คืนฝนพรำ
สองหนุ่มสาวเจอกันบังเอิญในคืนฝนพรำ

หล่อนจำเขาได้เสมอ แต่เขาดันจำหล่อนสลับกับเพื่อนสนิทของหล่อนเอง

เรื่องวุ่นๆ เริ่มขึ้น เมื่อหล่อนคิดว่าเขาคือ เนื้อคู่ แต่เพื่อนของหล่อนเอง ก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน

ทุกอย่างวุ่นวายเข้าไปอีก เมื่อหล่อนไปสร้างความวุ่นวายให้กับเขา เขาเลยไม่ชอบหล่อนนัก

หล่อนคงต้องเลือกระหว่างเพื่อน และคนที่แอบชอบ

แต่จะจบลงอย่างไร เมื่อหล่อนกับเขาต้องถูกจับแตงงานกัน เพราะคำสัญญาของพ่อแม่






Tags: romantic comedy, หวานแหวว, หมอ, ทหารอากาศ

ตอน: (7) เจอกัน

คืนฝนพรำ 7

ฉันรีบกุลีกุจอออกจากวอร์ด (หอผู้ป่วย) ในเวลาเกือบเที่ยง หลังจากตรวจผู้ป่วยทั้งวอร์ดเสร็จ ปล่อยให้ขิมดาราอยู่เวรวันเสาร์อย่างสนุกสนานไป แต่ขิมบอกเวรวันเสาร์คือเวรที่ง่อยที่สุด ก็คงจะจริง ก็วันเสาร์ทั้งที ใครจะอยากทำงานกัน
แต่วันนี้พ่อกับแม่ฉันมาหาจากกรุงเทพ ฉันเลยอารมณ์ดีมีความสุขเป็นพิเศษ ก่อนจะสาวเท้ายาวๆเร่งตัวเองให้ไปถึงบ้านพักที่ท่านทั้งสองมาจอดรถรออยู่แล้วโดยไว
รถโฟร์วีลขนาดใหญ่สีดำ จอดรออยู่ที่หน้าบ้านพัก ก่อนจะมีคนเปิดประตูออกมา ซึ่งนั่นก็คือแม่ฉันนั่นเอง ท่านปลดแว่นกันแดดออกแล้วอ้าแขนยืนต้อนรับฉันอยู่ตรงนั้น ฉันจึงรีบวิ่งโผเข้าไปหาท่าน แล้วกระโดดกอดแน่นๆเหมือนเด็กๆ
“โอ๊ย ตัวโตเกินอุ้มแล้วลูก" แล้วเราแม่ลูกก็หัวเราะให้กัน หอมกัน ส่วนพ่อก็เดินลงมาจากอีกฟากของรถ แล้วมาเปิดประตูหลัง เพื่อขนของ
“อ้าวๆ สองแม่ลูก มาขนของกันก่อน อุ้ย! ยัยพริม อ้วนขึ้นไหมเรา" ฉันกระโดกอดพ่อจากด้านหลัง ทำเอาพ่อตัวเอียง แล้วเราพ่อลูกก็กอดกัน
นี่ฉันไม่ได้เจอที่บ้านเกือบสองเดือนเลยนะ ตั้งแต่ย้ายมาประจำการที่จังหวัดนี้ ฉันคิดถึงที่บ้านมาก โชคดีที่มีเพื่อนสนิทมาด้วย ไม่อย่างนั้น ฉันแย่แน่
“ฮือ หนูคิดถึงบ้านจะแย่ งานยุ่งมาก ไม่ได้กลับไปเลย ไหนคะ เอาขนมมาฝากเยอะหรือเปล่า"
พ่อกับแม่รีบขนของออกจากหลังรถ "อากาศร้อนๆ รีบเข้าบ้านก่อนไหม พริม ลูกมาขนขนมนี่ไปฝากเพื่อนด้วย เอ้า! นี่ของหนูขิมนะ"
ฉันมองกล่องขนมมากมายที่หลังรถ ปกติบ้านฉันจะมีคุณป้าที่ชอบทำข้าวตูอบเทียนไว้ทานกันเองในบ้านอยู่แล้ว แต่นี่อะไรทำไมมันเยอะอย่างนี้
“นี่ทำไมเอาขนมมาเยอะอย่างนี้ล่ะคะ ที่นี่มีขิมคนเดียว เพือนคนอื่นในกลุ่มกระจายไปจังหวัดอื่นนะคะ"
ฉันถามอย่างสงสัย เพราะที่บ้านฉัน ชอบทำขนมแจกเพื่อนๆของฉันเสมอ
พ่อหยิบกล่องขนมออกมาอีกสองสามกล่อง แล้วเหลือทิ้งไว้ในรถอีกหนึ่งกอง ก่อนจะผลักฉันออกนิดหนึ่งแล้วปิดหลังรถเสียงดัง
พ่อสบตาฉันด้วยแววตาวิบวับครู่หนึ่ง
“พ่อเอามาฝากเพื่อน พ่อมีเพื่อนอยู่ที่นี่คนนึง ไป เข้าบ้านพักเราก่อนดีกว่า พ่อหิวน้ำ"



ฉันนั่วหน้ารถคู่กับพ่อ มีแม่นั่งพูดบ่นอะไรเจื้อยแจ้วอยู่หลังรถตามปกติ ส่วนพ่อก็พูดตลกฝืดๆไปตลอดทาง พอฉันถามว่าไปไหน ก็บอกว่าไปเจอเพื่อนพ่อ

“หนูเพิ่งรู้ว่าพ่อมีเพื่อนที่นี่ ไม่เห็นเคยบอกเลย พ่อน่าจะให้เพื่อนพ่อมาพาหนูไปเที่ยวบ้าง นี่หนูกับขิมดาราก็ขับรถกันไม่คล่อง ไปได้ก็แค่ในเมืองนี่แหละค่ะ"

แม่ฉันส่งเสียงจึ้กจักมาจากเบาะหลัง
“ยัยพริิม เอาใหญ่ละ เพื่อนพ่อเขาเป็นนายพลเลยนะลูก"

“อ้าวเหรอคะ ก็หนูไม่รู้ เป็นนายพล...พ่อรู้จักได้ไงอะ แล้ว...มาอยู่อะไรที่นี่"

“เพื่อนสนิทพ่อสมัยเรียนมัธยม ซี้กันมาก ขนาดเขาไปเข้าโรงเรียนนายเรืออากาศ ก็ยังติดต่อกันตลอด เอ เหมือนเขาจะมาบ้านเราสองสามครั้งนะ พริมไม่เคยเจอเหรอลูก ลุงอัศนีย์ไง" พ่อพูดเสร็จ ฉันก็สะดุ้งเบาๆ

ไม่ได้สะดุ้งอะไรหรอกนะ ตกใจเรืื่องคำว่า ทหารอากาศนี่แหละ มันทำเอาฉันนึกถึงคุณอัศวิน ฉันอยากจะบอกว่า ตั้งแต่วันนั้นที่เขาส่งข้อความมาราตรีสวัสดิ์ ฉันก็ไม่ได้ตอบอะไรเขาไปอีกเลย เขาก็เงียบ ไม่ได้ทักมาเช่นกัน
ก็จะให้ฉันตอบอะไรล่ะ มันแปลว่าเขารู้มาตลอดว่าฉันคือใคร เขารู้ทั้งหมดทุกอย่าง แต่แกล้งฉัน ให้ฉันอึดอัดเล่น แล้วฉันก็กลายเป็นผู้หญิงที่จีบผู้ชายก่อน ขี้โกหก และลืมบุญคุณ สำหรับเขาแน่ๆเลยน่ะ...แย่จัง

“....ว่าไงยายพริม" พ่อพูดอะไรกับฉันนะ ฉันไม่ได้ยิน

“พ่อว่าอะไรนะคะ"

พ่อถอนหายใจเบาๆ "หนูนี่ชอบใจลอยนะลูก พ่อบอกว่าจำเพื่อนพ่อได้ไหม แล้วที่ลูกเขาเป็นทหารอากาศไง ตอนที่ลูกเขาเข้าเหล่าทหารอากาศได้ พอดีกับที่ลูกสอบหมอได้ จำได้ไหม"

ทำเอาสมองฉันเคว้งเข้าไปใหญ่ ทหารอากาศอะไรอีกเนี่ย...ลุงอัศนีย์เหรอ...

“เคยเห็นครั้งหนึ่งมั้งคะ คนตัวใหญ่ๆ ที่ชอบบอกว่าหนูดูฉลาดๆ ใช่ไหมคะ ตอนนั้นหนูยังเด็กอยู่เลย ก็แปลกดี บอกว่าหนูฉลาดเฉย พอหนูไปเรียนมหา'ลัย ก็ไม่เจออีก"

พ่อหัวเราะ "ใช่คนนั้นแหละลูก เขามาเป็นแม่ทัพภาคที่นี่ ตอนนี้เขาก็ยังบอกลูกพ่อเรียนเก่งฉลาด อยากเจออยู่นะ" แล้วหันมายิ้มกริ่มให้ฉัน

“แหมคุณนี่ ใจเย็นสิคะ ลูกเรายังเด็ก" แม่ส่งเสียงเตือนมาจากข้างหลัง

ฉันหันไปมองแม่ ด้วยสีหน้าสงสัย เพราะบทสนทนาของเรามันชักแปลกๆ "อะไรกันเหรอคะ"

แต่แม่ก็ไม่มีโอกาสได้ตอบฉัน เพราะพ่อโวยวายเสียก่อน "อ้าวถึงแล้ว สวัสดีครับ ผมเป็นเพื่อนนายพลอัศนีย์"

พ่อเลี้ยงรถเข้ามาในค่ายมหารอากาศ ก่อนจะเปิดกระจกแจ้งทหารยามที่เฝ้าอยู่ข้างหน้าประตูเข้า ก่อนที่เขาจะรับทราบและเปิดที่กั้นให้รถเข้าไปแต่โดยดี

ฉันมองไปรอบๆค่ายทหาร ช่างกว้างใหญ่อะไรขนาดนี้

“หูวว กว้างจังเลยค่ะ น่าจะหลายไร่ เป็นเหมือนอาณาจักรนึงเลยนะคะเนี่ย หนูชอบอะ" พูดเสร็จก็แว่บไปคิดถึงคุณอัศวิน...เอ..จะได้เจอบ้างไหมนะ แต่....เจอไปก็งานเข้า ไม่เจอดีกว่า

“ชอบ เดี๋ยวก็มาบ่อยๆสิลูก อ้าวถึงละ บ้านพักเพื่อนพ่อ" แล้วพ่อก็มาจอดรถที่หน้าบ้านพักข้าราชการที่ดูใหญ่โออ่า สร้างด้วยไม้สักอย่างดี รูปทรงแบบบ้านพักราชการสมัยเก่า ดูคลาสสิค น่าอนุรักษ์ไปอีกแบบ

ฉันเปิดประตูลงจากรถ ก่อนจะเดินอ้อมไปเปิดประตูหลังเพื่อขนขนมกองใหญ่มาให้เพื่อนพ่อ แล้วเสียงทักทายของผู้ใหญ่ก็ดังขึ้น

“มาถึงแล้วเหรอเพื่อน ไม่เจอกันนานคิดถึงว่ะ อ้วนขึ้นไหมเนี่ย คุณเพ็ญ สวัสดีครับ อ้าวแล้วนี่ก็คงจะเป็น...”

ข้างหน้าฉันคือชายสูงวัยรูปร่างใหญ่โต ภูมิฐาน แถมไม่ลงพุง เมื่อเทียบกับพ่อฉัน เขาเป็นคุณลุงที่ดูใจดี ผิวสีเข้ม หน้าตาเปื้อนด้วยรอยยิ้มใจดี และริ้วรอยจากการทำงานหนักตามวัย เขาส่งยิ้มที่ฉันรับรู้ได้ถึงความเอ็นดู และชอบใจมาให้ ก่อนจะเดินมาใกล้ ให้ฉันได้ยกมือไหว้

“โอ้ โตขึ้นเยอะเลยหลานพริม สวยเหมือนแม่นะเนี่ย ดีที่ไม่ได้พ่อมา ฮ่าๆ เข้าบ้านกันก่อนเถอะ อากาศข้างนอกร้อน ไปลูก เข้าไปในบ้านลุงกัน"

คุณลุงอัศนีย์มองฉันอย่างพิจารณาด้วยรอยยิ้ม ฉันก็ยิ้มกว้างตอบกลับ รู้สึกดีที่มีคนรักเอ็นดู ทั้งๆที่แทบจะไม่รู้จักกันเลย

ในขณะที่พ่อคุยหยอกล้อกับเพื่อนอย่างสนิทสนม แม่ฉันก็ช่วยภรรยาคุณลุงจัดขนมใส่จานและรินน้ำ ส่วนฉันนั่งรอในห้องรับแขกที่ตกแต่งเรียบง่าย แต่ภูมิฐาน ตามแบบบ้านพักข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ในบ้านพักประดับไปด้วยเกียรติบัตร รูประดับยศ ต่างๆ ถ้วยรางวัล รูปครอบครัว คุณลุงอัศนีย์และคุณป้าวนิดา ภรรยา มีลูกสองคน คนเล็กเป็นผู้หญิง เรียนต่อต่างประเทศ ส่วนคนโตเป็นผู้ชายเป็นทหารอากาศ...เดี๋ยวนะ...ลูกชายคนโต...

“...ว่าไงหลานพริม" เสียงดังเข้มของคุณลุงอัศนีย์ดังขึ้น เมื่อท่านเดินเข้ามาในส่วนของห้องรับแขก แต่ฉันฟังคำถามไม่ทัน เพราะมัวแต่สำรวจดูรูป

ฉันหันไปสบตาจะตอบ ก็ได้เห็นว่ามีความประหลาดเกิดขึ้นอยู่ นั่นคือผู้ใหญ่ทั้งสี่ท่านเข้ามารวมตัวกันในห้องนี้และจ้องฉันด้วยแววตาลุกวาว

ฉันยิ้มกลับให้ทุกคน ทำตาโตและตอบด้วยความเดียงสา "...คุณลุงว่าอะไรนะคะ"

“ลุงถามว่า...อยู่มาสองเเดือน เจอลูกชายของลุงบ้างไหม เขาเคยไปเยี่ยมเพื่อนที่ผ่าตัดไส้ติ่ง ในรพ.ด้วยนะ"

ฉันหุบยิ้มลงนิดหนึ่ง แววตาของฉันมีความตระหนก และรูม่านตาอาจจะขยายด้วยซ้ำ ฉันไม่แน่ใจนะว่าทุกคนสังเกตเห็นอะไรในสีหน้าของฉันหรือเปล่า ก็ทุกคนจ้องฉันตาเป็นมันขนาดนั้น

“เอ่อ...คิดว่าไม่นะคะ"

คุณป้าวนิดาหยิบชาขึ้นมาจิบเพื่อกลบเกลื่อนรอยยิ้ม แม่ฉันกับพ่อมองหน้ากัน ส่วนคุณลุง หัวเราะเสียงดัง

“วันนี้ได้เห็นแน่ ฮ่าๆ นั่นไง พ่ออัศวิน ลูกชายลุง เรืออากาศตรี ปีนี้น่าจะได้ยศ เรืออากาศโทละ" พูดเสร็จก็ชี้นิ้วอวบอูมไปที่รูปบนฝาผนังทานด้านซ้ายมือของฉัน

ฉันหันไปดูด้วยความรู้สึกสั่นสะท้าน แววตาไหวระริก ภาวนาให้ มีเรืออากาศตรีอัศวินหลายคนในค่ายทหารนี้ และหวังว่ารูปที่ฉันจะหันไปมองคงจะไม่ใช่....

ใช่...เขา...ให้ตายสิ...นั่นเขาจริงๆ...อีตาอัศวินในชุดทหารอากาศเต็มยศยืนถ่ายรูปด้วยความสง่าในวันพิธีเรียนจบ

โอ๊ยยยยยย

“อ้าว มาพอดีเลยค่ะ ตาอัศมานี่สิลูก มาสวัสดีคุณลุงคุณป้า แล้วก็....” คุณป้าวนิดาลุกขึ้นไปต้อนรับลูกชายให้เดินเข้ามาในบริเวณที่เรานั่งกันอยู่ แล้วก่อนที่ฉันจะได้ทันเตรียมตัวเตรียมใจ หรือแม้แต่กระทั่งหายใจเข้าเฮือกสุดท้าย เขาก็เดินเข้ามาใกล้พอในระยะที่เราจะสบตากัน

คุณอัศวินตาโตเล็กน้อยด้วยความตกใจ ขณะจ้องฉัน ส่วนฉันก็ไม่ได้ประหลาดใจน้อยไปกว่าเขาเลย


ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนะ รู้แต่ว่า ทุกคนคุยกันบนโต๊ะอาหารอย่างสนุกสนานและถูกคอ ทุกคนนั่งห้อมล้อมฉัน โดยที่นายอัศวินนั่งประกบฉันทางซ้าย เขาก็ร่วมวงสนทนาด้วยอย่างดี คุยไหลลื่นได้ทุกเรื่อง ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม แม้กระทัั้งเรื่องกีฬา ส่วนฉันนั่งเงียบเป็นส่วนมาก ได้แต่ตอบอะไรสั้นๆไปตามเรื่อง มันไม่่ใช่อะไรหรอกนะ ก็จะให้ฉันทำตัวอย่างไรถูก ในเมื่อมีอีตาอัศวินคนที่รู้แล้วว่าฉันเป็นใคร ทำอะไร และโกหกอะไรเขา อยู่ข้างๆเนี่ย

“หลานพริม ดูขี้อายนะคะ ไม่ค่อยพูดเลย หน้าซีดๆไปหน่อย ร้อนรึเปล่าลูก" คุณป้าวนิดาทักฉันอย่างห่วงใย คงสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้

อีตาอัศวินหันมาจ้องหน้าฉัน

แม่ฉันนั่งประกบทางขวาก็หันมมาพูดด้วย "ปกติพูดเก่งค่ะ แต่นี่ท่าทางจะเขิน ต้องรู้จักกันสักพัก"

“แหม เขินอะไรลูก ไม่ต้องเขินหรอก นี่ลุงกับพ่อหนูสนิทกันมาก เหมือนคนในครอบครัว เดี๋ยวหนูกับตาอัศก็สนิทกัน เอ้ย ลุงหมายถึง...หนูอยู่จังหวัดนี้ตั้งสามปี เดี๋ยวลุงรับมาทานข้าวด้วยบ่อยๆก็คุ้นเคยกันเองล่ะ จริงไหมชา" นายพลอัศนีย์พูดเสียงดังฟังชัด
แล้วหันไปพยักเพยิดกับพ่อฉัน

ฉันก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ และรับรู้ได้ว่านายอัศวินก็แอบยิ้มขันมาทางฉัน ฉันเลยหันกลับไปมองเขา เราสบตากัน ฉันรู้สึกได้ว่าแววตาของเขามีความล้อเลียน ฉันเลยกรอกตาบน แล้วขอตัวไปเข้าห้องน้ำ

“ค่ะ...เดี๋ยวหนูขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ" แล้วขออนุญาต ลุกออกมาอย่างเรียบร้อย ทุกคนในโต๊ะอาหารก็ดูไม่ได้สังเกตความผิดปกติอะไร

ฉันเดินเลี่ยงออกมา แล้วกะว่าจะออกไปเดินนอกบ้านสงบจิตใจนิดหนึ่ง แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งทักขึ้น

“ห้องน้ำไม่ได้อยู่ทางนั้นครับ"

ฉันหยุดทันที หันกลับไปมองจึงได้เห็นอีตาอัศวินในชุดลำลอง เสื้อยืดสีขาวที่แนบกับแผ่นอกกว้าง กางเกงขายาวสบายๆ ก็ทำเอาฉันหวั่นไหวนิดหนึ่ง

ฉันสบตาเขาแล้วแสยะยิ้ม จะตามมาทำไมเนี่ย

“อ้อ..ค่ะ...ขอบคุณคะ"

เขาชี้ไปทางด้านหลังของบ้าน "อยู่ทางนั้นครับ แล้วเลี้ยวขวา" พูดเสร็จก็ใช้สายตาแบบสำรวจมองฉันหัวจรดเท้า อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ คนเป็นหมอถึงไม่ได้มองเต็มๆตา ก็สังเกตความผิดปกติได้หมดแหละ

ฉันเดินผ่านเขาไปตามทางที่เขาชี้ แต่เขาก็ยังคงเดินตามมา จนเกือบสุดทางเดินฉันเลยหันกลับไป

“แล้ว..คุณจะตามมาทำไมคะ ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ"

เราสบตากัน ฉันพยายามอย่างแรงกล้าที่จะไม่หลบตาไปทางอื่น แต่ก็ไม่รู้จะซ่อนความเขินอายบนใบหน้าได้หรืิเปล่า

นายอัศวินยิ้มกริ่ม แบบมีเลศนัย ก่อนจะสาวเท้าเข้ามาใกล้ฉัน ก้มมองเท้าตัวเองนิดหนึ่ง แล้วช้อนตาขึ้นมองฉันตรงๆอีกครั้ง

“ทำไม...” นิ่งไปหนึ่งจังหวะ โอ๊ยอิตาบ้า ฉันแทบจะกลั้นใจตายแล้วนะ "ทำไม...ต้องทำเป็นไม่รู้จักผม"

ฉันจ้องเขา ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะตอบอะไร แล้วทำไมเขาต้องมาทำให้ฉันอึดอัดด้วยเนี่ย เขาดักฉันไว้ทุกทางเลย เขาจะเอาคืนฉันด้วยเรื่องอะไรเหรอ

“เอ่อ...ก็...” ฉันกลืนน้ำลาย ฉันใช้วิธีเดิมแล้วกัน

“ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ" แล้วรีบเดินออกมาจากเขาโดยไว




ภาพพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ก.ย. 2559, 19:00:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.ย. 2559, 19:12:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 900





<< ตอนที่ 6 โอเคไหม   ตอนที่ 8 จำได้ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account