกอยู่ในร้านอาหาร เธอเลือกนั่งโต๊ะติดกระจกใสเพื่อที่จะได้มองเห็นคนที่นัดไว้สะดวก สาวใหญ่จิบน้ำแตงโมปั่นที่สั่งมาระหว่างรอ สายตาก็เหลือบแลเห็นคนรักเดินโอบไหล่บุตรชายเข้ามา
ดัสกรนั่งลงข้างกุสุมา ดรัณจึงต้องนั่งลงข้างเด็กหญิงที่เขยิบไปนั่งติดกระจกอย่างเสียมิได้ เขาพนมมือไหว้คนรักของพ่ออย่างรู้มารยาท
กุสุมารับไหว้เด็กชายวัยแตกหนุ่ม หน้าตามีเค้าความหล่อเหลาของผู้เป็นพ่อ ต่างแต่แววตาที่ซ่อนความดื้อรั้นไม่มิดคู่นั้นที่ทำให้เธอพึงใจ แน่ล่ะ... เด็กผู้ชายจะดื้อบ้างก็ไม่แปลก เธอออกจะชอบมากกว่าลูกชายของคุณหญิงบางคนที่หงิมๆ สนิมสร้อยเกินไป
"พ่อเราบอกฉันแล้วว่าชื่อรัน ดรัณใช่ไหม เรียนชั้นไหนแล้วล่ะ"
ดรัณสบตาพ่อวูบหนึ่ง ค่อนข้างเขินอายทุกครั้งที่ต้องตอบคำถามนี้ไม่ว่ากับใคร
"ขึ้นมอสองฮะ"
"รันมันเรียนช้าครับพี่ ตอนแม่มันเลี้ยงไม่ได้ส่งให้เรียนตามเกณฑ์ ผมมาส่งให้ลูกเรียนอนุบาลก็เกือบห้าขวบแล้ว" ดัสกรเอ่ยสำทับ
เศรษฐีนีม่ายพยักหน้าเข้าใจพลางแตะหลังมือคนรักแผ่วเบา ก่อนจะเปลี่ยนจากหัวข้อสนทนาที่อาจทำให้เสียบรรยากาศมาสั่งอาหารแทน
กุสุมาดูรายการอาหารกับดัสกร ขณะที่เมนูอีกเล่มวางอยู่ระหว่างเด็กสองคนโดยไม่มีใครเปิดดูแต่อย่างใด
"คุณหนึ่งอยากทานอะไรครับ" เขาเอ่ยสุภาพกับเด็กหญิงพลางส่งสายตาให้บุตรชายหยิบเมนูไปดู "รันเปิดดูเมนูกับน้องสิ เลือกกันมาคนละอย่างเป็นไง"
ดรัณหยิบรายการอาหารมาดูอย่างเสียมิได้ ยื่นไปกึ่งกลางระหว่างตนกับเด็กหญิงผมเปียเดี่ยวที่หันมายิ้มอ่อนให้ ก่อนต่างฝ่ายต่างหลุบตาดูเมนู
ดัสกรลอบมองผู้เป็นป้าของเด็กผู้หญิง แล้วก็ต้องยิ้มกระหยิ่มอย่างโล่งใจไปเปลาะหนึ่งเมื่อกุสุมาไม่ได้ว่าอะไรกับความใกล้ชิดของเด็กๆ
"รันกินผัดเผ็ดหมูป่าได้ไหมพ่อ" เด็กหนุ่มโพล่งถามหลังไล่สายตาเจออาหารโปรด
"มันจะเผ็ดนา แล้วก็เหนียวด้วย"
"สั่งมาเถอะน่ากร จู้จี้กับลูกไปได้" กุสุมาสั่งย้ำกับบริกรให้เอง ก่อนถามหลานของตนที่ยังไม่ได้สั่งเป็นคนสุดท้าย "หนึ่งกินไรลูก เลือกที่ชอบเลย"
"ทอดมันกุ้งก็ได้ค่ะ" น้ำหนึ่งรีบตอบเมื่อสายตาทุกคู่มองมายังตน
เมื่อบริกรรับเมนูกลับไป กุสุมาก็วกเข้าสู่หัวข้อสนทนาที่ไม่พ้นเกี่ยวกับเด็กทั้งสองคน
"เมื่อกี้พี่พายัยหนึ่งไปสมัครเรียนภาษาอังกฤษกับเปียโนที่นี่ ปิดเทอมว่างๆ จะได้ไม่เบื่อ กรอยากให้ลูกเรียนอะไรหรือเปล่าล่ะ จะได้รับส่งด้วยกันเสียทีเดียว"
"ผมกลัวพี่จะหมดเปลืองเปล่าๆ ซีฮะ ลูกผมคนนี้..."
สาวใหญ่ตีเผียะบนหน้าขาคนรัก ท่าทางกระเง้ากระงอดเหมือนสาวๆ ก็ไม่ปาน
"พูดเข้า ถามตารันเองดีกว่าว่าอยากเรียนอะไรไหมลูก"
ดรัณถึงกับเหวอเมื่อต้องตอบคำถามนั้นเสียเอง เขาปรายตามองพ่อแวบหนึ่งก็เห็นพ่อกดคางลงเล็กน้อยแทบไม่สังเกต
"เรียนที่ไหนหรือครับ" เด็กชายถามอย่างลังเล
"ที่ห้างนี้แหละ น้องก็เรียนนะ แต่ฉันไม่ได้บังคับรันหรอก กลัวเบื่ออยู่บ้านเท่านั้นแหละ"
พอได้ยินคำว่าอยู่บ้าน ดรัณก็นึกเบื่อขึ้นมาจริงๆ อีกทั้งยังเป็นบ้านที่ไม่คุ้นเคย สมาชิกในบ้านก็ไม่รู้จักมักคุ้น สู้ออกมาห้างแบบนี้ดีกว่า
"เรียนครับ ผมเรียนอะไรก็ได้"
ดัสกรลอบถอนใจหลังลุ้นกับคำตอบของลูกอยู่นาน เขารีบชิงเอ่ยก่อนที่กุสุมาจะส่งให้ลูกเขาเรียน 'อะไรก็ได้' ด้วยวิชาการต่างๆ ไม่แคล้วเจ้าตัวแสบคงโดดเรียนแน่นอน
"ให้รันเรียนกีตาร์ก็ดีนะครับพี่ ไหนๆ คุณหนึ่งก็เรียนเปียโน"
"ก็ดีนะ รันอยากเรียนไหม" กุสุมาถามความสมัครใจของผู้เรียน
ดรัณรีบพยักหน้าหงึกด้วยความดีใจที่อย่างน้อยก็ไม่ใช่พวกกวดวิชา แต่แล้วเขาก็ต้องหุบยิ้มเมื่อถูกเตะขาใต้โต๊ะ ดรัณนึกได้และพนมมือไหว้ขอบคุณสาวใหญ่แทน
ดัสกรกับกุสุมายิ้มให้แก่กัน มือหยาบกร้านลูบไล้บนตักชายหนุ่มโดยที่ไม่มีใครเห็น เท่านี้ดัสกรก็รู้แล้วว่าตนต้องตอบแทนเศรษฐีนีม่ายอย่างไร
ถุงข้าวของพะรุงพะรังถูกใส่ไว้ท้ายรถเมอร์เซเดสเบนซ์ แทบทั้งหมดในถุงเหล่านั้นเป็นเสื้อผ้า ของใช้ ของเล่นเด็กๆ ที่กุสุมาขนซื้อมารับขวัญสมาชิกใหม่สองคนของบ้าน
บนเบาะหลัง น้ำหนึ่งลืมความเศร้าหมองจากการสูญเสียบุพการีไปชั่วขณะ เธอยิ้มน้อยๆ พลางลูบผมตุ๊กตาที่เพิ่งแกะออกมาจากกล่อง เคยร่ำร้องขอพ่อกับแม่มานานแล้วก็เพิ่งได้จากป้าวันนี้เอง
"หนึ่งจะเก็บตังซื้อชุดให้ตุ๊กตานะคะป้า" เธอเยี่ยมหน้าไปบอกป้าอย่างสดใสขึ้นบ้าง
"ถ้าตั้งใจเรียนป้าซื้อให้สามชุดเลยเอ้า" กุสุมาเอ่ยกลั้วหัวเราะ
น้ำหนึ่งยิ้มกว้าง ข้อนั้นเธอมั่นใจว่าจะไม่ทำให้ป้าผิดหวังอย่างแน่นอน
"รันด้วยนะ เอาเกรดมาแลกรางวัลแข่งกับน้องได้เลย"
เด็กหญิงหันไปยิ้มดีใจกับคนที่นั่งข้างๆ แล้วก็ต้องเลิกคิ้วฉงนเมื่อได้รับสายตาไม่เป็นมิตรกลับมา เขารับคำป้าของเธอแกนๆ
"ครับ"
หรือเขาจะเหมือนเพื่อนบางคนของเธอที่ไม่ชอบไปโรงเรียน น้ำหนึ่งเห็นมาจากเพื่อนแถวบ้านและในห้องเรียน แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยอนุญาตให้เธอเกียจคร้านสักที
อย่างไรเขาก็เป็นพี่ จากนี้เขาจะเป็นเหมือนพี่แท้ๆ ของเธอ เป็นเพื่อนใหม่คนแรกในสถานที่ใหม่ ไม่คบเขาไว้ก็ไม่รู้จะคบใคร เด็กหญิงคิดอย่างที่ป้าพร่ำบอกมาแต่เช้า
ดังนั้นหลังขนข้าวของต่างๆ ลงจากรถแล้วเสร็จ เมื่อกุสุมาให้เธอมาชวนเขาไปว่ายน้ำ น้ำหนึ่งอดไม่ได้ที่จะสอดส่องดูห้องนอนเพื่อนใหม่ที่อยู่ติดกับห้องตน เธอกลั้นยิ้มเมื่อเห็นเด็กชายหมุนตัวมองไปรอบๆ ห้องซึ่งตกแต่งด้วยโทนสีขาวดำ หายใจเข้าลึกเอาไอเย็นฉ่ำปอด ท่าทางพึงพอใจกับชีวิตใหม่ไม่น้อย
"เฮ้ย!" ดรัณอุทานตกใจเมื่อหันมาเห็นใบหน้าสลอนของเด็กหญิงระหว่างช่องประตูซึ่งเปิดแง้ม
เขากระโดดลงจากเตียง ก้าวอาดมาหมายจะดึงประตูปิด แต่ยัยเด็กผมเปียคงคิดว่าเขาจะเชื้อเชิญหล่อนเข้ามากระมังจึงเปิดประตูออกเสียเอง
"เฮ้ย!" ดรัณร้องขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นเด็กหญิงสวมเพียงเสื้อคลุมอาบน้ำ
เขาหันหลังให้ด้วยความตกใจ เก้อกระดากขึ้นมาบอกไม่ถูก ก่อนจะคิดได้ว่าคนที่สมควรอายควรเป็นเด็กนั่น ไม่ใช่ตน เขาจึงหันไปเผชิญหน้าอีกครั้ง
"มีอะไร มาแอบดูห้องคนอื่น ไม่มีมารยาทว่ะ"
"ป้าให้มาชวนไปว่ายน้ำ" น้ำหนึ่งตอบพร้อมสีหน้าเจื่อนลง
"ไม่อ่ะ ขี้เกียจ"
ดรัณกดรีโมตเปิดโทรทัศน์ เมื่อหันมาเห็นเด็กหญิงยังคงยืนอยู่กลางห้อง ตนจึงก้าวมาผลักไหล่อีกฝ่ายออกไปแล้วดึงประตูปิดพร้อมกับลงกลอน
ซวยล่ะ เกิดยัยนั่นฟ้องพ่อว่าเขาพูดจาไม่ดี มีหวังโดนดุหูชาแน่ๆ
ดรัณเพิ่งคิดได้พลางก้าวเร็วออกไปยังระเบียงนอกห้อง สระว่ายน้ำข้างตัวบ้านมีเพียงไม้ระแนงพรางตา แต่เสียงพูดคุย เสียงผิวน้ำถูกกระทบได้ยินมาถึงข้างบน
เด็กหญิงเพิ่งลงไปถึงข้างสระ เขาเห็นพ่อถามถึงตนแต่เธอกลับตอบว่าเขาหลับไปแล้ว
ดรัณยิ้มหยันคนขี้โกหก เห็นเงียบๆ หงิมๆ แต่ยัยนี่ก็ไม่เบาหรอกน่า คงไม่ต่างจากบรรดาเพื่อนผู้หญิงที่เขารู้จักหรอกกระมัง
แทนที่จะกลับเข้าห้องหลังได้ฟังคำตอบที่พอใจ เด็กชายกลับยืนมองร่างผอมบางเหมือนท่อนไม้แกะปมเสื้อคลุมอาบน้ำอยู่ข้างสระ เผยให้เห็นชุดว่ายน้ำแบบวันพีซสีชมพูสด มีริ้วระบายช่วงเอว
เขาหมดความสนใจในตัวเธอแค่นั้นทันทีที่สาวใหญ่โหนตัวขึ้นจากบันไดสระมาจิบน้ำหวาน เจ้าหล่อนไม่ได้ใช้แม้แต่ผ้าขนหนูปกปิดเรือนกาย ร่างอรชรอยู่ในชุดว่ายน้ำสีดำเผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งของสตรีชัดเจน ดรัณคิดมาตลอดว่าคนรักของพ่อเป็นสาวแก่ สาวแก่ที่เหี่ยวย่นเหมือนกับย่าตน แต่เขารู้แล้วว่าไม่ใช่
'คุณแอ๊ว' ผู้ที่พ่อบอกให้เรียกเช่นนั้นยังสาวกว่าวัยมาก ไม่มีไขมันหย่อนคล้อย เนื้อหนั่นแน่นไปทุกสัดส่วน โนมเนื้อช่วงอกนั้นดึงดูดสายตาเขายิ่งกว่าส่วนใด ดรัณรู้สึกลำคอแห้งผาก ร้อนวูบวาบในช่องท้องอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเขาไม่กี่ปีหลังมานี้เอง และเขารับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่ามันเกิดจากอะไร
.......................................
ตอนหน้ามาพบกับความเฮี้ยวของดรัณ และความอยู่ยากของน้ำหนึ่งกันต่อนะคะ
ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ก.ย. 2559, 15:46:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ก.ย. 2559, 15:46:25 น.
จำนวนการเข้าชม : 972
<< บทนำ | บทที่ ๒ >> |
แว่นใส 24 ก.ย. 2559, 17:12:26 น.
น่ากลัวนะ
น่ากลัวนะ
ภาพิมล_พิมลภา 27 ก.ย. 2559, 15:48:50 น.
คุณแว่นใส - กลัวรันใช่ไหมคะ
คุณแว่นใส - กลัวรันใช่ไหมคะ