บังลังค์รักภูผา
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 11
ตอน 11
พนาฟังสิ่งที่เพื่อนเล่าพร้อมกับคิดวิเคราะห์ตาม และได้รู้ที่มาที่ไปของหญิงสาวแสนสวยเมื่อกี้ด้วย ไม่คิดว่าการเจอเธอจะทำให้เพื่อนเขาเกือบเอาชีวิตไปทิ้ง แล้วถ้าเธอเป็นเหตุแล้วผลที่ทำให้เพื่อนเขาหายไป จนมีข่าวลือออกมานั่นคืออะไรกัน ใครเป็นคนทำและเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“แล้วนายได้อะไรมาบ้าง”
“ไอ้โม่งกับความตาย”
“มันจะฆ่านายอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่ มันประกาศกร้าวออกมา” ภูผาบอกแล้วเล่าให้ฟังอีกว่ามันพูดอะไรกับเขาไว้บ้าง ฟังแล้วพนาก็มีความสงสัยไม่ต่างจากเขา
“คิดว่าใครจะอยู่เบื้องหลังมัน”
“ฉันไม่คิด” เขาให้คำตอบอย่างที่บอกตัวเองไว้ “แต่รอให้มันออกมา และคราวนี้จะไม่ปล่อยให้มันหนีไปได้อีกแล้ว”
“นายไม่เห็นหน้า ไม่มีความคุ้นเคย แต่มันเข้าถึงตัวนายได้ง่ายมาก น่าคิดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังมันน่าจะเป็นคนในมากกว่าจะเป็นคนนอกเสียแล้วล่ะ ภูเขาดำไม่ใช่ที่ๆใครจะเข้ามาได้ง่ายๆ ถ้าไม่มีคนในพาเข้ามา ที่สำคัญมันหายหัวไปทันทีที่หนีไป และเป็นไปไม่ได้ที่มันจะตาย เพราะถ้าตายผู้พิทักษ์ที่นายส่งไปแกะรอยมันอยู่ ต้องเอาซากมันมาให้ได้แล้ว ต้องมีคนช่วยหรือไม่ก็เอาตัวมันไว้”
“ฉันก็คิดอย่างนั้น และได้โยนหินถามทางออกไปแล้ว”
“ยังไง”
ภูผายิ้มหยันที่มุมปากเล็กน้อย ก็เล่าให้ฟัง “เมื่อวานนี้สองผู้นำหุบผาเขียวกับเหลืองมาที่นี่ พวกเขาอยากรู้ว่าฉันหายไปจริงตามข่าวที่ได้ยินกันหรือเปล่า และคงคิดจะให้เป็นจริง เพราะพอฉันโผล่มาแต่ละคนก็ทำหน้าราวกับถูกผีหลอก ฉันจึงบอกว่าที่หายไปนั้นไปหาต้นตอของข่าวลือ และก็ได้เจอ...รอยเลือด เป็นการข่มขวัญและสั่นประสาทพวกเขา”
“เยี่ยม แต่คงไม่มีพิรุธใดๆให้เห็นใช่ไหม เพราะแต่ละคนแก่ชันษาคงเก็บอารมณ์เหมือนน้ำในมหาสมุทรที่นิ่งลึก ซึ่งน่ากลัวว่าจะม้วนตัวย้อนกลับมาซัดนาย”
“ฉันรออยู่ และที่ทำก็เหมือนล่อเสือออกมาจากถ้ำ ถ้าเราไม่วางเหยื่อล่อ เราก็จะถูกมันกัดอยู่ร่ำไป และจะจับมันไม่ได้สักที”
“งั้นนายก็ระวังตัวให้ดี เพราะนายกำลังจะเจอศึกหลายด้าน แต่ดูเหมือนกำลังใจของนายจะดีนะ ถึงได้รับรองเชลยมาเป็นผู้หญิงของตัวเอง ถูกใจหน้าตาหรือถูกตัวเธอไปแล้ว”
“ว่าเรื่องของนายมาดีกว่า คนที่ให้สายเลือดกับนายมาที่นี่ทำไม และคิดอะไรอยู่บ้าง”
“ไม่ตอบแล้วยังไปพูดเรื่องอื่น แสดงว่าหัวใจเริ่มหวั่นไหว ก็น่าอยู่หรอกเพราะเธอสวยสง่า ท่าทางเข้มแข็งทระนงราวกับนางพญาแบบนั้น ถ้านายยังไม่...”
“อย่าแตะต้องเธอ”
“หึๆๆๆ” พนาหัวเราะออกมา เมื่อภูผาที่แข็งแกร่งเริ่มสั่นไหวให้เห็น แล้วทำหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนจะหยิกแก้มหยอกต่อ แต่เสียงที่ดังออกมากลับเป็นเรื่องที่ถามค้างไว้อยู่ “คนให้สายเลือดฉันก็ไม่ต่างจากผู้นำสองคนนั้นหรอก คือแค่มาตามข่าวนาย อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ส่วนจิตใจนั้นฉันเชื่อว่ายังดีอยู่ แต่ถ้าเมื่อไรที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ฉันจะขัดขวางให้ถึงที่สุด”
“ขอบใจ แต่ระวังจะไม่เข้าใจกันจนกลายเป็นศึกสายเลือด”
“ไม่ต้องห่วง ฉันรับมือได้อยู่ อีกอย่างเรื่องไอ้รอยเลือดนั้น ฉันจะช่วยเป็นหูเป็นตาให้อีกแรง” พูดจบพนาก็จะผละไป แต่เปลี่ยนใจหันกลับมาพูดอีกนิดว่า “สรุปว่านายถูกตัวเธอไปหรือยัง”
“อยากเดินไปเองหรือถูกฉันลากไป”
“น่ากลัวจัง” ปากก็ว่าอย่างนั้นแต่สายตาแวววาวล้อเลียนคนหน้านิ่ง และยังแหย่อีกว่า “น้ำตาลใกล้มดหรือจะอดเสน่หา ศึกรบก็ใกล้เข้ามา ศึกรักก็กำลังจะเกิด เห้อ เกิดเป็นผู้พิทักษ์หล่อๆนี่ยุ่งจริงเว้ย”
พูดจบก็เดินหัวเราะออกไป ส่วนคนที่ถูกล้อส่ายหน้าเบาๆ แต่ใจนั้นรู้สึกไปกับคำว่า...ศึกรัก
********
ป่าไม้ที่รกทึบกลายเป็นกำแพงที่ช่วยกำบังไอ้โม่งที่หนีออกมาจากหุบผาเขียว สองเท้าที่ก้าวย้ำไปข้างหน้า ไม่มีความระวังหรือลังเล มีแต่ความมั่นใจ มุ่งมั่นฟันฝ่าไป เพราะมั่นใจว่าไม่มีใครตามมาทันหรือเจอแน่นอน แต่ที่น่าเจ็บใจคือไอ้ผู้นำกับคนของมันเห็นหน้าเขาแล้ว การจะโผล่ออกไปเดินอย่างคนทั่วไป ที่ไม่รู้ไม่เห็นเรื่องอะไรเลยไม่ได้แล้ว แต่นั้นไม่สำคัญเท่ากับ คำพูดของพวกมันที่ได้ยินมา
มันเหยียดริมฝีปากหยันไปถึงคนที่คิดถึง ซึ่งป่านนี้คงรู้แล้วว่ามันหนีมาและคงร้อนใจ ส่งคนออกพลิกแผ่นดินล่ามัน เพื่อปิดปากไม่ให้พูดเรื่องที่รู้มาออกไป ไม่งั้นจะถูกเป็นฝ่ายถูกล่าเสียเอง
“คนทรยศ”
แววตามันเปล่งประกายการฆ่าออกมา แล้วคิดว่าถ้ามันไม่บาดเจ็บ คงจัดการผู้นำหุบผาไปแล้ว แต่ไม่เป็นไร รอให้มันทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาให้สำเร็จก่อน ค่อยไปจัดการทีหลังก็ยังไม่สาย คนคิดคดทรยศแบบนั้นให้มีชีวิตอยู่เป็นเสี้ยนหนามไม่ได้เด็ดขาด
สองเท้ามันก้าวย่ำไปเรื่อยๆแล้วหยุดนิ่ง เมื่อได้ยินเสียงสวบสาบบางอย่าง มันรีบพาตัวเองไปหลบหลังพุ่มไม้หนา สายตามองลอดช่องเล็กๆออกมาหาต้นตอของเสียงอย่างระวัง มือหนึ่งจับมีดอีกมือจับปืน เตรียมพร้อมที่จะสังหารคนหรืออะไรก็ตามที่เป็นภัยกับตัวเอง มันคิดและภาวนาขออย่าให้เป็นคน เพราะไม่ว่าใครที่โผล่มา คงยากที่จะจัดการเมื่ออาการบาดเจ็บที่ยังไม่หายดี การบุกป่าฝ่าดงมาทั้งคืนก็ทำให้เหนื่อยล้า ที่สำคัญจะให้ใครเจอมันและจับตัวมันกลับไปไม่ได้เด็ดขาด
แต่ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนแล้วแต่อนิจจัง ความเที่ยงแท้ไม่มี ความแน่นอนคือความไม่แน่น เช่นเดียวกับความคิดของมัน คำภาวนาไม่ได้ผล มันทิ้งตัวลงนอนราบกับผืนป่า เมื่อเสียงสวบสาบนั่นคือ...
‘ผู้พิทักษ์’
‘จะเป็นไปได้ยังไง’ เสียงดังลั่นอยู่ในสมองพลางจับตามองไอ้คนที่เห็นไม่วางตา และไม่ได้มีมันแค่คนเดียว เมื่อห่างออกไปไม่เท่าไร ก็มีอีกคนโผล่ออกมา ท่าทางของพวกมันบอกให้รู้ว่า กำลังตามหามันอยู่แน่นอน ‘พวกมันได้กลิ่นมันเร็วขนาดนี้ได้ยังไง’
มันถามตัวเอง แล้วเหยียดริมฝีปากหยันเมื่อคิดได้ว่า คนที่ทำร้ายมันจนเกือบตายนั่นมีตำแหน่งใดอยู่ที่นี่ คิดไม่ถึงว่าจะส่งคนมาตามหามันได้เร็วขนาดนี้ ‘ร้ายกาจจริงๆ’
มันกบดานนิ่งยิ่งกว่ากบจำศีล แม้แต่ลมหายใจก็แทบกลั้นไว้เพราะกลัวพวกมันจะได้ยินเสียง กระทั่งทั้งสองคนเดินไปอีกทาง รอจนแน่ใจว่าจะไม่ย้อนกลับมาทางเก่า ก็ค่อยๆลุกขึ้นเดินต่อไปข้างหน้า แต่ไม่นานสัจธรรมของโลกที่ได้กล่าวไว้ว่าทุกอย่างล้วนแล้วแต่อนิจจัง ก็หยุดมันไว้
มือที่จับมีดและปืนกระชับเข้าหากันแน่น ขณะสายตามองคนที่ยืนขวางอยู่ตรงหน้า ลักษณะท่าทางนั่นบอกว่าความตายเท่านั้นถึงจะหยุดมันไว้ได้ แถมอาวุธก็มีอยู่ครบมือไม่ต่างจากมัน ‘แล้วจะทำยังไง’ มันใช้สมองคิดหาทางอย่างหนัก เพราะต้องสู้กันซึ่งๆหน้าไม่ใช่ลอบกัดอย่างเมื่อคืน
“แกเป็นใคร” มันถามเพื่อถ่วงเวลาไว้ก่อน แต่คำตอบที่ได้มาบอกว่าเวลามีน้อยเหลือเกิน
“ยมบาล”
“หมารับใช้มากกว่ามั่ง”
“รู้ก็ดีแล้ว เพราะหมาอย่างกู กัดใครแล้วต้องกัดให้ตาย ทิ้งไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามไม่ได้เด็ดขาด”
คำว่า ‘เสี้ยนหนาม’ สะกิดใจไอ้โม่งให้คิดว่าใครกันแน่ที่ส่งไอ้สารเลวนี้มา ถ้าเป็นคนที่มันคิดอยู่ ไม่น่าจะมีคำนี้หลุดออกมา หรือว่า...แววตามันฉายความตระหนกออกมา ‘บัดซบ’ มันสบถอย่างเจ็บใจ นี่มันจะถูกฆ่าปิดปากเหรอ เส้นเลือดที่ขมับมันปูดขึ้นมาด้วยความเจ็บแค้น ‘ตายด้วยน้ำมือศัตรูกูจะไม่เสียดายชีวิต แต่ถ้าต้องตายด้วยน้ำคำของคนที่มันรับใช้ กูจะไม่ยอมตายเด็ดขาด’
“หมายความว่าไง อย่าบอกนะว่าคนที่สั่งมึงมา...” มันหยั่งเชิงถามเพื่อความแน่ใจ
“คนที่ใกล้ตายรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ให้ความลับมันตายไปกับมึงเถอะ”
“ทำไม” มันถามเมื่อเริ่มแน่ใจว่าคิดถูก
“วัฎจักร คนที่ไม่จำเป็น อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์”
ไอ้โม่งแค้นหนักเข้าไปอีก ไม่คิดว่าความจงรักภักดีของมัน ถูกตอบแทนด้วยความตาย สีหน้าแววตามันกระด้างด้วยความเหี้ยม แล้วชิงลงมือก่อน “ปัง”
เสียงปืนดังขึ้น แต่แทนที่ไอ้สารเลวที่ยืนตรงหน้าจะมีเลือดไหลออกมา กลับเป็นตัวมันเอง มือที่จับปืนสั่นระริกและเจ็บจนไม่อาจจะจับปืนได้อีกแล้วจำต้องปล่อยให้หลุดจากมือไป ‘ใครยิง’ มันกวาดตามองหา แล้วก็ได้เห็นไอ้สารเลวอีกคน ที่โผล่ออกมา สายตากับปืนที่เล็งมานั่นบอกว่า ชีวิตมันชะตาขาดแล้ว
“ปัง”
ไอ้โม่งสะดุ้งเฮือก ดวงตาเบิกกว้าง เลือดค่อยๆซึมออกมาจากกลางหน้าผาก ไหลย้อยผ่านจมูกถึงปลายคางหยดลงสู่พื้นดิน ตัวมันก็หงายหลังลงนอนนิ่ง ลมหายใจสะท้อนขึ้นอีกสองสามเฮือกก็ขาดหายไปชั่วนิรันดร์
ไอ้สารเลวสองคนเดินมาหยุดยืนมองอย่างเฉยเมย แล้วจัดการเก็บอาวุธ รอยเลือด ไม่ให้หลงเหลือเป็นร่อยรอยให้ใครสงสัยหรือขุดคุ้ยหาความเป็นมา แล้วลากตัวมันไปทิ้งเหวลึกให้สัตว์ป่ากัดกิน ให้ทุกอย่างสลายหายไปเสมือนว่ามันไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกนี้
*******
โมบายสีเขียวลายพรางที่แขวนอยู่บนระเบียงชั้นสอง ของเรือนพักรับรองรั้วของชาติ ดังกรุ๋งกริ๋งเมื่อสายลมพัดมา ประตูรั้วที่ปิดสนิทมาเป็นอาทิตย์ถูกพลทหารรับใช้เปิดออกกว้าง รอรับรถตู้สีขาวที่ได้รับการแจ้งมาว่ากำลังจะวิ่งมาถึง ไม่กี่อึดใจรถตู้คันดังกล่าวก็วิ่งมาวิ่งผ่านเข้าไปจอดอยู่หน้าบันไดเรือน พลทหารรีบปิดประตูรั้ว แล้ววิ่งไปยืนอยู่ตรงประตูรถ ซึ่งค่อยๆเลื่อนเปิดออกด้วยระบบอัตโนมัติ
คนที่นั่งอยู่ในรถก้าวออกมายืนบนพื้นข้างรถ พลทหารก็รีบยกมือขึ้นทำความเคารพผู้บังคับบัญชาทันที พันโทอัศวินที่อยู่ในเครื่องแบบเต็มยศ ก็ยกมือขึ้นทำวันทยหัตถ์รับ แล้วบอกให้ทำตัวตามสบาย แต่พลทหารยังไม่ทันได้ทำตามคำสั่ง ก็เห็นคุณหญิงของท่าน ก้าวออกมาจากรถมายืนเคียงข้างท่าน ก็ทำความเคารพ
คุณหญิงประภาพรรณยิ้มให้พลทหาร ทักทายสวัสดีกลับไป พลทหารก็เดินไปหลังรถตู้ เพื่อขนสัมภาระไปเก็บบนเรือน ส่วนคุณหญิงก็มองเรือนพักรับรองที่ต้องมาอยู่ เป็นเรือนไม้สองชั้น ชั้นล่างโปร่งโล่งสบาย มีชุดรับแขกไว้รับรองผู้มาเยือน ถัดไปด้านหลังก็เป็นห้องครัว ส่วนชั้นบนเป็นห้องนอนสองห้องกับระเบียงกว้าง มีชุดรับแขกวางอยู่ตรงมุมระเบียงที่แขวนโมบาย ซึ่งกำลังส่งเสียงเพราะๆมาให้ได้ยิน แต่คุณหญิงนิ่งเฉยเพราะจิตใจที่เป็นห่วงกังวลเรื่องลูกสาวที่หายไป
ความกังวลที่หนักหน่วงอยู่ในอก ถูกระบายออกมาทางลมหายใจ แล้วหันมามองหน้าสามี ที่มีความรู้สึกไม่ต่างกัน นับตั้งแต่วันที่ลูกหายไป สีหน้าและแววตาของทั้งสองคนไม่มีความสุขเลย
“ขึ้นเรือนไปพักเถอะ”
“แล้วคุณพี่ละคะ”
“พี่จะไปกองบัญชาการ”
คุณหญิงอยากจะเอ่ยปากขอตามไปด้วย เพราะที่ตามสามีมาถึงที่นี่ไม่อยู่ที่บ้าน ก็เนื่องจากไม่อาจจะทนรอฟังข่าวลูกอยู่ตามลำพัง อยากมาฟังข่าวคราวทุกอย่างอย่างใกล้ชิด แต่ถ้าจะต้องตามไปถึงกองบัญชาการ คุณหญิงก็รู้ว่าไม่สมควร จึงได้แต่ฝากความหวังไปกับสามีแล้วเดินขึ้นไปบนเรือน เพื่อสวดมนต์บนบานสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลายขอให้ได้ข่าวลูก และให้อยู่รอดปลอดภัยอย่าได้เป็นอะไรไป
พันโทอัศวินยืนมองจนกระทั่งภริยาเดินเข้าไปอยู่ในห้องพักเรียบร้อย ก็ละสายตามามองหาพลทหารแล้วสั่งให้ดูแลคุณหญิงให้ดี จากนั้นก็ขึ้นรถตู้ ให้พลขับขับตรงไปกองบัญชาการ ไม่นานรถตู้ก็วิ่งมาจอดหน้าอาคารสีขาวสองชั้น ท่านลงจากรถมาทักทายลูกน้องบอกไม่ต้องมากพิธี ก็รีบเดินเข้าไปในอาคาร ตรงไปยังห้องทำงานของท่าน ซึ่งคนของท่านนั้นได้รออยู่แล้ว
ร่างสูงของท่านพันโทเดินผ่านประตูเข้ามา ลูกน้องก็ลุกขึ้นจะทำความเคารพ ท่านยกมือห้ามไว้ว่าไม่ต้อง แต่ทั้งสองที่ผ่านสมรภูมิการชิงตัวมาพร้อมกับท่าน ก็ยังก้มหน้าให้ความเคารพอยู่ดี และยืนนิ่งรอจนท่านเดินไปนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานจึงนั่งลงบนเก้าอี้ที่หน้าโต๊ะ
“มีความคืบหน้าอะไรบ้าง” พันโทอัศวินถามด้วยความร้อนใจ แม้ช่วงที่ต้องไปอยู่กับภรรยาลูกน้องจะรายงานไปให้รู้เป็นระยะๆ แต่ก็หวังมาตลอดว่าจะมีข่าวดีสักครั้ง
“ต้องขอโทษด้วยครับ ที่ไม่มีเบาะแสอะไรมาให้ท่านเลย” สีหน้าคนตอบรู้สึกไม่ต่างจากน้ำเสียงที่บอกออกมา หัวใจของท่านพันโทก็โหวงวูบเมื่อต้องสิ้นหวังอีกครั้ง แต่สีหน้ายังเด็ดเดี่ยว ท่าทางยังองอาจเฉกเช่นชายชาติทหารที่ไม่หวั่นกับสิ่งใด
“ฉันเข้าใจ และขอบใจทุกคนที่ช่วยเหลือ และสั่งคนของเราให้ถอยออกมาด้วย”
“ยุติการค้นหาหรือขอรับ” เสียงนายทหารออกจะตกใจ
“ใช่ แล้วทั้งสองคนก็กลับไปพักกันเถอะ เหนื่อยกันมามากแล้ว”
“แต่ว่าท่านครับ...”
พันโทอัศวินยกมือขึ้นห้าม นายทหารทั้งสองคนจำต้องนิ่ง ทั้งที่อยากจะบอกว่าพร้อมที่จะช่วยเหลือท่านไปจนกว่าจะเจอลูก แต่เป็นทหารต้องรับฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชา และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด จึงลุกขึ้นทำความเคารพแล้วเดินออกมาจากห้องเงียบๆ...ทันทีที่ประตูห้องปิดลง ความเป็นทหารของท่านอัศวินก็หายไป เหลือแค่คนธรรมดาที่สีหน้า แววตา หัวใจ เจ็บปวดกับการสูญเสียที่ไม่รู้ว่าจะได้กลับคืนมาหรือเปล่า
“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด” เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้นมาหยุดภวังค์ของท่าน ให้หันหาที่มาของเสียง ซึ่งอยู่ในกระเป๋าเสื้อด้านหน้า จึงเปิดกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ออกมามองเบอร์ที่ขึ้นหน้าจอ ไม่มีความคุ้นเคย ความลังเลจึงเกิดขึ้นมาว่าจะรับหรือไม่ แต่สุดท้ายด้วยหน้าที่รับใช้ประชาชน ที่อาจจะเดือดร้อนก็ตัดสินใจรับ “สวัสดี พันโทอัศวินพูด”
“สวัสดีครับท่าน ยินดีที่ได้ยินเสียงของท่าน ยินดีจริงๆ”
เสียงที่ดังมาตามสัญญาณนั้นไม่มีความคุ้นเคย แถมมีความแปลกในคำพูดทำให้ความแปลกใจเกิดขึ้นมา “ไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร แล้วติดต่อมาหาผม มีเรื่องอะไร”
“ผมก็ประชาชนคนธรรมดานี่แหละครับ และที่ติดต่อมาก็เพราะ...” คนที่โทรมาเหมือนจะบอกให้รู้ แต่กลับพูดไปว่า “จะให้พูดตรงๆเลยหรือครับ”
“ครับ แต่ถ้าคุณยังพูดวกไปวนมา หรือไม่บอกเรื่องที่โทรมาเสียที ผมคงต้องวาง”
“อย่ารีบร้อนซิครับ ผมแค่เป็นห่วงท่าน ยังไม่อยากบอกให้รู้เพราะอยากให้เวลาท่านทำใจ ก่อนที่จะฟังเรื่องที่ผมจะบอก ขอบอกว่าสำคัญมากๆ สำคัญยิ่งกว่าแผ่นดินที่ท่านรักษาอยู่อีก”
“งั้นก็บอกมาเลยครับ”
“ท่านไม่สงสัยสักนิดเลยหรือครับ ว่าเรื่องอะไร” คนโทรเล่นลิ้นเล่นเกมต่อรองกลับมา สีหน้าท่านอัศวินจึงเริ่มไม่พอใจ ที่คนโทรเริ่มเล่นเล่ห์ แต่แล้วเหมือนจะมีบางอย่างให้เอะใจ ท่านขยับตัวตรง สีหน้าเคร่งเครียด แต่จะยังไม่เล่นเกมกับมันจนกว่าจะแน่ใจ และตอบกลับมาเพียงสั้นๆว่า
“ไม่”
“แต่ผมว่าท่านรู้ แต่ที่ไม่พูดออกมาเพราะไม่แน่ใจมากกว่า ว่าคนที่โทรมาเป็นพวกก่อกวนประสาทหรือเป็นไอ้คนที่ท่านคิดอยู่ พูดออกมาเถิดครับ ผมรับรองว่านี่คือเรื่องจริง ไม่ได้หลอกกันเล่นแน่นอน”
“ไม่ จนกว่าคุณจะบอกว่าเป็นใคร”
“ท่านไม่จำเป็นต้องรู้ แต่จำเป็นต้องทำตามที่ผมบอก แต่ถ้าท่านไม่ทำหรือไม่พูดออกมา ท่านก็จะไม่ได้รู้อะไรเลยนะครับ”
มันยังเล่นแง่ เพราะแน่ใจว่าสิ่งที่มีอยู่ในมือนั้นมีดีพอที่จะทำให้นายทหารหารยอมทำตาม และก็เป็นจริงอย่างที่มันคิด เมื่อท่านไม่มีทางเลือกใด ที่สำคัญคำพูดของมันเปรียบเหมือนแสงสว่างที่ส่องขึ้นมาในความมืด ให้ท่านต้องยอม
“ลูกสาวฉัน”
“ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะดังลั่นกลับมายาวๆบอกความสมใจ ที่ในที่สุดก็เหมือนได้ตัวท่านมาอยู่ในกำมือ ก่อนจะหยุดแล้วตอบกลับมา “เก่งมากครับท่านที่ทายถูก แต่ขอให้เก่งให้ตลอดนะครับ เพราะเธอกำลังรอท่านอยู่”
พันโทอัศวินยิ้มออกมาด้วยความดีใจที่ได้ข่าวลูก แต่เพียงเดี๋ยวเดียวรอยยิ้มก็เลือนหายไป มือที่จับโทรศัพท์อยู่ก็กำเข้าหากันแน่น เมื่อความจริงที่เผชิญอยู่ตอนนี้คือความชั่วของคนที่จับตัวลูกของท่านไป และมันกำลังบีบให้ท่านจนหนทาง “แกต้องการอะไร ถึงได้ทำชั่วขนาดนี้” คำพูดของท่านเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวออกมา
“อำนาจของท่าน” เสียงตอบไม่มีแววล้อเล่นอีกแล้ว “หนึ่งเส้นทางที่ท่านดูแลกับหนึ่งเสียงที่ท่านจะได้ยินจากลูกสาวสุดที่รัก”
“เส้นทางอะไร”
“ผมเพิ่งบอกท่านไปว่าให้เก่งให้ตลอด ไม่น่าจะถามกลับมาเลยนะครับ หรือท่านจะยอมสละเธอเพื่อชาติ” มันถามแล้วไม่คิดจะรอคำตอบ แต่ทำเป็นเห็นใจว่า “เอาเป็นว่าผมจะให้เวลาท่านคิดก่อนนะครับ แล้วผมจะติดต่อกลับมาอีกที แต่คิดให้ดีนะครับ เพราะผมไม่ได้ใจดีบ่อยๆ ปรกติแล้วจะเป็นคนใจร้อนเสียมากกว่า และเพื่อให้ท่านเชื่อว่าเรื่องที่ได้ยิน เป็นความจริง ผมมีบางสิ่งจะให้ท่าน เตรียมรอรับได้เลย สวัสดี”
“เดี๋ยว เดี๋ยว” พันโทอัศวินเรียกไว้แต่สัญญาณขาดไปแล้ว ท่านได้แต่เจ็บใจที่ยังไม่ทันได้ถามถึงลูกมันก็วางสายไปแล้วๆรีบลุกขึ้นเดินไปที่ประตูห้อง เปิดประตูออกไปเรียกหานายทหารสองคน ซึ่งก็รีบวิ่งมาหา ส่งโทรศัพท์ให้ พร้อมกับบอกว่า “ได้เวลาจับโจรแล้ว”
นายทหารทั้งสองคนยิ้มกับข่าวดีที่ได้รู้ และรู้ว่าจะตามรอยโจรได้ยังไง โทรศัพท์ที่รับมาจากท่านพันโทถูกยกขึ้นมามอง ตัวเลขสิบตัวนี้จะนำพาไปหา โดยไม่รู้ว่าตอนนี้ซิมของตัวเลขพวกนี้กลายเป็นเศษขยะลอยอยู่กลางสระน้ำในสวนสาธารณะ ให้ฝูงปลามาตุบตอดก่อนจะงับกินลงท้องไป
*******
ใต้ท้องฟ้าที่มีดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันส่องลงมายังพื้นป่าบนภูเขาดำ บนยอดเขาที่เรือนของผู้พิทักษ์มือหนึ่ง ขวัญชนกนั่งอยู่บนระเบียงหลังเรือน ทอดสายตามองไกลๆส่งใจไปให้พ่อกับแม่ ที่ป่านนี้คงทุกข์ระทมที่เธอถูกจับตัวไป และคงยังไม่รู้ว่าเธอไม่ได้ตกอยู่ในมือของพวกมัน แต่ตกมาอยู่ในมือของคนป่าเถื่อน คนที่เธอยอมขายชีวิตให้เพื่อแลกกับลมหายใจ ที่จะได้กลับไปหาพวกท่านสักวัน
ใบหน้าเธอเศร้าเมื่อไม่รู้ว่า‘สักวัน’ที่คิดไว้นั้น จะเป็นจริงขึ้นมาได้หรือเปล่า เพราะเจ้าชีวิตที่เป็นเพียงความหวังเดียวยังไม่ยอมที่จะทำให้ แถมยังมีข้อแม้ที่เธอไม่รู้ว่าจะทำใจให้ทำได้แค่ไหน ตอนนี้อาการป่วยและบาดแผลที่ไหล่เธอหายดีแล้ว เขาจะมาเรียกร้องหรือเปล่า ค่ำคืนที่นอนอยู่ในห้องเดียวกัน ท่าทีเขายังเฉยเมย แต่ความหวั่นใจของเธอไม่ได้ลดน้อยลงเลย แม้จะบอกว่าไม่มีการบังคับ แต่เธอไม่เคยไว้ใจเขาเลย
ผู้ครองบัลลังก์ที่เธอไปพบมา ท่านดูเป็นผู้ใหญ่ที่ใจดี แต่เธอรู้ว่าแท้จริงแล้วคงจะไม่ใช่ เพราะคนที่ใจดีจะปกครองคนมากมายหลากหลายจิตใจที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ยาก จะต้องมีทั้งพระเดชพระคุณคอยกำกับ ไม่งั้นไม่มีทางที่อยู่กันอย่างสงบสุข พ่อของเธอเป็นตัวอย่างให้เห็นมาบ้าง อีกอย่างเจ้าชีวิตของเธอที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้เฒ่า มีความโหดร้ายและเฉียบขาด อีกด้านหนึ่งของท่านคงจะไม่ต่างกับเขา ไม่งั้นคงปกครองกันไม่ได้ ที่สำคัญศึกในที่เขาพูดถึงนั้นคืออะไร
ขวัญชนกคิดแล้วหยุดความคิดไว้ เมื่อเห็นร่างสูงเดินตรงมาที่เรือน ในแต่ละวันเธอไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน ไม่เคยถาม และไม่เคยที่จะสนใจ เพราะกลัวว่าเขาจะมาสนใจและเรียกร้องสิทธิ จึงทำนิ่งเฉย โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นกำลังจะกลับตาลปัตร... ภูผาเดินขึ้นเรือนมาหยุดยืนตรงหน้าเธอ ใบหน้างามที่เศร้า ซึมผ่านเข้าไปในดวงตาเขา แต่ที่ท่าทีที่ไม่ได้สนใจนั้น ทำให้เขาเรียกร้องสิทธิขึ้นมา ใบหน้าคมจึงก้มลงมาใกล้แก้มนวล
ใบหน้างามผงะโดยอัตโนมัติแล้วลุกขึ้นจะถอยหนี แต่ท่อนแขนแกร่งตวัดมาเกี่ยวเอวเธอพร้อมดึงมาชิดตัวอย่างรวดเร็ว เธอมองหน้าเขาอย่างไม่พอใจ แต่แทนที่เขาจะรับรู้แล้วปล่อยตัวเธอกลับถามว่า
“ลืมอะไรไปหรือเปล่า”
ดวงตากลมสวยกะพริบด้วยความงง แล้วก็คิดออก ข้อตกลงระหว่างเธอกับเขา ความอ่อนหวานที่เธอควรจะมีให้ และเอาใจเขา เผื่อเขาจะยอมส่งข่าวของเธอไปให้คนเป็นพ่อ แต่ใจเธอยังมีความเขินอายเกินกว่าจะทำ “ฉัน”
“ยอมเป็นผู้หญิงของฉันแล้ว ก็เลิกแทนตัวเองกับฉันว่าฉันได้แล้ว”
“ฉันใช้กับคนสนิทเท่านั้น”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงและเพียงพริบตาเดียวใบหน้าคมก็ก้มลงมา ริมฝีปากหยักสวยแนบชิดเรียวปากอิ่ม จูบสร้างความหวั่นหวามจนเธอเผลอเผยริมฝีปากออก ให้เขาได้เข้าไปละเมียดหาความหวานที่เคยได้ลิ้มลอง แต่ตอนนั้นต้องการสั่งสอนที่เธออวดดีใส่เขามากกว่า แต่ครั้งนี้จูบอย่างค่อยเป็นค่อยไป คล้ายสอนให้เธอรู้จักจูบที่สั่นประสาทไปได้ทั้งตัว ซึ่งดูเหมือนจะได้ผล เมื่อเรียวลิ้นเธอตวัดตอบ ความซาบซ่านเกิดขึ้นมาให้จูบของเขากดลึกลงไปเรียกร้องมากขึ้น
สองมือก็กอดกระชับร่างอรชรให้แนบกับตัวเขา จากนั้นก็ลูบไล้สีข้างลงไปที่สะโพกกลมมน ฟ้อนเฟ้นให้เสน่หาเพิ่มมากขึ้น แล้วตรึงให้กระชับกับตนขาและหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น ถอนริมฝีปากออกมา หรี่ตามองใบหน้างามที่แดงก่ำขึ้นมา โดยเฉพาะเรียวปากอิ่มที่เห่อแดง ให้ต้องคลอเคลียจูบซับความหวานที่ยังติดใจอยู่ และถามเสียงชิดริมฝีปากว่า
“แค่นี้สนิทพอไหม หรือว่ายัง งั้น...”
เสียงที่ดังขึ้นทำลายเสน่หาที่ครอบงำสติของขวัญชนกที่กระเจิงไปให้กลับมา “พอ พอค่ะ” เสียงเธอละล่ำละลักบอกออกมา แล้วจะถอยห่างแต่สะโพกเขาที่เบียดเข้ามาทำให้รู้สึกถึงบางอย่าง ที่ทำให้แก้มแดงก่ำยิ่งขึ้นไปอีก “ขวัญ” เสียงเธอแทบไม่ผ่านริมฝีปากออกมา
“อะไร” เสียงห้วนห้าวมีแววล้อ และไม่ใช่แค่เสียงแม้แต่ดวงตาที่นิ่งเฉยเป็นนิจ ก็แพรวพราวด้วยความขำ แต่เสียดายที่ขวัญชนกไม่เห็นเพราะมัวแต่หวั่นหวามกับอารมณ์ของเขา
“ปล่อย ปล่อยได้แล้วค่ะ”
“หวานๆหน่อย”
“ปล่อยขวัญได้แล้วค่ะ”
“แค่คำพูดเหรอ แล้วการกระทำละ”
อารมณ์หวั่นหวามแทบจะหายไป เมื่อรู้สึกว่าเขาได้คืบจะเอาศอก ความขุ่นเคืองแทรกขึ้นมาแต่เธอก็ต้องกดเอาไว้ และยอมทำตามที่เขาเรียกร้อง ถ้าไม่ทำก็กลัวความใกล้ชิดที่แนบชิดอยู่จะไม่จบแค่ตรงนี้ แววตาเธอฉายความรู้สึกหวาดหวั่นออกมาชัดเจน ภูผาขำอยู่ในใจแล้วยืดตัวขึ้นตรง หรี่ตามองว่าเธอจะทำยังไง ทั้งๆที่พอจะรู้อยู่แล้ว
“แล้วจะให้ทำยังไง”
“ถ้าไม่คิดฉันจะทำเอง”
เธอช้อนตามองตาม ใบหน้าแหงนตั้งเพราะตัวสูงแค่ปลายคางเขาเท่านั้นเอง แล้วจะทำตามข้อเรียกร้องเขาได้ยังไง เรียวปากอิ่มเม้มเข้าหากัน ข่มความเขินอายไว้แล้วเขย่งปลายเท้าขึ้นยืดลำคอตามเพื่อหอมแก้มเขา แต่ภูผาแกล้งยืดคอแหงนหน้าไม่ยอมให้เธอหอมได้ง่ายๆ ปลายเท้าเธอจึงขยับชิดตัวเขามากยิ่งขึ้น สองมือก็จับแขนเขายึดเป็นหลัก เธอมัวแต่จดจ่อเพื่อหอมแก้มเขา จึงไม่เห็นตอนนี้นั้นเธอชิดใกล้กับเขาแค่ไหน
แววตาของภูผาฉายชัดถึงความพอใจ และเมื่อไม่อาจทนต่อแรงเสียดสีของร่างกายที่เปรียบเหมือนขั้วบวกกับขั้วลบได้อีก เขาก็ก้มหน้าลงมาจูบเธออีกครั้ง บดขยี้หาความหวานเพื่อดับสวาทที่บาดอารมณ์เขาอยู่ ลูบไล้ตัวเธอราวกับจะถอดเสื้อผ้าออกไปจากตัว ก่อนจะสอดปลายนิ้วสัมผัสผิวเนียนนุ่มบริเวณหน้าท้อง
ขวัญชนกหัวหมุนไปกับพายุอารมณ์เขา ที่ร้อนแรงและเรียกร้องจนตัวเธอสั่น สองมือเลื่อนไปโอบกอดตัวเขาไว้เพื่อไม่ให้ทรุดลงไป ขณะลมหายใจก็ถูกเขาสูบไปแทบจะหมด แต่ไม่นานเขาก็ควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ ถอนริมฝีปากออกมาให้เธอได้หายใจ ขวัญชนกรีบขยับตัวถอยออกมา แต่ห่างได้แค่ตัวเท่านั้น เพราะเขายังจับมือไว้อยู่ แล้วดึงให้เดินตามลงมาจากเรือน
เธอเดินตามมาเงียบๆ จนมาหยุดที่ม้าตัวใหญ่ เขายกตัวเธอให้ขึ้นไปนั่ง แล้วเหวี่ยงตัวขึ้นไปนั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง ใช้เข่ากระทุ้งสีข้างมันให้ออกเดินไปตามเส้นทางที่ต้องการจะไป สองข้างทางเป็นต้นไม้สูง มันให้ความร่มรื่นและเย็นสบาย แต่ขวัญชนกกลับนั่งไม่สบาย ไม่ใช่เพราะกลัวม้าแต่ต้องคอยระวังตัวไม่ให้ไปโดนตัวเขา เดี๋ยวไฟอารมณ์ที่เพิ่งจะดับไปจะคุกกรุ่นขึ้นมา
ดวงตาคมหรี่มอง เมื่อรู้สึกถึงอาการเกร็งของตัว “เอนตัวมาพิงอกฉันไว้” เขาสั่ง แต่คำตอบกลับตรงกันข้าม
“ขวัญนั่งได้ค่ะ ขี่ม้าเป็นไม่ตกลงไปเด็ดขาด”
“แต่ม้าเลี้ยงกับม้าป่าความเชื่องนั้นต่างกัน ถ้าไม่อยากตกไปตายก็ทำตามที่บอก”
แต่ขวัญชนกก็ยังไม่ทำ แขนแข็งแกร่งจึงสอดเข้าที่เอวแล้วดึงตัวเธอให้ชิดมาพิงอก และกอดไว้อย่างนั้นพร้อมกับกระตุ้นม้าจากเดินให้วิ่งไปข้างหน้า สายลมพัดมาปะทะหน้าแต่เธอก็ไม่เบี่ยงหน้าหลบ เพราะอยากจะจดจำทุกเส้นทางไว้ เผื่อจะมีประโยชน์ในวันข้าง แต่ความคิดเหล่านั้นค่อยๆเลือนหายไป เมื่อได้เห็นทิวทัศน์ข้างหน้า
ทิวเขาลดหลั่นสูงต่ำราวระลอกคลื่น ดาษดื่นด้วยมวลดอกไม้หลากสีสัน เริงระบำพลิ้วไหวตามสายลมที่พัดผ่านลูบโลมหยอกเย้าหลอกเล่นกับผีเสื้อ นกน้อยตีปีกส่งเสียงร้องขับขานราว บินผ่านแตะต้องราวกับภมรหนุ่มที่หลงเข้ามาในดินแดนสวรรค์ที่มีแต่นางฟ้า ขวัญชนกตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามตรงหน้าจนแทบจะลืมหายใจ เธอไม่เคยเห็นทุ่งดอกไม้ที่งดงามอย่างนี้มาก่อน
“สวยจัง” เสียงหวานอดไม่ได้ที่จะรำพึงออกมา “เราอยู่ที่ไหนคะ” เธอถามโดยไม่ละสายตาจากความงามตรงหน้า และไม่รู้ว่าตอนนี้ม้าไม่ได้วิ่งเร็วแล้ว แต่เดินเหยาะย่างไปเรื่อยๆ
“สันเขา”
“คะ สันเขา” เธอทวนออกมาด้วยความแปลกใจ แล้วดึงสายตากลับมาสนใจรอบตัว ต้นไม้กับวัชพืชที่ปกคลุมถ้าเขาไม่บอก ก็ดูไม่รู้เลยว่าเป็นสันเขา และที่น่ากลัวเมื่อมองต่ำลงไปนั้นคือหุบเหว อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดแต่ความลาดชันถ้าตกลงไปไม่ตายแล้วเกิดใหม่ก็คงเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่ก้นเหวนั้น
“กลัวเหรอ”
“ค่ะ แต่แปลกใจด้วย ไม่คิดว่าภูเขาดำที่น่ากลัวจะมีความสวยงามที่น่าพิศวงนี้อยู่ด้วย”
“ที่ไหนๆก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่”
“นั่นซินะ และไม่ใช่แค่สถานที่แม้แต่คนก็ไม่มีการยกเว้น ที่คิดว่ารู้จักดีความจริงแล้วเราอาจจะไม่รู้จักก็ได้ และที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ สถานที่เหล่านี้เรายังมองเห็น ยังเดินเข้าไปดูได้ว่าเป็นยังไง แต่ใจของคนนั้นเราไม่เห็นและเดินเข้าไปดูไม่ได้เลย” เสียงเธอเศร้าเพราะชีวิตที่ต้องพบเจอกับความเลวร้าย และยังไม่รู้ว่านับจากนี้ไปจะต้องเจอกับอะไรอีกบ้าง
“อยากลงไปเดินหรือเปล่า”
“ได้เหรอคะ”
ภูผาไม่ตอบแต่บังคับม้าให้หยุดเดินแล้วเหวี่ยงตัวลงไปยืนที่พื้น รับร่างอรชรที่โน้มตัวลงมาให้มายืนอยู่ข้างๆ ขวัญชนกเดินไปหาดอกไม้ทันที สีเหลืองสด กลีบดอกที่บางเป็นรอยหยักสวยจนต้องย่อตัวลงนั่งมอง แล้วยื่นมือไปช้อนดอกมาดูใกล้ๆ มดตัวน้อยไต่อยู่บนเกสร ท่าทางมันมีความสุขอยู่กับน้ำหวาน จนเธอต้องแกล้งเป่าลมไปโดน มันชะงักส่วนเธอยิ้มขำ และยิ้มเผื่อมาถึงร่างสูงที่เดินมาย่อตัวนั่งลงใกล้ๆ
คิ้วเข้มเลิกขึ้นนิดๆก็ยิ้มตอบ ยิ้มของเธอจึงค้างอยู่แค่นั้น เพราะยิ้มของเขาที่เธอเพิ่งจะเห็นเป็นครั้งแรกกระตุกใจเธอไม่น้อย “อุ้ย” เพราะมัวแต่มองรอยยิ้มเขา จึงไม่เห็นว่ามดตัวน้อยได้ไต่มากัดที่หลังมือ ภูผาจับมือเธอมาดูทันที ดีดมดที่กัดเธอออกไป แล้วลูบที่โดนกัดให้เบาๆ เขาเอาใจใส่แล้วชะงักไปนิดเหมือนจะรู้ตัว แต่ไม่ละเลยยังคงทำต่อไป
ขวัญชนกรู้สึกเขินนิดๆ แล้วดึงมือออกมาพร้อมกับบอกว่า “ขอบคุณค่ะ ขวัญไม่เป็นไร แล้วพามาที่นี่ทำไมคะ”
“ไม่ชอบเหรอ”
“ชอบค่ะ แต่แค่แปลกใจที่คุณพามา ทั้งที่ความจริงคุณไม่จำเป็นต้องทำให้กับเชลยอย่างขวัญก็ได้”
“ฉันปลอบใจ”
คำตอบของเขาสร้างรอยหยันให้เกิดขึ้นในใจเธอ ที่พอเขาทำดีให้ก็มักจะลืมความเป็นจริงที่เป็นอยู่ ก็บอกว่า “ขวัญน่าสมเพชขนาดนั้นเลยเหรอคะ คราวหลังไม่ต้องก็ได้ เพราะมันให้ความสุขแค่ชั่วคราวไม่ใช่ถาวร ขวัญอยากได้อย่างอื่นที่ถาวรมากกว่า”
“อะไร”
“คุณก็รู้อยู่แก่ใจ”
“แล้วถ้าฉันอยากได้บ้างละ”
ขวัญชนกไม่ถามว่าอะไรเพราะรู้อยู่แก่ใจเช่นกัน เธอมองเข้าไปในดวงตาคม แล้วพูดออกมาเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร ทั้งที่เจ็บปวดใจเป็นที่สุด “แลกกันไหมคะ ขวัญจะยอมโดยที่คุณไม่ต้องรอเวลา ไม่ต้องทำให้ขวัญรู้สึกคุ้นเคย ขอแค่คุณส่งข่าวไปให้พ่อ ขวัญก็จะแก้ผ้าตรงหน้าคุณทันที”
“อย่ามาแก้ผ้าเอาหน้ารอดด้วยคำพูดที่มักง่าย และอย่าคิดว่ามันจะง่ายเหมือนอย่างที่พูด แค่ฉันจูบเธอยังสั่น แค่ฉันลูบเธอยังกลัว คิดว่าแค่หลับตาเป็นท่อนไม้แล้วมันจะจบหรือไง ขอบอกว่ามันไม่ได้ง่ายและฉันไม่ต้องการ และเมื่อเวลาผ่านอะไรๆก็เปลี่ยน และตอนนี้สิ่งที่ฉันอยากได้ไม่ใช่ร่างกายแล้ว”
“แล้วเป็นอะไร”
“หัวใจ”
********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
พนาฟังสิ่งที่เพื่อนเล่าพร้อมกับคิดวิเคราะห์ตาม และได้รู้ที่มาที่ไปของหญิงสาวแสนสวยเมื่อกี้ด้วย ไม่คิดว่าการเจอเธอจะทำให้เพื่อนเขาเกือบเอาชีวิตไปทิ้ง แล้วถ้าเธอเป็นเหตุแล้วผลที่ทำให้เพื่อนเขาหายไป จนมีข่าวลือออกมานั่นคืออะไรกัน ใครเป็นคนทำและเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“แล้วนายได้อะไรมาบ้าง”
“ไอ้โม่งกับความตาย”
“มันจะฆ่านายอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่ มันประกาศกร้าวออกมา” ภูผาบอกแล้วเล่าให้ฟังอีกว่ามันพูดอะไรกับเขาไว้บ้าง ฟังแล้วพนาก็มีความสงสัยไม่ต่างจากเขา
“คิดว่าใครจะอยู่เบื้องหลังมัน”
“ฉันไม่คิด” เขาให้คำตอบอย่างที่บอกตัวเองไว้ “แต่รอให้มันออกมา และคราวนี้จะไม่ปล่อยให้มันหนีไปได้อีกแล้ว”
“นายไม่เห็นหน้า ไม่มีความคุ้นเคย แต่มันเข้าถึงตัวนายได้ง่ายมาก น่าคิดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังมันน่าจะเป็นคนในมากกว่าจะเป็นคนนอกเสียแล้วล่ะ ภูเขาดำไม่ใช่ที่ๆใครจะเข้ามาได้ง่ายๆ ถ้าไม่มีคนในพาเข้ามา ที่สำคัญมันหายหัวไปทันทีที่หนีไป และเป็นไปไม่ได้ที่มันจะตาย เพราะถ้าตายผู้พิทักษ์ที่นายส่งไปแกะรอยมันอยู่ ต้องเอาซากมันมาให้ได้แล้ว ต้องมีคนช่วยหรือไม่ก็เอาตัวมันไว้”
“ฉันก็คิดอย่างนั้น และได้โยนหินถามทางออกไปแล้ว”
“ยังไง”
ภูผายิ้มหยันที่มุมปากเล็กน้อย ก็เล่าให้ฟัง “เมื่อวานนี้สองผู้นำหุบผาเขียวกับเหลืองมาที่นี่ พวกเขาอยากรู้ว่าฉันหายไปจริงตามข่าวที่ได้ยินกันหรือเปล่า และคงคิดจะให้เป็นจริง เพราะพอฉันโผล่มาแต่ละคนก็ทำหน้าราวกับถูกผีหลอก ฉันจึงบอกว่าที่หายไปนั้นไปหาต้นตอของข่าวลือ และก็ได้เจอ...รอยเลือด เป็นการข่มขวัญและสั่นประสาทพวกเขา”
“เยี่ยม แต่คงไม่มีพิรุธใดๆให้เห็นใช่ไหม เพราะแต่ละคนแก่ชันษาคงเก็บอารมณ์เหมือนน้ำในมหาสมุทรที่นิ่งลึก ซึ่งน่ากลัวว่าจะม้วนตัวย้อนกลับมาซัดนาย”
“ฉันรออยู่ และที่ทำก็เหมือนล่อเสือออกมาจากถ้ำ ถ้าเราไม่วางเหยื่อล่อ เราก็จะถูกมันกัดอยู่ร่ำไป และจะจับมันไม่ได้สักที”
“งั้นนายก็ระวังตัวให้ดี เพราะนายกำลังจะเจอศึกหลายด้าน แต่ดูเหมือนกำลังใจของนายจะดีนะ ถึงได้รับรองเชลยมาเป็นผู้หญิงของตัวเอง ถูกใจหน้าตาหรือถูกตัวเธอไปแล้ว”
“ว่าเรื่องของนายมาดีกว่า คนที่ให้สายเลือดกับนายมาที่นี่ทำไม และคิดอะไรอยู่บ้าง”
“ไม่ตอบแล้วยังไปพูดเรื่องอื่น แสดงว่าหัวใจเริ่มหวั่นไหว ก็น่าอยู่หรอกเพราะเธอสวยสง่า ท่าทางเข้มแข็งทระนงราวกับนางพญาแบบนั้น ถ้านายยังไม่...”
“อย่าแตะต้องเธอ”
“หึๆๆๆ” พนาหัวเราะออกมา เมื่อภูผาที่แข็งแกร่งเริ่มสั่นไหวให้เห็น แล้วทำหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนจะหยิกแก้มหยอกต่อ แต่เสียงที่ดังออกมากลับเป็นเรื่องที่ถามค้างไว้อยู่ “คนให้สายเลือดฉันก็ไม่ต่างจากผู้นำสองคนนั้นหรอก คือแค่มาตามข่าวนาย อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ส่วนจิตใจนั้นฉันเชื่อว่ายังดีอยู่ แต่ถ้าเมื่อไรที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ฉันจะขัดขวางให้ถึงที่สุด”
“ขอบใจ แต่ระวังจะไม่เข้าใจกันจนกลายเป็นศึกสายเลือด”
“ไม่ต้องห่วง ฉันรับมือได้อยู่ อีกอย่างเรื่องไอ้รอยเลือดนั้น ฉันจะช่วยเป็นหูเป็นตาให้อีกแรง” พูดจบพนาก็จะผละไป แต่เปลี่ยนใจหันกลับมาพูดอีกนิดว่า “สรุปว่านายถูกตัวเธอไปหรือยัง”
“อยากเดินไปเองหรือถูกฉันลากไป”
“น่ากลัวจัง” ปากก็ว่าอย่างนั้นแต่สายตาแวววาวล้อเลียนคนหน้านิ่ง และยังแหย่อีกว่า “น้ำตาลใกล้มดหรือจะอดเสน่หา ศึกรบก็ใกล้เข้ามา ศึกรักก็กำลังจะเกิด เห้อ เกิดเป็นผู้พิทักษ์หล่อๆนี่ยุ่งจริงเว้ย”
พูดจบก็เดินหัวเราะออกไป ส่วนคนที่ถูกล้อส่ายหน้าเบาๆ แต่ใจนั้นรู้สึกไปกับคำว่า...ศึกรัก
********
ป่าไม้ที่รกทึบกลายเป็นกำแพงที่ช่วยกำบังไอ้โม่งที่หนีออกมาจากหุบผาเขียว สองเท้าที่ก้าวย้ำไปข้างหน้า ไม่มีความระวังหรือลังเล มีแต่ความมั่นใจ มุ่งมั่นฟันฝ่าไป เพราะมั่นใจว่าไม่มีใครตามมาทันหรือเจอแน่นอน แต่ที่น่าเจ็บใจคือไอ้ผู้นำกับคนของมันเห็นหน้าเขาแล้ว การจะโผล่ออกไปเดินอย่างคนทั่วไป ที่ไม่รู้ไม่เห็นเรื่องอะไรเลยไม่ได้แล้ว แต่นั้นไม่สำคัญเท่ากับ คำพูดของพวกมันที่ได้ยินมา
มันเหยียดริมฝีปากหยันไปถึงคนที่คิดถึง ซึ่งป่านนี้คงรู้แล้วว่ามันหนีมาและคงร้อนใจ ส่งคนออกพลิกแผ่นดินล่ามัน เพื่อปิดปากไม่ให้พูดเรื่องที่รู้มาออกไป ไม่งั้นจะถูกเป็นฝ่ายถูกล่าเสียเอง
“คนทรยศ”
แววตามันเปล่งประกายการฆ่าออกมา แล้วคิดว่าถ้ามันไม่บาดเจ็บ คงจัดการผู้นำหุบผาไปแล้ว แต่ไม่เป็นไร รอให้มันทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาให้สำเร็จก่อน ค่อยไปจัดการทีหลังก็ยังไม่สาย คนคิดคดทรยศแบบนั้นให้มีชีวิตอยู่เป็นเสี้ยนหนามไม่ได้เด็ดขาด
สองเท้ามันก้าวย่ำไปเรื่อยๆแล้วหยุดนิ่ง เมื่อได้ยินเสียงสวบสาบบางอย่าง มันรีบพาตัวเองไปหลบหลังพุ่มไม้หนา สายตามองลอดช่องเล็กๆออกมาหาต้นตอของเสียงอย่างระวัง มือหนึ่งจับมีดอีกมือจับปืน เตรียมพร้อมที่จะสังหารคนหรืออะไรก็ตามที่เป็นภัยกับตัวเอง มันคิดและภาวนาขออย่าให้เป็นคน เพราะไม่ว่าใครที่โผล่มา คงยากที่จะจัดการเมื่ออาการบาดเจ็บที่ยังไม่หายดี การบุกป่าฝ่าดงมาทั้งคืนก็ทำให้เหนื่อยล้า ที่สำคัญจะให้ใครเจอมันและจับตัวมันกลับไปไม่ได้เด็ดขาด
แต่ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนแล้วแต่อนิจจัง ความเที่ยงแท้ไม่มี ความแน่นอนคือความไม่แน่น เช่นเดียวกับความคิดของมัน คำภาวนาไม่ได้ผล มันทิ้งตัวลงนอนราบกับผืนป่า เมื่อเสียงสวบสาบนั่นคือ...
‘ผู้พิทักษ์’
‘จะเป็นไปได้ยังไง’ เสียงดังลั่นอยู่ในสมองพลางจับตามองไอ้คนที่เห็นไม่วางตา และไม่ได้มีมันแค่คนเดียว เมื่อห่างออกไปไม่เท่าไร ก็มีอีกคนโผล่ออกมา ท่าทางของพวกมันบอกให้รู้ว่า กำลังตามหามันอยู่แน่นอน ‘พวกมันได้กลิ่นมันเร็วขนาดนี้ได้ยังไง’
มันถามตัวเอง แล้วเหยียดริมฝีปากหยันเมื่อคิดได้ว่า คนที่ทำร้ายมันจนเกือบตายนั่นมีตำแหน่งใดอยู่ที่นี่ คิดไม่ถึงว่าจะส่งคนมาตามหามันได้เร็วขนาดนี้ ‘ร้ายกาจจริงๆ’
มันกบดานนิ่งยิ่งกว่ากบจำศีล แม้แต่ลมหายใจก็แทบกลั้นไว้เพราะกลัวพวกมันจะได้ยินเสียง กระทั่งทั้งสองคนเดินไปอีกทาง รอจนแน่ใจว่าจะไม่ย้อนกลับมาทางเก่า ก็ค่อยๆลุกขึ้นเดินต่อไปข้างหน้า แต่ไม่นานสัจธรรมของโลกที่ได้กล่าวไว้ว่าทุกอย่างล้วนแล้วแต่อนิจจัง ก็หยุดมันไว้
มือที่จับมีดและปืนกระชับเข้าหากันแน่น ขณะสายตามองคนที่ยืนขวางอยู่ตรงหน้า ลักษณะท่าทางนั่นบอกว่าความตายเท่านั้นถึงจะหยุดมันไว้ได้ แถมอาวุธก็มีอยู่ครบมือไม่ต่างจากมัน ‘แล้วจะทำยังไง’ มันใช้สมองคิดหาทางอย่างหนัก เพราะต้องสู้กันซึ่งๆหน้าไม่ใช่ลอบกัดอย่างเมื่อคืน
“แกเป็นใคร” มันถามเพื่อถ่วงเวลาไว้ก่อน แต่คำตอบที่ได้มาบอกว่าเวลามีน้อยเหลือเกิน
“ยมบาล”
“หมารับใช้มากกว่ามั่ง”
“รู้ก็ดีแล้ว เพราะหมาอย่างกู กัดใครแล้วต้องกัดให้ตาย ทิ้งไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามไม่ได้เด็ดขาด”
คำว่า ‘เสี้ยนหนาม’ สะกิดใจไอ้โม่งให้คิดว่าใครกันแน่ที่ส่งไอ้สารเลวนี้มา ถ้าเป็นคนที่มันคิดอยู่ ไม่น่าจะมีคำนี้หลุดออกมา หรือว่า...แววตามันฉายความตระหนกออกมา ‘บัดซบ’ มันสบถอย่างเจ็บใจ นี่มันจะถูกฆ่าปิดปากเหรอ เส้นเลือดที่ขมับมันปูดขึ้นมาด้วยความเจ็บแค้น ‘ตายด้วยน้ำมือศัตรูกูจะไม่เสียดายชีวิต แต่ถ้าต้องตายด้วยน้ำคำของคนที่มันรับใช้ กูจะไม่ยอมตายเด็ดขาด’
“หมายความว่าไง อย่าบอกนะว่าคนที่สั่งมึงมา...” มันหยั่งเชิงถามเพื่อความแน่ใจ
“คนที่ใกล้ตายรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ให้ความลับมันตายไปกับมึงเถอะ”
“ทำไม” มันถามเมื่อเริ่มแน่ใจว่าคิดถูก
“วัฎจักร คนที่ไม่จำเป็น อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์”
ไอ้โม่งแค้นหนักเข้าไปอีก ไม่คิดว่าความจงรักภักดีของมัน ถูกตอบแทนด้วยความตาย สีหน้าแววตามันกระด้างด้วยความเหี้ยม แล้วชิงลงมือก่อน “ปัง”
เสียงปืนดังขึ้น แต่แทนที่ไอ้สารเลวที่ยืนตรงหน้าจะมีเลือดไหลออกมา กลับเป็นตัวมันเอง มือที่จับปืนสั่นระริกและเจ็บจนไม่อาจจะจับปืนได้อีกแล้วจำต้องปล่อยให้หลุดจากมือไป ‘ใครยิง’ มันกวาดตามองหา แล้วก็ได้เห็นไอ้สารเลวอีกคน ที่โผล่ออกมา สายตากับปืนที่เล็งมานั่นบอกว่า ชีวิตมันชะตาขาดแล้ว
“ปัง”
ไอ้โม่งสะดุ้งเฮือก ดวงตาเบิกกว้าง เลือดค่อยๆซึมออกมาจากกลางหน้าผาก ไหลย้อยผ่านจมูกถึงปลายคางหยดลงสู่พื้นดิน ตัวมันก็หงายหลังลงนอนนิ่ง ลมหายใจสะท้อนขึ้นอีกสองสามเฮือกก็ขาดหายไปชั่วนิรันดร์
ไอ้สารเลวสองคนเดินมาหยุดยืนมองอย่างเฉยเมย แล้วจัดการเก็บอาวุธ รอยเลือด ไม่ให้หลงเหลือเป็นร่อยรอยให้ใครสงสัยหรือขุดคุ้ยหาความเป็นมา แล้วลากตัวมันไปทิ้งเหวลึกให้สัตว์ป่ากัดกิน ให้ทุกอย่างสลายหายไปเสมือนว่ามันไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกนี้
*******
โมบายสีเขียวลายพรางที่แขวนอยู่บนระเบียงชั้นสอง ของเรือนพักรับรองรั้วของชาติ ดังกรุ๋งกริ๋งเมื่อสายลมพัดมา ประตูรั้วที่ปิดสนิทมาเป็นอาทิตย์ถูกพลทหารรับใช้เปิดออกกว้าง รอรับรถตู้สีขาวที่ได้รับการแจ้งมาว่ากำลังจะวิ่งมาถึง ไม่กี่อึดใจรถตู้คันดังกล่าวก็วิ่งมาวิ่งผ่านเข้าไปจอดอยู่หน้าบันไดเรือน พลทหารรีบปิดประตูรั้ว แล้ววิ่งไปยืนอยู่ตรงประตูรถ ซึ่งค่อยๆเลื่อนเปิดออกด้วยระบบอัตโนมัติ
คนที่นั่งอยู่ในรถก้าวออกมายืนบนพื้นข้างรถ พลทหารก็รีบยกมือขึ้นทำความเคารพผู้บังคับบัญชาทันที พันโทอัศวินที่อยู่ในเครื่องแบบเต็มยศ ก็ยกมือขึ้นทำวันทยหัตถ์รับ แล้วบอกให้ทำตัวตามสบาย แต่พลทหารยังไม่ทันได้ทำตามคำสั่ง ก็เห็นคุณหญิงของท่าน ก้าวออกมาจากรถมายืนเคียงข้างท่าน ก็ทำความเคารพ
คุณหญิงประภาพรรณยิ้มให้พลทหาร ทักทายสวัสดีกลับไป พลทหารก็เดินไปหลังรถตู้ เพื่อขนสัมภาระไปเก็บบนเรือน ส่วนคุณหญิงก็มองเรือนพักรับรองที่ต้องมาอยู่ เป็นเรือนไม้สองชั้น ชั้นล่างโปร่งโล่งสบาย มีชุดรับแขกไว้รับรองผู้มาเยือน ถัดไปด้านหลังก็เป็นห้องครัว ส่วนชั้นบนเป็นห้องนอนสองห้องกับระเบียงกว้าง มีชุดรับแขกวางอยู่ตรงมุมระเบียงที่แขวนโมบาย ซึ่งกำลังส่งเสียงเพราะๆมาให้ได้ยิน แต่คุณหญิงนิ่งเฉยเพราะจิตใจที่เป็นห่วงกังวลเรื่องลูกสาวที่หายไป
ความกังวลที่หนักหน่วงอยู่ในอก ถูกระบายออกมาทางลมหายใจ แล้วหันมามองหน้าสามี ที่มีความรู้สึกไม่ต่างกัน นับตั้งแต่วันที่ลูกหายไป สีหน้าและแววตาของทั้งสองคนไม่มีความสุขเลย
“ขึ้นเรือนไปพักเถอะ”
“แล้วคุณพี่ละคะ”
“พี่จะไปกองบัญชาการ”
คุณหญิงอยากจะเอ่ยปากขอตามไปด้วย เพราะที่ตามสามีมาถึงที่นี่ไม่อยู่ที่บ้าน ก็เนื่องจากไม่อาจจะทนรอฟังข่าวลูกอยู่ตามลำพัง อยากมาฟังข่าวคราวทุกอย่างอย่างใกล้ชิด แต่ถ้าจะต้องตามไปถึงกองบัญชาการ คุณหญิงก็รู้ว่าไม่สมควร จึงได้แต่ฝากความหวังไปกับสามีแล้วเดินขึ้นไปบนเรือน เพื่อสวดมนต์บนบานสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลายขอให้ได้ข่าวลูก และให้อยู่รอดปลอดภัยอย่าได้เป็นอะไรไป
พันโทอัศวินยืนมองจนกระทั่งภริยาเดินเข้าไปอยู่ในห้องพักเรียบร้อย ก็ละสายตามามองหาพลทหารแล้วสั่งให้ดูแลคุณหญิงให้ดี จากนั้นก็ขึ้นรถตู้ ให้พลขับขับตรงไปกองบัญชาการ ไม่นานรถตู้ก็วิ่งมาจอดหน้าอาคารสีขาวสองชั้น ท่านลงจากรถมาทักทายลูกน้องบอกไม่ต้องมากพิธี ก็รีบเดินเข้าไปในอาคาร ตรงไปยังห้องทำงานของท่าน ซึ่งคนของท่านนั้นได้รออยู่แล้ว
ร่างสูงของท่านพันโทเดินผ่านประตูเข้ามา ลูกน้องก็ลุกขึ้นจะทำความเคารพ ท่านยกมือห้ามไว้ว่าไม่ต้อง แต่ทั้งสองที่ผ่านสมรภูมิการชิงตัวมาพร้อมกับท่าน ก็ยังก้มหน้าให้ความเคารพอยู่ดี และยืนนิ่งรอจนท่านเดินไปนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานจึงนั่งลงบนเก้าอี้ที่หน้าโต๊ะ
“มีความคืบหน้าอะไรบ้าง” พันโทอัศวินถามด้วยความร้อนใจ แม้ช่วงที่ต้องไปอยู่กับภรรยาลูกน้องจะรายงานไปให้รู้เป็นระยะๆ แต่ก็หวังมาตลอดว่าจะมีข่าวดีสักครั้ง
“ต้องขอโทษด้วยครับ ที่ไม่มีเบาะแสอะไรมาให้ท่านเลย” สีหน้าคนตอบรู้สึกไม่ต่างจากน้ำเสียงที่บอกออกมา หัวใจของท่านพันโทก็โหวงวูบเมื่อต้องสิ้นหวังอีกครั้ง แต่สีหน้ายังเด็ดเดี่ยว ท่าทางยังองอาจเฉกเช่นชายชาติทหารที่ไม่หวั่นกับสิ่งใด
“ฉันเข้าใจ และขอบใจทุกคนที่ช่วยเหลือ และสั่งคนของเราให้ถอยออกมาด้วย”
“ยุติการค้นหาหรือขอรับ” เสียงนายทหารออกจะตกใจ
“ใช่ แล้วทั้งสองคนก็กลับไปพักกันเถอะ เหนื่อยกันมามากแล้ว”
“แต่ว่าท่านครับ...”
พันโทอัศวินยกมือขึ้นห้าม นายทหารทั้งสองคนจำต้องนิ่ง ทั้งที่อยากจะบอกว่าพร้อมที่จะช่วยเหลือท่านไปจนกว่าจะเจอลูก แต่เป็นทหารต้องรับฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชา และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด จึงลุกขึ้นทำความเคารพแล้วเดินออกมาจากห้องเงียบๆ...ทันทีที่ประตูห้องปิดลง ความเป็นทหารของท่านอัศวินก็หายไป เหลือแค่คนธรรมดาที่สีหน้า แววตา หัวใจ เจ็บปวดกับการสูญเสียที่ไม่รู้ว่าจะได้กลับคืนมาหรือเปล่า
“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด” เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้นมาหยุดภวังค์ของท่าน ให้หันหาที่มาของเสียง ซึ่งอยู่ในกระเป๋าเสื้อด้านหน้า จึงเปิดกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ออกมามองเบอร์ที่ขึ้นหน้าจอ ไม่มีความคุ้นเคย ความลังเลจึงเกิดขึ้นมาว่าจะรับหรือไม่ แต่สุดท้ายด้วยหน้าที่รับใช้ประชาชน ที่อาจจะเดือดร้อนก็ตัดสินใจรับ “สวัสดี พันโทอัศวินพูด”
“สวัสดีครับท่าน ยินดีที่ได้ยินเสียงของท่าน ยินดีจริงๆ”
เสียงที่ดังมาตามสัญญาณนั้นไม่มีความคุ้นเคย แถมมีความแปลกในคำพูดทำให้ความแปลกใจเกิดขึ้นมา “ไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร แล้วติดต่อมาหาผม มีเรื่องอะไร”
“ผมก็ประชาชนคนธรรมดานี่แหละครับ และที่ติดต่อมาก็เพราะ...” คนที่โทรมาเหมือนจะบอกให้รู้ แต่กลับพูดไปว่า “จะให้พูดตรงๆเลยหรือครับ”
“ครับ แต่ถ้าคุณยังพูดวกไปวนมา หรือไม่บอกเรื่องที่โทรมาเสียที ผมคงต้องวาง”
“อย่ารีบร้อนซิครับ ผมแค่เป็นห่วงท่าน ยังไม่อยากบอกให้รู้เพราะอยากให้เวลาท่านทำใจ ก่อนที่จะฟังเรื่องที่ผมจะบอก ขอบอกว่าสำคัญมากๆ สำคัญยิ่งกว่าแผ่นดินที่ท่านรักษาอยู่อีก”
“งั้นก็บอกมาเลยครับ”
“ท่านไม่สงสัยสักนิดเลยหรือครับ ว่าเรื่องอะไร” คนโทรเล่นลิ้นเล่นเกมต่อรองกลับมา สีหน้าท่านอัศวินจึงเริ่มไม่พอใจ ที่คนโทรเริ่มเล่นเล่ห์ แต่แล้วเหมือนจะมีบางอย่างให้เอะใจ ท่านขยับตัวตรง สีหน้าเคร่งเครียด แต่จะยังไม่เล่นเกมกับมันจนกว่าจะแน่ใจ และตอบกลับมาเพียงสั้นๆว่า
“ไม่”
“แต่ผมว่าท่านรู้ แต่ที่ไม่พูดออกมาเพราะไม่แน่ใจมากกว่า ว่าคนที่โทรมาเป็นพวกก่อกวนประสาทหรือเป็นไอ้คนที่ท่านคิดอยู่ พูดออกมาเถิดครับ ผมรับรองว่านี่คือเรื่องจริง ไม่ได้หลอกกันเล่นแน่นอน”
“ไม่ จนกว่าคุณจะบอกว่าเป็นใคร”
“ท่านไม่จำเป็นต้องรู้ แต่จำเป็นต้องทำตามที่ผมบอก แต่ถ้าท่านไม่ทำหรือไม่พูดออกมา ท่านก็จะไม่ได้รู้อะไรเลยนะครับ”
มันยังเล่นแง่ เพราะแน่ใจว่าสิ่งที่มีอยู่ในมือนั้นมีดีพอที่จะทำให้นายทหารหารยอมทำตาม และก็เป็นจริงอย่างที่มันคิด เมื่อท่านไม่มีทางเลือกใด ที่สำคัญคำพูดของมันเปรียบเหมือนแสงสว่างที่ส่องขึ้นมาในความมืด ให้ท่านต้องยอม
“ลูกสาวฉัน”
“ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะดังลั่นกลับมายาวๆบอกความสมใจ ที่ในที่สุดก็เหมือนได้ตัวท่านมาอยู่ในกำมือ ก่อนจะหยุดแล้วตอบกลับมา “เก่งมากครับท่านที่ทายถูก แต่ขอให้เก่งให้ตลอดนะครับ เพราะเธอกำลังรอท่านอยู่”
พันโทอัศวินยิ้มออกมาด้วยความดีใจที่ได้ข่าวลูก แต่เพียงเดี๋ยวเดียวรอยยิ้มก็เลือนหายไป มือที่จับโทรศัพท์อยู่ก็กำเข้าหากันแน่น เมื่อความจริงที่เผชิญอยู่ตอนนี้คือความชั่วของคนที่จับตัวลูกของท่านไป และมันกำลังบีบให้ท่านจนหนทาง “แกต้องการอะไร ถึงได้ทำชั่วขนาดนี้” คำพูดของท่านเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวออกมา
“อำนาจของท่าน” เสียงตอบไม่มีแววล้อเล่นอีกแล้ว “หนึ่งเส้นทางที่ท่านดูแลกับหนึ่งเสียงที่ท่านจะได้ยินจากลูกสาวสุดที่รัก”
“เส้นทางอะไร”
“ผมเพิ่งบอกท่านไปว่าให้เก่งให้ตลอด ไม่น่าจะถามกลับมาเลยนะครับ หรือท่านจะยอมสละเธอเพื่อชาติ” มันถามแล้วไม่คิดจะรอคำตอบ แต่ทำเป็นเห็นใจว่า “เอาเป็นว่าผมจะให้เวลาท่านคิดก่อนนะครับ แล้วผมจะติดต่อกลับมาอีกที แต่คิดให้ดีนะครับ เพราะผมไม่ได้ใจดีบ่อยๆ ปรกติแล้วจะเป็นคนใจร้อนเสียมากกว่า และเพื่อให้ท่านเชื่อว่าเรื่องที่ได้ยิน เป็นความจริง ผมมีบางสิ่งจะให้ท่าน เตรียมรอรับได้เลย สวัสดี”
“เดี๋ยว เดี๋ยว” พันโทอัศวินเรียกไว้แต่สัญญาณขาดไปแล้ว ท่านได้แต่เจ็บใจที่ยังไม่ทันได้ถามถึงลูกมันก็วางสายไปแล้วๆรีบลุกขึ้นเดินไปที่ประตูห้อง เปิดประตูออกไปเรียกหานายทหารสองคน ซึ่งก็รีบวิ่งมาหา ส่งโทรศัพท์ให้ พร้อมกับบอกว่า “ได้เวลาจับโจรแล้ว”
นายทหารทั้งสองคนยิ้มกับข่าวดีที่ได้รู้ และรู้ว่าจะตามรอยโจรได้ยังไง โทรศัพท์ที่รับมาจากท่านพันโทถูกยกขึ้นมามอง ตัวเลขสิบตัวนี้จะนำพาไปหา โดยไม่รู้ว่าตอนนี้ซิมของตัวเลขพวกนี้กลายเป็นเศษขยะลอยอยู่กลางสระน้ำในสวนสาธารณะ ให้ฝูงปลามาตุบตอดก่อนจะงับกินลงท้องไป
*******
ใต้ท้องฟ้าที่มีดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันส่องลงมายังพื้นป่าบนภูเขาดำ บนยอดเขาที่เรือนของผู้พิทักษ์มือหนึ่ง ขวัญชนกนั่งอยู่บนระเบียงหลังเรือน ทอดสายตามองไกลๆส่งใจไปให้พ่อกับแม่ ที่ป่านนี้คงทุกข์ระทมที่เธอถูกจับตัวไป และคงยังไม่รู้ว่าเธอไม่ได้ตกอยู่ในมือของพวกมัน แต่ตกมาอยู่ในมือของคนป่าเถื่อน คนที่เธอยอมขายชีวิตให้เพื่อแลกกับลมหายใจ ที่จะได้กลับไปหาพวกท่านสักวัน
ใบหน้าเธอเศร้าเมื่อไม่รู้ว่า‘สักวัน’ที่คิดไว้นั้น จะเป็นจริงขึ้นมาได้หรือเปล่า เพราะเจ้าชีวิตที่เป็นเพียงความหวังเดียวยังไม่ยอมที่จะทำให้ แถมยังมีข้อแม้ที่เธอไม่รู้ว่าจะทำใจให้ทำได้แค่ไหน ตอนนี้อาการป่วยและบาดแผลที่ไหล่เธอหายดีแล้ว เขาจะมาเรียกร้องหรือเปล่า ค่ำคืนที่นอนอยู่ในห้องเดียวกัน ท่าทีเขายังเฉยเมย แต่ความหวั่นใจของเธอไม่ได้ลดน้อยลงเลย แม้จะบอกว่าไม่มีการบังคับ แต่เธอไม่เคยไว้ใจเขาเลย
ผู้ครองบัลลังก์ที่เธอไปพบมา ท่านดูเป็นผู้ใหญ่ที่ใจดี แต่เธอรู้ว่าแท้จริงแล้วคงจะไม่ใช่ เพราะคนที่ใจดีจะปกครองคนมากมายหลากหลายจิตใจที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ยาก จะต้องมีทั้งพระเดชพระคุณคอยกำกับ ไม่งั้นไม่มีทางที่อยู่กันอย่างสงบสุข พ่อของเธอเป็นตัวอย่างให้เห็นมาบ้าง อีกอย่างเจ้าชีวิตของเธอที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้เฒ่า มีความโหดร้ายและเฉียบขาด อีกด้านหนึ่งของท่านคงจะไม่ต่างกับเขา ไม่งั้นคงปกครองกันไม่ได้ ที่สำคัญศึกในที่เขาพูดถึงนั้นคืออะไร
ขวัญชนกคิดแล้วหยุดความคิดไว้ เมื่อเห็นร่างสูงเดินตรงมาที่เรือน ในแต่ละวันเธอไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน ไม่เคยถาม และไม่เคยที่จะสนใจ เพราะกลัวว่าเขาจะมาสนใจและเรียกร้องสิทธิ จึงทำนิ่งเฉย โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นกำลังจะกลับตาลปัตร... ภูผาเดินขึ้นเรือนมาหยุดยืนตรงหน้าเธอ ใบหน้างามที่เศร้า ซึมผ่านเข้าไปในดวงตาเขา แต่ที่ท่าทีที่ไม่ได้สนใจนั้น ทำให้เขาเรียกร้องสิทธิขึ้นมา ใบหน้าคมจึงก้มลงมาใกล้แก้มนวล
ใบหน้างามผงะโดยอัตโนมัติแล้วลุกขึ้นจะถอยหนี แต่ท่อนแขนแกร่งตวัดมาเกี่ยวเอวเธอพร้อมดึงมาชิดตัวอย่างรวดเร็ว เธอมองหน้าเขาอย่างไม่พอใจ แต่แทนที่เขาจะรับรู้แล้วปล่อยตัวเธอกลับถามว่า
“ลืมอะไรไปหรือเปล่า”
ดวงตากลมสวยกะพริบด้วยความงง แล้วก็คิดออก ข้อตกลงระหว่างเธอกับเขา ความอ่อนหวานที่เธอควรจะมีให้ และเอาใจเขา เผื่อเขาจะยอมส่งข่าวของเธอไปให้คนเป็นพ่อ แต่ใจเธอยังมีความเขินอายเกินกว่าจะทำ “ฉัน”
“ยอมเป็นผู้หญิงของฉันแล้ว ก็เลิกแทนตัวเองกับฉันว่าฉันได้แล้ว”
“ฉันใช้กับคนสนิทเท่านั้น”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงและเพียงพริบตาเดียวใบหน้าคมก็ก้มลงมา ริมฝีปากหยักสวยแนบชิดเรียวปากอิ่ม จูบสร้างความหวั่นหวามจนเธอเผลอเผยริมฝีปากออก ให้เขาได้เข้าไปละเมียดหาความหวานที่เคยได้ลิ้มลอง แต่ตอนนั้นต้องการสั่งสอนที่เธออวดดีใส่เขามากกว่า แต่ครั้งนี้จูบอย่างค่อยเป็นค่อยไป คล้ายสอนให้เธอรู้จักจูบที่สั่นประสาทไปได้ทั้งตัว ซึ่งดูเหมือนจะได้ผล เมื่อเรียวลิ้นเธอตวัดตอบ ความซาบซ่านเกิดขึ้นมาให้จูบของเขากดลึกลงไปเรียกร้องมากขึ้น
สองมือก็กอดกระชับร่างอรชรให้แนบกับตัวเขา จากนั้นก็ลูบไล้สีข้างลงไปที่สะโพกกลมมน ฟ้อนเฟ้นให้เสน่หาเพิ่มมากขึ้น แล้วตรึงให้กระชับกับตนขาและหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น ถอนริมฝีปากออกมา หรี่ตามองใบหน้างามที่แดงก่ำขึ้นมา โดยเฉพาะเรียวปากอิ่มที่เห่อแดง ให้ต้องคลอเคลียจูบซับความหวานที่ยังติดใจอยู่ และถามเสียงชิดริมฝีปากว่า
“แค่นี้สนิทพอไหม หรือว่ายัง งั้น...”
เสียงที่ดังขึ้นทำลายเสน่หาที่ครอบงำสติของขวัญชนกที่กระเจิงไปให้กลับมา “พอ พอค่ะ” เสียงเธอละล่ำละลักบอกออกมา แล้วจะถอยห่างแต่สะโพกเขาที่เบียดเข้ามาทำให้รู้สึกถึงบางอย่าง ที่ทำให้แก้มแดงก่ำยิ่งขึ้นไปอีก “ขวัญ” เสียงเธอแทบไม่ผ่านริมฝีปากออกมา
“อะไร” เสียงห้วนห้าวมีแววล้อ และไม่ใช่แค่เสียงแม้แต่ดวงตาที่นิ่งเฉยเป็นนิจ ก็แพรวพราวด้วยความขำ แต่เสียดายที่ขวัญชนกไม่เห็นเพราะมัวแต่หวั่นหวามกับอารมณ์ของเขา
“ปล่อย ปล่อยได้แล้วค่ะ”
“หวานๆหน่อย”
“ปล่อยขวัญได้แล้วค่ะ”
“แค่คำพูดเหรอ แล้วการกระทำละ”
อารมณ์หวั่นหวามแทบจะหายไป เมื่อรู้สึกว่าเขาได้คืบจะเอาศอก ความขุ่นเคืองแทรกขึ้นมาแต่เธอก็ต้องกดเอาไว้ และยอมทำตามที่เขาเรียกร้อง ถ้าไม่ทำก็กลัวความใกล้ชิดที่แนบชิดอยู่จะไม่จบแค่ตรงนี้ แววตาเธอฉายความรู้สึกหวาดหวั่นออกมาชัดเจน ภูผาขำอยู่ในใจแล้วยืดตัวขึ้นตรง หรี่ตามองว่าเธอจะทำยังไง ทั้งๆที่พอจะรู้อยู่แล้ว
“แล้วจะให้ทำยังไง”
“ถ้าไม่คิดฉันจะทำเอง”
เธอช้อนตามองตาม ใบหน้าแหงนตั้งเพราะตัวสูงแค่ปลายคางเขาเท่านั้นเอง แล้วจะทำตามข้อเรียกร้องเขาได้ยังไง เรียวปากอิ่มเม้มเข้าหากัน ข่มความเขินอายไว้แล้วเขย่งปลายเท้าขึ้นยืดลำคอตามเพื่อหอมแก้มเขา แต่ภูผาแกล้งยืดคอแหงนหน้าไม่ยอมให้เธอหอมได้ง่ายๆ ปลายเท้าเธอจึงขยับชิดตัวเขามากยิ่งขึ้น สองมือก็จับแขนเขายึดเป็นหลัก เธอมัวแต่จดจ่อเพื่อหอมแก้มเขา จึงไม่เห็นตอนนี้นั้นเธอชิดใกล้กับเขาแค่ไหน
แววตาของภูผาฉายชัดถึงความพอใจ และเมื่อไม่อาจทนต่อแรงเสียดสีของร่างกายที่เปรียบเหมือนขั้วบวกกับขั้วลบได้อีก เขาก็ก้มหน้าลงมาจูบเธออีกครั้ง บดขยี้หาความหวานเพื่อดับสวาทที่บาดอารมณ์เขาอยู่ ลูบไล้ตัวเธอราวกับจะถอดเสื้อผ้าออกไปจากตัว ก่อนจะสอดปลายนิ้วสัมผัสผิวเนียนนุ่มบริเวณหน้าท้อง
ขวัญชนกหัวหมุนไปกับพายุอารมณ์เขา ที่ร้อนแรงและเรียกร้องจนตัวเธอสั่น สองมือเลื่อนไปโอบกอดตัวเขาไว้เพื่อไม่ให้ทรุดลงไป ขณะลมหายใจก็ถูกเขาสูบไปแทบจะหมด แต่ไม่นานเขาก็ควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ ถอนริมฝีปากออกมาให้เธอได้หายใจ ขวัญชนกรีบขยับตัวถอยออกมา แต่ห่างได้แค่ตัวเท่านั้น เพราะเขายังจับมือไว้อยู่ แล้วดึงให้เดินตามลงมาจากเรือน
เธอเดินตามมาเงียบๆ จนมาหยุดที่ม้าตัวใหญ่ เขายกตัวเธอให้ขึ้นไปนั่ง แล้วเหวี่ยงตัวขึ้นไปนั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง ใช้เข่ากระทุ้งสีข้างมันให้ออกเดินไปตามเส้นทางที่ต้องการจะไป สองข้างทางเป็นต้นไม้สูง มันให้ความร่มรื่นและเย็นสบาย แต่ขวัญชนกกลับนั่งไม่สบาย ไม่ใช่เพราะกลัวม้าแต่ต้องคอยระวังตัวไม่ให้ไปโดนตัวเขา เดี๋ยวไฟอารมณ์ที่เพิ่งจะดับไปจะคุกกรุ่นขึ้นมา
ดวงตาคมหรี่มอง เมื่อรู้สึกถึงอาการเกร็งของตัว “เอนตัวมาพิงอกฉันไว้” เขาสั่ง แต่คำตอบกลับตรงกันข้าม
“ขวัญนั่งได้ค่ะ ขี่ม้าเป็นไม่ตกลงไปเด็ดขาด”
“แต่ม้าเลี้ยงกับม้าป่าความเชื่องนั้นต่างกัน ถ้าไม่อยากตกไปตายก็ทำตามที่บอก”
แต่ขวัญชนกก็ยังไม่ทำ แขนแข็งแกร่งจึงสอดเข้าที่เอวแล้วดึงตัวเธอให้ชิดมาพิงอก และกอดไว้อย่างนั้นพร้อมกับกระตุ้นม้าจากเดินให้วิ่งไปข้างหน้า สายลมพัดมาปะทะหน้าแต่เธอก็ไม่เบี่ยงหน้าหลบ เพราะอยากจะจดจำทุกเส้นทางไว้ เผื่อจะมีประโยชน์ในวันข้าง แต่ความคิดเหล่านั้นค่อยๆเลือนหายไป เมื่อได้เห็นทิวทัศน์ข้างหน้า
ทิวเขาลดหลั่นสูงต่ำราวระลอกคลื่น ดาษดื่นด้วยมวลดอกไม้หลากสีสัน เริงระบำพลิ้วไหวตามสายลมที่พัดผ่านลูบโลมหยอกเย้าหลอกเล่นกับผีเสื้อ นกน้อยตีปีกส่งเสียงร้องขับขานราว บินผ่านแตะต้องราวกับภมรหนุ่มที่หลงเข้ามาในดินแดนสวรรค์ที่มีแต่นางฟ้า ขวัญชนกตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามตรงหน้าจนแทบจะลืมหายใจ เธอไม่เคยเห็นทุ่งดอกไม้ที่งดงามอย่างนี้มาก่อน
“สวยจัง” เสียงหวานอดไม่ได้ที่จะรำพึงออกมา “เราอยู่ที่ไหนคะ” เธอถามโดยไม่ละสายตาจากความงามตรงหน้า และไม่รู้ว่าตอนนี้ม้าไม่ได้วิ่งเร็วแล้ว แต่เดินเหยาะย่างไปเรื่อยๆ
“สันเขา”
“คะ สันเขา” เธอทวนออกมาด้วยความแปลกใจ แล้วดึงสายตากลับมาสนใจรอบตัว ต้นไม้กับวัชพืชที่ปกคลุมถ้าเขาไม่บอก ก็ดูไม่รู้เลยว่าเป็นสันเขา และที่น่ากลัวเมื่อมองต่ำลงไปนั้นคือหุบเหว อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดแต่ความลาดชันถ้าตกลงไปไม่ตายแล้วเกิดใหม่ก็คงเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่ก้นเหวนั้น
“กลัวเหรอ”
“ค่ะ แต่แปลกใจด้วย ไม่คิดว่าภูเขาดำที่น่ากลัวจะมีความสวยงามที่น่าพิศวงนี้อยู่ด้วย”
“ที่ไหนๆก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่”
“นั่นซินะ และไม่ใช่แค่สถานที่แม้แต่คนก็ไม่มีการยกเว้น ที่คิดว่ารู้จักดีความจริงแล้วเราอาจจะไม่รู้จักก็ได้ และที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ สถานที่เหล่านี้เรายังมองเห็น ยังเดินเข้าไปดูได้ว่าเป็นยังไง แต่ใจของคนนั้นเราไม่เห็นและเดินเข้าไปดูไม่ได้เลย” เสียงเธอเศร้าเพราะชีวิตที่ต้องพบเจอกับความเลวร้าย และยังไม่รู้ว่านับจากนี้ไปจะต้องเจอกับอะไรอีกบ้าง
“อยากลงไปเดินหรือเปล่า”
“ได้เหรอคะ”
ภูผาไม่ตอบแต่บังคับม้าให้หยุดเดินแล้วเหวี่ยงตัวลงไปยืนที่พื้น รับร่างอรชรที่โน้มตัวลงมาให้มายืนอยู่ข้างๆ ขวัญชนกเดินไปหาดอกไม้ทันที สีเหลืองสด กลีบดอกที่บางเป็นรอยหยักสวยจนต้องย่อตัวลงนั่งมอง แล้วยื่นมือไปช้อนดอกมาดูใกล้ๆ มดตัวน้อยไต่อยู่บนเกสร ท่าทางมันมีความสุขอยู่กับน้ำหวาน จนเธอต้องแกล้งเป่าลมไปโดน มันชะงักส่วนเธอยิ้มขำ และยิ้มเผื่อมาถึงร่างสูงที่เดินมาย่อตัวนั่งลงใกล้ๆ
คิ้วเข้มเลิกขึ้นนิดๆก็ยิ้มตอบ ยิ้มของเธอจึงค้างอยู่แค่นั้น เพราะยิ้มของเขาที่เธอเพิ่งจะเห็นเป็นครั้งแรกกระตุกใจเธอไม่น้อย “อุ้ย” เพราะมัวแต่มองรอยยิ้มเขา จึงไม่เห็นว่ามดตัวน้อยได้ไต่มากัดที่หลังมือ ภูผาจับมือเธอมาดูทันที ดีดมดที่กัดเธอออกไป แล้วลูบที่โดนกัดให้เบาๆ เขาเอาใจใส่แล้วชะงักไปนิดเหมือนจะรู้ตัว แต่ไม่ละเลยยังคงทำต่อไป
ขวัญชนกรู้สึกเขินนิดๆ แล้วดึงมือออกมาพร้อมกับบอกว่า “ขอบคุณค่ะ ขวัญไม่เป็นไร แล้วพามาที่นี่ทำไมคะ”
“ไม่ชอบเหรอ”
“ชอบค่ะ แต่แค่แปลกใจที่คุณพามา ทั้งที่ความจริงคุณไม่จำเป็นต้องทำให้กับเชลยอย่างขวัญก็ได้”
“ฉันปลอบใจ”
คำตอบของเขาสร้างรอยหยันให้เกิดขึ้นในใจเธอ ที่พอเขาทำดีให้ก็มักจะลืมความเป็นจริงที่เป็นอยู่ ก็บอกว่า “ขวัญน่าสมเพชขนาดนั้นเลยเหรอคะ คราวหลังไม่ต้องก็ได้ เพราะมันให้ความสุขแค่ชั่วคราวไม่ใช่ถาวร ขวัญอยากได้อย่างอื่นที่ถาวรมากกว่า”
“อะไร”
“คุณก็รู้อยู่แก่ใจ”
“แล้วถ้าฉันอยากได้บ้างละ”
ขวัญชนกไม่ถามว่าอะไรเพราะรู้อยู่แก่ใจเช่นกัน เธอมองเข้าไปในดวงตาคม แล้วพูดออกมาเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร ทั้งที่เจ็บปวดใจเป็นที่สุด “แลกกันไหมคะ ขวัญจะยอมโดยที่คุณไม่ต้องรอเวลา ไม่ต้องทำให้ขวัญรู้สึกคุ้นเคย ขอแค่คุณส่งข่าวไปให้พ่อ ขวัญก็จะแก้ผ้าตรงหน้าคุณทันที”
“อย่ามาแก้ผ้าเอาหน้ารอดด้วยคำพูดที่มักง่าย และอย่าคิดว่ามันจะง่ายเหมือนอย่างที่พูด แค่ฉันจูบเธอยังสั่น แค่ฉันลูบเธอยังกลัว คิดว่าแค่หลับตาเป็นท่อนไม้แล้วมันจะจบหรือไง ขอบอกว่ามันไม่ได้ง่ายและฉันไม่ต้องการ และเมื่อเวลาผ่านอะไรๆก็เปลี่ยน และตอนนี้สิ่งที่ฉันอยากได้ไม่ใช่ร่างกายแล้ว”
“แล้วเป็นอะไร”
“หัวใจ”
********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ก.ย. 2559, 09:55:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.ย. 2559, 09:55:47 น.
จำนวนการเข้าชม : 1894
<< ตอน 10 | ตอน 12 >> |
phakarat 27 ก.ย. 2559, 14:19:55 น.
หนูขวัญจะยอมแลกมั้ยนะ
หนูขวัญจะยอมแลกมั้ยนะ
แว่นใส 27 ก.ย. 2559, 16:36:26 น.
ตัดตอนไปแล้ว จะเจอเบาะแสไหมนะ
ตัดตอนไปแล้ว จะเจอเบาะแสไหมนะ
พอใจ 27 ก.ย. 2559, 19:26:23 น.
อูยยยยย ต้องการหัวใจ ตรงๆแมนๆดีค่ะ
อูยยยยย ต้องการหัวใจ ตรงๆแมนๆดีค่ะ
กาซะลองพลัดถิ่น 27 ก.ย. 2559, 21:13:56 น.
อั้ยยยะ....หัวใจ บอกไปแล้วแบบขวานผ่าซาก ตรง ๆ ซื่อ ๆ ไม่อ้อมค้อมไปมา
ขวัญจะว่าไงล่ะทีนี้ ...ให้ได้ไหมหน๋ออออ
อั้ยยยะ....หัวใจ บอกไปแล้วแบบขวานผ่าซาก ตรง ๆ ซื่อ ๆ ไม่อ้อมค้อมไปมา
ขวัญจะว่าไงล่ะทีนี้ ...ให้ได้ไหมหน๋ออออ
Zephyr 23 ต.ค. 2559, 20:20:51 น.
ฉึกๆๆๆๆ ขวัญไม่ให้มาเอาทางนี้ได้นะคะพี่ภูผา 5555
ฉึกๆๆๆๆ ขวัญไม่ให้มาเอาทางนี้ได้นะคะพี่ภูผา 5555