กามเทพเฮี้ยนเพี้ยนรัก
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อจู่ๆ ก็มีวิญญาณเข้ามาวนเวียนในชีวิต วิญญาณที่ไม่ได้มาหลอกหลอน เพียงแค่ต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง...ที่ต้องอาศํยข้อแลกเปลี่ยน
Tags: แนวผี

ตอน: ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้นของเรื่องราว

กามเทพเฮี้ยน เพี้ยนรัก โดยทองหลาง
1


เอี๊ยด....โครม....

เสียงวัตถุชิ้นมหึมาที่กำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงกระแทกเข้าเต็มแรงกับต้นไม้ใหญ่ข้างทาง จนเกิดสภาพบุบ
บู้บี้ ควันลอยโขมงออกจากกระโปรงหน้า บางชิ้นส่วนกระเด็นกระดอนกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น เสียงเครื่องยนต์ยังคงดังกระหึ่ม
ไม่ดับไปเหมือนสภาพรถที่ไม่อาจนำกลับมาซ่อมใช้งานได้อีก นอกเสียจากส่งขายเป็นเศษเหล็ก

“อือ...อือ...ชะ...ชะช่วย...ด้วย” เสียงแผ่วๆ หลุดออกมาได้เป็นช่วงๆ ตามเรี่ยวแรงที่เจ้าตัวพยายามรวบรวมเปล่งออกมาเพื่อ
ระบายความเจ็บปวด

ท่ามกลางเขาสูงและทุ่งโล่งกว้างห่างไกลบ้านเรือนและผู้คน ชะตาชีวิตหนึ่งที่อยู่ภายในซากรถ คงต้องขึ้นอยู่กับพรหมลิขิต
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“เฮ้อ...พี่ขวัญ นั่นอะไรน่ะ” เสียงเด็กหนุ่มร้องถามด้วยอาการตกใจ

สวรรค์ยังเข้าข้างหรือเพราะมีบุญบารมีหลงเหลือพอให้ที่เปลี่ยวแห่งนั้นพลันมีบุคคลเดินผ่านทางไปพบ

“เห็นๆอยู่ไม่น่าถาม...” มองจากสภาพรถที่หาชิ้นดีไม่ได้ขนาดนั้นแล้วสภาพของผู้โดยสารที่อยู่ภายในเล่าจะสาหัสสักแค่ไหน

“เร็วเข้าพงศ์รีบไปดูกัน...เผื่อคนในรถจะยังรอด” คนเอ่ยชวนรีบวิ่งไปก่อนที่จะพูดจบประโยคซะด้วยซ้ำ

“เจ้าพงศ์ เร็วๆเข้า รีบมาช่วยกันทางนี้ เร็ว”

เสียงร้องตะโกนดังก้องไปทั้งหุบเขา เมื่อพบว่าภายในตัวเก๋งยังมีอีกหนึ่งร่างเลือดโทรมกาย ลมหายใจรวยริน ฟุบอยู่กับพวง
มาลัยรถ...ทว่าคนที่ยังติดอยู่ในซากรถกลับได้ยินแผ่วเบา ราวเสียงนั้นมีต้นกำเนิดอยู่ ณ ที่ไกลแสนไกล

“ตายหรือยังพี่” เสียงหนึ่งถามขึ้นอย่างร้อนรน เมื่อวิ่งตามมาดูใกล้ๆ

“ยัง...นิ้วเขายังขยับอยู่”

“พี่ผมเห็นน้ำมันรั่วนองเต็มพื้นเลย”

“เร็วเข้าช่วยกันงัดประตู ดึงคนออกมาให้ได้ ก่อนรถมันจะระเบิด”

“พี่ขวัญ ไฟลุกแล้ว” เสียงร้องบอกด้วยความตกใจดังขึ้น “จะไม่ทันแล้ว!”

“ต้องทันสิ...เร็วเจ้าพงศ์ ช่วยกันดึงแรงๆ...”

ตูม...ตูม...

เสียงระเบิดดังกึกก้อง ทั้งแผ่ประกายความร้อนจากเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชติช่วงท่วมรถหรูราคาเฉียดล้านทั้งคัน

“โอ๊ยๆ หวาดเสียว...โชคดีเป็นบ้าที่ไม่โดนสะเก็ดระเบิด” พงศ์ลูบเนื้อลูบตัวตรวจเช็กร่างกาย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกคนที่
เขาต้องห่วง “พี่ขวัญๆ เป็นอะไรหรือเปล่า”

“ฉันไม่เป็นไร แต่อาการของป้าคนนี้น่าเป็นห่วง ดูท่าจะหนักเอาการ...พงศ์แกวิ่งกลับไปที่บ้านนะ ไปบอกพ่อให้เอารถมาที่นี่
ด่วน เราจะพาคนเจ็บไปส่งโรง’บาล”

ทันทีที่สิ้นคำสั่งของพี่สาว พงศ์ก็ใส่เกียร์หมาโกยแนบกลับไปบ้านอย่างไม่คิดชีวิตด้วยกลัวว่าหากช้าไปแม้เพียงวินาที อาจ
ต้องสูญเสียชีวิตอีกหนึ่งชีวิตไปอย่างที่ไม่อาจเรียกเวลาให้ย้อนกลับมาแก้ไขได้อีก

“คุณคะคุณ...ทำใจดีๆ ไว้นะคะ อดทนไว้” หญิงสาวผู้ถูกขานนามว่าพี่ขวัญเขย่าร่างอ่อนระทวย ทว่าไร้การตอบสนอง มีเพียง
หยาดน้ำใสๆ ที่ไหลรินออกมาจากหางตาเท่านั้น

ร่างกายเจ็บปวดราวร้าวดั่งจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไร้เรี่ยวแรงที่จะขยับเขยื้อน ลมหายใจเริ่มติดขัด มโนภาพในอดีตผุดขึ้น
มากมายรวดเร็ว ราวกับหนังม้วนใหญ่ที่ถูกรีเพลย์ย้ำเตือนความถูกผิดที่เคยกระทำครั้งในอดีต...แล้วก็มาหยุดลงตรงบางสิ่งที่
เรียกว่า...ห่วง...ทั้งๆที่รู้ดีว่าหากสิ่งนี้เกิดขึ้นในจิตขณะใกล้หมดลมหายใจเมื่อใดแล้ว เมื่อนั้นการเดินทางไกลในครั้งสำคัญที่สุด
จะเป็นไปอย่างไม่สงบสุข

“หนูช่วยฉันด้วย...ฉันยังมีเรื่องต้องทำอีกมากมาย ฉันยังตายตอนนี้ไม่ได้” เสียงแผ่วที่ต้องการบอกบางสิ่ง ไม่สามารถหลุดพ้น
ออกมาจากริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีแดงสดนั้นได้แม้แต่พยางค์เดียว



ในสภาวะเหมือนหยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่ในความเป็นจริงกลับคือการพุ่งทะยานฝ่าปุยเมฆไปในอากาศ...

“อา...”

ชายหนุ่มเลื่อนมือลูบไล้ไปตามช่วงขาเรียวเนียนนิ่มนุ่มเย็น ที่แยกออกเปิดทางให้เขาโดยสัญชาตญาณ สะโพกกลมกลึงแอ่น
เบียดเสียดสีปลายนิ้วที่ลากขึ้นวนรอบส่วนกลางลำตัว เลื่อนใบหน้าต่ำลงครอบครองปลายยอดสีชมพู ตวัดลิ้นดูดดื่ม จูบซับ
อย่างกระหาย ก่อนจะย้ายไปเย้ายวนหยอกล้ออีกข้างให้ขมวดเกลียวแน่นแข็งเป็นไตชูชันท้าทายริมฝีปากร้อนชื้นที่พร้อมจะ
กลืนกินดอกไม้สวรรค์อันหอมหวานตรงหน้า

“อืม...อา...” เธอครางกระเส่า เมื่ออารมณ์ถูกกระตุ้นเร้าจนเกือบถึงจุดสูงสุด

ร่างสูงใหญ่สั่นระริก ไม่อาจต้านทานความกระหายหิวร้อนแรง เขากำลังจะได้ครอบครองเรือนร่างงดงาม...ทั้งหมดนี้จะเป็นของ
เขา และจะต้องเป็นของเขาเพียงผู้เดียว...

ข้อมือเล็กทั้งสองข้างถูกตรึงไว้เหนือศีรษะแนบจมลงบนที่นอนนุ่ม ด้วยมือใหญ่กว่าเพียงข้างเดียว...ก่อนส่งบางอย่างล้วงล้ำ
พุ่งเข้าสู่ร่างเธอ อย่างช้าๆ นุ่มนวล และระวังที่สุดเท่าที่เขาเคยปฏิบัติกับผู้หญิงคนไหนๆ เมื่อผ่านช่องทางอันคับแคบ กอดรัด
ทว่านุ่มและอบอุ่น จนกระทั่งถึงสิ่งกีดขวางเสมือนม่านบางๆขวางกั้น

“โอ...พระเจ้า...เป็นไปได้หรือนี่... เธอยัง...บริสุทธิ์...”

“เฮ้อ...”

หนังสือเล่มหนาถูกพับปิดพลางถอนหายใจเฮือก เมื่อวางหนังสือไว้บนอก หากสังเกตดูดีๆ จะพอเห็นใบหน้าแดงระเรื่อเหมือน
คนเพิ่งตากแดดจัดๆ คนที่เผลอมองคงต้องสงสัย ในเมื่อสถานที่ที่เขานั่งอยู่ แสงแดดไม่อาจโลมเลียผิวเขาได้แม้ปลายเล็บ มิ
หนำซ้ำ ยังเย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศ แต่หากเหลือบดูชื่อและภาพปกหนังสือในอ้อมกอดที่เขาอ่านก็คงพอจะเดาได้ว่า
ทำไมใบหน้าของเขาถึงมีอาการเช่นนั้น

เจ้าของกอดกระชับหนังสือเล่มหนาราวกับว่ามันสามารถให้ความอบอุ่น บรรเทาความอ้างว้างของหัวใจในขณะนี้ เมื่อเอนตัวพิง
พนักเก้าอี้พลางหลับตาอย่างเหนื่อยล้า เหมือนเพิ่งเดินทางรอนแรมมาจากที่ไกลแสนไกล...

ใช่แล้ว...เขากำลังเดินทางมาจากที่ไกลแสนไกลเพื่อกลับบ้าน ทว่าความเหนื่อยล้าที่มีไม่ได้เกิดจากการเดินทางเลยแม้แต่
น้อย แต่มันเกิดขึ้นในหัวใจ...หัวใจที่รับรู้ว่าได้สูญเสียบุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตไปอย่างไม่มีวันกลับ...คงเหลือไว้แต่ความ
ทรงจำกับหนังสืออันเป็นผลงานเรื่องสุดท้ายที่ถูกส่งมาให้เขาก่อนหน้าเหตุการณ์อันเลวร้ายจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่เดือน...

นิยายแนวอีโรติก พรสวรรค์อันบรรเจิดของนามปากกา ทิพย์ราตรี ที่สร้างสรรค์กลั่นกรองออกสู่สายตานักอ่านขายดิบขายดีจน
เป็นหนึ่งในนามปากกาที่น้อยคนนักจะไม่รู้จัก ทว่ามันกลับเป็นหนังสือที่เขาไม่เคยคิดที่จะหยิบขึ้นมาอ่าน จนกระทั่งถึงวันนี้ วัน
ที่เขาได้รับรู้ถึงความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งในชีวิต

“จะรับเครื่องดื่มอะไรเพิ่มเติมไหมคะ” แอร์โอสเตสสาวสวย เข็นรถบรรจุเครื่องดื่มนานาชนิดเข้ามาถาม ปลุกผู้โดยสารหนุ่มรูป
งามให้เปิดเปลือกตาขึ้นมาอีกครั้ง

หนังสือที่กอดอยู่กับอกถูกลดลงวางบนตัก ทั้งพลิกซ่อนปกภาพวาดหวือหวาตามแนวงานเขียนของผู้ประพันธ์ให้พ้นสายตา
หญิงสาวที่เหลือบลงมองพลางอมยิ้ม ดวงตาของเธอวาววับกับความคิดซุกซนที่ผุดขึ้นในหัว เมื่อสบตาผู้โดยสารหนุ่มมาดนัก
ธุรกิจผู้มีใบหน้าหล่อเหลาสะดุดตา

“ขอวิสกี้สักแก้วก็ดีครับ” ชายหนุ่มบอกอย่างสุภาพ และขอบคุณเมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการ

“ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมอีก บอกได้นะคะ” เธอยิ้มหวานให้เขา เพื่อหวังจะได้รับยิ้มตอบ แต่นั่นก็เป็นได้เพียงแค่ความหวัง
เท่านั้น

“ขอบคุณครับ” จิบวิสกี้ในมือแล้ว ก็เอนกายลงพิงพนักก้าวอี้หลับตาต่อ ตัดขาดความสนใจทุกสิ่งที่อยู่รอบกายไปสิ้น แม้กระทั่ง
เสียงเข็นรถเครื่องดื่มที่ดังห่างออกไป



ประตูอัลลอยด์ลวดลายคลาสสิกศิลปะโรมันประยุกต์ของคฤหาสน์หลังหนึ่งบนเนื้อที่กว่าห้าไร่แถบชานเมืองเปิดออกกว้าง
ด้วยรีโมตคอนโทรล อนุญาตให้เบนซ์คันหรูสีดำเป็นเงาแล่นผ่านไปได้อย่างสะดวก กระทั่งมาจอดนิ่งสนิทหน้าตัวตึก
สถาปัตยกรรมร่วมสมัยไทยกึ่งปราสาทเก่าแก่ในแถบประเทศตะวันตกที่ตั้งตระหง่านดูถมึงทึงน่าเกรงขามตามความนิยมของ
คหบดีผู้มั่งคั่งและมีหน้ามีตาในสังคม

“ถึงแล้วครับท่าน”

“อืม...ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปซักเท่าไหร่นะ” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะหลังเอ่ยเมื่อละสายตาจากหนังสือเล่มหนา
ในมือกวาดตามองไปรอบๆ บริเวณ

“ครับ...คุณผู้หญิงท่านไม่ชอบความเปลี่ยนแปลง” คนขับรถวัยกลางคนเอ่ย

“ก็คงอย่างนั้น”

อย่างรู้หน้าที่...คนขับรถเก่าแก่ในเครื่องแบบเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวติดกระดุมทุกเม็ดจนปิดคอ ยัดชายเสื้อลงในกางเกงขายาว
สีดำคาดทับด้วยเข็ดขัดหนังสีเดียวกันเรียบร้อย ก็รีบลงจากรถ เพื่อมาเปิดประตูที่นั่งตอนหลังด้วยท่าทางพินอบพิเทา

เขาโค้งคำนับอย่างงดงาม เมื่อร่างสูงก้าวลงจากรถคันหรู ก่อนจะปลีกตัวไปเปิดท้ายขนกระเป๋าสัมภาระออกมาวางไว้บนพื้น
บล็อกปูถนน เพื่อรอลำเลียงเข้าไปภายในอาคาร

ชายหนุ่มเจ้าของรูปร่างสง่างามแหงนเงยมองตัวบ้านจนคอตั้งบ่า ความยิ่งใหญ่อลังการยังคงประทับอยู่ไม่รู้ลืม รวมไปถึงห้อง
หับภายในที่ให้หลับตาเดิน เขาก็สามารถไปได้ในทุกๆที่ ถึงแม้จะจากไปนานนับหลายปี จนกระทั่ง...ข่าวอุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่
ทำให้ต้องสูญเสียบุคคลสำคัญที่สุดของชีวิต ทำให้เขาต้องละทิ้งชีวิตในต่างแดนกลับมาเยือนแผ่นดินเกิดอีกครั้ง พร้อม
คำถามอีกมากมายที่ต้องการสอบถามผู้รู้ผู้เกี่ยวข้องทุกคนถึงการตายของทิพย์ราตรี ป้าผู้ดูแลเขามาตั้งแต่เล็ก ไม่ต่างจากแม่
บังเกิดเกล้า...

“คุณหนูกลับมาแล้ว...”

เสียงแหบพร่าสั่นเครือทักทายด้วยความยินดี สามารถถึงสายตาของชายหนุ่มให้หันมาสนใจได้ไม่ยาก ก่อนที่ร่างสูงจะก้าว
เข้าไปใกล้หญิงวัยชราที่ยืนน้ำตาซึมด้วยรอยยิ้ม จะมีสักกี่คนที่มีโอกาสได้รับจากนาง ในขณะที่ผู้อาศัยรับใช้อื่นๆต่างมองดูเจ้า
นายคนใหม่ที่ทั้งหล่อทั้งสมาร์ตด้วยแววตาทึ่งแกมชื่นชม

“สวัสดีครับ เอียด” ชายหนุ่มพนมมือไหว้ในฐานะผู้รู้ซึ้งถึงบุญคุณในการถูกอุ้มชูเลี้ยงดูมาทั้งแต่แบเบาะ แม้เวลานี้เขาจะกลาย
เป็นประมุขของบ้านตามพินัยกรรมที่ระบุเอาไว้แล้วแต่ก็ไม่เคยลืมการเอาใจใส่ป้อนข้าวป้อนน้ำ และการเอาอกเอาใจของคุณ
ยายละเอียดคนนี้เลยสักครั้ง

“โถพ่อคุณ...คุณหนูโตเป็นหนุ่มใหญ่หล่อเหลาจนเอียดจำแทบไม่ได้” ร่างเล็กๆ ผละจากหญิงวัยรุ่นที่ยืนประครองอยู่ โผเข้า
โอบประครองใบหน้าครามคมสากระคายด้วยไรหนวดเขียวครึ้มด้วยสองมือที่เหี่ยวย่นตามวัยไม้ใกล้ฝั่ง สองตาฉายแววรักและ
ชื่นชม “ทำไมไม่กลับมาเยี่ยมเอียดบ้าง...ไม่รู้หรือว่าเอียดคิดถึงคุณหนูแค่ไหน”

“งานเยอะครับ...หาเวลาไม่ได้เลยจริงๆ...”

“ใครๆ ก็อ้างงานยุ่ง แม้แต่คุณผู้หญิง ก็ต้องมาจากไปเพราะงาน พอคุณหนูเสร็จธุระทางนี้ คุณหนูก็ต้องจากไปอีกใช่ไหม
คะ...บริวารของบ้านทรัพย์บริบูรณ์ต้องถูกปล่อยให้อยู่กันอย่างโดดเดี่ยว” นางเอียดเอ่ยด้วยแววตาเศร้าสร้อย

“ไม่หรอกครับ...ผมกลับมาที่นี่ ครั้งนี้ ผมมาเพื่อดูแลทุกคน ไม่ต้องห่วงนะครับ นับจากวันนี้ผมจะมีเวลาดูแลเอียดไปอีกนาน
เชียว” ชายหนุ่มตอบ

“จริงเหรอคะ...ดีจริงๆ...เอียดดีใจค่ะที่จะมีโอกาสดูแลคุณหนูของอีกครั้งในชีวิต” นางยิ้มน้ำตาซึม

“บอกแล้วไงว่าผมจะเป็นคนดูแลเอียด”

“ค่ะ ยังไงก็ดีทั้งนั้น ขอเพียงคุณหนูอยู่เป็นเสาหลักที่นี่...อ้อ...มัวแต่ดีใจ เกือบลืมไปเลย...มาค่ะ เอียดจะแนะนำคนงานคนรับใช้
ในบ้าน ให้รู้จักคุณหนู” แล้วนางก็หันไปทางบุคคลอื่นๆที่ยืนหน้าสลอนอยู่ใกล้ๆ “พวกเธอนี่คือคุณกริชนะ หลานชายคนเดียว
ของคุณผู้หญิง และต่อจากนี้ไปท่านก็จะเป็นเจ้านายคนเดียวของพวกเรา”

บรรดาคนรับใช้ต่างยกมือไหว้ บางคนก็โค้งคำนับฝากเนื้อฝากตัวอย่างรู้หน้าที่ แววตาของทุกคนที่มองเจ้านายคนใหม่เต็มไป
ด้วยความชื่นชมในช่วงท่าสง่างามและย่ำเกรงแววตาคมกล้าปนดุ ที่กวาดมองสำรวจไปทั่วทุกคน ทว่าต่างก็ยังมีความสงสัย
ซุกซ่อนอยู่ภายใน ทำไมเจ้าของบ้านผู้เป็นญาติสนิทเพียงหนึ่งเดียวเสียชีวิตไปนานกว่าเดือน จนพิธีศพผ่านพ้นแล้ว หลาน
ชายถึงเพิ่งจะโผล่มารับสืบทอดมรดก มันเป็นเรื่องที่น่าแปลกอยู่ไม่น้อยทีเดียว

“พวกเธอช่วยกันขนกระเป๋าพวกนี้ไปเก็บไว้ห้องที่เตรียมเอาไว้นะ...แล้วก็หาอะไรเย็นๆมาต้อนรับคุณผู้ชายด้วย” นางละเอียดสั่ง
การอย่างคล่องแคล่ว

“ให้เรียกฉันว่าคุณกริชก็พอแล้ว ไม่ต้องเรียกคุณผู้ชาย” เสียงทุ้มๆเอ่ยขึ้นกับบรรดาคนรับใช้ในบ้านเป็นครั้งแรก

“คุณหนูเข้าไปนั่งพักข้างในบ้านก่อนเถอะค่ะ มาเหนื่อยๆ ดื่มอะไรเย็นๆหน่อยจะได้หายเหนื่อย” หญิงชราเอ่ยชวน

“เอียดเลิกเรียกผมว่าคุณหนูได้แล้ว ผมอายุสามสิบกว่าแล้วนะ” กริชนะหันมาบอกแม่นมด้วยสีหน้ายุ่งๆ

“ก็มันติดปากแล้วนี่คะ”

“เรียกผมว่ากริชเหมือนคนอื่นๆ นะครับ” น้ำเสียงทุ้มๆปนออดอ้อนนั้น หากใครได้ฟังคงยากจะปฏิเสธ “อ้อ...ขอผมไปที่เรือนเล็ก
ก่อนนะครับ”

“จะไปทำไมคะ”

“ผมก็แค่อยากเห็นที่ที่ป้าใช้ชีวิตอยู่มากที่สุด...แต่เอียดไม่ต้องตามไปนะครับ ผมนึกอยากกินกับข้าวฝีมือเอียด ทำไว้รอนะ
เดี๋ยวจะกลับมากิน”

“เอาอย่างนั้นเหรอคะ”

ชายหนุ่มเจ้าของบ้านคนใหม่พยักหน้า เขาส่งยิ้มบางๆให้อย่างอบอุ่น ก่อนจะปลีกตัวเดินอ้อมไปยังอีกด้านอันเป็นที่ตั้งของ
เรือนไม้หลังเล็กอีกหลัง

“ให้ไปบ้านเล็กคนเดียวอย่างนั้นจะดีหรือคะคุณยาย” เด็กสาววัยรุ่นผู้ทำหน้าที่ดูแลหญิงชราเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหวาดหวั่น

“ทำไม...คุณกริชเธอเคยเล่นเคยคลุกคลีอยู่ที่บ้านหลังนั้นตั้งแต่เล็กจนโต แล้วจะมีปัญหาอะไร ถ้าเธอจะไปรำลึกย้อนความ
หลัง”

“ก็ที่นั่นมันมี...”

“มีอะไร...” คุณยายหันมาถามเสียงเข้ม

“แหะๆๆ...ไม่มีอะไรค่ะ” เด็กสาวปฏิเสธหน้าแหย เมื่อเห็นสีหน้าเอาเรื่องของหญิงชราที่ไม่ด้อยไปกว่าเจ้าของบ้านตัวจริง



ฝีเท้าหยุดนิ่งเมื่อเดินผ่านซุ้มประตูไม้เลื้อยเข้าสู่อาณาเขตที่ถูกแบ่งด้วยทิวไม้ประดับตัดแต่งจนกลายเป็นกำแพงเตี้ยๆ อดีต
บ้านหลังนี้เคยเป็นสถานที่เล่นของเขา แต่พอถูกส่งไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ เขาก็ไม่มีโอกาสได้มาเห็นที่นี่อีก ทั้งๆที่หวังว่า
เรียนจบจะกลับมา แต่กลับถูกมอบหมายให้รับผิดชอบดูแลงานสาขาที่นั่น

ฉับพลัน...ท้องฟ้าที่สว่างสดใสกลับมืดครึ้มด้วยเมฆก้อนมหึมาที่แผ่ตัวบดบังครอบคลุมไปทั่วบริเวณ เปลี่ยนบรรยากาศแห่ง
แสงสว่างในเวลากลางวันให้กลายเป็นยามโพล้เพล้...

ความรู้สึกบ่งบอก ดั่งมีหนึ่งคู่สายตาจับจ้อง ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ บริเวณที่ดูเหมือนจะถูกปล่อยให้อยู่ตามยถากรรม
สายลมเย็นพัดพลิ้วกระทบผิวเพียงแผ่วเบารู้สึกได้ถึงความเย็นที่แม้ไม่ได้มากมายนัก ทว่าขนแขนที่ได้รับการสัมผัสกลับลุกซู่
อย่างน่าประหลาด หรือนี่คือการตอบรับการมาเยือนของผู้เฝ้ารอคอยด้วยความคิดถึง

“ผมกลับมาแล้วครับป้า” ชายหนุ่มเอ่ยเบาเมื่อหลับตารำลึกถึงเจ้าของสถานที่ บุคคลผู้ที่เขารักและเคารพสุดชีวิต เทียบเท่าผู้
ให้กำเนิด

สายลมแผ่วหอบเอากลิ่นหอมจากดอกแก้วอันเป็นที่โปรดปรานของอดีตเจ้าของสถานที่ โชยเข้าแตะจมูกชวนให้สูดกลิ่นหอม
นั่นเข้าเต็มปอด ณ เวลานี้ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ดั่งกำลังถูกโอบกอดไว้ด้วยบุคคลอันเป็นที่รัก

เปลือกตาที่ประดับด้วยแพขนตายาวหนาดั่งชนอาหรับเปิดขึ้นมองเรือนเล็กหลังตรงหน้า งดงาม น่ารัก ราวกับบ้านตุ๊กตาใน
เทพนิยาย ไม่แปลกที่คุณป้าจะใช้ที่นี่สร้างสรรค์จินตนาการงานเขียนอันเป็นงานอดิเรกที่รักซะยิ่งกว่างานสร้างรายได้นับพัน
ล้านในแต่ละปี

ที่นั่น... บ้านเล็กๆ หลังนั้นกำลังเรียกร้องให้ก้าวเข้าไปหา ทว่ากริชนะขยับขาก้าวต่อไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็ต้องหยุดชะงักอีก
ครั้ง เมื่อสายตาหันไปเห็นบางอย่างเข้าซะก่อน...

บ้านสองชั้นขนาดกะทัดรัดอีกหลังที่อยู่นอกเขตรั้วกำแพงไม่ได้เป็นที่สนใจมากเท่าคนคนหนึ่งที่เพิ่งจะผลุบจากระเบียงเข้า
ประตู มองเห็นเพียงกลุ่มผมยาวสลวยดำสนิทเป็นสิ่งดึงดูดสุดท้ายก่อนจะพ้นสายตา กระตุ้นให้คิดถึงความรู้สึกแรกที่เดินผ่าน
ซุ้มประตูเข้าสู่อาณาเขตบ้านเล็ก...น่าจะเป็นคนนี้ คนที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกจับตามองอยู่ทุกฝีก้าว



เขมขวัญทาบฝ่ามือเข้าแนบอกข้างซ้ายที่กำลังเต้นระรัว...ทำไมเธอต้องรู้สึกตื่นเต้นดั่งว่ากำลังกระทำเรื่องผิดๆ แล้วถูกจับได้
ทั้งที่ก็แค่การยืนดูบ้านน่ารักๆ ในอาณาเขตคฤหาสน์หลังใหญ่ ไม่ได้ตั้งใจแอบมองผู้ชายคนนั้นสักหน่อย

มือนุ่มๆลูบอกไปมาพลางถอนหายใจเฮือก เมื่อหวนคิดไปถึงสิ่งที่เห็นเมื่อครู่...ผู้ชายคนหนึ่งที่แม้มองในระยะไกลยังบอกได้ว่า
เขาดูสง่างามดั่งเจ้าชาย...แต่ดูท่าว่าจะเป็นเจ้าชายที่แสนเย่อหยิ่ง เย็นชาไม่ต่างจากนิทานเรื่องโปรด...บิวตี้ แอนด์เดอะบิสต์
ตอนที่ยังไม่ถูกสาป เพราะเมื่อ หญิงท่าทางภูมิฐานคนนั้น คนที่เดินออกมาจากบ้านตุ๊กตาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า เอื้อมโอบรอบลำ
คอทั้งเขย่งตัวขึ้นจุมพิตที่ข้างแก้มก่อนจะคลายวงแขนเข้าสวมกอดที่เอวอย่างรักใคร่ กลับไม่ได้รับการตอบสนองจากชาย
หนุ่มรูปงามเลยแม้แต่น้อย

“ใจดำชะมัด ไม่สงสารผู้หญิงซะมั่งเลย”

พอสิ้นสุดคำอุทานเพียงเบาๆ เท่านั้น นางก็หันขวับมาจ้องมองเขม็ง ราวกลับได้ยินในสิ่งที่เธอเอื้อนเอ่ย จนต้องรีบผลุบจาก
ระเบียงเข้าห้องมายืนหัวใจแกว่งอยู่อย่างนี้

“เป็นไปไม่ได้หรอก ไกลขนาดนั้นจะได้ยิน...คิดไปเองแล้วสิเรา” หญิงสาวบอกตัวเองพลางลูบอกไปมา ให้คลายอาการตื่นเต้น
ทั้งเรียกขวัญให้เข้ามาอยู่กับเนื้อกับตัว

“หน้าคุ้นๆ แฮะ เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน...เจอที่ไหน...ทำไมนึกไม่ออกนะ...บรื๋อ... จู่ๆ ขนก็ลุกซู่ขึ้นมาซะงั้น” ว่าพลางยก
แขนขึ้นมาดู แล้วลูบอกมาลูบขนที่ตั้งเด่ให้ลู่กลับล้มลงเหมือนเดิม มโนยังปรากฏภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งจะพบเจอเมื่อครู่ ไม่
เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมถึงไม่อาจลบภาพติดตาอันนั้นไปให้พ้นสมองได้

“ขวัญเอ๊ย...เสร็จหรือยังล่ะลูก พ่อกับแม่จะกลับแล้วนะ”

“จ๋า...จะลงไปเดี๋ยวนี้จ้ะแม่” หญิงสาวตะโกนตอบรับเสียงเรียกที่ดังแว่วมาจากชั้นล่าง ก่อนจะรีบรุดเร่งฝีเท้าตามลงไปสมทบ

“เป็นไงบ้างลูก...ห้องหับข้างบน”

“ดีจ้ะแม่ ขวัญชอบ...มีห้องน้ำ มีระเบียง หน้าต่างอยู่ทิศทางลมพอดี อากาศไม่ร้อน”

“อยู่คนเดียวได้นะ” ผู้เป็นมารดาถามด้วยความห่วงใย

“ไม่มีปัญหาแน่นอนจ้ะ...ตอนเรียนขวัญก็พักอยู่ในหอพักคนเดียวตั้งหลายปี แม่ไม่ต้องห่วงนะ” เขมขวัญบอกทั้งโอบเอวมารดา
อย่างประจบ

“มันไม่เหมือนกัน ที่หอพักอย่างน้อยก็มีเพื่อนร่วมหอ แต่ที่นี่ บ้านหลังเดียว อยู่คนเดียว ยังไงแม่ก็ห่วง”

“ให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนพี่ขวัญไหมป้า...ฉันอยู่ได้นะ” เด็กชายวัยรุ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น

“ได้ยังไงไอ้พงศ์ แล้วโรงเรียนเอ็งล่ะ” ผู้เป็นป้าหันมาตอบเสียงเข้ม

“ก็ลา หรือไม่ก็ขาดเรียนซะเลย...”

“แม่เอ็งคงได้ตามมาแพ่นกะบาลแยก...โง่แล้วยังไม่คิดอยากจะเรียนอีก”

“งั้น...ถ้าพี่ขวัญได้ทำงานที่กรุงเทพฯ ฉันขอมาเรียนที่นี่นะป้า...คนเยอะดี ฉันชอบ” พงศ์ยังไม่วายต่อรอง

“ไปขอแม่เอ็งโน่น...แม่เอ็งคงให้มาหรอก...โรงเรียนที่กรุงเทพฯ เข้าเรียนง่ายๆซะที่ไหน ไกลบ้านก็ไกล ค่าใช้จ่ายก็สูง”

“แล้วป้าให้พี่ขวัญมาเรียนที่นี่ทำไมล่ะ แถมตอนนี้ยังให้พี่ขวัญมาทำงานอีก...ไม่รู้เหรอว่าฉันจะคิดถึงพี่ขวัญแค่ไหน” พงศ์บ่น
พลางทำหน้าเศร้า

“ก็ถ้าที่บ้านไม่มีปัญหาไร่นาจะถูกยึด ป้าก็คงเก็บพี่ขวัญของเอ็งเอาไว้ที่บ้านนอกโน่นแหละ...ใครบ้างจะอยากให้ลูกอยู่ไกลตัว”
ว่าพลางลูบไหล่ลูบหลังบุตรสาวด้วยความรักและห่วงใย “ไอ้บ้านหลังนี้ก็อยู่ซะก้นซอย ทั้งไกลทั้งเปลี่ยว”

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะแม่ ขวัญเรียนจบมาก็ต้องทำงานตามสายงานที่เรียน ถึงเราจะโชคร้ายเป็นหนี้กำนัลทอง แต่คงไม่ร้ายถึง
ขนาดหางานดีๆ ทำไม่ได้ ขวัญส่งใบสมัครไปหลายที่ ตอนนี้เขาก็เริ่มทยอยเรียกตัวไปสัมภาษณ์ งานออฟฟิศที่กรุงเทพฯ เงิน
เดือนดี จ่ายตามวุฒิก็หลักหมื่น ถ้าได้ ขวัญส่งเงินไปตัดต้นตัดดอกไม่กี่ปีก็ใช้หนี้ได้หมด”

“แล้วจะกินจะอยู่ยังไง” ผู้เป็นมารดายังห่วง

“อันนี้แม่ยิ่งไม่ต้องห่วง ขวัญอยู่คนเดียวสะดวกกับการควบคุมค่าใช้จ่าย...แถมบ้านของน้าขุนหลังนี้ขวัญก็อยู่แบบไม่ต้องเสีย
ค่าเช่า เพียงแค่ดูแลบ้านให้มันกลับมามีสภาพเป็นบ้านคนไม่ใช่บ้านร้างก็เท่านั้น”

“อยู่ได้แน่นะ...แม่ว่าบ้านหลังนี้มันวังเวงยังไงไม่รู้” ว่าพลางมองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกหวาดๆ

“อยู่ได้จ้ะ...เราทำความสะอาดเรียบร้อย บ้านก็น่าอยู่ขึ้นตั้งเยอะ เดี๋ยวถ้าพอมีเวลาหน่อย ขวัญจะหาสีมาทาใหม่ แค่นี้ก็กลาย
เป็นบ้านใหม่แล้ว”

“ข้างในล่ำลาเสร็จกันหรือยัง เราต้องรีบกลับแล้วนะ ต้องขับรถให้พ้นกรุงเทพฯ ก่อนค่ำ...เบื่อรถติด” เสียงตะโกนถามจาก
ภายนอกดังขึ้น

“จ้ะพ่อ...” เขมขวัญตะโกนตอบ ก่อนจะวกกลับมาสบตามารดา “ออกไปข้างนอกเถอะ...เจ้าพงศ์ด้วย พ่อรอนานแล้วเดี๋ยว
หงุดหงิดขับรถเร็ว ขวัญยิ่งห่วงๆ อยู่”

“อืม...” มารดารับคำอย่างเห็นด้วย ก่อนจะหมุนตัวเดินนำบุตรสาวและหลานชายเดินพ้นประตูออกไปภายนอก

“อยู่คนเดียวก็ระวังเนื้อระวังตัวด้วยล่ะ อย่าพาใครเข้าบ้าน ถึงจะเป็นเพื่อนหรือคนรู้จักก็อย่าพาเข้ามา คนกรุงเทพฯไว้ใจยาก” ผู้
เป็นพ่อเปิดฉากสอนสั่ง

“จ้ะ...”

“กลับบ้าน ก็อย่ากลับค่ำมืด”

“จ้ะพ่อ”

“เวลานอนใส่กลอนปิดหน้าต่างให้เรียบร้อย อย่าเผอเรอเป็นอันขนาด”

“รู้แล้ว...”

“แล้ว...”

“ไหนพ่อบอกจะรีบกลับไง กว่าจะสั่งสอนจบมืดกันพอดี”

“เออๆ...จะไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ...แล้วอย่าลืมส่งข่าวกลับบ้านทุกอาทิตย์ล่ะ”

“จ้ะพ่อ...ลูกขวัญขอน้อมรับคำสั่ง” อดไม่ได้ที่จะทำท่าล้อเลียน เมื่อมองไปเห็นแม่เริ่มมีน้ำตาซึม อย่างน้อยนั่นก็ทำให้แม่ยิ้ม
ออก

ล่ำลา สั่งสอน ตักเตือนกันเป็นที่พอใจแล้ว รถกระบะเก่าๆ อายุการใช้งานกว่าสิบปีคันนั้นก็แล่นจากไป ทิ้งไว้เพียงรอยอาลัย
และความเหงาที่คืบคลานแทรกซึมเข้ามาในจิตใจทันทีที่มีช่องทางให้ผ่านเข้าไป

“เอาน่าขวัญ...พรุ่งนี้ต้องไปรายงานตัวเข้าสอบสัมภาษณ์ที่บริษัท...แผนกบัญชีมีงานให้ทดสอบฝีมือและความรู้เพียบ...พอได้
ทำงานก็หายเหงาแล้ว” เธอบอกตัวเองก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าบ้านไป ด้วยความรู้สึกเดียวดายอย่างที่สลัดให้หลุดยังไงก็ไม่
ยอมหลุดออกไปจากใจสักที



ยามค่ำคืน...

คืนแรกในบ้านพักเก่าๆ ที่ผู้อาศัยเพิ่งได้เข้ามาอยู่ยังไม่ทันข้ามคืน...ไฟฟ้าบางดวงดับสนิทเพื่อประหยัดพลังงานและค่าใช้
จ่าย ยกเว้นหลอดหน้าบ้านยังส่องสว่างเพื่อเฝ้าระวังภัยที่อาจกล้ำกลายเข้ามาในยามค่ำคืน

เขมขวัญมองไปยังบ้านเล็กๆ ผ่านช่องหน้าต่าง ที่เธอตั้งชื่อให้มันว่าบ้านตุ๊กตา ณ เวลานี้ที่นั่นไม่ได้มีสิ่งที่ชวนให้สนใจเลย
แม้แต่น้อยนอกจากแสงจันทร์กระจ่างฟ้าที่ลอยเด่นอยู่เหนือหลังคาบ้าน ไกลออกไปอีกหน่อยก็คือตัวตึกใหญ่ตั้งตระหง่าน
ถมึงทึงราวกับปราสาทผีสิงในภาพยนตร์สยองขวัญ

“รีบเข้านอนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องตื่นไปสอบสัมภาษณ์แต่เช้า” เธอบอกตัวเอง พลางเอื้อมมือไปเกี่ยวหูจับบานหน้าต่างจะดึงเข้าหา
กัน

“เอ๊ะ!...”

สายตาไม่วายเหลือบเข้าไปเห็นเงาตะคุ่มๆ ที่อยู่หน้าประตูบ้านตุ๊กตาหลังนั้น แต่เมื่อพยายามจ้องมองให้ชัด กลับไม่ปรากฏสิ่ง
ใด นอกจากเงาไม้ที่ไหวเอนไปมา



“ที่แท้ก็ตาฝาด...เห็นเงาสนมังกรเป็นคนซะงั้น” เธอโยนคำตอบเรื่องตาฝาดไปยังต้นไม้ใกล้ๆ ถอนหายใจเฮือก เรียกขวัญให้
กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว จัดการลงกลอนหน้าต่างแน่นหนา ปิดกั้นสายลมเย็นที่กำลังโยกทิวไม้โอนเอนไปมาอยู่ภายนอก

ล้มตัวลงบนที่นอนขนาดห้าฟุต ด้วยความรู้สึกแปลกๆ สายตาเหลือบมองเงาดำจากไม้ใหญ่ทาบผนังห้องวูบไหวสร้าง
บรรยากาศวังเวงให้เกิดขึ้นได้ไม่ยากในท่ามกลางความมืดอันเงียบสงัด

“เธอไม่ใช่คนกลัวผีนี่ขวัญ แล้วจะกลัวอะไรกะอีแค่เงาต้นไม้...หลับตาลงก็ไม่เห็นอะไรแล้ว” หญิงสาวบอกตัวเอง ทั้งหลับตา
ลงตามคำสั่งของใจ








ทองหลาง
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ต.ค. 2559, 16:53:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ต.ค. 2559, 16:53:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 1304





   ตอนที่2 ข้อแลกเปลี่ยน >>
Zephyr 21 ต.ค. 2559, 22:59:32 น.
น่าสนใจๆๆๆ


นู๋โปะโกะ 19 ธ.ค. 2559, 14:57:08 น.
น่าสนุกจัง ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account