กามเทพเฮี้ยนเพี้ยนรัก
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อจู่ๆ ก็มีวิญญาณเข้ามาวนเวียนในชีวิต วิญญาณที่ไม่ได้มาหลอกหลอน เพียงแค่ต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง...ที่ต้องอาศํยข้อแลกเปลี่ยน
Tags: แนวผี

ตอน: ตอนที่2 ข้อแลกเปลี่ยน

2


หมอกขาวลอยผ่านเป็นม่านบางๆ พอให้มองเห็นเส้นทางทอดยาวไปข้างหน้าก่อนจะสลายไปช้าๆ เมื่อเขมขวัญเดินมาหยุดอยู่
หน้าบ้านหลังเล็กที่เธอเคยแอบมองอย่างหลงในความน่ารัก รอบๆตัวคือสวนดอกไม้สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็น...ได้กลิ่นหอ
มอ่อนๆ โชยมาแตะจมูกเป็นกลิ่นดอกไม้ที่เธอนึกอยากหาต้นมาปลูกไว้ให้เต็มบ้าน ทว่ากลับนึกไม่ออกว่าเป็นกลิ่นของดอก
อะไร แถมยังแยกไม่ถูกว่าเวลานี้...กลางวันหรือกลางคืน...

“หนูจ๋า...ดีใจจังที่ฉันได้เจอหนูอีกครั้ง”

เสียงหนึ่งดังแว่ว...ฉับพลัน...ภาพสวนดอกไม้ที่อยู่รายรอบก็แปรเปลี่ยนไปเป็นห้องห้องหนึ่ง ตกแต่งหรูดั่งห้องทำงานของคน
ชั้นสูงที่เห็นบ่อยในหน้าหนังสือออกแบบทั่วไป

“นั่งสิจ๊ะ...”

เสียงนั้นดังขึ้นอีกแล้ว เขมขวัญพยายามกวาดตามองหาเจ้าของเสียง ทว่าภายในห้องนั้นกลับว่างเปล่า...

“ว้าย!..” จู่ๆ เก้าอี้ไม้เนื้อแข็งเคลือบเงาวาววับก็เลื่อนเข้ามาชิดด้านหลังกระแทกที่ข้อพับหัวเข่าให้เธอต้องทรุดตัวลงนั่งโดย
อัตโนมัติ...นี่มันอะไรกัน...เขมขวัญถามตัวเอง...เธออยู่ที่ไหน และใครกันที่กำลังพูดกับเธอ...

“คุณเป็นใครคะ...ต้องการอะไร” หญิงสาวตะโกนออกไปด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น ไม่วางใจ

“คนที่กำลังต้องการความช่วยเหลือจากหนู...อีกครั้ง” เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงผู้หญิงมีอายุวัยกลางคนตอบกลับมาทันควัน ทว่า
กลับไม่ปรากฏตัวตน

“ช่วย?”

“ช่วยอย่างที่เคยช่วยฉันมาแล้ว...”

“เอ่อ...เราเคยพบกันด้วยเหรอคะ...หนูเคยช่วยคุณเมื่อไหร่กัน”

“มันคือพรหมลิขิต...เรามีวาสนาต่อกัน...” เสียงนั้นพอฟังได้ถึงความรู้สึกดีใจของคนพูด

“แล้วจะให้ช่วยอะไรคะ” ความสงสัยปะปนอยู่กับความหวาดหวั่นจนแทบจะแยกกันไม่ออก

“เห็นนั่นไหม...ของที่อยู่บนโต๊ะนั่น...หนูต้องช่วยฉันทำมันให้เสร็จ” เสียงนั้นบอกโดยไม่คิดที่จะออกมาแสดงตัวให้เห็นเลย
แม้แต่น้อย

เขมขวัญมองไปยังโต๊ะทำงานตัวใหญ่เบื้องหน้า ด้านหลังเป็นชั้นติดผนังที่มีหนังสือบรรจุอยู่นับร้อย...เธอลุกเดินเข้าไป
ใกล้...ปรากฏพิมพ์ดีดหนึ่งเครื่องที่ยังมีกระดาษแผ่นหนึ่งเสียบคาอยู่บนโต๊ะ เพราะความสลัวราง จะกลางวันก็ไม่ใช่ จะกลางคืน
ก็ไม่เชิงทำให้ไม่อาจมองออกว่ากระดาษแผ่นนั้นพิมพ์ข้อความสิ่งใดเอาไว้

“ช่วยทำมันให้เสร็จที...” น้ำเสียงนั้นเบาหวิว เหมือนล่องลอยมาจากสถานที่ไกลแสนไกล

“มันคืออะไรคะ...คุณจะให้ฉันทำอะไร”

“หนูต้องช่วยฉัน...ฉันจะช่วยหนู...แต่หนูต้องช่วยฉัน” ประโยคร้องขอสิ่งแรกเปลี่ยนดังก้องไปทั่วบริเวณ

“รับปากสิๆๆๆ....”

“หนูคงช่วยคุณไม่ได้ หนูไม่รู้ว่านั่นมันคืออะไร” เขมขวัญปฏิเสธ

“ช่วยได้สิ...หนูเท่านั้นที่จะช่วยได้...” เสียงตอบกลับเย็นยะเยือก

เขมขวัญเตือนตัวเองว่าหากเธอยังคงอยู่ที่นี่ต่อไปคงได้ช็อกตายเพราะเสียงที่ให้ความรู้สึกหลอนเสียงนี้...เร็วเท่าความคิด
หญิงสาวรีบพาตัวเองตรงไปยังประตูหนึ่งเดียวที่มองเห็น นั่นน่าจะพาเธอออกสู่ภายนอก ทว่าเมื่อก้าวผ่านประตูนั้นออกไป เธอ
ก็ยังคงกลับมายืนอยู่ในห้องทำงานห้องเดิม สามรอบ...สี่รอบ...กระทั่งหอบเหนื่อย...

“โอ๊ยไม่ไหวแล้ว...เหนื่อยเป็นบ้า..ถ้านี่คือฝัน...ได้โปรดเถิด ใครก็ได้ช่วยปลุกฉันที...” เธอร้องตะโกนก้อง ทั้งยังไม่ลดละที่จะ
ก้าวผ่านประตูเพื่อหาทางออก

“รับปากก่อนสิว่าจะช่วย”

“ได้ๆ หนูรับปากแล้ว...ปล่อยหนูออกไปจากที่นี่เถอะ...จะให้ทำอะไรก็ยอมทั้งนั้น” เธอตอบออกไปดังๆ ดั่งกลัวว่าคนที่เจรจา
ด้วยจะไม่ได้ยิน

“...ฉันจะช่วยหนู...แต่หนูต้องช่วยฉัน...”

เขมขวัญได้ยินประโยคซ้ำๆนั้นเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ ทว่านี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ยิน เมื่อเธอสามารถก้าวผ่านประตู
ออกสู่ภายนอกที่งดงามด้วยมวลไม้ดอกไม้ประดับนานาพันธุ์ได้สำเร็จ...

หญิงสาวยิ้มกว้าง...ใจมาเป็นกอง ทว่าไม่เท่าไหร่ ใบหน้าเปื้อนยิ้มของเธอกลับแปรเปลี่ยนเป็นเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
สุดขีด เมื่อออกมาเผชิญหน้ากับบางสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต

“ว้ายช่วยด้วย...งูยักษ์” เธอตะโกนลั่นพลางหันจะกลับเข้าไปในบ้านหลังเล็กหลังนั้นอีกครั้ง

ช้าไปแล้ว...เธอไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้อีก เมื่ออสรพิษร่างใหญ่นั้นพุ่งตรงมา เลื้อยรัดรอบเท้าทั้งสองข้าง พันวนเวียนไปทั้ง
ตัว ให้รู้สึกหนาวสะท้าน เมื่อเสื้อผ้าที่สวมใส่เลือนหายไปหมด เหลือเพียงเนื้อตัวที่เปล่าเปลือยสัมผัสแน่นกับความนิ่มหยุ่นลื่น
ของเกล็ดเหลื่อมระยับจนกระทั่งมันขึ้นมาหยุดแผ่แม่เบี้ย เผชิญหน้าอย่างกระชั้นชิด

“ช่วยด้วย...ใครก็ได้ช่วยที...น่ากลัว...น่ากลัวเหลือเกิน...โอ้ย...”

ทุกสิ่งทุกอย่างดับวูบลงกับความรู้สึกที่ น่าจะเรียกว่าคล้ายถูกงูกลืนร่างไปทั้งตัวแม้พยายามดิ้นรนช่วยเหลือตัวเองยังไงก็ไม่
อาจหลุดพ้น เห็นทีชีวิตคงดับดิ้นลงตรงนี้

“พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยด้วย...”

เขมขวัญทะลึ่งตัวขึ้นนั่งด้วยอาการตกใจตื่น...เหงื่อไหลโทรมกาย ทั้งมองไปรอบๆห้องที่ยังไม่มีความคุ้นเคยสักเท่าไรนัก

“โอ๊ยฝันบ้าฝันบออะไรไม่รู้ น่ากลัวชะมัด” บ่นพลางก้มลงมองสภาพตัวเองที่มีผ้าห่มพันรอบตัวแน่นเอี๊ยดจนแบบขยับไม่ได้
“ผ้าห่มม้วนเป็นหนอนแบบนี้ ไม่ฝันว่าถูกงูรัดก็บ้าแล้ว...”

คลายผ้าห่มออกจากตัวได้สำเร็จ สายตาก็เหลือบไปมองนาฬิกาปลุกที่บอกเวลาตื่นของเธอตอนนี้สายกว่าปกติร่วมครึ่งชั่วโมง

“ตายแล้วสายแล้ว...ทำไมนาฬิกาไม่ยอมปลุกเนี่ย...” แทบอยากจะเขกกะโหลกตัวเอง แต่เธอไม่มีเวลามากขนาดนั้น เพราะวัน
นี้มีนัดสำคัญให้ต้องรีบลุกคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำในทันควัน



ถึงจะเรียนจบย้ายกลับไปอยู่บ้านกว่าสองปี เรื่องถนนหนทางในกรุงเทพฯสำหรับเขมขวัญแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพียงแค่รู้จักเส้น
ทางการเดินรถของรถโดยสารประจำทาง หรือไม่ก็เส้นทางรถไฟฟ้าทั้งใต้ดินบนดิน การจะไปสอบสัมภาษณ์ในทันเวลาไม่ใช่
ปัญหา หากเธอไม่เกิดตื่นสายขึ้นมาซะดื้อๆ อย่างเช้าวันสำคัญวันนี้

“เพราะฝันนั่นแท้เชียว...เลยนอนตื่นสาย...แปดโมงเช้าแล้วจะไปทันไหมนี่” เขมขวัญเร่งฝีเท้าทั้งบ่นสมองยังไม่วายคิดถึงความ
ฝันเมื่อคืน

...ฉันจะช่วยหนู...แต่หนูต้องช่วยฉัน...

...ป้าจะทำให้หนูได้งานได้เงินเดือนดีๆทำอย่างที่บอกจริงๆหรือเปล่า...คิดแล้วก็ยิ้มขำตัวเอง

“ได้สิ...ถ้าหนูรับปากจะช่วยฉัน” เสียงหนึ่งดังแว่วอยู่ในหู ดั่งล่องลอยมาจะสถานที่อันไกลโพ้น

“หือ...เฮ้อ...คุณป้าขา...อย่าว่าแต่ได้งานได้เงินเดือนดีๆเลย แค่ไปสอบสัมภาษณ์ให้ทันเวลานี่ก็บุญแล้ว” เขมขวัญเผลอบ่น ทั้ง
เร่งฝีเท้าให้ไปถึงหน้าปากซอยให้เร็วขึ้น พลางคิดหาวิธีที่จะไปให้ทันเวลา งานนี้สงสัยต้องพึ่งแท็กซี่แล้วล่ะ

แล้วหญิงสาวก็ต้องกระโดดหลบแทบติดกำแพง เมื่อมีรถเบนซ์คันหรูสีดำเป็นเงาวาววับวิ่งผ่านด้วยความเร็วที่แม้จะไม่มากนัก
แต่มันก็ทำให้น้ำในแอ่งถนนสาดกระจาย

“ว้าย...อี๋...ไอ้รถบ้า เหยียบลงไปได้ แอ่งน้ำบ่อเบ้อเริ่มไม่เห็นหรือไง เอาอะไรทำตาวะ...โธ่โว้ย...เปื้อนหมด” หญิงสาวตะโกนด่า
ทั้งควานหาผ้าเช็ดหน้ามาซับรอยเปื้อนที่กระโปรง ไม่สนใจมองรถคันนั้นอีก เพราะคิดว่าพวกคนรวย ขับรถหรูๆ คงไม่สนใจลง
มาดูดำดูดีประชาชนคนเดินถนนอย่างเธอเป็นแน่

“คุณครับคุณ...ขอโทษนะครับที่ทำคุณเลอะ”

เสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ ให้เขมขวัญที่กำลังกำจัดคราบสกปรกบนกระโปรงด้วยผ้าเช็ดหน้า ต้องเหลือบขึ้นมองด้วยสายตา
หงุดหงิด

“ลุงรู้ไหมว่าความสะเพร่าของลุงจะทำให้ฉันไม่ได้งาน”

“ขอโทษครับ...ขอโทษจริงๆครับ”

เขมขวัญมองชายวัยกลางคนที่อย่างน้อยก็มีน้ำใจลงมาขอโทษขอโพย พลางถอนหายใจทั้งคิดในใจว่าจะเดินทางต่อไปหรือ
กลับบ้านดี...สายก็สาย กระโปรงก็เปื้อน งานนี้สงสัยคงรับประทานแห้ว ถ้าจะซวยแต่เช้าอย่างนี้...

“เอาเถอะลุง...ไม่เป็นไรหรอก ฉันคงซวยของฉันเอง” ว่าพลางถอนหายใจ แล้วก้มมองกระโปรงย้วยยาวแค่เข่าซึ่งบัดนี้มีรอย
เปื้อนเป็นด่างให้เห็นชัดเจน

“จะเจรจาอะไรให้มากความ ให้เงินเขาไปสักพันจะได้จบๆ”

เสียงตะโกนสั่งการดังแว่วมาจากรถที่จอดอยู่ไม่ไกล นั่นทำให้เขมขวัญถึงกับเลือดฉีดปี๊ดขึ้นสมอง...เธอก้าวฉับๆมาหยุดยืนที่
ข้างรถ เลิกสนใจคุณลุงสุภาพ ที่พลอยวิ่งตามมาติดๆ แต่หันมาสนใจไอ้ผู้ชายแล้งน้ำใจในรถแทน

“นี่คุณ...” เธอใช้นิ้วเคาะกระจกรัวๆ เร่งให้อีกฝ่ายโผล่ออกมาเผชิญหน้า

“มีอะไรมิทราบ...หรือคิดว่าหนึ่งพันน้อยไป...ลุงชู จ่ายให้เขาไปสองพัน แล้วก็รีบมาขึ้นรถ ฉันไม่อยากไปสายตั้งแต่วันแรกที่เข้า
บริษัท”

“ครับคุณกริช”

ลุงชูล้วงหยิบธนบัตรสีเทาสองใบที่เจ้านายให้ไว้ใช้จ่ายทั่วไประหว่างเดินทางออกมายื่นให้หญิงสาวที่ยังทำหน้าตึงคิ้วขมวด
อย่างเอาเรื่อง เธอไม่สนใจที่มองมันซะด้วยซ้ำ นอกจากการจ้องเขม็งไปยังใบหน้าคมคายของเจ้านาย ทว่าลุงชูรู้ดีว่านั่นไม่ใช่
ด้วยจิตพิศวาส

“ฉันไม่รับเงิน” เธอเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ

“ไม่เอาเงินแล้วจะเอาอะไร ลุงชูแกขอโทษไปแล้ว ก็น่าจะแล้วๆกันไป ยังจะมาโวยวาย โน่นนี่นั่นให้คนอื่นเขาเสียเวลา...ผู้หญิง
นี่เรื่องมากซะจริง...”

ยิ่งประโยคนี้ก็ยิ่งทำให้เขมขวัญรู้สึกถึงอาการเลือดฉีดขึ้นหน้า...คนรวยเป็นแบบนี้กันทุกคนหรือเปล่านะ ทำผิดแล้วชอบใช้เงิน
ฟาดหัว

“ไปเถอะลุง...บอกแล้วไงว่าฉันรีบ”

“ครับๆๆๆ” ลุงชูตอบรับ เขาหันไปมองหญิงสาวเหมือนลุแก่โทษก่อนจะเปิดประตูรถ ก้าวขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ

ในจังหวะเดียวกัน เขมขวัญเองก็ไม่รอช้า เธอเดินอ้อมไปยังประตูรถด้านตรงข้ามกับที่เจ้านายหนุ่มนั่งอยู่ ทั้งเปิดเข้าไปนั่งคู่กับ
เขาหน้าตาเฉย

“นี่คุณ...ขึ้นมาทำไม”

เสียงทุ่มๆ ถามห้วนๆ สายตาที่มองผู้บุกรุก ดูไม่เป็นมิตรทว่าหญิงสาวไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย แถมยังหันมาส่งยิ้มให้
ด้วยแววตาที่นึกอยากยั่วโมโหให้อีกฝ่ายอกแตกตายซะตรงนี้

“ฉันจะให้คุณชดใช้โดยการพาฉันไปส่งให้ถึงบริษัทที่ฉันต้องไปสอบสัมภาษณ์งาน” เธอบอกก่อนจะรีบคว้าโทรศัพท์มือถือ
ออกมากดข้อความอะไรบางอย่างลงไป “ฉันส่งข้อความไปบอกเพื่อนที่เป็นตำรวจแล้วว่าฉันโดยสารมากับรถคนแปลกหน้า รถ
ยี่ห้อนี้ เลขทะเบียนนี้ ถ้าเกิดคุณพาฉันไปทำมิดีมิร้าย คุณได้เจอคุกแน่” ขู่เสร็จก็เก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าตามเดิม

กริชนะ กวาดตามองผู้หญิงเรื่องมากที่ถือวิสาสะขึ้นมานั่งเบาะข้างเขาอย่างหน้าไม่อาย หน้าตารึก็...งั้นๆ แต่งตัวยังเชยชนิดที่
คุณป้าเรียกพี่ คำพูดคำจาก็ระคายหู ดูถ้าหล่อนจะไม่ยอมอะไรง่ายๆ หากเขาโวยวายลากหล่อนลงจากรถก็จะกลายเป็นเรื่องให้
อับอายขายขี้หน้าผู้คนซะเปล่าๆ...ช่างเถอะ...พอถึงที่หมายก็ทางใครทางมัน คงไม่ได้เจอะเจอกันอีก

“ให้ผมไปส่งที่ไหนครับ” คนถามเส้นทางกลับเป็นลุงชู ที่แกตัดสินว่าเจ้านายคงอนุญาตจากความเงียบที่ไม่ได้รับการปฏิเสธ

“ไปส่งที่บริษัททรัพย์บริบูรณ์เอ็กซ์ปอร์ต...” เขมขวัญเอ่ยชื่อบริษัทที่เรียกตัวเธอเข้ารับการสัมภาษณ์

“ครับ...โชคดีจริง เราเองก็กำลังจะไปที่นั่นเหมือนกัน” ลุงชูรับคำก่อนจะพารถเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความระมัดระวังที่เพิ่มขึ้น
กว่าเดิม



สายไปแล้วสิบนาทีเมื่อเธอเดินทางมาถึงหน้าอาคารสูงระฟ้าจนต้องแหงนมองจนคอตั้งบ่า งดงามและทันสมัย สมกับเป็น
บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำรายได้มหาศาล ...นี่ไม่ใช่เวลามาชื่นชมอาคารสถานที่อย่างนักท่องเที่ยว แต่เธอต้องรีบแล้ว...

“ดิฉันมาสอบสัมภาษณ์เข้าทำงานที่นี่ค่ะ...ขอโทษนะคะที่มาช้า พอดีว่าระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุขึ้นนิดหน่อย” เขมขวัญแจ้ง
ความประสงค์ที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ เพราะเธอต้องวิ่งจากถนนหน้าบริษัทเข้ามาจนถึงที่นี่เพื่อให้มา
สายได้น้อยที่สุด หลังจากที่รถของนายผีดิบส่งเธอลงแค่ตรงหน้าป้ายทางเข้าบริษัท

“ถือว่าคุณโชคดีมากนะคะ เพราะทางนี้เองก็ยังไม่เริ่มการสัมภาษณ์ค่ะ” พนักงานสาวเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร

“อ้าว...” เขมขวัญเหลือบตามองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่แขวนอยู่ผนัง

“ท่านประธานมีความประสงค์จะเข้าสังเกตการณ์สัมภาษณ์งานครั้งนี้ด้วย เลยต้องรอ”

“อ๋อ...ค่ะ...” เขมขวัญยิ้มตอบ

“เชิญคุณที่ฝ่ายบุคคลชั้นสี่เลยค่ะ”

“ขอบคุณค่ะ”

เขมขวัญปลีกตัวไปยังลิฟต์ กดเรียกแล้วยืนรอ ไม่นานนักลิฟต์ก็เคลื่อนจากชั้นลานจอดรถขึ้นมาหยุดยังชั้นที่เธอยืนอยู่ ประตู
ลิฟต์จึงเปิดออกกว้าง...แล้วก็ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อสายตาพลันสบเข้ากับดวงตาคมดุของคนที่อยู่ก่อน

“โลกมันจะกลมอะไรนักหนาเนี่ย” เผลอบ่นอุบอิบ แต่ก็จำต้องก้าวเข้าไปยืนภายใน กดหมายเลขชั้นที่ต้องการแล้วทำเมินเฉย
เหมือนภายในลิฟต์มีเธออยู่เพียงคนเดียว

แม้ไม่กี่วินาที แต่ช่วงเวลาแบบนี้ก็ทำให้รู้สึกอึดอัดได้ไม่ยาก กับการที่ต้องมายืนตามลำพังในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ กับผู้ชายที่
ไม่ถูกชะตา เขมขวัญผ่อนลมหายใจออกจากอกเมื่อเหลือบดูแสงไฟแสดงหมายเลขอย่างน้อย นายผีดิบ ก็ไม่ได้ไปชั้นเดียวกัน
กับเธอ นั่นหมายถึงความหวังว่า เธอจะมีโอกาสเผชิญหน้ากับเขาครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย พอคิดได้แบบนี้ทำให้เขมขวัญรู้สึก
สบายใจขึ้นเป็นกอง

พอออกจากลิฟต์ก็รีบตรงไปยังแผนกบุคคลเพื่อรายงานตัวเข้ารับการสัมภาษณ์ มองไปรอบๆ ห้องที่เต็มไปด้วยคู่แข่งที่มา
สมัครงานเช่นเดียวกับเธอ ทุกคนต่างอยู่ในอาการสงบนิ่ง การสัมภาษณ์งานวันนี้มีหลายตำแหน่งที่ให้ช่วงชิง ทั้งเลขานุการ ทั้ง
ธุรการ และงานบัญชี สำหรับเขมขวัญแล้วเธอเลือกงานบัญชี เพราะตรงตามสายงานที่เรียนมา และหวังอย่างมากที่จะได้งาน
ไม่ที่ใดก็ที่หนึ่งเพื่อความอยู่รอดของครอบครัว

...ฉันจะช่วยหนู...แต่หนูต้องช่วยฉัน...

เสียงหนึ่งดังแว่วในหู เขมขวัญสลัดศีรษะขับไล่ความคิดเรื่องความฝันอันฟุ้งซ่านทิ้งความฝันที่ทำให้เธอหูแว่ว ทั้งบอกตัวเอง
ว่าเวลานี้เธอต้องรวบรวมสมาธิให้ตั้งมั่น การสัมภาษณ์งานครั้งนี้มีความสำคัญกับเธอมาก ด้วยระดับผลการศึกษาที่ไม่ได้ดีเด่
เหนือคนอื่นในขั้นเกียรตินิยมอันดับหนึ่งหรือสอง ทว่าออกจะไปในทางเกือบรั้งท้ายซะด้วยซ้ำ คะแนนในการตอบคำถามจึงเป็น
สิ่งที่เธอต้องทำให้ได้มากที่สุด

“คุณเขมขวัญ ปุรารักษ์ เชิญห้องสัมภาษณ์ค่ะ” เสียงหวานๆของพนักงานบริษัทผู้ทำหน้าที่ขานชื่อผู้เข้ารับสัมภาษณ์ดังขึ้น

“ค่ะ...”

เขมขวัญยืนสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ สำรวจความเรียบร้อยในการแต่งกายของตนเอง...ชุดเสื้อคอเชิ้ตแขนยาวสีขาวติดกระดุม
เม็ดโตที่ข้อมือตรงไหล่พองเป็นแขนตุ๊กตา ยัดชายเสื้อลงในกระโปรงบานย้วยสีเทายาวแค่พอดีเข่า แม้จะมีรอยเปื้อนที่อาจ
ทำให้ภาพลักษณ์เสียไป แต่เชื่อว่าหากเธอตอบคำถามดีๆ กรรมการน่าจะมองข้ามปัญหาปลีกย่อยเล็กๆพวกนี้

“เชิญคุณเขมขวัญค่ะ” พนักงานขานชื่อ เรียกซ้ำอีกรอบ

“ค่ะๆ มาแล้วค่ะ”

เขมขวัญรีบก้าวตรงไปยังห้องที่มีป้ายบอกว่าห้องสัมภาษณ์ติดเอาไว้อย่างชัดเจน เธอหยุดสูดหายใจเข้าเต็มปอดอีกครั้งก่อน
จะค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหมุนลูกบิดประตูก้าวเข้าไปเผชิญหน้ากรรมการที่รอสัมภาษณ์เธอด้วยท่าทางที่
มั่นคง ทว่าจิตใจนั้นแทบระงับอาการตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่

ยิ้มคือความประทับใจแรกเห็น...เขมขวัญบอกตัวเองเมื่อเปิดประตูบานใหญ่ผ่านเข้าไปพร้อมฉีกยิ้มประทับใจที่คิดว่าถ้าใครได้
เห็นจะรู้สึกเมตตาสาวน้อยตาดำๆ จากต่างจังหวัด

“เชิญนั่งครับคุณ...เอ่อ...” กรรมการก้มหน้าลงอ่านเอกสารในมือ “เขมขวัญ”

“ ขอบคุณค่ะ”

เขมขวัญพนมมือไหว้อย่างสุภาพ ทั้งส่งยิ้มให้กรรมการที่นั่งเรียงกันอยู่ถึงสามท่าน ซึ่งถือได้ว่าการสัมภาษณ์งานครั้งนี้ค่อนข้าง
โปร่งใสอยู่ไม่น้อย แต่ไม่ใช่สิ...กรรมการอาจจะมีถึงสี่ท่านหากนับบุคคลอีกคนหนึ่งที่นั่งแยกห่างออกจากกลุ่มพอควร เธอ
อยากจะส่งยิ้มฝากเนื้อฝากตัวให้เขา แต่เพราะมีแฟ้มเอกสารฉบับใหญ่ปิดกั้น รอยยิ้มจึงไม่อาจส่งผ่านไปให้เห็นได้

“เริ่มเลยก็แล้วกันนะคะ” กรรมการหญิงหนึ่งเดียวเอ่ยเปิดการสัมภาษณ์ ดึงความสนใจของหญิงสาวที่มีต่อบุคคลผู้ไม่แสดงตัว
ตนคนนั้น

“เท่าที่ดูจากใบสมัครที่คุณกรอกรายละเอียด...คุณเรียนจบมาแล้วสองปีใช่ไหมคะ”

“ค่ะ”

“ไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน...”

“ดิฉันเคยฝึกงานที่บริษัทจำหน่ายเครื่องเซรามิกช่วงเทอมสุดท้ายก่อนเรียนจบค่ะ...และยังได้เกรดระดับดีด้วย”

“แต่มันก็ตั้งสองปีกว่ามาแล้วนะคะ...”

“งานทุกอย่างไม่ว่าจะเก่าใหม่ มีประสบการณ์หรือไม่มี ดิฉันคิดว่านั่นล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยการเรียนรู้ใหม่ๆทั้งนั้น โดยใช้วิชา
ความรู้มาเป็นตัวช่วยเสริมการทำงานให้มีประสิทธิภาพขึ้น ดิฉันเป็นคนเรียนรู้เร็วค่ะ”

“คุณยังคิดว่าระบบการทำงานจะยังคงรูปแบบเดิมอยู่อย่างนั้นหรือ และยิ่งบริษัทของเราเป็นบริษัทใหญ่เนื้องานมาก เรา
ต้องการคนที่มีความรับผิดชอบที่ค่อนสูงนะครับ” หนึ่งในกรรมการเอ่ยขึ้นบ้าง

“ดิฉันคิดว่า ดิฉันมีสิ่งที่ทางบริษัทต้องการ”

“อะไรหรือครับ”

“ความรับผิดชอบค่ะ...ดิฉันมั่นใจว่ามีความรับผิดชอบมากพอที่จะทำงานให้สำเร็จแล้วเสร็จทันเวลา อย่างมีประสิทธิภาพ”

“ตอบได้ดีมากจ้ะหนู...อย่างนี้ฉันให้ผ่านเลย”

เสียงหนึ่งดังแว่วราวกับมีใครสักคนกระซิบอยู่ข้างหู นั่นทำให้เขมขวัญถึงกับเผลอหันไปมองรอบๆ ห้อง

“หากงานที่ทำเป็นงานนอกสถานที่ อาจต้องเดินทางไกล มีพักค้างคืนบ้าง คุณจะสะดวกหรือเปล่า” ชายอีกคนถามขึ้นบ้าง นั่น
อาจเป็นคำถามที่ดูเหมือนเป็นคำถามธรรมดา หากแววตาของคนถามจะไม่วับวาวจนเกินความพอดี

“ถ้าหากนั่นคือเรื่องงานดิฉันยินดีค่ะ”

“คุณเรียกเงินเดือนสูงเกินไปนะ สำหรับพนักงานที่ไม่มีประสบการณ์อะไรเลย แต่ขออัตราเงินเดือนตั้งหมื่นห้า”

“ดิฉันเรียกเงินเดือนตามวุฒิค่ะ” เขมขวัญเอ่ย...เงินเดือนหมื่นห้าหากอยู่ที่บ้านในต่างจังหวัดก็ถือว่าสูงทีเดียวกับการใช้จ่ายใน
การดำรงชีวิต ทว่าที่นี่คือกรุงเทพฯ ใครๆต่างรู้ดีว่าค่าครองชีพสูงขนาดไหน ขอไปหมื่นห้า ทั้งค่ากินค่าอยู่และต้องส่งกลับ
บ้าน ยังไม่รู้เลยว่าจะพอหรือเปล่า...

“ถ้าเราให้ได้แค่หมื่นสองพันบาทล่ะ...คุณยังอยากจะทำงานกับเราไหมคะ” กรรมการหญิงถามต่อรอง

เจอข้อต่อรองนี้ก็เล่นเอาหญิงสาวถึงกับอึ้งไปหลายนาที...

“ว่าไงคะ”

“ตอบไปเลยว่าไม่มีปัญหา...ถ้าเขารับหนูเข้าทำงาน เดี๋ยวฉันจะช่วยขึ้นเงินเดือนให้เอง” เสียงหนึ่งยังดังแผ่วอยู่ที่ริมหู...เขม
ขวัญไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน แต่คำตอบที่ตอบไป เธอจำเป็น เพราะไม่มีทางเลือก ยังไงก็ขอให้มีงานไว้ก่อน เงินเดือนน้อยก็
ค่อยหางานอื่นเสริมไป

“หากทางบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนหลายร้อยล้านสามารถให้เงินเดือนพนักงานได้เพียงเท่านั้นจริงๆ ดิฉันก็ยินดีจะรับค่ะ...”
ตอบไปแล้วก็ใจแป้ว เมื่ออยู่ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่พร้อมใจจ้องมองเธอเขม็ง...นึกด่าตัวเองในใจกับคำตอบที่อาจฟัง
เหมือนประชดนั่น

“เอาล่ะค่ะ แล้วทางเราจะแจ้งผลไปให้ทราบอีกที ทางโทรศัพท์ที่ระบุอยู่ในใบสมัครนะคะ...”

เป็นดั่งข้อความปิดการสัมภาษณ์ที่เขมขวัญเข้าใจดี หญิงสาวพนมมือไหว้กรรมการทั้งสามท่าน ก่อนจะลุกเดินออกพ้นประตูไป

พอพ้นร่างบางของผู้สมัครรายสุดท้ายนั่น กรรมการทั้งสามก็หันหน้าเข้าปรึกษาหารือกัน ก่อนจะเหลือบไปมองอีกบุคคลหนึ่งที่
นั่งเงียบตั้งแต่ต้นจนกระทั่งการสัมภาษณ์จบลง

“คนนี้ตอบคำถามได้ดีนะผมว่า หน้าตาสวยดี เสียแต่แต่งตัวเชยไปนิด” หนึ่งในกรรมการออกความคิดเห็น

“เขามาสมัครในตำแหน่งพนักงานบัญชีนะคะ...เรื่องหน้าตาคงไม่เกี่ยวกับผลการทำงานหรอก”

“ระดับการศึกษาก็ไม่เก่งเท่าไหร่...แต่ผมถูกใจตรงที่เขากล้าประชด...ถ้าบริษัทใหญ่โต มีปัญญาจ้างพนักงานบัญชีด้วยเงิน
เดือนแค่นี้ เขาก็ยินดีจะทำ...ฮ่าๆๆๆ เล่นเอาผมอึ้งไปเลย” กรรมการผู้ดูเหมือนจะมีอายุที่สุดเอ่ยด้วยอารมณ์ขำ

“สรุปแล้วว่าไง...ผ่านหรือไม่ผ่าน”

“ว่าไงครับคุณกริช” เหล่ากรรมการหันไปขอความเห็นจากประธานใหญ่

“ผมจะพิจารณาเฉพาะตำแหน่งเลขานุการที่ต้องทำงานร่วมกับผมเท่านั้น เอาใบสมัครกลุ่มที่มาสมัครตำแหน่งนั้นไปให้ผมที่
ห้องด้วย ไว้ผมเลือกอีกที” กริชนะเอ่ยก่อนจะหยัดยืนขึ้นเต็มความสูง ขยับออกจากโต๊ะทำงานตัวใหญ่ เดินออกจากห้องโดยไม่
เอ่ยบากพูดอะไรอีก

“เย็นชาพิลึก...ใครได้ทำงานด้วยถือว่าซวยสุดๆล่ะ”

“ก็ไม่แน่นะ อาจทำวางมาดไปอย่างนั้นตามประสาหนูตกถังข้าวสาร...ลูกก็ไม่ใช่ แต่ได้มรดกพันล้าน..โชคดีเป็นบ้า” แววตาคน
พูดฉายความอิจฉาออกมาอย่างชัดเจน

“เอาน่า...เลิกพูดเลิกนินทาเจ้านายได้แล้ว...กองนี้ใช่ไหมใบสมัครเลขาฯน่ะ รีบเอาไปให้เขาจะได้หาคนมารองมือรองเท้าได้ซะ
ที” พูดจบจู่ๆลมก็พัดวูบมาจนใบสมัครที่กองแยกกันอยู่มีอันปลิวลงไปกองรวมกันที่พื้น

“บ้าจริงใครแง้มหน้าต่างหรือเปล่านี่ ดูสิต้องมาจัดเรียงใหม่เสียเวลาชะมัด” กรรมการหญิงบ่นเมื่อมองเห็นช่องหน้าต่างกระจกที่
แง้มอยู่

“คุณอนงค์เอาไปส่งท่านประธานก็แล้วกัน ผมกับธวัชชัยเห็นจะขอตัว เรามีนัดสำคัญบ่ายนี้” ศิริวัฒน์ หนึ่งในสองกรรมการชาย
ลุกจากเก้าอี้ตามด้วยอีกคนที่ชื่อธวัชชัย

“อ้าวแล้วเรื่องผลสอบนี่ล่ะ”

“ไว้สรุปวันหลังก็แล้วกัน เราให้คะแนนกันชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ใช่ปัญหาใหญ่...ไปก่อนนะครับ” ว่าจบชายร่างสันทัดทั้งสองก็เดิน
ตามกันออกไปจนพ้นประตู






ทองหลาง
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ต.ค. 2559, 20:09:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ต.ค. 2559, 07:49:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 1143





<< ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้นของเรื่องราว   ตอนที่ 3 เงื้อนงำและเบาะแส >>
Zephyr 21 ต.ค. 2559, 23:14:04 น.
สลับกองแน่ๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account