เจ้าหัวใจแดนเถื่อน
เพราะเงื่อนไขของบุพการี ‘ทรรศิกา’ จำต้องไปใช้ชีวิตที่บ้านนอกคอกนา เป็นเวลาหนึ่งเดือน และที่นั่นเองเธอก็ได้พบกับ ‘เขา’ หนุ่มหล่อคมเข้ม ที่มีทั้งความเถื่อนและอ่อนโยนจนเริ่มทำให้หัวใจของเธอหวั่นไหว

เพราะคิดว่าเป็นคุณหนูจากเมืองกรุงประเภทเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทำให้ ‘อคิราภ์’ รู้สึกไม่ชอบ ‘ทรรศิกา’ ตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้า
แต่ตัวจริงที่สวยราวกับนางฟ้าเดินดิน ทำเอาหัวใจเขาถึงกับหวั่นไหว นานวันยิ่งใกล้ชิดเขาก็ไม่อยากให้เธอจากไป อยากให้มาเป็น เจ้าหัวใจในแดนเถื่อน แห่งนี้ แต่ทว่าเขาจะทำอย่างไร เมื่อสาวเจ้ากลับมีเจ้าของจับจองหัวใจอยู่แล้ว

“วันหลังเวลาขอของจากผู้ใหญ่หัดพูดให้มันเพราะๆ หน่อยสิ...เอ้า เอาไปไม่เห็นน่าพิศวาสตรงไหนไซส์อนุบาลซะขนาดนั้น”
หลังจากแกล้งจนพอใจ มือหนาจึงวางเสื้อชั้นในตัวน้อยพาดลงบนบ่าของหญิงสาว ที่ยืนหน้าตูมหายใจฟืดฟาด ก่อนจะพาร่างสูงของตัวเองเดินหายเข้าห้องน้ำไปอย่างไม่สนใจคนที่ยืนตัวสั่น เพราะโกรธและอายที่โดนดูถูก
“อะ...ไอ้บ้า! ไซส์อนุบาลบ้านคุณนะสิคัพบี จำไว้เลยนะ...โธ่เอ๊ย! ตัวเองเหมือนกับหนอนใบชาล่ะสิถึงได้มาว่าคนอื่นทุเรศ”
มือหนาที่กำลังจะดึงผ้าเช็ดตัวออกจากเอว เปลี่ยนมายืนถอนหายใจหนักๆ เอากับเขาสิยัยคุณหนูผู้ไม่รู้จักแพ้ เดี๋ยวได้รู้สึก ชายหนุ่มคิดอย่าหมั่นเขี้ยว
“ดูถูกใช่ไหม หนอนใบชาใช่ไหม...ได้...อย่างนี้มันต้องพิสูจน์ให้เห็นกับตา”
Tags: นิยายรัก,โรแมนติก,เกศมณี,รดามณี,ไหมขวัญ,ทำมือ,บ้านนอก

ตอน: ตอนที่ 2 >>> 50%

ตอนที่ 2

ลงจากรถแท็กซี่ทรรศิกาก็เดินหน้ามุ่ยตามหลังบุพการีทั้งสองที่เดินยิ้มหน้าบานนำไปที่สถานีร ถไฟหัวลำโพงอย่างอารมณ์ดีพานทำให้หงุดหงิดคิดไปถึงตอนก่อนออกจากบ้านมาเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว

“คุณแม่คะ ศิต้องเดินทางไฟลท์กี่โมงคะเนี่ย ถึงต้องออกจากบ้านแต่เช้าเชียว” ทรรศิกาที่เดินลงบันไดมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางถามมารดาที่นั่งเปิดหนังสืออ่านระหว่างรอเธอกับบิดาแต่งตัว

“หกโมงเช้าจ้ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ก่อนจะมองหาประมุขของบ้าน

“แล้วคุณพ่อล่ะคะ”

“มาโน้น...แล้วจ้ะ”

“ว่าไงสาวๆ เตรียมตัวเสร็จกันแล้วใช่ไหม งั้นออกเดินทางกันได้เลย

เดี๋ยวจะไม่ทัน...ไปลูกไป แท็กซี่จอดรอหน้าบ้านแล้ว”

“แท็กซี่! ทําไมเราต้องไปแท็กซี่ด้วยคะ” ทรรศิกาถามบิดาอย่างสงสัย

“มันหาที่จอดรถยาก เชื่อพ่อไปแท็กซี่นะดีแล้ว” คิ้วโก่งโค้งที่ประดับอยู่บนใบหน้าสวยขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ ทำไมต้องบอกว่าหาที่จอดรถยากทั้งๆ ที่ลานจอดรถของสนามบินออกจะใหญ่โต

“แต่พ่อคะศิว่า...”

“เฮ้ย...ไปได้แล้วมีอะไรค่อยคุยกันบนรถ” นายทัดเทพตัดบทเดินเข้ามาโอบไหล่ลูกสาวพยักหน้าเรียกภรรยาให้ตามออกมาหน้าบ้านที่มีรถแท็กซี่ที่โทรเรียกมาจอดรออยู่ก่อนแล้ว

เมื่อผู้โดยสารขึ้นเรียบร้อยคนขับจึงค่อยๆ เคลื่อนรถออกจากหน้าคฤหาสน์หลังงามมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ผู้ว่าจ้างแจ้งตั้งแต่โทรไปเรียกใช้บริการ โดยไม่ต้องถามซ้ำให้ รบกวนใจลูกค้า

“เราจะไปที่ไหนกันคะเนี่ย” หลังจากรถวิ่งออกมาได้พักใหญ่ทรรศิกาก็ถามขึ้นพร้อมกับทำหน้าเลิกลักมองคนเป็นพ่อทีคนเป็นแม่ทีอย่างสงสัย เพราะเส้นทางที่เธอเคยใช้จำได้ว่ามันไม่ใช่เส้นนี้นี่

“หึๆ สถานีรถไฟ” นายทัดเทพหันมาตอบเสียงกลัวหัวเราะอย่างกับเป็นเรื่องขบขัน แต่คนฟังอย่างทรรศิกากลับขำไม่ออก

“ห๊า! สถานีรถไฟ! ปะ...ไปทำไมกันคะ เดี๋ยวก็ไม่ทันเครื่องหรอก” เธอถามพร้อมกับปรายตามองบิดาอย่างหวาดๆ รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ของเธอกำลังจะเล่นตลกอะไรอีกหรือเปล่า

“อ้าว ถามแปลกก็ไปส่งหนูขึ้นรถเพื่อเดินทางไปบ้านของน้าเอกเพื่อนของพ่อยังไงละ” นายทัดเทพตีหน้าซื่อตอบออกไปทั้งๆ ที่รู้ว่ายังไม่มีใครบอกทรรศิกาสักคนว่าจะให้ เธอเดินทางโดยพาหนะชนิดไหน

“นี่มันหมายความว่ายังไงคะ จะให้ศินั่งรถไฟไปบ้านของเพื่อนคุณพ่ออย่างนั้นหรือคะ ศิไม่เอาด้วยหรอก...น้าคะกลับรถกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” ทรรศิกาโวยวายดังลั่นรถ ก่อนจะสั่งคนขับแท็กซี่ให้เลี้ยวรถกลับ

คนขับไม่ได้ทำตามในทันที แต่เลือกที่จะตีไฟเลี้ยวแวะเข้าไปจอดข้างทางให้ ลูกค้าทำการตกลงกันให้ได้ ก่อนว่าจะไปต่อหรือจะให้กลับ

“เรื่องกลับบ้านพ่อไม่มีปัญหา แต่ถ้ากลับก็หมายถึงศิก็ต้องไม่ไปเรียนต่อเมืองนอกโอเค๊” นายทัดเทพซึ่งคาดการไว้อยู่แล้วว่าต้องเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ขึ้นอย่างแน่นอน จึงยื่นข้อเสนอที่ตัวเองได้เปรียบทั้งขึ้นทั้งล่องให้กับผู้เป็นลูกสาวอย่างใจเย็น

ด้านทรรศิกาเมื่อได้ยินข้อเสนอก็หนมาทำตาละห้อยอ้อนผู้เป็นแม่หวังจะหาตัวช่วย แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อตัวช่วยสุดท้ายของเธอพยักหน้ายิ้มหวานอย่างเห็นด้วยกับบิดา เมื่อทำอะไรไม่ได้หญิงสาวจึงทำได้เพียงนั่งกลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด ก่อนจะถอนหายใจออกมาหนักๆ อย่างไม่มีทางเลือก

“โอเคค่ะ รถไฟก็รถไฟ แล้วนี่ก็คือเหตุผลที่ไม่ให้น้าจันขับรถมาส่งด้วยใช่ไหมคะ”

“ใช่แล้วละ มันหาที่จอดรถลำบากพ่อก็เลยคิดว่ามาแท็กซี่มันเป็นอะไรที่สะดวกที่ สุดแล้ว...อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิที่พ่อกับแม่ทำอย่างนี้เพราะมีเหตุผลน่า” นายทัดเทพว่า พลางหันไปพยักหน้าให้คนขับออกรถได้

“ว่ามาสิคะ” ทรรศิกาพูดเสียงเรียบไม่แสดงอาการขัดแย้งใดๆ ออกมา แต่สำหรับ

ผู้เป็นพ่อรู้ดีว่าท่าทางอย่างนี้ของลูกสาวพวกเขาคือกำลังงอนมาก

“นี่ถือเป็นด่านแรกที่หนูจะได้เจอ การนั่งรถไฟมันไม่ได้ลำบากนักหรอกพ่อกับแม่ก็เคยนั่งมาแล้ว ถ้าความลำบากแค่นี้ศิยังรับมันไม่ได้ไปเจอความลำบากที่โน่นจะไม่วิ่งแจ้นกลับบ้านตั้งแต่วนแรกหรือ” นายทัดเทพให้เหตุผลในข้อแรก ส่วนเหตุผลข้อต่อมาศรีภรรยาของเขาจึงรับหน้าที่ที่จะพูดต่อ

“และเหตุผลต่อมาที่พ่อกับแม่ต้องให้หนูนั่งรถไฟเพราะที่นั่นไม่มีสนามบินรถทัวร์ ไม่วิ่งผ่านมีแค่รถไฟนี่แหละ”

“โอเคค่ะ เหตุผลพอฟังได้แต่ก็น่าจะบอกล่วงหน้าสักนิด...นะคะ” ทรรศิกาหันมายิ้มยิงฟันให้กับบุพการีทั้งสองคนละทีสองทีอย่างประชดประชัน สองสามีภรรยามองหน้ากันแล้วอมยิ้มขัน ไม่ใช่ว่าพวกเขาอยากให้ลูกสาวต้องลําบาก แต่อยากให้เรียนรู้และรู้จักความยากลำบากในการดำเนินชีวิตที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสสัมผัสบ้างสักเล็กน้อยก็ยังดีถึงทรรศิกาจะไม่ใช่คุณหนูจ๋าแต่ก็มีความสุขสบายตามประสาครอบครัวมีอันจะกินได้ไปใช้ชีวิตบ้านๆ ติดดินอย่างชาวไร่ชาวนาเสียบ้างชีวิตจะได้มีรสชาติคุ้มค่าที่เกิดมาเป็นคน

“เอานี่ตั๋วเก็บไว้กับตัวนะระวังอย่าให้หายละเดี๋ยวพอขึ้นรถจะมีเจ้าหน้าที่มาขอตรวจ”

ทรรศิกาที่จมอยู่กับความคิดของตัวเองถึงกับสะดุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อบิดาสะกิดแล้วยื่นตัวรถไฟมาให้

“ขอบคุณค่ะ ...ว่าแต่รถจะออกกี่โมงล่ะคะ” หญิงสาวรับตั๋วมาพลิกดูคร่าวๆ อย่างไม่ได้สนใจมากนัก ก่อนจะยัดมันลงในกระเป๋ากางเกงยีนตัวเก่ง

“ใกล้แล้วละ พ่อว่าเราไปนั่งรอบนรถเลยดีกว่าอีกไม่นานรถก็คงจะออก” นายทัดเทพยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก่อนจะเดินนำลูกเมียไปที่ชานชาลา

“ตู้นี้เลย ถ้าพ่อจำไม่ผิดนะ ไหนศิเอาตัวมาให้พ่อดูอีกครั้งเพื่อความแน่ใจซิ”

ทรรศิกาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงตัวเดิม ก่อนจะดึงตัวออกมายื่นให้กับบิดา

“โอเค ตู้นี้แหละ ไปเราขึ้นไปหาที่นั่งกันดีกว่า” ว่าแล้วร่างสูงของนายทัดเทพก็เดินนำขึ้นไปก่อน ตามด้วยร่างสมส่วนของทรรศิกาที่ก้าวขาขึ้นบันไดด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆเพราะทางขึ้นค่อนข้างแคบทำให้กระเป๋าใบใหญ่ติดแหงกกับประตู นางศวิตาที่ยืนรอขึ้น

เป็นคนสุดท้ายต้องช่วยถือกระเป๋าเอาไว้ก่อนจะส่งมันให้กับลูกสาวทีหลัง

“ศิมาตรงนี้ลูก นี่คือที่นั่งของศินะเอากระเป๋ามาพ่อจะเก็บให้เวลาลงอย่าลืมหยิบลงไปด้วยละ”

ร่างสมส่วนเดินมานั่งลงบนเก้าอี้เบาะสีเขียวริมหน้าต่างโดยมีมารดานั่งเบาะข้างๆ ที่ยังไม่มีเจ้าของจับจอง ส่วนบิดาเมื่อเก็บกระเป๋าเข้าที่เรียบร้อยก็เดินไปยืนพิงที่ขอบหน้าต่างแล้วหันมาถามลูกสาวด้วยรอยยิ้ม

“เป็นไงพอนั่งได้ไหม”

“ก็โอเคค่ะ เบาะสามารถปรับนอนได้แต่คงจะร้อนน่าดูเลยนะคะ ดูสิตรงนี้มีพัดลมแค่ตัวเดียวเปิดส่ายไปส่ายมาเอง” หญิงสาวพูดพลางทําหน้ามุ่ย

“นี่น่ะชั้นดีสุดแล้วนะจะบอกให้ ตอนนี้ร้อนแต่พอรถวิ่งละก็เย็นสบายอย่าบอกใครเชียวละ” นายทัดเทพพูดอย่างนำเสนอ ราวกับว่ามันดีเลิศที่สุด จนทำให้นางศุวิตาที่รู้ว่าสามีกำลังโกหกคำโตถึงกลับหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ เป็นเหตุให้ทรรศิกาถามขึ้นอย่างสงสัย

“หัวเราะอะไรคะคุณแม่”

“ไม่มีอะไรหรอกลูก แม่เขาแค่คิดถึงความหลังเฉยๆ ใช่ไหมแม่”

คนถูกถามไม่ได้ตอบ แต่คนตอบคือคนปั้นเรื่องอย่างนายทัดเทพ ส่วนนางศวิตาทำได้เพียงแค่พยักหน้าเพราะยังหยุดขำไม่ได้และยังไม่อยากทำลายแผนการของสามี

“เรื่องมันตลกขนาดนั้นเลยหรือคะ” ทรรศิกาหันไปถามมารดาอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับอดีตที่สุดแสนจะตลกของบุพการีมากมายนัก ซึ่งนายทัดเทพเองก็สังเกตเห็นจึงรีบพูดเบี่ยงประเด็นเรียกความสนใจไปเรื่องอื่นทันที

“ไปถึงแล้วอย่าลืมโทรมาบอกพ่อกับแม่บ้างนะ เอ้อ พ่อลืมบอกไปว่าตาดินลูกชายของน้าภพเพื่อนของพ่อเขาจะเป็นคนมารับนะ”

“แล้วศิจะรู้ได้ไงคะว่าเขาคนนั้นคือคนไหน” คิ้วโก่งโค้งขมวดเข้าหากันเงยหน้ามองบิดา

“เอานี่รูปพี่เขาและไม่ต้องห่วงว่าพี่เขาจะไม่รู้จักเรา เพราะพ่อก็ส่งรูปเราไปให้ ทางโน้นแล้วเหมือนกัน” นายทัดเทพหยิบกระดาษที่ถูกพับเก็บไว้อย่างดีในกระเป๋าเสื้อมายื่นให้กับลูกสาว

มือบางรับกระดาษมาคลี่ออก ก่อนจะเลิกคิ้วมองภาพผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมเข้มในชุดเสื้อยืดสีดำเก่าๆ กับกางเกงยีนขาดๆ ยืนเท้าเอวมองกล้องด้วยสีหน้าบึ้งตึง ดูอีหรอบนี้สงสัยคงจะโดนบังคับให้ถ่ายรูปเสียละมั้งนี่ ตลกจังทรรศิกาคิดพลางหัวเราะในลำคอ

“เอาละ เจ้าหน้าที่ประกาศเตือนว่ารถใกล้ออกแล้วเห็นทีแม่กับพ่อคงต้องกลับก่อน โชคดีนะ ศิไปถึงบ้านของน้าภพแล้วอย่าลืมโทรมารายงานตัวกับแม่และพ่อตามที่สั่งด้วยละ อ้อ ฝากบอกด้วยว่าพ่อกับแม่คิดถึง”

หญิงสาวพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นเข้าไปสวมกอดและหอมแก้มทั้งสองข้างของมารดาแล้วหันมาทำเช่นเดียวกันกับบิดาด้วยท่าทีที่สลดเล็กน้อย

“พ่อกับแม่ไปก่อนนะ”

“ค่ะ” หญิงสาวเดินไปเกาะตรงขอบหน้าต่างมองบุพการีทั้งสองตาละห้อย ก่อนจะโบกมือลาด้วยรอยยิ้มแต่ภายในใจนั้นกลับรู้สึกใจหายเมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ และเพิ่มความเร็วขึ้นไปเรื่อยๆ จนคงที่มุ่งหน้าไปตามเส้นทางเดินรถสายตะวันออกเฉียงเหนือ

ทรรศิกายืนทอดอารมณ์อยู่พักใหญ่ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งพร้อมกับถอนหายใจออกมาหนักๆ ความหงอยเหงาว้าเหว่วิ่งเข้าจู่โจมหัวใจ เธอไม่เคยต้องไกลบ้านอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายอย่างนี้มาก่อน ถ้าต้องไปก็ไปกับกลุ่มเพื่อนๆ เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่กับคราวนี้ต้องโชว์เดี่ยวแถมต้องอยู่นานมากถึงหนึ่งเดือนเต็มๆ ตามข้อตกลงระหว่างเธอกับบิดา เฮ้อ! คิดแล้วมันช่างหดหูใจเสียเหลือเกิน

“เป็นอะไรนังหนูถอนหายใจซะดังเชียว” หญิงวัยกลางคนที่เพิ่งเดินเข้ามานั่งลงตรงเบาะนั่งข้างๆ ได้ไม่นานถามขึ้นอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นทรรศิกาทําหน้าอย่างกับแบกโลกไว้ทั้งใบ

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะป้าหนูแค่เหงาๆ ที่ต้องจากบ้านจากพ่อจากแม่และเพื่อนฝูงไปอยู่ในที่ที่เราไม่คุ้นเคยเท่านั้นเองค่ะ”

“จะไปไหนล่ะ”

“เดี๋ยวหนูขอดูที่ตั๋วก่อนนะคะหนูก็จำไม่ค่อยได้เหมือนกันนี่ไงคะ” หญิงสาวยื่นตั๋วที่เก็บไว้อย่างดีตามคำที่บิดาบอกมายื่นให้กับคนถาม

“ถึงก่อนป้าด้วย ป้าน่ะนั่งสุดสายที่อุบลโน้นแน่ะ” หญิงวัยกลางบอกด้วยรอยยิ้ม หลังจากคลี่ตั๋วออกดู ก่อนจะส่งมันกลับคืนไปให้เจ้าของ และเป็นจังหวะเดียวกับเจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋วพอดี

ทรรศิกาจึงยื่นมันให้เจ้าหน้าที่ก่อนจะรับกลับมาเก็บในกระเป๋ากางเกงตามเดิม เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจเสร็จ

“ป้าเดินทางด้วยรถไฟบ่อยหรือคะ” ทรรศิกาเริ่มชวนคุย

“ขาประจำเลยละ เพราะมันราคาถูกและป้าคิดว่ามันสะดวกสบายดีด้วย”

“หรือคะ…ป้าคะอย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยคนพวกนี้เขามาทำอะไรกันหรือคะ” ทรรศิกาก้มไปกระซิบถามพลางพยักพเยิดหน้าไปที่คนเดินถือของสวนกันไปมาบนรถไฟอย่างสงสัย คนถูกถามขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะหันไปมองคนพวกนี้ตามที่หญิงสาวบอกแล้วเสียงหัวเราะของหญิงสาววัยกลางคนก็หลุดออกมาอย่างอดไม่ได้

“ฮ่าๆๆ นี่อย่าบอกว่าไม่รู้จริงๆ น่ะนังหนู”

ทรรศิกาไม่พูดอะไรแต่มองหน้าคนที่กำลังหัวเราะเธอท้องขดท้องแข็งหน้าเหลอหลา แล้วส่ายศีรษะจนผมกระจาย

“คนพวกนี้ก็คือพ่อค้าแม่ค้าที่ขึ้นมาขายของบนรถไฟจ้ะ และจะมีขึ้นๆ ลงๆ ทุกสถานีที่รถจอดสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป แต่ก็มีบ้างบางคนที่ขายไปจนสุดสายไม่ได้ แวะลงที่ไหนเลยก็มี...ถามอย่างนี้แสดงว่าเพิ่งเคยนั่งรถไฟเป็นครั้งแรกล่ะสิเนี่ย”

“แฮะๆ จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ แล้วอย่างนี้ตอนกินข้าว...”

“ก็ซื้อกินตามที่เขาเดินขายนี่แหละ เห็นไหมว่ามีทกอย่างเลย”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นทรรศิกาถึงเริ่มสังเกตและก็เห็นอย่างที่หญิงวัยกลางคนบอก ว่าพ่อค้าแม่ค้าเดินขายของพร้อมกับตะโกนบอกลูกค้าที่ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างแข่งกับเสียงวิ่งของรถไฟอย่างน้อยเท่าที่เห็นก็สี่ห้าคน และของที่ขายก็จะมีตั้งแต่อาหารหลักอย่างข้าวกับน้ำและอาหารว่างอย่างผลไม้ขนมขบเคี้ยวรวมไปถึงยาแก้ปวดลดไข้ยาอมยาดมยาหม่องเรียกได้ว่าแทบจะยกร้านค้ามาไว้บนรถกันเลยทีเดียว

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ดาวโหลด Ebook ได้ที่
- MEB
- hytexst
- ebook

ขอบคุณทุกการติดตามนะคะ ^_^



เกศมณี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ต.ค. 2559, 15:34:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ต.ค. 2559, 15:34:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 913





<< ตอนที่ 1 >>> 100%   ตอนที่ 2 >>> 100% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account