คืนฝนพรำ
สองหนุ่มสาวเจอกันบังเอิญในคืนฝนพรำ
หล่อนจำเขาได้เสมอ แต่เขาดันจำหล่อนสลับกับเพื่อนสนิทของหล่อนเอง
เรื่องวุ่นๆ เริ่มขึ้น เมื่อหล่อนคิดว่าเขาคือ เนื้อคู่ แต่เพื่อนของหล่อนเอง ก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน
ทุกอย่างวุ่นวายเข้าไปอีก เมื่อหล่อนไปสร้างความวุ่นวายให้กับเขา เขาเลยไม่ชอบหล่อนนัก
หล่อนคงต้องเลือกระหว่างเพื่อน และคนที่แอบชอบ
แต่จะจบลงอย่างไร เมื่อหล่อนกับเขาต้องถูกจับแตงงานกัน เพราะคำสัญญาของพ่อแม่
หล่อนจำเขาได้เสมอ แต่เขาดันจำหล่อนสลับกับเพื่อนสนิทของหล่อนเอง
เรื่องวุ่นๆ เริ่มขึ้น เมื่อหล่อนคิดว่าเขาคือ เนื้อคู่ แต่เพื่อนของหล่อนเอง ก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน
ทุกอย่างวุ่นวายเข้าไปอีก เมื่อหล่อนไปสร้างความวุ่นวายให้กับเขา เขาเลยไม่ชอบหล่อนนัก
หล่อนคงต้องเลือกระหว่างเพื่อน และคนที่แอบชอบ
แต่จะจบลงอย่างไร เมื่อหล่อนกับเขาต้องถูกจับแตงงานกัน เพราะคำสัญญาของพ่อแม่
Tags: romantic comedy, หวานแหวว, หมอ, ทหารอากาศ
ตอน: ตอนที่ 8 จำได้
คืนฝนพรำ 8
“แล้วว่าจะมาอยู่กี่วันล่ะ จะได้วางแผนพาไปเที่ยวถูก" คุณลุงอัศนีย์ถามพ่อขึ้นในช่วงบ่ายแก่ๆ หลังจากเรารับประทานอาหารกลางวันกันมาสักพักหนึ่ง
“แค่เสาร์ อาทิตย์นี้แหละ ไม่รบกวนหรอก วันธรรมดา ท่านก็ต้องปฏิบัติงานไม่ใช่หรือครับ" คุณปรีชา หรือคุณพ่อของฉัน พูดตอบเพื่อนสนิทกันมานมนานอย่างล้อเลียน
“กวนอะไรกัน เรารู้จักกันมานาน ช่วยเหลือกันมาก็มาก มีใครจะรู้จักเราดีกว่าเราสองคนอีกเล่า ชา จริงไหม"
พอพูดประโยคนี้จบ ชายสูงวัยทั้งสองที่นั่งคร่ำครวญกันถึงอดีตในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เริ่มจางแสงอ่อน ก็สบตากันอย่างรู้ใจ ก่อนที่พ่อของฉันจะเอื้อมมือไปจับเข่าท่านนายพลอย่างนุ่มนวล ประหนึ่งกำลังรำลึกความทรงจำที่สำคัญอะไรบางอย่าง
“มันก็นานมาแล้วจริงๆ....” ท่านนายพล เอ่ยออกมาเบาๆ
ฉันกับนายอัศวินหันมาสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย ด้วยความสงสัยในบทสนทนาของพ่อเราทั้งคู่ นี่เรากำลังนั่งร่วมวงสนทนากับผู้ใหญ่มากประสบการณ์ ที่สวนหลังบ้านยามบ่ายแก่ๆ โดยที่เราก็ไม่เข้าใจว่าจะต้องมาร่วมวงด้วยทำไม คือหมายถึงตัวฉันคนเดียวนะ ฉันไม่รู้หรอกว่านายอัศวินคิดอย่างไร แต่ดูจากสีหน้าแล้ว ก็คงคิดไม่ต่างกัน เหมือนเราทั้งคู่โดนบังคับ
ฉันหลบสายตาเขาก่อน แล้วเริ่มหยิบมือถือขึ้นมาเล่นแก้เบื่อ ขณะที่พ่อของเรายังคงสนทนากันต่อไป แล้ววันนี้มันจะจบลงตรงไหนกัน ฉันต้องนั่งข้างๆนายอัศวินจนมืดเลยหรือไง
ฉันหยิบมือถือ เปิดไลน์อ่านข้อความเพื่อนๆ แก้เบื่อ
12.30 Kimberly : แกรรร เวรแตกมากกก อย่างกับตลาดสดดด
14.11 Group girly :
Tippy : แก เตรียมหาช่างถ่ายรูป กับช่างแต่งหน้ากันหรือยัง
Nam Aoi : ยังเลย เรามารวมกลุ่มจ้างช่างทีเดียวดีไหม หารกัน
Mam : ก็ดีนะ นี่เงินเดือนยังตกเบิกอยู่ จนมากเลย ชั้นกินมาม่าบ่อยมาก
Nam Aoi : ไม่เกี่ยว นั่นของโปรดหล่อนอยู่แล้ว
Kimberly : โอ๊ย ฉันไม่มีเวลาหา พวกหล่อนจัดการเลย เวรที่นี่เยินมาก โพสเวรทีก็สลบ ไม่ไหวแล้วว
Tippy : พริมหายอีกละ ไม่มาออกความคิดเห็น
Kimberly : พริมไปกินข้าวกับที่บ้าน ปล่อยฉันเซิ้งอยู่คนเดียว ฮือออ
ฉันอ่านข้อความของกลุ่มเพื่อนสาวแล้วขำทุกที จนต้องหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วพิมตอบกลับไป
Prima : เราเอาไงก็ได้ ให้ทุกคนเลือกเลย ขิมสู้ๆนะ เดี๋ยวเอาขนมไปฝาก อิอิ
15.20 Mam : พริม หล่อนก็เอาไงก็ได้ตลอดอะ คิดสิยะ คิด งานรับปริญญากลุ่มเราต้องปัง ที่สุดนะ ควรจะปังกว่ากลุ่มยัยส้มด้วยซ้ำ
15.21 Nam Aoi : จะไปกลัวอะไรกลุ่มยัยส้ม มีสวยอยู่นางเดียว กลุ่มเราสิ สวยทู้กนาง ฮ๋าๆๆๆ
ฉันอ่านข้อความของน้ำอ้อยเสร็จก็หลุดขำพรวดออกมา แต่ก็พยายามไม่ให้ดังจนผู้ใหญ่สองคนผิดสังเกต แต่ท่าทางคนข้างๆจะสงเกตได้ เพราะเขาเงยหน้าขึ้นจากมือถือ แล้วหันมามองฉันเล็กน้อย ก่อนจะ...
ตึ๊ง...เสียงข้อความเข้าจาก....
15.15 Knight : ขำอะไรครับ
ฉันอ่านข้อความด้วยความตะลึง แล้วหันไปมองคนข้างๆ ที่กำลังสไลด์มือถือแบบไม่รู้ไม่ชี้ แล้วฉันก็ไม่ตอบกลับ เอาสิ ลองดู
ฉันเลยพิมพ์ตอบข้อความเพื่อนๆอย่างสนุกสนาน แต่ก็...ตึ๊ง...
15.16 Knight : อ่านแล้วไม่ตอบ...
โอ๊ย.....เอาไงดี ไม่ตอบเหมือนเดิม ตึ๊ง...
15.17 Knight : ได้เบอร์ผมมาจากไหน
15.18 Knight : สรุปจะตอบไหมครับ...
อะไรของเขาเนี่ยยยย ฉันกำลังมองหน้าจอค้่าง ไม่รู้จะพิมพ์ตอบ หรือควรนิ่งเฉย หรือจะหันไปตอบ
ตึ๊ง...
15.19 Knight : โอเคไม่ตอบนะครับ
ข้อความเด้งให้ฉันอ่านประโยคสุดท้ายเสร็จ เขาเก็บมือถือใส่กระเป๋า แล้วลุกขึ้น คว้าข้อมือฉันให้ลุกตามอย่างรวดเร็ว ฉันจ้องมือเขาและสบตาเขาอย่างตะลึง เสียงมันแหบแห้งพูดไม่ออก ก่อนจะมองไปที่พ่อเพื่อส่งสายตาขอความช่วยเหลือ
“ผมว่าผมพาคุณพริมไปเดินเล่นดีกว่าครับ คุณพ่อกับคุณลุง คุยกันตามสบายนะครับ" ว่าเสร็จแล้วฉุดฉันลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจ
“คือ พ่อคะ หนู...” ฉันออกสียงขอความช่วยเหลือ แต่พ่อกลับ...
“ไปเลยลูก อยู่ฟังคนแก่คงจะเบื่อ ฮ๋าๆๆๆ" แล้วหันไปหัวเราะกับเพื่อนรัก
นายอัศวินยิ้มและผงกศีรษะโค้งให้เป็นเชิงลา เขาดึงฉันออกมาตรงนั้น มีท่านนายพลตะโกนไล่หลังว่า เดินเล่นกันนานๆเลยลูก เขาสาวเท้าอย่างรวดเร็วผ่านห้องครัวที่แม่ๆกำลังเตรียมอาหารว่างกันอยู่ ทุกคนมองเราสองคนอย่างประหลาดใจปนยินดี ฉันมองแม่ด้วยแววตาขอความช่วยเหลือ ขณะที่มือก็พยายามปลอดออกจากอุ้งมือหนาของเขาที่กุมข้อมือฉันเสียแน่น แต่แม่ก็กลับไม่สังเกตเห็นความทุกข์ร้อนในแววตาของฉันเลยสักนิดเดียว
เขาลากฉันมาถึงโรงจอดรถ แล้วฉันก็พยายามสะบัดข้อมือออกอีกครั้งแต่ไม่เป็นผล
“นี่คุณอัศวิน ปล่อยนะ ทำแบบนี้ทำไม ปล่อยย" ฉันเปล่งเสียงดังพอควร แต่เขายิ่งกระชับมือแน่น
“คุณไม่ตอบผมเอง ปะ เราไปนั่งรถเล่นกัน มานี่เลยคุณหมอคนสวย" ไม่พูดเปล่า เขาเหวี่ยงฉันเข้าไปในรถจีี๊บคันเก่าคร่ำคร่า ฉันคงต้องใช้คำว่่าเหวี่ยงจริงๆ เพราะเขาดันฉันเข้าไปในรถ ฉันตัวเล็กกว่าเขามาก กำลังก็คงสู้ไม่ได้อยู่แล้ว ก่อนจะใส่เข็มขัดให้ฉัน แล้วเปิดประตูกักเขาฉันเอาไว้ ก่อนที่เขาจะรีบเข้ามานั่งที่คนขับแล้วบึ่งรถออกไป
“นี่คุณจะพาฉันไปไหน มันเกินไปไหมเนี่ย แค่ฉันไม่ได้ตอบข้อความคุณเนี่ยนะ ฉันแค่คิดอยู่ว่าจะตอบยังไงก็แค่นั้น" ฉันตะโกนใส่หน้าเขา
เขาไม่หันกลับมามองด้วยซ้ำ ด้านข้างของเขาเห็นกรามเป็นสัน ไรหนวดเขียวอ่อนๆ ที่เพิ่งได้รับการโกนมา...ทำเอาใจฉันเต้นอีกแล้ว โอ๊ย ฉันไม่ชอบนายแล้ว นายมันบ้า นิสัยแย่
“คุณก็เว่อร์ไป ไม่ใช่นิยายน้ำเน่าสักหน่อย ผมจะไปทำอะไรคุณได้ยังไง ก็แค่จะพาไปขับรถเล่น ไม่เบื่อเหรอ ฟังพ่อๆ คุยความหลังที่เราไม่อินด้วยเนี่ย ฮ๋าๆ"
ฉันรู้สึกไม่พอใจ นี่ฉันอารมณ์พุ่งมาก ข้อมือก็เจ็บ แต่เขากลับทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เขาเริ่มหันมาเหล่มองฉัน เมื่อเห็นว่าฉันเงียบผิดปกติ และทำหน้าตูด
“...คุณพริม...เราก็รู้จักกันมาก่อน ทำไมถึงคุยดีดีกันไม่ได้ล่ะครับ ผมสงสัย แล้วคุณจะปิดบังผมทำไม"
เขาพูดขณะที่ขับรถไปเรื่อยๆในค่ายทหารอันใหญ่โต แต่ก็ร่มรื่นและดูกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา
ฉันนั่งตัวแข็ง เขาเป็นทหาร เขาชอบสอบปากคำสินะ
“ปิดบัง...อะไรคะ...วันนี้ฉันก็คุยกับคุณปกตินะคะ คุณคิดมากหรือเปล่า"
“หึ...ถ้าอย่างนั้น...บอกผมได้หรือยัง ว่าไปเอาเบอร์ผมมาจากไหน"
ฉันตัวแข็งทื่อ บอกไปแล้วไงล่ะ แล้วมันจะได้อะไรหาาา
“คุณจะปิดบังผมทำไมว่าคุณเป็นใคร คุณกลัวอะไร หรือคุณเขินผมครับ คุณหมอพริมา...”
พูดเสร็จ เขาก็หันใบหน้าได้รูป ตาคมคิ้วเข้ม มาทางฉันแล้วส่งยิ้มเจ้าชู้ๆมาให้
รูม่านตาฉันขยายเป็นแน่แท้ รูขุมขนหดตัวทำเอาขนลุกซู่ แล้วระบบประสาทอัตโนมัติก็เร่งทำงานให้เส้นเลือดที่ใบหน้าฉันขยายตัว ทำเอาฉันหน้าแดง
ฉันแพ้เขาทุกทาง
“โอเค...ฉันเจอเบอร์คุณจากมุดประจำตัวผู้ป่วยนอกของคุณที่คุณมาตรวจวันนั้น จำได้ไหม ฉันก็แค่อยากจะขอบคุณ คุณเท่านั้นแหละค่ะ ที่คุณช่วยฉันไว้ในคืนฝนตก ไม่มีอะไรอื่น พอใจหรือยังคะ"
นายอัศวินยิ้มกว้าง แล้วหันไปสนใจทางตรงหน้า ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในซอกพุ่มไม้ แล้วทำให้ฉันได้เห็นแอ่งน้ำขนาดมหึมา สุดลูกหูลูกตา ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ ที่นี่ดูสงบและร่มรื่นมาก แล้วเขาก็จอดรถที่ข้างริมน้ำอย่างนุ่มนวล
“แล้ว...ทำไมต้องปิดผม ทำเป็นจำไม่ได้ว่าผมช่วยคุณ ตอนผมไปทานข้าวกับพวกคุณด้วยล่ะครับ"
ฉันมองหน้าเขา ขณะที่เขากำลังปลดเข็มขัดนิรภัย ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคำถามเขาทั้งหมดใช่ไหมล่ะ แต่ฉันควรจะหาวิธีให้เขาหุบปาก หยุดถามเรื่องนี้สักที
“อือ...คุณอัศวินคะ...” เขาเลยหน้ามา แล้วเราก็สบตากัน ฉันรู้สึกได้ว่าแววตาเขามีความระยิบระยับส่งมา ส่วนของฉันพยายามรักษาให้ปกติที่สุด เขามันร้ายกาจ หล่อนต้องรักษาใจตัวเองให้ดี พริมา
“ครับ..”
พริมา เธอเก่งเรื่องทักษาะการสื่อสารนะ เธอพูดโน้มน้าวญาติผู้ป่วยสำเร็จมากี่รายแล้ว
“บางเรื่อง มันก็ไม่สำคัญอะไรนะคะ แต่ฉันว่า เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นะ คุณก็อุตส่าห์ช่วยชีวิฉันไว้ พ่อเราก็สนิทสนมกัน"
เขาเลิกคิ้ว ทำท่าแบบแล้วไง "ครับแล้วไง..”
ฉันเกลียดดดดดนาย
ฉันเลยทำตาเป็นประกาย ส่งยิ้มหวานๆ อ่อนโยน เอียงคอเล็กน้อยให้ดูไร้เดียงสา แบบที่ขิมดาราเคยสอนจริตมารยาให้
“เราก็...มาเป็นเพื่อนกันไงคะ ไปเถอะค่ะ ฉันอยากไปเดินเล่น" พูดเสร็จก็ส่งยิ้มหวานอีกทีแล้วเปิดประตูรถออกไป ดูท่าจะได้ผล เพราะนายอัศวินมองฉันค้างนิดหนึ่งแล้วดินตามออกมา
เรามายืนคู่กันที่ริมน้ำ แสงแดดยามเย็นเริ่มจางลง ใบไม่เสียดสีลู่ลม สายลมเบาพัดผ่านเราสองคน อืม...อากาศดีจัง ฉันเลยยืนหลับตาแล้วเงยหน้าสูดอากาศสดชื่นนิดหนึ่ง รู้สึกผ่อนคลาย
“ดูท่า คุณจะชอบที่นี่" คุณอัศวิน เอ่ยขึ้นเสียงทุ้มต่ำ
ฉันลืมตา แล้วก็ต้องตกใจแทบหงายหลัง เมื่อเห็นว่านายอัศวิน ยื่นหน้ามาจ้องฉันเสียใกล้
“เอ้ย คุณ" ฉันอุทาน เกือบขยับตัวแล้วหงายหลังจริงๆ แต่เขารับไว้ทัน
“อ้าวคุณ จะอะไรขนาดนั้น ผมไม่จูบคุณหรอก"
ฉันถลึงตาใส่เขา แล้วสะบัดตัวออกมา "ก็คุณเล่นยื่นหน้ามาขนาดนี้ จะให้ฉันยื่นหน้าเข้าไปหาอีกหรือไง"
ฉันโวยวาย แต่เขามองฉันแล้วหัวเราะ
“คุณพริม คุณรู้อะไรไหม...คุณขี้โวยวายนะ ผมเลยชอบแกล้ง"
เอิ่ม...ฉันเบะปากใส่เขา แล้วเดินหันหลังให้ "คุณตลกไปคนเดียวเถอะ นี่...”
จริงๆ บรรยากาศตอนนี้ก็ดีออกนะ ไม่อยากทะเลาะให้เสียบรรยากาศ
“คุณจำฉันได้ตั้งแต่ตอนไหนล่ะ...”
เขาสาวเท้าเดินมาข้างฉัน ร่างสูงๆ บดบังแสงอาทิตย์ให้ในทันที
“อืม...ตั้งแต่ คืนนั้น ไม่ลืมเลยครับ"
“แล้วว่าจะมาอยู่กี่วันล่ะ จะได้วางแผนพาไปเที่ยวถูก" คุณลุงอัศนีย์ถามพ่อขึ้นในช่วงบ่ายแก่ๆ หลังจากเรารับประทานอาหารกลางวันกันมาสักพักหนึ่ง
“แค่เสาร์ อาทิตย์นี้แหละ ไม่รบกวนหรอก วันธรรมดา ท่านก็ต้องปฏิบัติงานไม่ใช่หรือครับ" คุณปรีชา หรือคุณพ่อของฉัน พูดตอบเพื่อนสนิทกันมานมนานอย่างล้อเลียน
“กวนอะไรกัน เรารู้จักกันมานาน ช่วยเหลือกันมาก็มาก มีใครจะรู้จักเราดีกว่าเราสองคนอีกเล่า ชา จริงไหม"
พอพูดประโยคนี้จบ ชายสูงวัยทั้งสองที่นั่งคร่ำครวญกันถึงอดีตในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เริ่มจางแสงอ่อน ก็สบตากันอย่างรู้ใจ ก่อนที่พ่อของฉันจะเอื้อมมือไปจับเข่าท่านนายพลอย่างนุ่มนวล ประหนึ่งกำลังรำลึกความทรงจำที่สำคัญอะไรบางอย่าง
“มันก็นานมาแล้วจริงๆ....” ท่านนายพล เอ่ยออกมาเบาๆ
ฉันกับนายอัศวินหันมาสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย ด้วยความสงสัยในบทสนทนาของพ่อเราทั้งคู่ นี่เรากำลังนั่งร่วมวงสนทนากับผู้ใหญ่มากประสบการณ์ ที่สวนหลังบ้านยามบ่ายแก่ๆ โดยที่เราก็ไม่เข้าใจว่าจะต้องมาร่วมวงด้วยทำไม คือหมายถึงตัวฉันคนเดียวนะ ฉันไม่รู้หรอกว่านายอัศวินคิดอย่างไร แต่ดูจากสีหน้าแล้ว ก็คงคิดไม่ต่างกัน เหมือนเราทั้งคู่โดนบังคับ
ฉันหลบสายตาเขาก่อน แล้วเริ่มหยิบมือถือขึ้นมาเล่นแก้เบื่อ ขณะที่พ่อของเรายังคงสนทนากันต่อไป แล้ววันนี้มันจะจบลงตรงไหนกัน ฉันต้องนั่งข้างๆนายอัศวินจนมืดเลยหรือไง
ฉันหยิบมือถือ เปิดไลน์อ่านข้อความเพื่อนๆ แก้เบื่อ
12.30 Kimberly : แกรรร เวรแตกมากกก อย่างกับตลาดสดดด
14.11 Group girly :
Tippy : แก เตรียมหาช่างถ่ายรูป กับช่างแต่งหน้ากันหรือยัง
Nam Aoi : ยังเลย เรามารวมกลุ่มจ้างช่างทีเดียวดีไหม หารกัน
Mam : ก็ดีนะ นี่เงินเดือนยังตกเบิกอยู่ จนมากเลย ชั้นกินมาม่าบ่อยมาก
Nam Aoi : ไม่เกี่ยว นั่นของโปรดหล่อนอยู่แล้ว
Kimberly : โอ๊ย ฉันไม่มีเวลาหา พวกหล่อนจัดการเลย เวรที่นี่เยินมาก โพสเวรทีก็สลบ ไม่ไหวแล้วว
Tippy : พริมหายอีกละ ไม่มาออกความคิดเห็น
Kimberly : พริมไปกินข้าวกับที่บ้าน ปล่อยฉันเซิ้งอยู่คนเดียว ฮือออ
ฉันอ่านข้อความของกลุ่มเพื่อนสาวแล้วขำทุกที จนต้องหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วพิมตอบกลับไป
Prima : เราเอาไงก็ได้ ให้ทุกคนเลือกเลย ขิมสู้ๆนะ เดี๋ยวเอาขนมไปฝาก อิอิ
15.20 Mam : พริม หล่อนก็เอาไงก็ได้ตลอดอะ คิดสิยะ คิด งานรับปริญญากลุ่มเราต้องปัง ที่สุดนะ ควรจะปังกว่ากลุ่มยัยส้มด้วยซ้ำ
15.21 Nam Aoi : จะไปกลัวอะไรกลุ่มยัยส้ม มีสวยอยู่นางเดียว กลุ่มเราสิ สวยทู้กนาง ฮ๋าๆๆๆ
ฉันอ่านข้อความของน้ำอ้อยเสร็จก็หลุดขำพรวดออกมา แต่ก็พยายามไม่ให้ดังจนผู้ใหญ่สองคนผิดสังเกต แต่ท่าทางคนข้างๆจะสงเกตได้ เพราะเขาเงยหน้าขึ้นจากมือถือ แล้วหันมามองฉันเล็กน้อย ก่อนจะ...
ตึ๊ง...เสียงข้อความเข้าจาก....
15.15 Knight : ขำอะไรครับ
ฉันอ่านข้อความด้วยความตะลึง แล้วหันไปมองคนข้างๆ ที่กำลังสไลด์มือถือแบบไม่รู้ไม่ชี้ แล้วฉันก็ไม่ตอบกลับ เอาสิ ลองดู
ฉันเลยพิมพ์ตอบข้อความเพื่อนๆอย่างสนุกสนาน แต่ก็...ตึ๊ง...
15.16 Knight : อ่านแล้วไม่ตอบ...
โอ๊ย.....เอาไงดี ไม่ตอบเหมือนเดิม ตึ๊ง...
15.17 Knight : ได้เบอร์ผมมาจากไหน
15.18 Knight : สรุปจะตอบไหมครับ...
อะไรของเขาเนี่ยยยย ฉันกำลังมองหน้าจอค้่าง ไม่รู้จะพิมพ์ตอบ หรือควรนิ่งเฉย หรือจะหันไปตอบ
ตึ๊ง...
15.19 Knight : โอเคไม่ตอบนะครับ
ข้อความเด้งให้ฉันอ่านประโยคสุดท้ายเสร็จ เขาเก็บมือถือใส่กระเป๋า แล้วลุกขึ้น คว้าข้อมือฉันให้ลุกตามอย่างรวดเร็ว ฉันจ้องมือเขาและสบตาเขาอย่างตะลึง เสียงมันแหบแห้งพูดไม่ออก ก่อนจะมองไปที่พ่อเพื่อส่งสายตาขอความช่วยเหลือ
“ผมว่าผมพาคุณพริมไปเดินเล่นดีกว่าครับ คุณพ่อกับคุณลุง คุยกันตามสบายนะครับ" ว่าเสร็จแล้วฉุดฉันลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจ
“คือ พ่อคะ หนู...” ฉันออกสียงขอความช่วยเหลือ แต่พ่อกลับ...
“ไปเลยลูก อยู่ฟังคนแก่คงจะเบื่อ ฮ๋าๆๆๆ" แล้วหันไปหัวเราะกับเพื่อนรัก
นายอัศวินยิ้มและผงกศีรษะโค้งให้เป็นเชิงลา เขาดึงฉันออกมาตรงนั้น มีท่านนายพลตะโกนไล่หลังว่า เดินเล่นกันนานๆเลยลูก เขาสาวเท้าอย่างรวดเร็วผ่านห้องครัวที่แม่ๆกำลังเตรียมอาหารว่างกันอยู่ ทุกคนมองเราสองคนอย่างประหลาดใจปนยินดี ฉันมองแม่ด้วยแววตาขอความช่วยเหลือ ขณะที่มือก็พยายามปลอดออกจากอุ้งมือหนาของเขาที่กุมข้อมือฉันเสียแน่น แต่แม่ก็กลับไม่สังเกตเห็นความทุกข์ร้อนในแววตาของฉันเลยสักนิดเดียว
เขาลากฉันมาถึงโรงจอดรถ แล้วฉันก็พยายามสะบัดข้อมือออกอีกครั้งแต่ไม่เป็นผล
“นี่คุณอัศวิน ปล่อยนะ ทำแบบนี้ทำไม ปล่อยย" ฉันเปล่งเสียงดังพอควร แต่เขายิ่งกระชับมือแน่น
“คุณไม่ตอบผมเอง ปะ เราไปนั่งรถเล่นกัน มานี่เลยคุณหมอคนสวย" ไม่พูดเปล่า เขาเหวี่ยงฉันเข้าไปในรถจีี๊บคันเก่าคร่ำคร่า ฉันคงต้องใช้คำว่่าเหวี่ยงจริงๆ เพราะเขาดันฉันเข้าไปในรถ ฉันตัวเล็กกว่าเขามาก กำลังก็คงสู้ไม่ได้อยู่แล้ว ก่อนจะใส่เข็มขัดให้ฉัน แล้วเปิดประตูกักเขาฉันเอาไว้ ก่อนที่เขาจะรีบเข้ามานั่งที่คนขับแล้วบึ่งรถออกไป
“นี่คุณจะพาฉันไปไหน มันเกินไปไหมเนี่ย แค่ฉันไม่ได้ตอบข้อความคุณเนี่ยนะ ฉันแค่คิดอยู่ว่าจะตอบยังไงก็แค่นั้น" ฉันตะโกนใส่หน้าเขา
เขาไม่หันกลับมามองด้วยซ้ำ ด้านข้างของเขาเห็นกรามเป็นสัน ไรหนวดเขียวอ่อนๆ ที่เพิ่งได้รับการโกนมา...ทำเอาใจฉันเต้นอีกแล้ว โอ๊ย ฉันไม่ชอบนายแล้ว นายมันบ้า นิสัยแย่
“คุณก็เว่อร์ไป ไม่ใช่นิยายน้ำเน่าสักหน่อย ผมจะไปทำอะไรคุณได้ยังไง ก็แค่จะพาไปขับรถเล่น ไม่เบื่อเหรอ ฟังพ่อๆ คุยความหลังที่เราไม่อินด้วยเนี่ย ฮ๋าๆ"
ฉันรู้สึกไม่พอใจ นี่ฉันอารมณ์พุ่งมาก ข้อมือก็เจ็บ แต่เขากลับทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เขาเริ่มหันมาเหล่มองฉัน เมื่อเห็นว่าฉันเงียบผิดปกติ และทำหน้าตูด
“...คุณพริม...เราก็รู้จักกันมาก่อน ทำไมถึงคุยดีดีกันไม่ได้ล่ะครับ ผมสงสัย แล้วคุณจะปิดบังผมทำไม"
เขาพูดขณะที่ขับรถไปเรื่อยๆในค่ายทหารอันใหญ่โต แต่ก็ร่มรื่นและดูกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา
ฉันนั่งตัวแข็ง เขาเป็นทหาร เขาชอบสอบปากคำสินะ
“ปิดบัง...อะไรคะ...วันนี้ฉันก็คุยกับคุณปกตินะคะ คุณคิดมากหรือเปล่า"
“หึ...ถ้าอย่างนั้น...บอกผมได้หรือยัง ว่าไปเอาเบอร์ผมมาจากไหน"
ฉันตัวแข็งทื่อ บอกไปแล้วไงล่ะ แล้วมันจะได้อะไรหาาา
“คุณจะปิดบังผมทำไมว่าคุณเป็นใคร คุณกลัวอะไร หรือคุณเขินผมครับ คุณหมอพริมา...”
พูดเสร็จ เขาก็หันใบหน้าได้รูป ตาคมคิ้วเข้ม มาทางฉันแล้วส่งยิ้มเจ้าชู้ๆมาให้
รูม่านตาฉันขยายเป็นแน่แท้ รูขุมขนหดตัวทำเอาขนลุกซู่ แล้วระบบประสาทอัตโนมัติก็เร่งทำงานให้เส้นเลือดที่ใบหน้าฉันขยายตัว ทำเอาฉันหน้าแดง
ฉันแพ้เขาทุกทาง
“โอเค...ฉันเจอเบอร์คุณจากมุดประจำตัวผู้ป่วยนอกของคุณที่คุณมาตรวจวันนั้น จำได้ไหม ฉันก็แค่อยากจะขอบคุณ คุณเท่านั้นแหละค่ะ ที่คุณช่วยฉันไว้ในคืนฝนตก ไม่มีอะไรอื่น พอใจหรือยังคะ"
นายอัศวินยิ้มกว้าง แล้วหันไปสนใจทางตรงหน้า ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในซอกพุ่มไม้ แล้วทำให้ฉันได้เห็นแอ่งน้ำขนาดมหึมา สุดลูกหูลูกตา ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ ที่นี่ดูสงบและร่มรื่นมาก แล้วเขาก็จอดรถที่ข้างริมน้ำอย่างนุ่มนวล
“แล้ว...ทำไมต้องปิดผม ทำเป็นจำไม่ได้ว่าผมช่วยคุณ ตอนผมไปทานข้าวกับพวกคุณด้วยล่ะครับ"
ฉันมองหน้าเขา ขณะที่เขากำลังปลดเข็มขัดนิรภัย ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคำถามเขาทั้งหมดใช่ไหมล่ะ แต่ฉันควรจะหาวิธีให้เขาหุบปาก หยุดถามเรื่องนี้สักที
“อือ...คุณอัศวินคะ...” เขาเลยหน้ามา แล้วเราก็สบตากัน ฉันรู้สึกได้ว่าแววตาเขามีความระยิบระยับส่งมา ส่วนของฉันพยายามรักษาให้ปกติที่สุด เขามันร้ายกาจ หล่อนต้องรักษาใจตัวเองให้ดี พริมา
“ครับ..”
พริมา เธอเก่งเรื่องทักษาะการสื่อสารนะ เธอพูดโน้มน้าวญาติผู้ป่วยสำเร็จมากี่รายแล้ว
“บางเรื่อง มันก็ไม่สำคัญอะไรนะคะ แต่ฉันว่า เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นะ คุณก็อุตส่าห์ช่วยชีวิฉันไว้ พ่อเราก็สนิทสนมกัน"
เขาเลิกคิ้ว ทำท่าแบบแล้วไง "ครับแล้วไง..”
ฉันเกลียดดดดดนาย
ฉันเลยทำตาเป็นประกาย ส่งยิ้มหวานๆ อ่อนโยน เอียงคอเล็กน้อยให้ดูไร้เดียงสา แบบที่ขิมดาราเคยสอนจริตมารยาให้
“เราก็...มาเป็นเพื่อนกันไงคะ ไปเถอะค่ะ ฉันอยากไปเดินเล่น" พูดเสร็จก็ส่งยิ้มหวานอีกทีแล้วเปิดประตูรถออกไป ดูท่าจะได้ผล เพราะนายอัศวินมองฉันค้างนิดหนึ่งแล้วดินตามออกมา
เรามายืนคู่กันที่ริมน้ำ แสงแดดยามเย็นเริ่มจางลง ใบไม่เสียดสีลู่ลม สายลมเบาพัดผ่านเราสองคน อืม...อากาศดีจัง ฉันเลยยืนหลับตาแล้วเงยหน้าสูดอากาศสดชื่นนิดหนึ่ง รู้สึกผ่อนคลาย
“ดูท่า คุณจะชอบที่นี่" คุณอัศวิน เอ่ยขึ้นเสียงทุ้มต่ำ
ฉันลืมตา แล้วก็ต้องตกใจแทบหงายหลัง เมื่อเห็นว่านายอัศวิน ยื่นหน้ามาจ้องฉันเสียใกล้
“เอ้ย คุณ" ฉันอุทาน เกือบขยับตัวแล้วหงายหลังจริงๆ แต่เขารับไว้ทัน
“อ้าวคุณ จะอะไรขนาดนั้น ผมไม่จูบคุณหรอก"
ฉันถลึงตาใส่เขา แล้วสะบัดตัวออกมา "ก็คุณเล่นยื่นหน้ามาขนาดนี้ จะให้ฉันยื่นหน้าเข้าไปหาอีกหรือไง"
ฉันโวยวาย แต่เขามองฉันแล้วหัวเราะ
“คุณพริม คุณรู้อะไรไหม...คุณขี้โวยวายนะ ผมเลยชอบแกล้ง"
เอิ่ม...ฉันเบะปากใส่เขา แล้วเดินหันหลังให้ "คุณตลกไปคนเดียวเถอะ นี่...”
จริงๆ บรรยากาศตอนนี้ก็ดีออกนะ ไม่อยากทะเลาะให้เสียบรรยากาศ
“คุณจำฉันได้ตั้งแต่ตอนไหนล่ะ...”
เขาสาวเท้าเดินมาข้างฉัน ร่างสูงๆ บดบังแสงอาทิตย์ให้ในทันที
“อืม...ตั้งแต่ คืนนั้น ไม่ลืมเลยครับ"
ภาพพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ก.ย. 2559, 21:13:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ก.ย. 2559, 21:13:51 น.
จำนวนการเข้าชม : 846
<< (7) เจอกัน |