บังลังค์รักภูผา

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 12

ตอน 12
ความมืดวนเวียนมาเยือนท้องฟ้าอีกวันแล้ว เครื่องปั่นไฟดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของหุบผาเหลือง ค่ำนี้สมาชิกของครอบครัวทั้งสองเรือน อยู่กับพร้อมหน้าพร้อมตาที่โต๊ะทานข้าว เมฆาผู้นำหุบผานั่งอยู่บนเก้าอี้ที่วางอยู่หัวโต๊ะ ขวามือเป็นภรรยาหลวงนางนภากับเมฆลูกชาย และหมอกลูกบุญธรรม ซ้ายมือเป็นภรรยาน้อยนางจันทรากับเดือนดาวลูกสาว

อาหารคาวหวานวางอยู่เต็มโต๊ะ ทุกคนทานกันไปเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่สายตาของภรรยาและลูกๆฟาดฟันกันอยู่ นางจันทราคอยตักอาหารที่นางทำมาให้สามี แต่สายตาเย้ยมาทางนางนภา ซึ่งคอแข็งขึ้นอย่างไม่พอใจ และอดทนเหมือนเช่นทุกครั้งที่เจอกัน เพราะถือว่านางก็ยังเป็นหนึ่ง ยังมีสิทธิในทุกอย่างของสามีที่อีกฝ่ายไม่มี จึงไม่อยากเอาทองไปถูกกับกระเบื้องที่ไร้ค่า

แต่เมฆนั้นไม่สามารถที่จะอดทนได้เหมือนคนเป็นแม่ ความใจร้อนของเขานั้นพร้อมจะตอบโต้ทุกครั้ง เขายกถ้วยแกงนั้นมาเทลงในจานข้าวหมอก “นายอยากกินไม่ใช่เหรอ ฉันขี้เกียจตัก เททีเดียวอย่างนี้ดีกว่า”

ทุกคนตกตะลึงกับการกระทำของเขา โดยเฉพาะนางจันทรา เพราะรู้ว่าที่เขาทำนั้นแกล้งนาง ความโกรธแล่นริ้วขึ้นมาทันที เสียงพูดที่อ่อนหวานจึงห้วนออกมา “เทไปทั้งถ้วยอย่างนั้นแล้วจะกินเข้าไปได้ยังไง มีแต่แกง คนอื่นก็ไม่ได้กินอีก”

“นั่นนะซิ อย่างนี้มันแกล้งกันนิ”

เสียงเดือนดาวห้วนไม่ต่างจากคนเป็นแม่ เพราะคนที่โดนกระทำนั้นคือคนที่เธอมีใจอยู่แม้เขาจะปฏิเสธใจเธอ แต่ก็ไม่ชอบที่เขาจะถูกกระทำแบบนี้ จึงจ้องหน้าคนทำอย่างไม่พอใจ แต่จะเห็นความสำนึกผิดหรือก็ไม่ แถมยังท้าทายออกมาอีกว่า

“นายมีปัญหาอะไรไหมหมอก”

“ไม่มีครับ ผมทานได้”

“ได้ยินแล้วใช่ไหม” เขาถามพลางมองพวกกาฝากอย่างเหยียดหยัน แล้วตักข้าวในจานตัวเองทานด้วยความอร่อย

เดือนดาวแสนจะโกรธ แล้วเอาคืนด้วยการลุกขึ้นหยิบจานข้าวของหมอกที่เต็มไปด้วยแกง ไปแบ่งลงในจานข้าวของเมฆ ซึ่งก็ตวัดสายตาขึ้นมองราวกับจะฆ่าเธอ ก็ยิ้มเย้ยให้ไม่ต่างจากที่เขาทำกับเธอเมื่อกี้

ไม่มีใครสนใจสีหน้าที่ตึงขึ้นของผู้นำหุบผา มีแต่ต้องการจะเอาคืนกันเท่านั้น

“เดือนว่าแบ่งกันกินน่าจะดีกว่า นายเมฆเองก็ยังไม่ได้กินไม่ใช่เหรอ ลองดูซิ แกงนี้แม่เดือนทำอร่อยมากนัก เดี๋ยวจะลืมไม่ลง”

เมฆผุดลงขึ้นยืน ท่าทางนั้นเหมือนเสือที่พร้อมจะขย้ำคงตรงหน้า แต่ทำได้แค่นั้น เมื่อเสียงคนเป็นพ่อดังกร้าวขึ้นหยุดท่าทีของเขา “พอ” เมฆาตวัดสายตาที่กระด้างปรามลูกทั้งสองคน “นั่งลง”

เดือนดาววางจานคืนหมอกก่อนจะนั่งลงตามคำสั่ง ส่วนเมฆฮึดฮัดจะไม่ยอม จะเอาเรื่องอีกาฝากให้ได้ นางนภาเห็นสายตาของสามีกระด้างขึ้นอีก จึงดึงแขนลูกให้นั่งลงและปรามด้วยสายตาว่าให้นิ่งไว้นั่นแหละ เมฆจึงนั่งลง แต่ท่าทางก็ยังมีความไม่พอใจอยู่

“เลือดของฉันที่อยู่ในตัวแกทั้งสองคนมันจางลงหรือไง ถึงทะเลาะกันอยู่ได้ ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง ไม่เคยว่างเว้น อย่าคิดว่าฉันไม่เห็นแล้วจะไม่รู้ อีกอย่างหมอกก็เปรียบเหมือนพี่น้องของแกสองคน ทำไมถึงไม่รักสามัคคีกัน หาเรื่องขัดแย้งกันอยู่ได้”

“ขอโทษค่ะพ่อ” เดือนดาวอ่อนหวานลงเพราะไม่อยากเห็นคนเป็นพ่อโกรธไปมากกว่านี้ แต่เมฆนั่นไม่ เสียงเขายังเยาะออกมาว่า

“มันคนละสายเลือด”

“เมฆ” เสียงเมฆากร้าวอย่างโกรธจัดขึ้นมา เพราะรู้ว่าเมฆไม่ได้หมายถึงแค่หมอกเท่านั้น แต่ยังหมายถึงเดือนดาวสายเลือดของเขาอีกครึ่งหนึ่งด้วย “แกจะไม่เห็นหัวฉันเลยหรือไง”

เมฆอ้าปากจะตอบอีก แต่นางนภาเห็นสถานการณ์ที่จะทำให้ลูกนางแย่ลง จึงรีบพูดขัดขึ้นมาว่า “ฉันอิ่มแล้ว ขอตัวค่ะ”

“อย่าเพิ่งไป” เสียงท่านผู้นำยังกร้าว มองหน้าเมียทั้งสองคนไปมาแล้วบอกว่า “ดูแลลูกๆกันให้ดีหน่อย อย่าให้ฉันเห็นว่าเลือดมันจางลงไปอีกนะ ไม่งั้นจะหาเลือดอื่นมาแทนที่ก็ได้”

“ก็ลูกคุณพี่เหมือนกัน” นางนภาที่นานๆจะตอบโต้สามี อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะเห็นลูกเมียน้อยเด็กกาฝากดีกว่า

“ใช่ แต่หน้าที่ๆต้องดูแลคือเธอไม่ใช่เหรอ หรือดูแลกันไม่ได้ก็บอกมา ฉันจะได้ให้คนอื่นดูแล”

“คนอื่นนี่ใครคะ ถ้าคุณพี่จะหมายถึงที่นั่งด้านซ้ายละก็ อย่าสะเออะขึ้นมาเด็ดขาด ไม่งั้นหุบผาที่มันฮึมครึมเพราะไฟในใจ มันจะลุกขึ้นมา” เสียงนางนภากับสายตากร้าวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ตวัดสายตามองอย่างหยันเหยียดแล้วลุกขึ้นเดินคอแข็งออกไป

เมฆที่ไม่เคยเห็นคนเป็นแม่เป็นแบบนี้กดยิ้มที่มุมปากอย่างชอบใจ แววตาที่สลดไปเล็กน้อยกลับมาเจิดจ้า ยิ่งเห็นหน้าอีแม่กาฝากซีดลงก็ยิ่งสาแก่ใจนัก

ส่วนผู้นำถึงกับขบกรามข่มความโกรธที่ถาโถมเข้ามา ทั้งเรื่องเมีย เรื่องลูก และเรื่องที่สำคัญเหนืออื่นใด คืออำนาจของผู้ครองบัลลังก์ภูเขาดำ ที่หมายมั่นไว้ แต่ตอนนี้เขายังไม่สามารถทำอะไรให้มันเป็นชิ้นเป็นอันได้เลย และยังไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อดี ไอ้ผู้พิทักษ์มือหนึ่งที่หายไปหวังจะให้มันตายๆไปเสีย ก็ยังไม่ตาย ยังกลับมาสร้างความหวาดระแวงให้อีก

คำว่า ‘รอยเลือด’ นั่นหมายถึงอะไร ไปเจอคนร้ายมา หรือเจอร่องรอยการคิดคดทรยศ

บรรยากาศบนโต๊ะทานข้าวมีแต่ความฮึมครึม สีหน้าของผู้นำก็เคร่งเครียดขึ้นเมื่อคิดไม่ตก กราดสายตามองหน้าลูกเมียที่เหลืออยู่ก็ยิ่งรู้สึกขัดใจ ลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินหัวเสียออกไปจากห้อง สายตาทุกคนมองตามไป แล้วดึงกลับมา เดือนดาวปรายตามองหน้าแม่แล้วพากันถอนหายใจออกมา หมอกนั่นมองจานข้าวตรงหน้า ตักกินต่อเหมือนไม่ได้สนใจอะไร แต่ความจริงเก็บรายละเอียดไว้หมดแล้ว

ส่วนเมฆยิ้มเย้ยเยาะทุกคนออกมา โดยไม่ต้องเก็บกดหรือเกรงใครอีก “ระวังตัวไว้ให้ดี ฉันจะไล่ไปให้เหมือนหมากันสักวัน”

“เลว” เดือนดาวเดือดขึ้นมาแล้วตอกกลับอย่างไม่ไว้หน้า “แล้วอย่าเผลอนะ ฉันจะกัดให้โดยไม่รู้ตัว”

“เอาตัวให้รอดก่อนเถอะ”

“รอดอยู่แล้ว คนอย่างฉันกล้าพอที่จะอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่มีท่าดีทีเลว คิดว่าเก่งแต่ที่ไหนได้แอบอยู่หลังกระโปรงแม่เหมือนใครบางคน”

“อีกาฝาก” เมฆด่าออกมาสีหน้ากราดเกรียวที่ถูกพาดพิงไปถึงคนเป็นแม่ จับจานตรงหน้าจะปาใส่หน้าเดือนดาว นางจันทรารีบดึงตัวลูกมากอดไว้อย่างปกป้องและตกใจ แต่จานไม่ได้ปลิวไปโดน เพราะมีมือที่แข็งกว่ามากดไว้เสียก่อน เขาหันขวับไปมองแล้วสบถออกมา “อย่าแส่ไอ้กาฝาก”

“ลืมคำเตือนของท่านไปแล้วหรือครับ ว่าไม่อยากเห็นสายเลือดเดียวกันจางลงไปอีก” หมอกตอบโต้ด้วยเสียงเรียบๆ

“ไม่ใช่เลือดของมึงก็ไม่ต้องมาแส่”

“คงจะไม่ได้ เพราะผมมีหน้าที่ดูแลทุกคน และที่นายเมฆจะทำ รังแกผู้หญิง มันหน้าตัวเมียนะครับ”

อารมณ์ของเมฆขาดผึงทันทีที่ถูกไอ้เลือดต่างสีด่า กระชากมือออกมาตะบันหน้าหมอก แต่คนใจร้อนหรือจะสู้คนที่สุขุมนิ่งลึกได้ ยกมือขึ้นรับไว้ทันท่วงที จับแล้วกดจนข้อมือแทบหัก เมฆเจ็บแต่เจ็บใจยิ่งกว่าและคิดเพียงว่าจะเอาเลือดมันออกมาให้ได้ จึงคว้าช้อนส้อมมาแทงหมอก

“ว้าย”

สองแม่ลูกร้องออกมาอย่างตกใจ ขณะที่หมอกก็ยกอีกมือจับข้อมือเมฆไว้ ออกแรงดันไว้ยิ่งทำให้แรงแค้นของเมฆมีมากขึ้น เขาลุกขึ้นยืนโถมแรงที่มีทั้งหมดกดลงมาจนหมอกสู้แรงแค้นไม่ไหว เพราะนั่งอยู่บนเก้าอี้ ปลายช้อนส้อมจึงแทงจมหายลงในเนื้อหน้าอก
เมฆแสยะยิ้มอย่างสมใจ ขณะที่หมอกก็กัดทนความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านขึ้นมา แต่ไม่มีเสียงร้อง ให้เมฆสะใจไปกว่านี้ จึงเพิ่มแรงกดลงมาอีก เดือนดาวอ้าปากค้างกับสิ่งที่เห็น ผุดลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วคว้าช้อนส้อมใกล้มือมาแทงที่หัวไหล่เมฆ แล้วผลักตัวออกไปสุดแรง ก็รีบพยุงตัวหมอกขึ้นมา เมฆมองมาอย่างสุดแค้น ไม่สนใจอาการเจ็บแปลบที่หัวไหล่เพราะต้องการจะแทงไอ้กาฝากให้ถึงตาย ก็จะถลามาหา แต่เดือนดาวดึงปืนที่เหน็บอยู่หลังเอวหมอกออกมาขู่เสียก่อน

“อยากให้เลือดมันเปื้อนพื้นก็เข้ามา”

เมฆชะงักไปทันที แต่สายตามองอย่างอาฆาต และเริ่มจะเห็นความผิดปรกติของน้องต่างเลือดที่ดูจะห่วงใยไอ้กาฝากเกินไปแล้ว แถมยังออกรับแทนและทำร้ายเขาอีกด้วย “นังตัวดี คิดจะเห็นขี้ดีกว่าไส้หรือไง”

“ไส้เน่าๆจะเก็บไว้ทำไม” ว่าแล้วเดือนดาวก็เหยียดหยันออกมา “น่าขำนะพอเข้าตาจนก็เห็นฉันเป็นเลือดเดียวกันขึ้นมา ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ประกาศกร้าวว่าคนละสายเลือดกันอยู่เลย ไปให้พ้นก่อนที่ฉันจะทำปืนลั่นออกมา”

“ฝากไว้ก่อนเถอะ”

“ได้ แต่รู้ไว้ด้วยนะว่าปืนนะมันไม่ได้มีไว้แค่ขู่ แต่ยิงไอ้คนที่ชอบขู่มามากต่อมากแล้ว”

เมฆสุดแสนจะเจ็บใจ เดินจับหัวไหล่ออกไปด้วยใจที่เต็มไปด้วยความแค้น แต่ไม่ยอมให้ทุกอย่างมันจบลงอย่างนี้แน่ คนที่ทำร้ายเขามันจะต้องถูกตอบแทนอย่างสาสม

เดือนดาวถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วมองคนที่เธอพยุงไว้ สบตาคมที่มองมาเพียงแวบเดียวก็ส่งปืนคืนให้แล้วหรุบลงมองแผลที่อกเขา เลือดซึมออกมาเป็นวงกว้าง ก็จะบอกให้นั่งลง เธอจะดูแผลให้แต่นางจันทรารีบเดินมาดึงตัวเธอให้ออกห่างออกมาเสียก่อนและสั่งว่า

“กลับเรือนกับแม่เดี๋ยวนี้”

“แม่กลับไปก่อนแล้วกันนะคะ ดาวจะดูแผลให้เขาหน่อย”

“จะดูอะไร แผลเล็กนิดเดียว ไกลหัวใจอีกตั้งเยอะ ให้เขาดูแลแผลเขาเองก็ได้”

“แม่คะ แต่เขาเจ็บเพราะช่วยดาวนะคะ ถ้าเขาไม่ขวางไว้ป่านนี้ดาวอาจจะโดนตบจนเลือดกบปากไปแล้ว และไม่รู้ว่าส้อมแทงลึกไปแค่ไหน แผลอาจจะอันตรายกว่าที่เห็นก็ได้”

“ก็ช่วยไม่ได้ อยากจะเข้าไปขวางไว้เอง” คำพูดที่แล้งน้ำใจนั้นทำให้เดือนดาวดึงแขนออกจากมือของแม่ ด้วยความผิดหวัง ที่ท่านยังอคติกับเขาทั้งที่ช่วยลูกของตัวเองไว้

“งั้นแม่ก็กลับเรือนไปคนเดียวแล้วกัน ดาวจะไปดูแลเขา”
พูดจบเธอก็เดินมาจับแขนหมอก ดึงตัวให้เดินตามเธอกลับไปที่เรือนของเขา ซึ่งก็เดินตามเธอไปอย่างว่าง่าย นางจันทรามองตามไปด้วยความไม่พอใจ แต่ความดีที่เขาทำนางก็พอจะเห็นอยู่ จึงต้องปล่อยไปก่อน
*******
เสียงแมลงร้องขึ้นทำลายความเงียบของราตรีกาล กลางสนามหญ้าหน้าเรือนของผู้นำหุบผาเขียว บนเก้าอี้ไม้ที่วางอยู่ ท่านผู้นำกับลูกชายนั่งคุยกัน สีหน้าของทั้งสองคนดูจะเคร่งเครียด เพราะภัยร้ายที่คุกคามยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ก็เปรียบเหมือนความทุกข์ที่ยังไม่อาจจะขจัดออกไปจากใจ ยังเป็นเหมือนเสี้ยนหนามที่ตำใจให้เจ็บแปลบ ลูกน้องคนสนิทที่สั่งให้ไปแกะรอยก็ยังไม่กลับมา

ท่านผู้นำแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าที่ดำมืด เพื่อจะทำให้ความทุกข์ที่อยู่ในหัวใจผ่อนคลายลงไปได้บ้าง แต่กลับช่วยไม่ได้เลย เมื่อความมืดนั้นกลับทำให้ยิ่งน่ากลัว ว่าอาจจะมีสิ่งเลวร้ายซ่อนอยู่เหมือนตอนนี้ที่เขากำลังกลัวว่าไอ้โม่งที่หายตัวไปจะนำหายนะมาสู่ตัวเขา

“พ่อครับ”

เสียงเรียกของลูกชายทำให้คนเป็นพ่อละสายตามามอง แต่กลับได้เห็นพิชิตคนสนิทที่รออยู่เดินปรี่เข้ามาหา เขายิ้มอย่างยินดีที่มันกลับมาได้เสียที แต่สีหน้าท่าทางของพิชิตนั้นดูอิดโรย และทันทีที่เดินมาหยุดยืนตรงหน้า ก้มคำนับคนเป็นนายเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องถอนหายใจออกมาเพราะงานที่รับไปทำนั้นไม่สำเร็จ

“ไม่เจอครับนาย” พิชิตรายงานออกมาเมื่ออมพะนำไว้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะนายสองคนก็คงเดาจากสีหน้าได้อยู่แล้ว “ไม่เห็นแม้แต่รอย ราวกับมันล่องหนหายตัวไป”

“มันจะเป็นไปได้ยังไง ที่คนทั้งคนไม่มีร่องรอยใดๆ”

“เราปูพรมทั้งหุบผาแล้วครับ ไม่เจอ”

“หรือมันจะออกจากหุบผาไปแล้ว” เวหาตั้งข้อสงสัยออกมา คนเป็นพ่อนิ่งคิดเพียงนิดก็เห็นจริงด้วย

“ก็อาจจะเป็นไปได้ และถ้าเป็นจริง มันก็ยิ่งน่ากลัว เพราะแสดงว่ามันต้องเป็นคนในที่รู้จักเส้นทางในภูเขาดำเป็นอย่างดี ถึงได้หนีไปจากหุบผาเราได้เร็วขนาดนี้ ที่สำคัญคนที่บงการมันต้องเป็นใครคนใดคนหนึ่งในภูเขาดำแน่นอน”

ทั้งสามคนพากันนิ่งเพราะรู้สึกเหมือนหายนะ ที่ขยับใกล้เข้ามารดต้นคอ แม้จะยังไม่รู้ว่าคนๆนั้นเป็นใครก็ตาม

“แล้วพ่อคิดว่าจะเป็นใคร” เสียงเวหาทำลายความเงียบขึ้นมา พลางมองหน้าที่เคร่งเครียดของคนเป็นพ่อ “ใครที่รู้จักเส้นทางทั้งสามหุบผาและภูเขาดำเป็นอย่างดี”

“ผู้ครองบัลลังก์ สองผู้นำ คนที่ติดตามบางคน กับพวกผู้พิทักษ์ และอาจจะมีใครที่แฝงอยู่ ที่เราไม่รู้ก็เป็นไปได้”

คำตอบที่ได้มาไม่ได้ทำให้ความหนักใจเบาบางลงสักนิด กลับเพิ่มมากขึ้น เพราะต้องระแวดระวังไปทุกคน

“แล้วเราจะทำยังไงกันดีครับพ่อ ไม่ว่านายของมันจะเป็นใคร ถ้ามันพูดเรื่องของเราออกมา คนๆนั้นจะไม่มีทางเอาเราไว้แน่ๆ คงต้องรีบกำจัดเราเพราะเหมือนลดคู่แข่งไปคนหนึ่ง ที่สำคัญถ้ารู้ไปถึงหูผู้ครองบัลลังก์ ผู้เฒ่าโพธิ์ก็ไม่เอาเราไว้เหมือนกัน”

“หาทางหนีทีไล่ไว้ดีไหมครับนาย” พิชิตเสนอออกมา เมื่ออับจนหนทางแล้วเช่นกัน

“ก็ดีนะครับพ่อ ตอนนี้ยังทันอยู่ ทรัพย์สมบัติที่เรามีขนไปตั้งหลักที่ใหม่ ให้ไกลจากที่นี่ ที่ๆไม่มีใครรู้จักหรือตามเราเจอ”

“อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้” ท่านผู้นำมองหน้าลูกสลับกับคนสนิท แล้วให้เหตุผลออกมาว่า “บางทีเราอาจจะคิดผิดก็เป็นไปได้”

“คิดผิด หมายความว่าไงครับ”

“ก็ไอ้โม่ง มันอาจจะไม่รอดอาจจะไปตายที่ไหนสักแห่งก็ได้ เพราะถ้ามันยังอยู่เราคงไม่ได้นั่งกันอยู่อย่างนี้ ต้องมีกลิ่นอะไรโชยมาหาเราบ้างแล้ว อย่าลืมว่าเส้นสายของเราก็พอมีหาข่าวมาให้เราได้บ้าง”

“แต่ก็ไม่มีแถมยังเงียบสนิท ซึ่งอาจจะเป็นเพราะมันบาดเจ็บอยู่ จึงต้องเก็บตัวเพื่อรักษาตัวให้หายดีก่อน ก็เป็นไปได้นะครับ”

“แต่มันไม่ใช่วิสัยของคนที่เห็นผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า ซึ่งต้องรีบคว้าไว้ทันทีที่ได้เปรียบ เหยียบคนที่เป็นศัตรูให้จมดิน”

“แต่บางคนอาจจะรอจังหวะอยู่ก็ได้นะครับ เพราะสิ่งที่ต้องการมันยิ่งใหญ่ ผลีพลามไปจะทำให้ทุกอย่างพัง และเราก็ไม่มีหลักฐาน ไม่ได้เห็นกับตาว่ามันตาย มีแต่ความจริงที่มันรู้แผนเรากับความคิด ที่เป็นไปได้ว่ามันจะนำความหายนะมาให้เราเท่านั้น แล้วพ่อยังจะรออะไรอีก หรือจะรอจนกว่าเราจะไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ชีวิต”

จบคำพูดของเวหาความเงียบก็เกิดขึ้นมา เมื่อท่านผู้นำนิ่งคิด ใจหนึ่งเขาก็เห็นด้วยกับลูกชายกับคนสนิท แต่อีกใจเขาก็ ยังไม่อยากทิ้งทุกอย่างไป เพราะความปรารถนาในบัลลังก์สูงสุดยังมีอยู่เต็มเปี่ยม แต่ความเสี่ยงกำลังบีบให้เขาหมดหนทาง แต่ก็ไม่มีทางไหนที่จะรับประกันว่าถ้าเขาไป ก็จะรอด เมื่อคิดว่าถ้าเป็นเขาที่รู้ว่าใครเป็นเสี้ยนหนาม ไม่มีทางที่จะเก็บมันไว้ จะต้องล่าตัวและฝังไว้ใต้ดิน หรือเผาให้เป็นจุณไปแล้วนั่นแหละถึงจะสบายใจว่าไม่มีใครมาแย่งชิงบัลลังก์อีก

‘แล้วจะทำยังไงดี’
มีคำถามเกิดขึ้นมาแต่คำตอบเป็นเสียงถอนหายใจ แล้วตัดสินใจว่า “อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ รอให้ถึงวันชุมนุมของทุกคนในภูเขาดำเสียก่อน ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่คิดกันไว้ เราอาจจะได้เห็นสัญญาณอะไรบางอย่าง แต่ระหว่างนี้ก็โยกย้ายทรัพย์สิน ซึ่งต้องค่อยไปค่อยไป จะจัดการทีเดียวเลยไม่ได้เพราะจะเป็นที่สังเกตได้ง่าย”

“ครับ”

เวหากับพิชิตทั้งพยักหน้าและรับคำออกมา จากนั้นทั้งสามคนก็นั่งปรึกษาแผนที่คิดกันไว้ โดยไม่เห็นว่ามีคนมาคอยเมียงมองและแอบฟังคำพูดที่พูดกันอยู่ แต่ไม่มีคำใดที่จะพูดถึงคนที่อยากรู้เลย เวธิกาถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเดินกลับขึ้นเรือนไปอย่างเงียบๆ
********
เรือนหลังเล็กที่ปลูกอยู่ไม่ห่างจากเรือนหลังใหญ่ของผู้นำหุบผาเหลือง เป็นของหมอกลูกบุญธรรมของท่าน ซึ่งถูกลูกชายของท่านแทงด้วยช้อนส้อมเพราะเสือกเข้าไปขวางศึกสายเลือด บาดแผลไม่ได้ใหญ่มากและตอนนี้ลูกสาวของท่านก็ได้ทำแผลให้เรียบร้อยแล้ว...หมอกติดกระดุมเสื้อพลางมองนิ้วเรียวยาวที่เคลื่อนไหวเก็บอุปกรณ์ทำแผล ซึ่งไม่รู้ว่าเขามองอยู่ตลอดเวลา และเมื่อเธอเก็บเรียบร้อย คำพูดเรียบๆก็ดังออกมา

“ขอบคุณครับ”

“ไม่เป็นไร” เดือนดาวบอกพร้อมกับมองหน้าคม คำพูดที่เป็นกันเองกับเขาเปลี่ยนเป็นห่างออกมาทันที “ฉันควรจะเป็นคนพูดคำนี้มากกว่า เพราะที่นายเจ็บตัวก็เพราะฉัน ขอโทษและขอบคุณนะคะที่ช่วย”

“ผมทำตามหน้าที่”

“ไม่ต้องย้ำหรอกค่ะ ฉันรู้ จำฝังใจตั้งแต่นายบอกครั้งก่อนแล้วว่าไม่ควรคู่กัน และที่พูดก็แค่มารยาท ไม่ใช่หัวใจ เพราะรู้ว่านายไม่ต้องการ และขอร้องว่าอย่าพูดถึงและตอกย้ำอีก”

“ทำไมครับ”

“ฉันเจ็บ”

เธอบอกแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ เอากล่องอุปกรณ์การทำแผลไปเก็บบนชั้นไม้ ซึ่งเป็นความจริงแค่ส่วนหนึ่ง อีกส่วนคือเป็นการหนีหน้าเขา เพื่อไม่ให้เห็นว่าความเข้มแข็งที่เธอแสดงออกไปว่าไม่ยี่หระนั้น กำลังจะหมดไป มือเธอสั่นเพราะสกัดกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา ทั้งๆที่บอกตัวเองว่าแค่ชอบเขา แต่ทำไมพอเขาพูดว่า ‘แค่หน้าที่’ ถึงได้น้อยใจขนาดนี้

เดือนดาวเงยหน้าขึ้นให้น้ำตาไหลย้อนกลับไปในตา วางกล่องไว้บนชั้นไม้แล้วก็หมุนตัวเดินกลับมาหาเขา ซึ่งนั่งมองนิ่งมาที่เธอ ก็บอกด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ฉันจะกลับแล้ว”

“แล้วถ้าผมปวดหรือเจ็บแผลขึ้นมา จะทำยังไง”

“ในกล่องยาเมื่อกี้ มียาแก้ปวด นายหยิบกินได้เลย”

“แล้วถ้าไม่หาย และปวดรุนแรงขึ้นมา จนเดินไปหยิบเองไม่ได้ละ”

เธอไม่ตอบแต่หมุนตัวเดินไปที่กล่อง เปิดหยิบยาออกมาแล้วเดินไปหยิบน้ำมาวางไว้ให้พร้อม ก็เดินออกไปจากเรือนเขาทันที

หมอกหลุบตามองยาแล้วหยิบขึ้นกินเพราะรู้สึกปวดแผลจริงๆ แล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ไม้ที่นั่งอยู่ หลับตาลงแต่ใจไม่ได้หลับ เพราะใบหน้างามที่ลอยขึ้นมา ทั้งยามยิ้ม ยามพูด ยามเศร้า ทุกอริยะบทของเธอประทับอยู่ในใจเขา แต่ยามนี้เธอคงโกรธเขาแล้วจริงๆ ถึงได้ไม่ใยดีอีกแล้วทั้งที่เขาบอกว่าเจ็บแผล ก็สมควรแล้ว เมื่อเขาเป็นฝ่ายตัดรอนเธอเอง

เขาคิดและคิดไปถึงท่าทีของแม่เธอ ที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบเขา ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะรู้ว่าลูกสาวมาชอบเขา หรือรังเกียจเขาที่ไม่มีอะไร เป็นประโยชน์กับนางกันแน่ แต่ที่แย่ไปกว่านี้คือถ้าผู้นำหุบผารู้เข้า ว่าเขาทำตัวเป็นแมวที่กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา เขาคงเป็นไอ้เนรคุณและคงถูกเนรเทศออกไปจากหุบผาแน่ๆ

หมอกปล่อยความคิดไปเรื่อยๆ แล้วหยุดนิ่งเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนเดินเข้ามาหา มาหยุดยืนอยู่ข้างเก้าอี้ที่เขานั่งเอนหลับตาอยู่ เขาใช้ความรู้สึกจับปฏิกิริยาทุกอย่าง แล้วลืมตาขึ้นทันเห็นมือของคนที่มายืนอยู่ยื่นมาหา เขายกมือขึ้นจับไว้ด้วยสัญชาตญาณของการป้องกันตัว แล้วคลายออกแต่ไม่ปล่อยเมื่อเห็นว่าเจ้าของมือคือคนที่บอกว่ากลับไปแล้ว

“เป็นห่วงผมเหรอ”

“แค่รับผิดชอบ”

สิ้นคำตอบเขาก็ดึงมือที่จับไว้มาแตะหน้าผาก ทำให้ตัวเธอโน้มลงมาจนปลายจมูกเกือบชนแก้มเขา โชคดีที่มืออีกข้างของเธอจับพนักเก้าอี้ยันตัวไว้ได้ทัน ไม่งั้นเธอได้หอมแก้มเขาไปแล้ว เดือนดาวทั้งโกรธทั้งเขิน บิดมือออกจากมือเขาเพื่อดันตัวออกมาแต่เขาไม่ปล่อย ซ้ำยังถามว่า

“จะรับผิดชอบยังไง

เดือนดาวเผยริมฝีปากจะต่อว่า ว่าจะมาเรียกร้องอะไร ในเมื่อเขาเป็นคนผลักไสให้เธอเป็นคนอื่นคนไกล ไม่ใช่คนสำคัญสำหรับเขา แต่ไอร้อนที่ผ่านมือมาทำให้ต้องถามออกมาด้วยความเป็นห่วง ที่ยังมีอยู่เต็มหัวใจและไม่อาจตัดใจจากไปได้เสียที

“นายกินยาหรือยัง”

“กินแล้ว”

“งั้นก็ควรเข้าไปนอนพัก ไม่ใช่นั่งอยู่แบบนี้”

“แค่นี้เหรอ”

“อะไร” เธอถามเมื่องงกับคำพูดเขา

“ความรับผิดชอบที่คุณบอก”

เดือนดาวดึงมือออกมาเหมือนไม่สนใจ แต่อึดใจเดียวก็จับตัวเขาพยุงให้ลุกขึ้นมา พาเดินไปที่ห้องนอน เปิดประตูห้องออก เดินผ่านเข้าไปถึงเตียงนอนที่วางอยู่กลางห้อง เธอให้เขานั่งบนขอบเตียงแล้วเดินออกจากห้องไป หมอกมองตามทุกย่างก้าวและเฝ้ารอว่าเธอจะกลับมาหรือเปล่า แล้วนัยน์ตาเขาก็วาววับขึ้นมา เมื่อเธอเดินกลับมาพร้อมผ้าเช็ดตัวในมือ

“นายควรจะถอดเสื้อออก ฉันจะเช็ดตัวให้” เธอบอกแต่คำตอบที่ได้มาคือ

“ผมเจ็บแผล”

เดือนดาววางผ้าเช็ดตัวไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงเขา แล้วแกะกระดุมเสื้อเขาออกเพื่อถอดเสื้อออกจากตัวเขา เธอทำเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งที่ใจเต้นแรง แต่ต้องทำเป็นเฉยเมยให้สมกับที่เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอ ดึงเสื้อออกจากตัวแล้วก็เริ่มเช็ดตัวให้ลดอุณหภูมิความร้อนในตัวเขาให้ลดลง

“ทำไมไปแล้วไม่ไปลับ ย้อนกลับมาทำไม”

“ฉันตอบนายไปแล้ว ว่าคือความรับผิดชอบและที่เพิ่มขึ้นมาก็คือจิตสำนึกแค่นั้นเอง ไม่ได้มีอะไร”

“แม้แต่ใจเหรอ”

“ใช่” เธอตอบแล้วก็พูดต่อเพราะไม่ต้องการให้มีช่องว่างใดๆให้มีคำถาม หรือคำพูดที่ไม่อยากฟังอีก “นายนอนพักได้แล้ว แต่ฉันยังจะไม่กลับ จะอยู่รอดูอาการของนายอีกนิด ถ้าความร้อนลดลงเป็นปรกติก็จะกลับ แต่ถ้าไม่ก็จะไปตามหมอให้ นายจะได้หาย จะได้ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก”

“ไม่ชอบผมแล้วเหรอ”

“ใช่” คำตอบหนักแน่นราวกับเป็นเรื่องจริง และสบตาเขาเพื่อให้เห็นว่าเธอตัดใจได้แล้วจริงๆ ก็เดินออกมาจากห้อง มานั่งอยู่บนเก้าอี้ที่เธอนั่งทำแผลให้เขา ริมฝีปากเธอสั่นระริกเพราะปากกับใจที่ไม่ตรงกัน เพราะความรักยังอยู่แต่ต้องโกหกว่าไม่มี ความเจ็บช้ำจึงยิ่งซ้ำเติมและเมื่อต้องพูดคำว่า ‘ใช่’ ออกมา

หมอกไม่ได้ทำตามที่เธอบอก เขานั่งมองมาที่เธอ แม้จะเห็นแค่เพียงด้านหลัง แต่ความเจ็บปวดจากคำพูดของเธอนั้นมีมากเหลือเกิน การตัดใจว่าเจ็บมากแล้ว แต่การตัดรอนจากเธอนั้นเจ็บมากกว่า แถมยังสมเพชตัวเอง ที่ต้องทำเป็นไม่สนใจเพราะเขาไม่มีอะไรเทียบเธอได้เลย มีแค่หัวใจไม่ได้ทำให้เธอกินอิ่มนอนหลับ ไม่ได้ทำให้สุขสบาย แต่จะทำให้เธอลำบาก ไม่ใช่แค่ร่างกายแต่ยังหมายถึงจิตใจ ที่อาจจะต้องทุกข์อย่างหนัก เพราะพ่อแม่เธอที่ไม่ยอมรับในตัวเขาด้วย
********
พระอาทิตย์ดวงกลมโตลอยขึ้นมาเหนือขอบฟ้า พันโทอัศวินยืนมองอยู่ที่หน้าต่างห้องทำงาน ตั้งแต่เมื่อวานที่ได้คุยกับไอ้คนลึกลับและได้ให้ลูกน้องคนสนิทสองคนสืบหาตัวมันจากเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งติดตามกันอยู่ทั้งคืน แต่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย เพราะพิกัดของเบอร์โทรนั้นคือสระน้ำกลางสวนสาธารณะ ที่ไม่อาจจะขุดคุ้ยลงไปได้ว่าเป็นของใคร

ท่านจึงต้องมานั่งครุ่นคิดและทบทวนว่าใครบ้าง ที่เคยมาพูดทำนองต่อรองเรื่องอำนาจขอผ่านทางกับท่าน ก็มีมากมายตั้งแต่ไอ้พวกปลาซิวปลาสร้อยไปจนถึงปลาใหญ่ๆ แต่ไม่มีใครที่เด่นชัดออกมา เพราะต่างก็รู้ว่าท่านตงฉินแค่ไหนไม่มีทางที่จะยอม ถ้าเอ่ยปากออกมาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือก็อาจจะโดนข้อหาทำลายชาติแล้ว ถึงอย่างนั้นช่วงที่รอคำตอบจากลูกน้อง ท่านก็ยังรื้อหาข้อมูลไอ้พวกที่เข้าข่ายน่าสงสัย ซึ่งก็มีนับสิบ แจกจ่ายให้ลูกน้องคนอื่นไปตามข่าว ซึ่งไม่รู้ว่าต้องใช้เวลามากน้อยแค่ไหนกว่าจะได้เรื่อง

เมื่อคืนท่านกลับเรือนไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่จะไม่มีวันท้อหรือถอยมีแต่จะสู้เพื่อลูกเท่านั้น และยังไม่ได้เล่าเรื่องไอ้ชั่วคนนั้นให้คุณหญิงฟัง เพราะไม่อยากให้ทุกข์ร้อนไปกว่าที่เป็นอยู่ แม้ความจริงเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่รู้ว่าลูกยังอยู่ แต่ยังไม่มีอะไรยืนยันนอกจากคำพูดมัน ที่อาจจะโกหกหรือเล่นตลกกับท่านก็ได้ เช้านี้ท่านก็รีบมา เพราะคำพูดของมันที่ทิ้งท้ายไว้รบกวนใจท่านอยู่ทั้งคืน

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”

“เข้ามา”

พันโทอัศวินสั่งทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะประตู แล้วหมุนตัวเดินมายืนหน้าโต๊ะทำงาน จับจ้องมองคนที่เปิดประตูเข้ามา ซึ่งก็ไม่ใช่ใคร หนึ่งในลูกน้องคนสนิทของท่านนั่นเอง ยกมือขึ้นทำความเคารพท่านแล้วก็ส่งซองสีน้ำตาลที่อยู่ในมือให้ท่านพร้อมกับรายงานว่า

“พลทหารเจอซองลึกลับนี้วางอยู่ที่ประตูรั้วด้านหน้าครับ เห็นหน้าซองเป็นชื่อของท่านก็เอามาให้ครับ”

พันโทอัศวินรีบรับมาเปิดดู หัวใจท่านเต้นแรงด้วยความตื้นเต้นและกลัว แต่ท่าทางภายนอกยังสงบนิ่ง สมกับเป็นทหารหารที่พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ มือของท่านดึงแผ่นกระดาษภายในซองออกมาดู ภาพที่เห็นนั้นทำให้ท่านเกร็งไปทั้งตัว ขณะที่ดวงตาก็กร้าวขึ้น บอกให้นายทหารคนสนิทที่ยืนอยู่ตรงหน้า เดาว่าต้องเป็นภาพที่ไม่ดีแน่นอน ก็ไม่อยากถามอะไรให้ท่านสะเทือนใจไปกว่าที่เป็นอยู่ ได้แต่เห็นใจท่านผ่านทางสายตาเท่านั้น

“เช็กกล้องวงจรปิดหาตัวไอ้คนส่งมาหรือยัง”

“เช็กแล้วครับ แต่บริเวณที่มันวางไว้ เป็นมุมอับที่กล้องส่องไปไม่ถึง จึงไม่เห็นอะไรเลยครับ”

“นั่นซินะ ถ้ามันสามารถวางแผนชั่ว ช่วงชิงตัวลูกสาวฉันไปโดยไม่มีความเกรงกลัวสักนิด เรื่องแค่นี้มันไม่น่าจะพลาดให้ถูกจับได้ แล้วได้ความคืบหน้าอะไรเพิ่มมาบ้าง”

“ยังไม่มีครับ แต่ทุกคนลงพื้นที่เร่งหาข่าวกันเต็มที่ครับ”

“ขอบใจ” ท่านซึ้งในน้ำใจของผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน “และขอโทษที่ทำให้ต้องมาเหนื่อย”

“อย่าพูดอย่างนั้นซิครับท่าน พวกเราทุกคนเต็มใจที่จะทำ เพราะยามที่พวกเราทุกคนเดือนร้อน ก็มีท่านที่คอยช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ท่านก็ไม่เคยที่จะปฏิเสธ ถึงตอนนี้ทุกคนจึงพร้อมที่จะตอบแทนท่าน ขอให้ท่านสบายใจอย่าคิดมากเรื่องนี้เลยครับ”

พันโทอัศวินเอ่ยขอบใจลูกน้องอีกครั้ง ก็ให้กลับไปทำงานได้ เพียงหลังลูกน้องท่านพ้นจากประตูห้องทำงาน โทรศัพท์ส่วนตัวท่านก็ดังขึ้น ท่านหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เบอร์โทรที่ไม่ขึ้นชื่อผู้โทรมา ทำให้เดาได้ทันทีว่าคงเป็นไอ้ชั่วนั้น ก็รีบรับสาย

“รอผมอยู่หรือครับท่าน ถึงได้รีบรับสาย แสดงว่าท่านได้เห็นรูปแล้ว” เสียงมันเย้ยออกมา “แล้วท่านจะตอบรับคำขอของผมได้หรือยัง”

“แกต้องการเส้นทางไปทำอะไร” เสียงท่านกร้าวอย่างที่พอจะรู้สันดานไอ้ชั่วพวกนี้ และคนที่โทรมาก็รู้เช่นกันว่าท่านรู้ แต่ยังถาม คงอยากจะได้ยินชัดๆ มันก็จะจัดให้ โดยไม่กลัวว่าจะกลายเป็นคำพูดมามัดตัวทีหลัง เพราะมันจะถือไพ่เหนือกว่าท่านไปตลอดชีวิต

“ค้าของผิดกฎหมาย ทั้งไม้เถื่อน ยาเสพติด อาวุธ และคน พอไหมครับท่าน” เสียงมันรื่นรมย์ราวกับได้ท่องเที่ยวอยู่ในแดนสวรรค์ที่เต็มไปด้วยความงดงาม

“ฉันต้องถามแกมากกว่า ว่าพอหรือยัง”

“หึๆๆ ใจท่านสปอร์ตมากเลยนะครับ งั้นผมต้องสนองความต้องการเสียหน่อย ขอตอบว่า...ยัง”

“แล้วต้องการอะไรอีก”

“คราวนี้ผมต้องถามกลับท่านบ้างแล้ว ว่าพอจะรับข้อเสนอที่ผมบอกไปหรือยัง”

“ถ้าฉันตอบว่ายัง แกมีอะไรจะทำมากกว่านี้อีกก็ว่ามา จะได้จบทีเดียว”

“จบง่ายไปมันก็ไม่สนุกซิครับท่าน” มันบอกเป็นนัยๆให้คนฟังรู้ ซึ่งไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะรู้ทันเกมพวกชั่วนี้อยู่แล้ว แต่ที่ถามเพราะอยากจะรู้ให้ชัด รู้ให้หมดเท่านั้นเอง “แต่เอาเถอะ เมื่อท่านปราณีผมขนาดนี้ ผมก็จะบอกให้ว่าอีกอย่างที่ผมต้องการคือ...” ปลายสายเงียบไป เพื่อกดดันอีกฝ่ายให้อยากรู้มากขึ้น

“อะไร” พันโทอัศวินเล่นเกมมัน แล้วก็ได้ยินเสียงมันหัวเราะออกมาอย่างสมใจ ก่อนจะตอบว่า...

“ผัวลูกสาวท่านไงครับ”
******

ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ต.ค. 2559, 11:57:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ต.ค. 2559, 11:57:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 2458





<< ตอน 11   
แว่นใส 5 ต.ค. 2559, 18:50:54 น.
ช่างหาข้อต่อรองเรื่อยนะ


พอใจ 10 ต.ค. 2559, 20:37:48 น.
ขอให้ท่านนายพันจงยึดมั่นในอุดมการณ์ และอย่าหวั่นไหวกับคำขู่ของคนเหล่านี้


Zephyr 23 ต.ค. 2559, 20:35:54 น.
สขอมากไปมากกกกกกก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account