เล่ห์แฝงรัก
เจ็ดปีก่อน ความเกลียดได้ก่อตัวขึ้นบนฐานความสัมพันธ์อันง่อนแง่นที่เรียกกันว่า ‘รัก’
วริษาเคยมีชีวิตที่สดใส เธอเคยคิดว่าตัวเองเข้มแข็งพอแล้วสำหรับเรื่องร้ายๆ แต่แล้วเธอก็กลับพบว่า สิ่งที่เธอคิดนั้นผิดมาตลอด ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปนับตั้งแต่ได้เจอกับเขา
“ฉันเชื่อไม่ลง”
ชิษณุพงษ์หลับตาลง “ความเชื่อใจของฝนที่มีให้พี่ มันคงหมดไปแล้วใช่ไหม”
วริษานิ่งไป “ใช่” พูดจบเธอก็ก้าวออกจากห้องนั้นมา
วริษาไม่หันกลับไปมองข้างหลังอีกว่าชิษณุพงษ์มีสีหน้าเช่นไร เธอไม่ต้องการที่จะเสี่ยง ไม่ว่าที่เขาบอกมาจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม
เรื่องมันผ่านมาแล้ว และจบไปแล้ว

ชิษณุพงษ์เคยเจ็บปวดเพราะความรัก เคยถูกทำร้ายด้วยความรัก และเขาเลิกศรัทธาในความรัก จนความรักแสนเกลียดได้ย้อนกลับเข้ามาในชีวิตของเขาอีกครั้ง เธอคือใครคนนั้น คนที่เขาไม่เคยคิดว่าจะรัก
“ก็ดีน่ะนะที่ฝนพูดออกมาชัดเจน... แต่ว่า--” ไม่ทันให้ได้ตั้งตัว ชิษณุพงษ์ก้มลงมาจนชิด ลมหายใจของเขาเป่ารดผิวแก้มของเธอ ต้นแขนกลมกลึงถูกจับยึดไว้มั่น และมันแน่นจนวริษาเจ็บ เธอนิ่วหน้าแต่ไม่ปริปากอุทธรณ์ “อย่าลืมซะล่ะ ว่าระหว่างนี้ฝนยังใช้นามสกุลของพี่อยู่... ถ้าขืนฝนทำอะไรให้พี่โกรธคงจำได้นะ ว่าสัญญานั่นจะมีผลทันที ลูกต้องอยู่กับพี่และฝนจะไม่ได้เจอกับลูกอีกเลย” พูดจบเขาก็ปล่อยมือ ก่อนเปลี่ยนเป็นรั้งเธอให้เข้าไปชิดกับเขาทั้งตัว นัยน์ตากลมโตเบิกกว้าง วริษาหลุดอุทาน “หน้าที่ของเมีย ฝนอย่าลืมว่ามันหมายความรวมถึงทั้งหมดที่เมียที่ดีควรทำต่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี!”

และเจ็ดปีต่อมา สายสัมพันธ์อันเปราะบางนั้น ก็ดึงให้เธอกับเขามาเจอกัน
Tags: ครอบครัว,พ่อแม่ลูก,ซึ้ง,โรแมนติก

ตอน: บทที่ ๕




หลังจากที่ร่ำลากันกับนิตาและทวีรัฐเรียบร้อยแล้ว วริษาก็ยังยืนมองบ้านหลังน้อยของตนอย่างถวิลหา เธอยังอาลัยที่นับแต่นี้ไปหนึ่งปีจะต้องจากบ้านไปไกล

ร่างเล็กผลุบกลับเข้าไปนั่งในรถยนต์ เมื่อโดนเรียกซ้ำจากคนชอบวางอำนาจ ในสายตา ภาพสุดท้ายก่อนที่จะลับหายเพราะโดนเหล่าต้นไม้ส่งใบบดบังสถานที่ของตน ทวีรัฐยืนส่งเธอด้วยแววตาเศร้าสร้อย อย่างกับว่าต่อไปจะไม่มีวันที่จะได้เจอกันอีกแล้ว

“แม่ฝนค้าบ!”

ลูกชายตัวน้อย โผออกจากอกของผู้เป็นพ่อเข้าหาอ้อมกอดอันคุ้นเคยของผู้เป็นแม่เมื่อร้องเรียก วริษายิ้มออกมาได้น้อยๆ เมื่อก้มลงมองบุตรชาย และสัมผัสกรุ่นกลิ่นหอมของแป้งที่คุ้นชิน

“ยุลูกหนูเป็นยังไงบ้างครับ... เหนื่อยบ้างไหมลูก”

หญิงสาวเบียดตัวชิดติดประตูรถ ไม่สนใจกับคนใจร้าย

และท่าทีที่วริษาลูบผมของลูกชายให้เข้าที่เข้าทางด้วยท่าทางอ่อนโยน ก็ทำให้คนที่นั่งมองเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

วริษายังเหมือนเดิม เธออ่อนหวานน่ามองเช่นเคย

“ยุไม่เหนื่อยเลยคับแม่ฝน พ่อณุบอกว่ายุเป็นเด็กดี... แล้วก็รักยุที่สุดในโลกเลย”

ผู้เป็นลูกชายอวดโอ้ให้ผู้เป็นแม่ฟัง เมื่อหันไปมองผู้เป็นพ่อแล้วกลับไปดึงแขนของบิดามารดาเข้ามากอดไว้ หลังมือของทั้งคู่ประสานกันด้วยความไม่ตั้งใจ สำหรับเขา คนที่ตีหน้าเฉยนั้นวริษาไม่รู้หรอกว่าคิดอะไรแต่กับเธอนั้น สถานะและหน้าที่ใหม่ที่รออยู่ มันทำให้ใจเต้นโครมครามจนยากเกินกว่าจะระงับไหว

“ยุหนูมานี่มา มานอนเล่นกับแม่ฝนนะครับคนดี”

เธอดึงมือออกและโอบเด็กชายมาไว้ในวงแขน

“แต่ยุอยากจะนอนเล่นกับพ่อณุแม่ฝนนี่คับ”

หนูน้อยแย้งเสียงอ่อย ก่อนจะเหลือบมองพ่อณุ ชายหนุ่มไม่ว่าอะไรเพียงแต่ยิ้มบางๆ แล้วก้มลงหอมแก้มลูกชาย และใครจะรู้ว่ามันเฉียดแก้มแม่ไปนิดเดียว

“ยุนอนกับแม่ฝนก่อนนะลูก ไว้ถึงบ้านเราสามคนจะนอนด้วยกัน”

วริษาหน้าแดงกับคำพูดของเขา เธอเหลือบตามองคนพูดมากอย่างขัดใจ ก่อนจะโอบเด็กชายไว้กับอก จากนั้นทั้งสองแม่ลูกก็เหมือนหลุดอยู่ในโลกส่วนตัวที่มีกันแค่สองคน

ในรถตู้ที่กำลังวิ่งตรงไปสนามบิน เสียงหวานๆ ที่พูดคุยเจื้อยแจ้วกับเด็กชาย ทำให้คนฟังเพลิดเพลิน ชิษณุพงษ์มองวริษาอย่างเต็มตา แววตาเขาอ่อนโยนลง เมื่อสัมผัสได้ถึงความรัก อ่อนโยน อ่อนหวานที่แทรกอยู่ในน้ำเสียงนั้น และเขาก็ชอบที่จะฟังมัน





การเดินทางโดยเครื่องบินจากเชียงใหม่มาที่กรุงเทพฯ ใช้เวลาราวชั่วโมงเศษๆ ถิรายุตื่นเต้นกับนกยักษ์ เด็กชายคุยกับพ่อและแม่ไม่ได้หยุด จนกระทั่งนกเหล็กพาทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และหลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งชั่วโมง จากการที่เมื่อคืนนี้ทั้งคืนนอนไม่ค่อยหลับ เพราะตื่นเต้นกับบ้านหลังใหม่ ถิรายุก็ผล็อยหลับอยู่บนที่นั่งของตัวเอง

“อีกสองอาทิตย์ คงเตรียมตัวทันนะสำหรับงานแต่งงาน”

เสียงนุ่มๆ เอ่ยขึ้นลอยๆ กับคนที่นั่งอยู่อีกฝั่ง วริษาชะงักและหันมามองเขา เครื่องบินเครื่องนี้เป็นเครื่องเช่าเหมาลำ ดังนั้นจึงมีแค่เธอกับเขา ถิรายุ และคนสนิทของเขาอีกสองสามคนเท่านั้น

“ค่ะ” เธอตอบรับ “แต่ฉันสงสัยทำไมคุณต้องจัดงานอะไรให้มันวุ่นวาย ฉันรู้ว่าคุณจำเป็นต้องมีครอบครัวตามเหตุผลของคุณ แต่นี่มันดูจะไม่เกี่ยวกันเลยนะกับเหตุผลนั่น”

“จำเป็นสิ” ดวงตาคมมองมาไม่กะพริบ “จำเป็นมากด้วย”

วริษาหลบการสบตาด้วยการเสมองถิรายุ

“ต้องการอะไรอีกไหม”

เสียงนุ่มๆ ยังคงเอ่ยถามต่อ... คราวนี้คล้ายกับจะเอาใจ หากวริษาปัดความคิดผิดๆ นั้นให้พ้นไป

ไม่มีทางหรอก เขาก็แค่ถามไปเท่านั้นเอง... เขาต้องการงานแต่งงานและลูกก็เพราะเหตุผล... เหตุผลที่มันไม่ใช่ความรัก

“ไม่มีค่ะ... เพราะสิ่งที่ฉันต้องการมันต้องใช้เวลา”

เธอตอบเสียงเรียบเรื่อยเหมือนคุยเรื่องปกติ

“หรือถ้าคุณจะใจดี... ยินดีช่วยเพราะเห็นแก่ตายุโดยไม่หวังอะไรฉันก็ต้องขอขอบคุณ คุณที่จะกรุณาให้ความอนุเคราะห์เรื่องค่ารักษาของตายุ เหมือนกับที่คุณบริจาคให้กับผู้ยากไร้หรือคนด้อยโอกาส”

น้ำเสียงที่เอ่ยเยาะ เมื่อได้ประชดประชัน

“ก็ได้ถ้าฝนจะยอมทิ้งลูกไปแบบนี้”

เสียงทุ้มโต้กลับเรียบเฉยอย่างไม่สะท้าน ใบหน้าคมระบายยิ้ม

“พี่จะได้บอกกับลูกถูกว่าแม่ของเขาไม่ต้องการเขาอีกแล้ว”

“คุณชิษณุพงษ์!”

วริษาเบือนหน้ากลับมามองด้วยความรู้สึกไม่พอใจ คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหาแน่นอย่างกับปมเชือก และระยะห่างระหว่างทั้งคู่ก็มีเพียงแค่ลูกชายตัวน้อยเท่านั้น

“นี่ฝน”

คำกระซิบแนบใกล้ ลมหายใจร้อนราวถ่านลวก วริษาไม่กล้าหันมามองเมื่อสำนึกดีว่าเขาอยู่ใกล้แค่ไหน

“เล่นละครให้มันสมจริงหน่อยแล้วกัน”

เขากดจมูกลงกับแก้มเธอ วริษาตัวกระตุก หันมามองอย่างเอาเรื่อง และริมฝีปากของเธอก็แตะกันกับเขา ชั่ววินาทีต่อมา ฝ่ามือแข็งแรงก็สอดรั้งศีรษะของเธอ ยามเขาบดเบียดจุมพิตลงมา

วริษาได้แต่ตะลึง ใบหน้าเธอแดงซ่าน

ดวงตาคมเข้มนั้นอยู่ใกล้มากพอที่จะเห็นแวววาววับ... ถ้ามองไม่ผิด คล้ายๆ เขาจะยั่วเธอเล่น เพราะแววขบขันเห็นเด่นชัด แต่คำพูดที่เขาพูดออกมา กลับฟังเหมือนเหน็บแนมประชดประชัน

“อย่าลืมล่ะ ว่าตอนนี้เราไม่ได้อยู่กันตามลำพัง!”





‘บ้าน’ หลังที่เห็นตรงหน้าเธอแทบเรียกได้ว่าเป็นคฤหาสน์ มันใหญ่โต สวยงาม ให้ความรู้สึกคล้ายปราสาทโบราณในอังกฤษ แต่ไม่ได้คร่ำครึเช่นนั้น เพราะผสมผสานได้อย่างลงตัวกับบ้านแบบสมัยใหม่

โดยเผลอตัว วริษาเหลียวมองชิษณุพงษ์ที่นั่งอยู่ข้างกัน ดวงตาเธอหม่น นี่เองวรรษชลถึงได้พยายามเตือนเธอตลอด

‘ณุเขาอยู่คนละระดับกับเรา ไม่มีอะไรหรอกฝนที่เรากับเขาจะเข้ากันได้ ไอ้นิทานเจ้าชายกับเจ้าหญิงตกยากนั่น มันไม่มีในชีวิตจริงหรอกนะ เงินต่อเงิน เกียรติต่อเกียรติ หัวใจมาพร้อมกับความเหมาะสมเสมอ’

วริษาผ่อนลมหายใจ เธอควรเชื่อคำเตือนของพี่สาว และเพราะไม่เชื่อ... เธอจึงได้รับบทเรียนราคาแพงและแสนจะเจ็บปวด

รถตู้คันใหญ่วิ่งเข้ามาตามถนนโรยกรวด ผ่านสวนสวยก่อนหยุดลงตรงประตูบ้านด้านหน้า จากกระจกมองผ่านออกไป วริษาออกจะแปลกใจที่เห็นเพียงหญิงชรากับหญิงวัยกลางคนอีกคนยืนรออยู่

“ถึงบ้านแล้ว” ชิษณุพงษ์เอ่ยขึ้น วริษาช้อนตาขึ้นมองเขาและแคลงใจกับท่าทีที่ผิดไป แต่แล้วก็นึกได้... ละครเริ่มแล้ว

“บ้านพ่อณุเหลอคับ”

ถิรายุชะเง้อชะแง้มอง ชายหนุ่มพยักหน้ารับ “บ้านของเราต่างหากล่ะครับยุ” เสียงของเขาช่างนุ่มนวลเต็มไปด้วยความรู้สึก หากคนที่ไม่เคยรู้เรื่องของเธอกับเขามาก่อน คงคิดไม่ถึงว่านี่มันคือการแสดง

ชิษณุพงษ์ก้าวลงไปก่อนเมื่อประตูรถตู้เปิดออก วริษาอุ้มถิรายุก้าวตามลงไป เขารับเด็กชายจากเธอไปอุ้มด้วยมือเพียงข้างเดียว ส่วนอีกมือทำเอาวริษาแทบสะดุ้งเมื่อเขาโอบเอวเธอไว้

“คุณหนู! ดีจริงแม่เล็กกำลังห่วงว่าทำไมมาช้ากัน”

คนเอ่ยทักคือหญิงชราที่วริษาเห็น หล่อนสวมเสื้อผ่าหน้าสีฟ้าคอบัวกับผ้าถุงสีดำเรียบๆ ผมสีเทารวบเป็นมวยไว้ด้านหลัง มีหญิงวัยกลางคนคอยประคอง

“รถติดน่ะครับแม่เล็ก”

ผู้หญิงคนนี้คงสำคัญกับชิษณุพงษ์มาก วริษามองเขาตรงๆ เมื่อได้ยินเสียงอันอ่อนโยนที่เขาเอ่ยตอบออกไป

“แม่เล็กน่าจะรอในบ้าน” ชายหนุ่มเอ่ยต่อ เปิดยิ้มอ่อนโยนที่วริษาจำมันได้ขึ้นใจเมื่อเขาใช้มันหลอกล่อเธอ “แม่เล็กครับ นี่ฝน วริษา แล้วก็เจ้าตัวเล็กของเรา ถิรายุ”

วริษารีบยกมือไหว้ ใช่ว่าแค่เพราะหญิงสูงวัยเป็นคนสำคัญของชิษณุพงษ์ แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายแก่กว่าจนเกือบจะเป็นยายของเธอ

“อุ้ย! แหมไม่ต้องไหว้หรอกค่ะ แม่เล็กไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น แต่ก็เอาเถอะไหว้พระนะคะ นี่คุณฝน แล้วนั่นก็คุณหนูยุ ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ แม่เล็กดีใจจริงๆ ที่ได้เจอคุณสองคนเสียที”

“สวัสดีคับแม่เล็ก” ตานี้ถิรายุยกมือไหว้ท่วมหัว “ยุธุค้าบ”

บรรดาคนล้อมรอบอมยิ้ม ชิษณุพงษ์เองก็ไม่ต่าง

“ฝน นี่แม่เล็กแม่นมของพี่ แม่เล็กเลี้ยงพี่มาตั้งแต่เด็ก แล้วก็ช่วยดูแลบ้านหลังนี้ให้พี่มาตลอด” พอวริษารับคำ เขาก็เอ่ยกับถิรายุต่อ “ยุครับ นี่คุณย่าเล็กนะลูก คุณย่าเล็กเป็นแม่อีกคนของพ่อณุ”

เด็กชายยกมือไหว้อีกรอบ และเอ่ยเรียกสรรพนามหญิงชราตามที่ได้รับการแนะนำ

“เอ๊อะ ตายจริง! แน่ะมัวแต่คุยเสียเพลิน... เอ้าๆ ช่วยกันยกกระเป๋าคุณฝนขึ้นไปเก็บที่ห้องทีไป๊... อ้อ! อันไหนล่ะคะคุณที่เป็นของคุณหนูยุน่ะค่ะ” วีราหยีตามอง เมื่อเห็นมีกระเป๋าเสื้อผ้าที่ถูกยกลงมามีเพียงแค่สองใบเท่านั้น

“อันสีน้ำตาลของฝนครับแม่เล็ก” ชิษณุพงษ์ตอบ “สีฟ้าของตายุ”

“อ๋อ” วีรารับคำในลำคอ “เอ้า แม่ยัตจัดการเลยหล่อน ของคุณหนูยุเอาไปเก็บห้องนอนเล็กนะ ของคุณฝนเอาเข้าไปไว้ที่ห้องคุณณุไป”

สั่งเสร็จหญิงวัยกลางคนที่ชื่อยัตก็จัดการหิ้วกระเป๋าของเด็กชาย ส่วนกระเป๋าของวริษา คนขับรถหิ้วเดินตามกันเข้าไปในบ้าน

“จัดห้องไว้แล้วค่ะ” วีราเอ่ยต่อ “คุณฝนมาเหนื่อยๆ คุณหนูก็ด้วย ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนนะคะ แม่เล็กจะได้จัดโต๊ะรอ”

วริษามีท่าทีลำบากใจขึ้นมา นับแต่ได้ฟังคำสั่งเรื่องกระเป๋าของวีราแล้ว เธอเงยหน้าขึ้นมองชิษณุพงษ์อย่างขอคำตอบ เขาเลิกคิ้วและยักไหล่

“ไม่ต้องห่วงนะ ห้องนอนตายุเชื่อมกับห้องนอนเรานั่นแหละ!”





ภาพสะท้อนบนกระจกในห้องน้ำกว้าง ทำให้วริษาต้องถามตัวเอง เพราะผู้หญิงที่เห็นในเงาสะท้อนนั้นช่างดูสับสน หล่อนเต็มไปด้วยความหวั่นไหวไม่แน่ใจ ที่สำคัญที่เห็นเด่นชัดที่สุดก็คือ... ความหวัง

เธอหวังอะไรอยู่หรือวริษา

วริษาเอ่ยถามตัวเอง เมื่อไม่มีเงาของชิษณุพงษ์รบกวน หลังพาเธอเข้าไปในห้องนอนใหญ่ของเขา ชิษณุพงษ์ก็ไม่ได้กดดันอะไรเธออีก เขาออกไปจากห้องและหายไปเลย ส่วนเธอจัดการพาถิรายุเข้ามาในห้องน้ำเพื่ออาบน้ำอาบท่า และตอนนี้เด็กชายก็กำลังเล่นน้ำในอ่างอาบน้ำเสียเพลิน

ความแตกต่างเด่นชัดขึ้นในทุกวินาที

จะว่าไป ห้องน้ำของเขา ใหญ่กว่าห้องนอนของเธอกับถิรายุที่บ้านหลังเล็กในเชียงใหม่ด้วยซ้ำ ส่วนความหรูหราสะดวกสบายแทบไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่มีอะไรเทียบกันได้เลย

เสียงพูดเจื้อยแจ้วด้วยความตื่นเต้นของถิรายุค่อยลอยห่างออกไป ทั้งๆ ที่เด็กชายอยู่ตรงหน้าเธอนี่เอง วริษายังคงเพ่งมองเงาตัวเองในกระจกใส ซึ่งเต็มไปด้วยหยดน้ำและเผลอยกมือขึ้นแตะริมฝีปาก

หวังที่เธอไม่ควรหวังทั้งที่รู้ดีแก่ใจ มันเกิดขึ้นเพราะจูบนั่น... เพียงแค่จูบเดียว จูบที่เหมือนประชดประชันนั่น ในตอนนี้มันทำให้เธอนึกถึงเรื่องเก่าๆ ที่พยายามฝังกลบมาตลอดเวลา

จูบแรกในชีวิตของเธอ จูบแรกที่เธอได้รับจากเขา





‘พี่ณุคะ ขอบคุณนะคะที่วันนี้มาส่งฝน’

คำขอบคุณมีขึ้นเมื่อรถยนต์คันหรูจอดลง ณ ที่ตรงนั้นรั้วริมนอกไม่ใช่ไม้ หรือรั้วปูนอย่างที่เห็นจนชินตา หากเป็นรั้วกระถินที่กำลังแตกยอดสีเขียวชะอุ่ม ตัวบ้านปูนภายในค่อนข้างเก่าชั้นเดียว พื้นที่รอบบ้านไม่ได้กว้างมากนัก ข้างบ้านทำหลังคายื่นออกมาบังแดด วางชุดเก้าอี้หินอ่อน พร้อมกับกระถางของกุหลาบ สลับกับมะลิสีขาวส่งกลิ่นหอมกรุ่น

วริษาในวัยสิบแปดปี กำลังจะเปิดประตูรถยนต์ออกไป แต่มือของเธอก็ถูกเอื้อมไปกุมไว้ด้วยมือของเขา

‘ฝน’ ชิษณุพงษ์รั้งเธอไว้ เขาโน้มตัวลงมาหา ยิ้มกรุ้มกริ่มที่ทำให้หัวใจเธอเต้นระรัวอย่างที่ไม่เคยเป็น เธอไม่กล้าสบตากับเขา แต่ก็สุดจะฝืนเมื่อนิ้วแข็งแรงนั่นเชยคางเธอขึ้นมอง

แวววับหวานในดวงตาเขา งามราวดาวพร่างฟ้า หวานเกินน้ำผึ้ง และแทบหลอมละลายเธอลงที่ตรงนั้น

หลังการคบหามาสามเดือน นี่คือเดตแรกของเธอกับเขา

‘รู้ไหมพี่รักฝนมากแค่ไหน’

คำรักหวามเข้าไปถึงในหัวอก วริษาสิ้นไร้เรี่ยวแรง ลมหายใจเธอสั้นลง และเริ่มขาดห้วงเมื่อเขาโน้มหน้าเข้ามาจนชิด

จูบนั้นเริ่มต้นอย่างแผ่วผิว มันเป็นแค่การสัมผัสของริมฝีปากก่อนที่วริษาจะรู้ว่าจุมพิตที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร มันโหยหิว เอาแต่ใจ หลอกล่อ ชวนตระหนก หวามไหว และเร่งเร้ามากขนาดไหน

เธอหลับตาลง รับสัมผัสนั้นอย่างเต็มใจและเขินอาย โอบกอดเรือนร่างสูงใหญ่แสนอบอุ่นนั้นอย่างเต็มอกเต็มใจยิ่ง

‘ฝน’ เสียงเรียกชื่อของเธออบอุ่นนัก อ่อนหวานนัก วริษาแทบปลิดปลิวไปกับรสสัมผัสที่เพิ่งเคยได้ลอง เธอปรือตาขึ้นมอง เมื่อเขาถอนจูบ กระนั้นชิษณุพงษ์ก็ยังคลอเคลียไม่ห่าง ปลายจมูกโด่งเป็นสันนั้นวนเวียนอยู่ใกล้ เธออายเมื่อเขาประทับมันลงบนผิวแก้มของเธอ

วริษาดึงสติกลับมา เมื่อความใกล้ชิดนั้นเริ่มร้อนแรงขึ้น

‘พอ... พอแล้วค่ะพี่ณุ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า’

เธอห้ามเสียงสั่น เมื่อเขาทำท่าว่าจะไม่หยุดอยู่แค่นี้

‘วันนี้พี่น้ำอยู่นะคะ... เดี๋ยวฝนจะโดนพี่น้ำดุเอา’

เขาชะงักไปทันทีที่เธออ้างอย่างนั้น และเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองเขาก็ยิ้มอ่อนโยนส่งให้

‘ขอพี่เจอพี่น้ำของฝนได้มั้ย’ ถ้อยต่อมาของเขาทำให้เธอหัวใจพองโต ‘ก็... จะได้แนะนำตัวพี่กับว่าที่พี่ของ... ฝนเสียทีไงล่ะ ฝน พี่รักฝนนะ ทุกๆ เรื่องของฝน พี่เองก็อยากจะมีส่วนร่วมด้วยทั้งนั้น!’





ใครจะรู้ คำออดอ้อนโกหกของเขาทำให้เธอเป็นสุขใจ และวริษาก็แนะนำเขาให้วรรษชลรู้จัก และหลังจากวันนั้น... เรื่องร้ายๆ ก็เริ่มคืบคลานเข้ามาหาเธอ

วริษาถอนหายใจ เธอละสายตาก้มลงมองถิรายุที่กำลังเล่นน้ำสนุกสนานอีกหน เธอยิ้มเยาะให้กับตัวเองที่โง่งม

ตอนนั้นเธอไม่คิดหรอกว่า เวลามันจะอยู่ควบคู่ไปกับความรัก ณ ขณะนั้นเธอรู้แค่ว่า เธอรักเขาและเขาก็รักเธอ ไม่ได้คิดว่าควรใช้เวลาพิสูจน์ความรู้สึก ใช่... เธอคิดว่ารักไม่ต้องการเวลา ถึงแม้ว่าใครคนนั้นจะเป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานก็ตาม

แล้วผลของการนั้น ก็ทำให้เธอเจ็บปวดหัวใจจนเกินจะกล่าว

“อุ้ย!” วริษาสะดุ้งยกมือขึ้นลูบหน้า เพราะถิรายุวักน้ำใส่ เด็กชายหัวเราะเอิ๊กอ๊ากมองเธอตาแป๋ว

“แม่ฝนคับอาบน้ำกันนะคับ อาบน้ำกับยุนะ”

หญิงสาวลดมือลงและส่ายหน้า ก่อนวางนิ้วชี้ลงบนปลายจมูกโด่งเล็กของลูกชาย

“ไม่เอาครับ แม่ฝนยังจัดของไม่เสร็จ” เด็กชายร้องว้า “และตอนนี้ก็ได้เวลาจะขึ้นจากอ่างแล้วครับ แม่ฝนให้เวลาอีกห้านาที แล้วแม่ฝนจะเรียกนะ ขอแม่ฝนไปจัดเสื้อผ้าให้ยุก่อนนะครับ”

ถิรายุลุกขึ้นยืนทำท่าตะเบ๊ะ

“รับทราบคับ”

วริษาหัวเราะกับท่าทีของเด็กชาย ก่อนลุกขึ้นยืน และเดินออกจากห้องน้ำที่เชื่อมกับห้องแต่งตัว ออกมายังห้องนอนของเจ้าตัวเล็ก กระเป๋าเสื้อผ้าของเด็กชายยังคงวางอยู่บนเตียงกว้างสีขาวกลางห้อง

ห้องนอนของถิรายุมีประตูปิดเปิดเชื่อมกับห้องนอนใหญ่ ดูจากการตกแต่ง และเครื่องเรือนที่ใหม่หมดจดคิดว่าคงเพิ่งทำขึ้น

แสงอาทิตย์ยามเย็น สาดลำแสงทั่วสนามหญ้าสีเขียวซึ่งมองเห็นผ่านผนังกระจกที่เปิดผ้าม่านสีเขียวอ่อนไว้ โซฟายาวตัวใหญ่น่านั่ง ตั้งชิดผนังด้านนั้นบนพื้นพรมสีฟ้าสดใส วริษาดึงสายตากลับมา และนั่งลงบนเตียง ดึงของใช้ส่วนตัวของถิรายุออกมา

วูบหนึ่งของความคิด ความหรูหราที่ปรากฏแก่สายตาก่อให้เกิดความอึดอัด... สังคมที่เธออยู่กับสังคมใหม่ที่ต้องเผชิญ ช่างแตกต่างกันลิบลับ วริษาปล่อยใจไปตามความคิดเสียจนไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกมอง

“คิดว่าตายุจะชอบห้องนี้ไหม”

เสียงถามดังขึ้น วริษาสะดุ้งและเหลียวมอง

“เอ่อ ก็ค่ะ เห็นแกว่าอย่างนั้น” เธอหลุบตาลงมองจับอยู่ที่เสื้อผ้าในมือ ยังตกใจไม่หายเมื่อตอนที่เขาเข้ามานั่งลงข้างๆ บนเตียง ร่างสูงนั้นเท้ามือไปด้านหลัง ท่านั่งแสนสบายยามมองแสงอาทิตย์สุดท้ายของวัน

“อยากได้อะไรอีกไหม... ทีวีอีกสักเครื่อง”

“ไม่ได้หรอกค่ะ” เธอปฏิเสธ และเขาก็หันหน้ามามองทันควัน วริษาถอนหายใจ “คุณครูที่โรงเรียนที่โน่น เคยบอกไว้ว่าเด็กไม่ควรจะดูทีวีจนมากเกินไป บางทีถึงจะไม่ได้ดู แต่ว่ามันมีคลื่นไฟฟ้าที่ส่งออกมา อาจจะทำให้สมองไม่ได้พักผ่อน และโดนรบกวนตลอดเวลา”

ชิษณุพงษ์พยักหน้ารับยืดตัวนั่งตรง เขาเงียบไม่พูดอะไรและวริษาก็ทนไม่ไหวเงยหน้าขึ้นมอง เธอสะดุ้งเมื่อมือใหญ่วางทาบลงบนแก้มของเธอโดยไม่ทันตั้งตัว แล้วก็เช่นเคยสายตาของเขามีอิทธิพลกับเธอเสมอ

“เหนื่อยไหมวันนี้”

จากที่จะปฏิเสธกลายเป็นคาดไม่ถึง วริษากะพริบตางุนงงกับคำถามของเขา

“ฝน... พี่--”

“แม่ฝนค้าบ ครบห้านาทีหรือยัง” เสียงตะโกนถามของถิรายุทำให้เธอหลุดจากมนต์สะกดของดวงตาคู่นั้น วริษาเบี่ยงหน้าหนีและลุกขึ้นยืน

“จ้าๆ แม่ฝนกำลังไปนะ” เธอร้องตอบ และไม่มองชิษณุพงษ์เลยเมื่อเอ่ย “ขอตัวนะคะ”

เธอออกเดิน และไม่คิดจะเหลียวกลับไปมอง เพราะรู้ดีว่าสายตาที่เปี่ยมด้วยอำนาจนั้นยังมองตามเธอไม่คลาดแม้สักวินาทีเดียว

และเรื่องชวนให้หัวใจเต้นในวันนั้น ก็ผ่านพ้นไปด้วยดี

วริษาเตือนตัวเอง เธอจะไม่ต้องอยู่ตามลำพังกับเขา การอยู่ใกล้เขาแค่สองคนมันอันตรายมากจริงๆ เธอไม่รู้ชิษณุพงษ์กำลังวางแผนการอะไรอยู่ แต่เธอจะไม่พลาด เธอจะไม่ตกลงไปในหลุมกับดักนั่นของเขาอีก วริษาเตือนตัวเองซ้ำๆ หนึ่งปีหลังจากนี้ เธอจะกลับไป ‘บ้าน’ กลับไปพร้อมกับหัวใจดวงเดิมที่จะไม่หวั่นไหว




“ยุดา... ฮึก ยุดา”

ถ้อยเรียกชื่อเจือเสียงสะอื้นนั้น ทำให้คุณแม่ลูกสองในชุดเดรสเกาะอกเว้าหลังแสนเซ็กซี่ หยุดมือที่กำลังเอื้อมไปจะเปิดประตู

เปรมยุดาขมวดคิ้วแทบจะในทันที

ปลายสายคือผุสดี เพื่อนสนิทขี้แย แหย ตั้งแต่สมัยเด็กของเธอ

“นี่ยัยผุส เธอโทร. มาหายุดาแล้วจะร้องไห้เพื่อ” ใบหน้างามอูมอิ่มเพราะเจ้าตัวเป็นคนเจ้าเนื้อฉายแววเอือมระอา “ต้องการอะไรจากสังคมไม่ทราบยะ” และก็อดจะประชดไม่ได้ “มีอะไรว่ามา วันนี้ยุดามีนัดสำคัญนะ นี่ก็เสียเวลาไปมากแล้วนะ”

เธอเอ่ยและเบือนหน้ากลับมามองคนด้านหลัง บนโถงทางเดินเพดานต่ำและแคบหน้าประตูนั้น เปรมยุดายืนอยู่กับสามีชาวต่างชาติ และตอนนี้เขาก็กำลังคลุมไหล่ให้เธอด้วยเสื้อคลุมขนเฟอร์

วันนี้เธอกำลังจะไปฉลองครบรอบวันแต่งงานกับสามี เปรมยุดานับเป็นคนแรกๆ ที่สละโสดหลังเรียนจบกับคนรักชาวต่างชาติ ซึ่งคบหากันมาตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ก่อนเธอจะย้ายตามเขามาลงหลักปักฐานที่วอชิงตัน ดี.ซี. นี่

เปรมยุดาหอมแก้มสากของสามีตัวสูงแทนคำขอบคุณ เธอยักไหล่เมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม

“ดีดี้”

เธอไขข้อข้องใจให้เขาสั้นๆ และกลับมาคุยกับปลายสายต่อ

“เอาละ รีบๆ พูดมาได้แล้วย่ะ”

“คุณณุ... ยุดาคุณณุน่ะ... ฮึก”

พอได้ฟังใจเธอก็หล่นวูบ แม้จะเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้อง แต่เธอกับชิษณุพงษ์ก็เหมือนพี่น้องกันจริงๆ เพราะถูกเลี้ยงและโตมาด้วยกัน

“พี่ณุเป็นอะไร... พูดมาเร็วผุส ยุดารอฟังอยู่”

“คุณณุ... เขา เขากำลังจะแต่งงาน ฮือ”

พี่ชายเธอจะแต่งงาน นี่ผุสดีเอาเรื่องอะไรมาพูดกันแน่

เปรมยุดาชักมึน คิ้วเรียวขมวด สีหน้าบอกชัดว่าไม่เชื่อ

ผุสดีรักชิษณุพงษ์ ปักใจมานานและจนป่านนี้ก็ยังหวังที่จะเข้ามาเป็นพี่สะใภ้ของเธอ ทั้งๆ ที่พี่ชายของเธอไม่เคยสนใจผุสดีมากไปกว่าเพื่อนของน้องสาว

“เดี๋ยวนะผุส... เธอว่าพี่ณุจะแต่งงาน”

“ใช่... งานใหญ่เสียด้วย คนพูดกันให้แซ่ด”

“เพ้อเจ้อน่าผุส... ทำไมฉันไม่รู้เรื่องล่ะ” เปรมยุดาส่ายหน้าอย่างเห็นขัน นึกระอากับการตีโพยตีพาย และความช่างคิดหาเรื่องของผุสดี

“ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ! เธอรู้ไหมเจ้าสาวเป็นใคร”

“ก็แล้วยัยนั่นเป็นใคร อย่างพี่ณุน่ะไม่ถูกใครจับได้ง่ายๆ หรอกนะ” “ฉันรู้ แล้วถ้าเป็นผู้หญิงคนนี้ล่ะ”

“อ๋อเหรอ แล้วใครกัน” เปรมยุดาเอ่ยถามขำๆ แต่พอได้ฟังเธอก็ถึงกับยืนนิ่งเพราะนึกไม่ถึง ชื่อของคนที่ครั้งหนึ่งเคยนับว่าเป็น... เพื่อน

“วริษา... ยัยฝนไง ยุดาจำไม่ได้แล้วหรือ!”




การที่ไม่อยู่หลายวันทำให้มีงานค้างพอสมควร ชิษณุพงษ์เพิ่งเสร็จจากการคุยงานกับธิวัฒน์ เลขาและคนสนิทของเขาที่ช่วยดูแลงานให้ในระหว่างที่เขาเดินทางขึ้นไปที่เชียงใหม่เพื่อพบวริษากับถิรายุ เขากำลังจะลุกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่เพื่อไปพักผ่อน แต่ว่าเสียงโทรศัพท์กลับดึงเขาไว้

ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีก่อนจะถอนหายใจทันที หลังเห็นเบอร์โทร. ที่โชว์หรา เขาเหลือบมองธิวัฒน์ที่หยิบและยื่นมาให้ ชิษณุพงษ์ส่ายหน้าและกดรับ ไม่ทันจะได้ทักทาย เปรมยุดาก็ส่งเสียงผ่านสายมาทันที

“พี่ณุคะนี่มันเรื่องอะไรกันแน่!” เสียงท้วงถามแหลมสูงอย่างขัดใจแกมสงสัย ชิษณุพงษ์ดึงโทรศัพท์ให้ออกห่างพลางยกมือขึ้นคลึงขมับ

ลองน้องสาวเขาปรี๊ดแตกขนาดนี้ แสดงว่าคงรู้แล้ว

“แล้วเรื่องอะไรล่ะยุดา เราถึงได้โทร. มาแว้ดๆ ใส่พี่ตอนเกือบห้าทุ่มแบบนี้” ชิษณุพงษ์พยักหน้า เมื่อธิวัฒน์โค้งตัวเป็นเชิงขออนุญาตออกไปจากห้อง เขาลุกขึ้นยืนหันหลังให้ประตูห้องและพิงสะโพกเข้ากับขอบโต๊ะ

“อ๋อ เรื่องอะไร ก็มันจะเรื่องอะไรล่ะคะที่พี่ณุจะแต่งงานกับยัยนั่น” คำพูดเหน็บแนมทำให้เขาเบื่อหน่าย

“ยัยนั่นก็เพื่อนยุดา และวริษาก็กำลังจะมาเป็นพี่สะใภ้ยุดานะ”

“ยุดาไม่รับ!” ชิษณุพงษ์ขมวดคิ้ว ดวงตาวาววะวาบขึ้น “ตั้งกี่ปีแล้วที่ยัยนั่นหายไปจากชีวิตพี่ณุ ไม่รู้ผ่านผู้ชายมากี่คน พี่ณุคิดยังไงถึงได้จะแต่งงานกับยัยนั่น อ๋อ... หรือว่ามันเอาลูกมาอ้างให้พี่ณุรับผิดชอบ นี่พี่ณุแน่ใจหรือคะว่าลูกพี่ณุ--”

“ยุดา” เสียงของชิษณุพงษ์เย็นเยียบ และปลายสายก็หยุดพูดไปทันควัน “ยุดารู้ดีแก่ใจ ทำไมพี่ถึงได้ตามหาฝนกับลูก”

“พี่ณุ!”

“พี่ไม่ใช่คนใจดี ยุดาก็รู้ และพี่ไม่ใช่คนใจดีที่ถึงขนาดจะยกโทษให้ใครได้ง่ายๆ ซ้ำๆ กันสองสามครั้งน่ะ”

สิ้นเสียงเขาไม่มีแม้แต่คำลา เปรมยุดาวางสายไปทันที

ชิษณุพงษ์ถอนหายใจวางโทรศัพท์ลงข้างตัว สายตามองผ่านกระจกออกไปยังสวนด้านนอกที่เห็นเพียงแสงไฟวับแวม เปรมยุดาไม่ค่อยชอบวริษา ไม่ค่อยชอบมาแต่ไหนแต่ไร




‘พี่ณุ... ยุดาไม่เข้าใจจริงๆ ว่ายัยนั่นมีอะไรดี พี่ณุคิดดูนะมันกล้าแย่งตำแหน่งดาวกับยุดาหน้าด้านๆ ไม่ได้ดูตัวเองสักนิดว่ายุดากับมันน่ะคนละชั้น แถมยังทำท่าวางมาดมาตีสนิทอีกเสียด้วย’

เปรมยุดาเป็นลูกคนเดียวเช่นเดียวกันกับเขา เธอเป็นเหมือนเจ้าหญิงของบ้าน ไม่มีใครกล้าขัดใจ ทุกคนต่างทูนหัวทูนเกล้าให้หมด ขอแค่รู้ว่าเจ้าหล่อนต้องการอะไร

ชิษณุพงษ์รู้มันเป็นนิสัยที่ไม่ดี ทั้งดูแคลนคนอื่น เอาแต่ใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับนิสัยนี้ของน้องสาว หลายครั้งหลายหนเวลามีเรื่องขัดใจ เปรมยุดามักยึดเขาไว้ระบายเสมอ หลายเรื่องน่ารำคาญ แต่ชิษณุพงษ์ก็ปล่อยไป เขาฟังแค่เพียงผ่านหู

‘ใครอีกล่ะ เพื่อนเราก็มีตั้งหลายคนพี่จำไม่ได้หรอก’

ชิษณุพงษ์เพิ่งเรียนจบกลับมาจากต่างประเทศ เขาได้เจอกับเพื่อนของเปรมยุดาบ้างแต่แค่ผ่านๆ ยิ่งตอนนี้เขากำลังตื่นเต้นกับหน้าที่ในบริษัทที่ได้รับมอบหมายให้ดูแล ชิษณุพงษ์จึงไม่ใคร่จะสนใจเรื่องอื่นมากนัก

‘พี่ณุอะ’

เปรมยุดามองค้อน น้องสาวของเขาเป็นพวกมีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก ทั้งยังทระนงตัวว่าเป็นคนสวย การเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในปีแรก การคว้าตำแหน่งดาวของมหาวิทยาลัยคือเป้าหมายของหล่อน แต่ว่าความมั่นใจนั่นกลับถูกทำลายลง เปรมยุดาพลาด คนที่ได้เป็นดาวกลับกลายเป็นเพื่อนร่วมคณะ

‘ก็ยัยนั่นไงที่ยุดาเล่าบ่อยๆ ยัยฝน วริษา’

ชิษณุพงษ์ร้องอ๋อ เมื่อนึกถึงสาวน้อยหน้าหวาน และออกจะเห็นด้วยกับการที่ฝ่ายนั้นได้ตำแหน่งดาว เขาเจอเธออยู่บ่อยๆ วริษานอกจากจะตั้งใจเรียนแล้วยังอ่อนหวาน มนุษย์สัมพันธ์ก็ดีเลิศ ต่างกับเปรมยุดาที่วางตัวเป็นคุณหนูจอมหยิ่งจนคนอื่นไม่อยากเข้าใกล้

หลายครั้งที่เขาเห็นวริษาคอยช่วยเรื่องการเรียนของเปรมยุดา ต่างกับคนอื่นๆ ที่เข้าหาน้องสาวเขาเพราะต้องการผลประโยชน์

‘นี่พี่ณุ คนเขาพูดกันให้แซ่ด ว่าที่ยัยนั่นได้เป็นดาวก็เพราะใช้เส้นพี่สาว’ คงเพราะเห็นท่าทางไม่เชื่อของเขา เปรมยุดาถึงได้หน้าง้ำ ‘จริงๆ นะ เพราะพี่สาวของยัยนั่นน่ะเคยเป็นดาวมหา’ลัย ก็คนนั้นน่ะ คนที่ยุดาเห็นพี่ณุเคยควงอยู่ครั้งสองครั้งนั่นไง เอ๊... ชื่ออะไรน้า อ๋อ!’ เปรมยุดาตบมือฉาด ‘พี่วรรษชล พี่น้ำคนดังคนนั้นไงล่ะ ที่ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ทั้งๆ ที่เป็นผู้หญิงนั่นไง’

เท่านั้นเองภายในสมองของเขาก็สว่างวาบ ชิษณุพงษ์ไม่เคยลืมหรอก แม้จะไม่ได้เจอกันอีกนับตั้งแต่เรียนจบก็ตาม

เพื่อน-คน-สนิท-ของ-เขา!




ดังปัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ต.ค. 2559, 20:29:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ต.ค. 2559, 20:29:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 1598





<< บทที่ ๔   
ดังปัณณ์ 9 ต.ค. 2559, 20:30:50 น.
ดีค้า พาพี่ณุกับหนูฝนมาส่ง หนูฝนยังน่าสงสารเหมือนเดิม และพี่ณุก็ยังมีท่าว่าเหี้ยมตกม.ม้าเหมือนเดิมล้วย TT TT

จะเกิดอะไรขึ้นมาลุ้นกันตอนต่อไปนะฮับ

และ และ และ
ตอนนี้มีจำหน่ายในรูปแบบของ E-BOOK ค่ะ ราคา 260.- บาท จำนวน 392.- หน้า มีทั้งรูปแบบ PDF และ epub ค่ะ ถ้าสนใจลองโหลดตัวอย่างมาอ่านแบบไม่ต้องรอเว็บได้ที่ลิงก์นี้เลยค่ะ
https://goo.gl/g2pcqS
.
.
.
เจ็ดปีก่อน ความเกลียดได้ก่อตัวขึ้นบนฐานความสัมพันธ์อันง่อนแง่นที่เรียกกันว่า ‘รัก’
วริษาเคยมีชีวิตที่สดใส เธอเคยคิดว่าตัวเองเข้มแข็งพอแล้วสำหรับเรื่องร้ายๆ แต่แล้วเธอก็กลับพบว่า สิ่งที่เธอคิดนั้นผิดมาตลอด ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปนับตั้งแต่ได้เจอกับเขา
“ฉันเชื่อไม่ลง”
ชิษณุพงษ์หลับตาลง “ความเชื่อใจของฝนที่มีให้พี่ มันคงหมดไปแล้วใช่ไหม”
วริษานิ่งไป “ใช่” พูดจบเธอก็ก้าวออกจากห้องนั้นมา
วริษาไม่หันกลับไปมองข้างหลังอีกว่าชิษณุพงษ์มีสีหน้าเช่นไร เธอไม่ต้องการที่จะเสี่ยง ไม่ว่าที่เขาบอกมาจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม
เรื่องมันผ่านมาแล้ว และจบไปแล้ว
ชิษณุพงษ์เคยเจ็บปวดเพราะความรัก เคยถูกทำร้ายด้วยความรัก และเขาเลิกศรัทธาในความรัก จนความรักแสนเกลียดได้ย้อนกลับเข้ามาในชีวิตของเขาอีกครั้ง เธอคือใครคนนั้น คนที่เขาไม่เคยคิดว่าจะรัก
“ก็ดีน่ะนะที่ฝนพูดออกมาชัดเจน... แต่ว่า--” ไม่ทันให้ได้ตั้งตัว ชิษณุพงษ์ก้มลงมาจนชิด ลมหายใจของเขาเป่ารดผิวแก้มของเธอ ต้นแขนกลมกลึงถูกจับยึดไว้มั่น และมันแน่นจนวริษาเจ็บ เธอนิ่วหน้าแต่ไม่ปริปากอุทธรณ์ “อย่าลืมซะล่ะ ว่าระหว่างนี้ฝนยังใช้นามสกุลของพี่อยู่... ถ้าขืนฝนทำอะไรให้พี่โกรธคงจำได้นะ ว่าสัญญานั่นจะมีผลทันที ลูกต้องอยู่กับพี่และฝนจะไม่ได้เจอกับลูกอีกเลย” พูดจบเขาก็ปล่อยมือ ก่อนเปลี่ยนเป็นรั้งเธอให้เข้าไปชิดกับเขาทั้งตัว นัยน์ตากลมโตเบิกกว้าง วริษาหลุดอุทาน “หน้าที่ของเมีย ฝนอย่าลืมว่ามันหมายความรวมถึงทั้งหมดที่เมียที่ดีควรทำต่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี!”
และเจ็ดปีต่อมา สายสัมพันธ์อันเปราะบางนั้น ก็ดึงให้เธอกับเขามาเจอกัน
อ่านแล้วอย่าลืมมาเม้าท์กันนะ
ป.ล. ขอคะแนนกำลังใจให้เค้าด้วยน้าาาาาาาาาา


Zephyr 21 ต.ค. 2559, 21:49:59 น.
พี่ณุนี่้จ้าคิดเจ้าแค้น
ยัยยุดา นี่ยุสมชื่อจริงๆ
ผิดใจกันเพราะนางนี่สินะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account