เล่ห์แฝงรัก
เจ็ดปีก่อน ความเกลียดได้ก่อตัวขึ้นบนฐานความสัมพันธ์อันง่อนแง่นที่เรียกกันว่า ‘รัก’
วริษาเคยมีชีวิตที่สดใส เธอเคยคิดว่าตัวเองเข้มแข็งพอแล้วสำหรับเรื่องร้ายๆ แต่แล้วเธอก็กลับพบว่า สิ่งที่เธอคิดนั้นผิดมาตลอด ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปนับตั้งแต่ได้เจอกับเขา
“ฉันเชื่อไม่ลง”
ชิษณุพงษ์หลับตาลง “ความเชื่อใจของฝนที่มีให้พี่ มันคงหมดไปแล้วใช่ไหม”
วริษานิ่งไป “ใช่” พูดจบเธอก็ก้าวออกจากห้องนั้นมา
วริษาไม่หันกลับไปมองข้างหลังอีกว่าชิษณุพงษ์มีสีหน้าเช่นไร เธอไม่ต้องการที่จะเสี่ยง ไม่ว่าที่เขาบอกมาจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม
เรื่องมันผ่านมาแล้ว และจบไปแล้ว

ชิษณุพงษ์เคยเจ็บปวดเพราะความรัก เคยถูกทำร้ายด้วยความรัก และเขาเลิกศรัทธาในความรัก จนความรักแสนเกลียดได้ย้อนกลับเข้ามาในชีวิตของเขาอีกครั้ง เธอคือใครคนนั้น คนที่เขาไม่เคยคิดว่าจะรัก
“ก็ดีน่ะนะที่ฝนพูดออกมาชัดเจน... แต่ว่า--” ไม่ทันให้ได้ตั้งตัว ชิษณุพงษ์ก้มลงมาจนชิด ลมหายใจของเขาเป่ารดผิวแก้มของเธอ ต้นแขนกลมกลึงถูกจับยึดไว้มั่น และมันแน่นจนวริษาเจ็บ เธอนิ่วหน้าแต่ไม่ปริปากอุทธรณ์ “อย่าลืมซะล่ะ ว่าระหว่างนี้ฝนยังใช้นามสกุลของพี่อยู่... ถ้าขืนฝนทำอะไรให้พี่โกรธคงจำได้นะ ว่าสัญญานั่นจะมีผลทันที ลูกต้องอยู่กับพี่และฝนจะไม่ได้เจอกับลูกอีกเลย” พูดจบเขาก็ปล่อยมือ ก่อนเปลี่ยนเป็นรั้งเธอให้เข้าไปชิดกับเขาทั้งตัว นัยน์ตากลมโตเบิกกว้าง วริษาหลุดอุทาน “หน้าที่ของเมีย ฝนอย่าลืมว่ามันหมายความรวมถึงทั้งหมดที่เมียที่ดีควรทำต่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี!”

และเจ็ดปีต่อมา สายสัมพันธ์อันเปราะบางนั้น ก็ดึงให้เธอกับเขามาเจอกัน
Tags: ครอบครัว,พ่อแม่ลูก,ซึ้ง,โรแมนติก

ตอน: บทที่ ๔



“คนไข้มีอาการของลิ้นหัวใจรั่วครับ”

หัวใจคนเป็นแม่กระตุกวูบ น้ำตาเอ่ออยู่รอบดวงตาคู่สวย

“ฝน... ใจเย็นๆ ฟังก่อนนะ” ทวีรัฐก้มลงบอกเมื่อวางมือลงบนบ่าบอบบาง วริษาเงยหน้าขึ้นมองและพยักรับ ซึ่งกิริยาสนิทสนมนั้นชิษณุพงษ์เพียงแค่ปรายตามอง

“แล้วคุณหมอแนะนำว่าอย่างไรครับ”

เขาเอ่ยถามด้วยท่าทางเรียบเฉยเช่นเคย และเฉยเสียจนวริษาอดจะเหลียวมองไม่ได้ ส่วนคำตอบจากคุณหมอนั้นก็คือ

“หมอแนะนำให้พาคนไข้เข้าไปรับการรักษาที่กรุงเทพฯ ครับ ถ้าเป็นไปได้ หมอคิดว่าการผ่าตัดคือวิธีรักษาที่ได้ผลและดีที่สุด”

“แล้วมีวิธีอื่นอีกไหมครับ”

ทวีรัฐถามต่อ คุณหมอนิ่งไปนิด มองชิษณุพงษ์พักใหญ่ก่อนเลื่อนสายตามาจับยังวริษาและยิ้มอ่อนๆ

“ถ้ายังไม่สะดวกผ่าตัดในตอนนี้ เราก็คงต้องให้การรักษาแบบประคับประคองอาการกันไปก่อน แต่หมอไม่แนะนำครับ ตอนนี้อาการยังแค่เริ่มต้น ถ้ารีบรักษามันก็จะดีกับตัวคนไข้เองด้วย”

คุณหมอทิ้งคำพูดไว้แค่นั้น และวริษาก็พอจะเข้าใจได้

เธออยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก ทุกอย่างมันตื้อตันในอก ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าสุขภาพของถิรายุเป็นเช่นไร แต่ไม่เคยนึกว่าจะมีโรคอะไรร้ายแรงคุกคามแกแบบนี้

เธอสงสารลูก เพราะชีวิตที่ควรจะสุกใสนั้น กลับต้องมาสะดุดด้วยโรคภัย และความสามารถของแม่ที่ด้อยค่าจนทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่านี้

“หมอจะแนะนำโรงพยาบาลและคุณหมอที่เชี่ยวชาญด้านนี้ให้นะครับ แต่ว่าเรื่องค่าใช้จ่าย... หมออยากแจ้งให้ทราบคร่าวๆ ก่อนว่าคงจะมากเอาการ” แล้วคุณหมอก็เอ่ยบอกเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง เกินขีดจำกัด ที่ทั้งวริษาและทวีรัฐจะจัดหามาได้ในเวลาอันสั้น

หญิงสาวหน้าซีดเมื่อฟังจบ หลังจากที่คำนวณคร่าวๆ แล้ว ทั้งระยะเวลาในการรักษาตัวของถิรายุ และค่าใช้จ่ายมันมากเหลือเกิน แม้ว่าตัวเธอจะมีเงินเก็บอยู่ก้อน แต่มันก็ไม่พอ

ปัญหาของเธอปัญหาเดียวคือเงิน

เงินมากขนาดนั้น เธอจะไปหามาได้จากที่ไหนในเวลาแค่เดือนเดียว ที่สำคัญอาการของลูกน้อยก็มิพักจะแข็งแรงพอ เพื่อจะรอให้เธอรวบรวมเงินจำนวนนั้นในระยะเวลาเป็นปีๆ

ใบหน้าสวยหวานซีดจนเกือบเขียว แววของความหดหู่ท้อแท้ปรากฏเด่นชัด คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรกับอนาคตอันใกล้นี้ดี

วริษาก้าวออกมาจากห้องตรวจอย่างคนอับจนหนทาง ทวีรัฐปลอบเธออยู่ข้างๆ ขณะที่ชิษณุพงษ์นั้นไม่ได้เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว จวบจนทั้งหมดกลับเข้าไปในห้องพักของถิรายุ ทวีรัฐจึงได้เอ่ยขึ้นเมื่อทรุดลงนั่งเคียงข้างวริษาบนโซฟายาว

“ฝน... ใจเย็น ทุกอย่างมันต้องมีทางออก”

ชิษณุพงษ์เหลือบมองทั้งคู่เพียงนิด ก่อนก้าวเข้าไปยืนข้างเตียงของถิรายุที่หลับอยู่ นายตำรวจหนุ่มปรายตามอง ก่อนดึงสายตากลับมาจับที่วริษา และผ่อนลมหายใจยาว

เขาอยากช่วยเธอ แต่ว่าครอบครัวเขาก็อยู่ในฐานะปานกลางเท่านั้นมิได้ร่ำรวยอะไรเลย การผ่าตัดในหลักแสนเขาย่อมช่วยเธอได้แน่นอน ทว่าจำนวนเงินที่หมอบอก มันพุ่งไปถึงหลักล้านและอาจจะมากกว่านั้น เมื่อได้ฟังชื่อหมอและโรงพยาบาลที่ได้รับคำแนะนำ...

ส่วนทางออกอีกทางที่คุณหมอเสนอมาให้ นั่นก็คือ... ค่าใช้จ่ายจะต่ำกว่านี้ ถ้าเปลี่ยนโรงพยาบาล แต่ไม่รับประกันผลของการผ่าตัด

และนั่นวริษาย่อมรับไม่ได้

วริษาได้แต่นิ่งเงียบจมอยู่กับความคิดที่ค่อนข้างสับสน...

ปัญหาคือตัวเงิน เธอรู้ ชิษณุพงษ์คือทางออกที่ง่ายที่สุด... แต่ว่านั่นก็เท่ากับว่า เธอต้องกลับเข้าไปพัวพันอยู่ในความทุกข์ใจอีกครั้ง และแน่นอนว่าเมื่อเธอขอให้เขาช่วย คนอย่างชิษณุพงษ์จะต้องมีข้อต่อรองแน่ๆ เพราะเมื่อครั้งก่อนนี้เธอปฏิเสธเขา

และถ้าหากเขา... จะยึดถิรายุไว้เลย เธอจะทำอย่างไร

วริษากลัวว่าหัวใจเธอจะต้องแหลกราญไปยิ่งกว่านี้... แต่ที่กลัวกว่านั้นก็คือ... ชีวิตของลูกน้อย

สายตาของวริษาบอกแทนคำพูดถึงการยอมจำนน!





ดังเคราะห์ซ้ำกรรมซัด นิตาซึ่งเพิ่งมาถึงโรงพยาบาลตอนหัวค่ำเพื่อเปลี่ยนเวรดูแลถิรายุกับวริษา เมื่อได้รู้อาการของเด็กชายก็พูดไม่ออก

ถิรายุกลับมาร่าเริงแล้วในตอนนี้ เด็กชายกำลังพูดคุยกับทวีรัฐที่มาเยี่ยม พร้อมกับตุ๊กตาหุ่นยนต์ตัวใหม่ มีวริษานั่งอยู่ข้างเตียง และแม้ว่าจะยิ้มจะหัวเราะไปกับถิรายุ ทว่าดวงตานั้นมิได้ยิ้มด้วย นิตามองๆ แล้วก็พลอยน้ำตาจะร่วงไปด้วย เธอถอนหายใจ ละสายตาจากภาพตรงหน้าไปมองยังประตูที่กำลังจะเปิดออกและนิ่งไป

ชิษณุพงษ์ยืนอยู่ตรงนั้น และมองไปยังภาพของทั้งสามคน

พ่อ แม่ ลูก

ชายหนุ่มหรี่ตามองอย่างไม่พอใจ แต่ไม่ได้แสดงกิริยาใดๆ เขาก้าวเข้ามาในห้อง สบตากับนิตาด้วยแววตาเฉยชา

“เอ่อ คุณ”

หญิงสาวอึกอัก ก่อนลุกขึ้นยืนเก้กังเพราะทำอะไรไม่ถูก นิตาเหลียวไปมองวริษากับทวีรัฐที่หันมา เธอพบว่า นายจ้างสาวมีสีหน้าทุกข์ทนลงไปอีก ขณะที่นายตำรวจหนุ่มนั้นแค่ดูก็รู้ว่าไม่พอใจมาก

“คุณลุง”

ถิรายุเป็นคนทำลายความอึดอัดนั้นลง เด็กชายส่งยิ้มแป้นให้กับชิษณุพงษ์ “คุณลุงมาเยี่ยมหลอคับ คุณลุงเป็นเพื่อนของคุณแม่ใช่ไหมคับ” ประโยคหลังถามเอากับวริษา เธอมองลูกน้อยที่ตื่นเต้นกับการมาของแขกและได้แต่ยิ้มรับน้อยๆ

“ยุครับ”

วริษาเอื้อมมือไปลูบกลุ่มผมนุ่มของถิรายุแล้วนิ่งไป เธอเม้มปากแน่น ท่าทางจำใจที่ต้องบอกออกไป

“ยุจำ... เรื่องคุณพ่อที่แม่ฝนเล่าให้ฟังได้ใช่ไหม”

เด็กชายพยักหน้ารับหงึกหงัก

“คุณพ่อ... กลับมาแล้วจ้ะ กลับมา... จากที่ไกลๆ แล้ว”

เธอจำต้องบอก จำต้องให้... ถิรายุมีพ่อ เพราะนี่คือข้อตกลง ข้อตกลงระหว่างเธอกับเขา ข้อตกลงที่ทำขึ้นเพื่อถิรายุ




‘คุณจะช่วยตายุได้ใช่ไหม’

หลังจากตัดสินใจได้แล้ว วริษาก็ขอเวลาคุยกับชิษณุพงษ์เป็นการส่วนตัว ทวีรัฐไม่เห็นด้วย เขายืนยันว่าจะช่วยเธอเอง วริษาซึ้งใจแต่... เธอรู้ ตัวเงินที่เขาจะช่วย แม้จะรวมกับเงินของเธอมันก็ยังไม่มากพอสำหรับการรักษาถิรายุ และเราก็ไม่มีเวลา เธอไม่อยากเอาชีวิตของถิรายุมาเสี่ยง

ฉะนั้นทางออกของเธอจึงมีเพียงแค่ทางเดียว

คือ... เขา

‘ตายุเป็นลูกของพี่ และพี่จะไม่ให้แกเป็นอะไรไปเด็ดขาด’

คำตอบของเขาชัดเจน

‘แต่พี่มีข้อตกลง’

วริษาเม้มปากแน่น เธอคิดไว้ไม่มีผิด คนอย่างเขาต้องมีเหตุผลอะไรแน่ ถึงได้มาตามหาเธอกับถิรายุ ทั้งๆ ที่เวลาผ่านไปนานมากขนาดนี้

‘เราจะกลับไปอยู่ด้วยกัน... มีพี่ มีฝน แล้วทุกอย่างพี่จะเป็นคนจัดการเอง ลูกต้องได้สิ่งที่ดีที่สุด’

หญิงสาวนิ่งงัน เพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะบอกออกมาแบบนี้

‘ตายุควรมีครอบครัวที่สมบูรณ์เสียที’

วริษามองสบกับนัยน์ตาคมที่ทอดมาอย่างเคลือบแคลง

‘เพราะอะไรคุณถึงได้อยากให้พวกเรากลับเข้าไปในชีวิตของคุณอีก’ เธอยิ้มเยาะ ‘อย่าบอกว่าสำนึกผิด หรือว่าเพิ่งจะมาคิดได้ว่าคุณควรจะรับผิดชอบชีวิตเรา หลังจากเจ็ดปีที่ผ่านมาเพราะฉันไม่เชื่อ’

ชิษณุพงษ์เลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ฟังก่อนโคลงศีรษะ

‘ก็ได้...’ เขารับคำ และท่าทางขรึมเฉยของเขานั้น วริษาก็ยังคงอ่านไม่ออกอยู่ดี ‘ระยะเวลาหนึ่งปีสำหรับคำว่าครอบครัว... และฝนต้องจดทะเบียนกับพี่’

สิ้นเสียง ดวงตากลมโตก็เบิกกว้าง เธอปฏิเสธข้อเสนอเขาทันควัน

‘ไม่มีทาง มันจะไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่นอน ไม่มีทาง!’

ใบหน้าหล่อเหลาที่เฉยเมยแต่แรกนั้น เมื่อได้ฟังก็เผยยิ้มร้ายกาจอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า

‘ก็ได้... ถ้าฝนจะยอมเอาชีวิตของลูกมาเสี่ยงแค่เพราะทิฐิ’

วริษากำมือแน่น พยายามข่มความโกรธที่พุ่งขึ้นมา ชิษณุพงษ์น่ารังเกียจเหลือเกิน ที่กล้าเอาเรื่องความเป็นตายของถิรายุมาต่อรอง

‘เอาละ’ คงเพราะเห็นท่าทางโมโหเต็มแก่ของเธอละมั้ง เขาถึงได้ถอนหายใจ ‘พี่มีความจำเป็นที่ต้องมีครอบครัว’ เสียงเขาเรียบเฉยเหมือนกำลังตกลงข้อธุรกิจสักข้อหนึ่ง ‘เราก็แค่แสดงละคร... แล้วพี่ก็แค่อยากดูแลลูกบ้างก็เท่านั้น ส่วนเรื่องของเรา...’

เขายักไหล่ วริษาหลับตาลงและถอนหายใจยาว แวบหนึ่งในอกมันเสียวปลาบ เมื่อรู้แล้วว่าเขาต้องการ ‘เธอ’ ทำไม ทั้งๆ รู้ดีว่าคนอย่างเขามักเสาะแสวงหาผลประโยชน์จากคนอื่น ทว่า... มันก็ยังอดเจ็บในใจไม่ได้อยู่ดี

‘ต่อหน้าคนอื่น ฝนก็แค่เล่นบทภรรยาแสนดีก็พอ... ส่วนลับหลังเราก็แค่... เป็นแค่คนที่เดินผ่านมาแล้วก็เดินผ่านไป แค่นี้ฝนคงจะทำได้’

วริษากลืนน้ำลายลงคออย่างฝืนๆ เธอยิ้ม... สายตาหลุบต่ำมองพื้น เพื่อซ่อนแววเยาะหยันตนเองไว้

ทั้งๆ ที่คิดว่าไม่มีความรู้สึกใดๆ ให้เขาอีกแล้ว แต่พอได้ฟังแบบนี้ ได้รู้ว่าที่เขากลับมาเพราะต้องการใช้ประโยชน์จากชีวิตเธอ มันก็ยัง...

วริษากะพริบตา สูดลมหายใจเข้าลึกและเงยขึ้นมองสบ

‘ฉันตกลง’

ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้อีกแล้ว

‘แต่ฉันมีเรื่องต้องตกลงเพิ่มกับคุณเสียก่อน’

ชิษณุพงษ์พยักหน้ารับ และผายมือมาที่เธอเป็นเชิงให้พูดต่อ

‘คุณกับฉันจะอยู่ในฐานะของคนรู้จักเท่านั้น... ฉันยอมให้ยุเรียกคุณว่าพ่อได้ และดูแลแกจนหายป่วย เมื่อไหร่ที่อาการดีขึ้นและเรื่องจำเป็นของคุณจบลง คุณต้องสัญญามาก่อนว่าจะไม่มายุ่งกับเราอีก’

เขาพยักหน้ารับหลังจากนิ่งไปพักใหญ่

‘แล้ว... เท่าไหร่ เวลาที่ฉันต้องอยู่ในฐานะภรรยาจำเป็นของคุณ’

‘หนึ่งปี’ ชิษณุพงษ์เอ่ยออกมาสั้นๆ ‘พี่ต้องการเวลา... เวลาหนึ่งปีสำหรับทุกอย่าง พี่ขอเวลาแค่หนึ่งปี’




นั่นแหละคือข้อตกลงระหว่างเรา

เพื่อถิรายุ วริษากำหนดไว้ในใจ เธอจะอดทนเพื่อลูก

“พ่อกลับมาแล้วจ้ะ” เสียงทุ้มนั้นฟังอ่อนโยนเหลือเมื่อชิษณุพงษ์เอ่ยกับเด็กชาย “พ่อมารับยุกับแม่ฝนไปอยู่ด้วยกันนะลูก”

เด็กชายเบิกตาโต จ้องวริษาสลับไปมากับชิษณุพงษ์ที่ก้าวเข้ามาข้างเตียง ทวีรัฐถูกผลักให้ออกห่างไปโดยปริยาย

“คุณพ่อ” ถิรายุพึมพำ “คุณลุงเป็นคุณพ่อของยุหลอคับ”

ชิษณุพงษ์ยิ้มรับ ยื่นมือไปหาและกุมมือเล็กป้อมนั้นไว้ในอุ้งมือเขา

“ใช่ครับ พ่อเป็นคุณพ่อของยุไงล่ะ”

วริษามองท่าทีนั้นอย่างสะเทือนใจ เธอจำต้องส่งยิ้มให้ถิรายุ และพยักหน้ารับเมื่อเด็กชายหันมามองอย่างจะขอความมั่นใจ แววยินดีที่เห็นทั้งจากแววตา สีหน้า ท่าทางของลูก ทำให้เธอตื้อในอก

ถิรายุจะรู้ไหม... คุณพ่อที่กลับมาหาแก มีระยะเวลาแค่หนึ่งปี

และใช่แค่ว่าวริษาสะเทือนใจ เพราะทวีรัฐกับนิตาที่เฝ้ามองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ท่าทีที่ลุกขึ้นยืนโผเข้าหาอ้อมกอดของถิรายุนั้น บ่งบอกได้ดีว่าเด็กชายดีใจมากแค่ไหนที่มีพ่อเหมือนกับคนอื่น

ความใสซื่อไร้เดียงสา ทำให้ถิรายุไม่เห็นความร้ายกาจของโลกใบนี้




‘ฝนหมายความว่ายังไงกัน’

ทวีรัฐไม่เข้าใจสักนิด เมื่อวริษาบอกถึงความตั้งใจของเธอหลังจากขอคุยเพียงลำพังกับผู้ชายคนนั้น

‘ฝน... ฝนต้องทำตามข้อเสนอของเขาค่ะพี่ทวี’

‘ทำไมล่ะฝน... ทำไมไม่รออีกนิด นี่พี่ก็กำลังพยายามหาทางช่วย... เราต้องมีทางออกที่ดีกว่านี้สิ... มันเห็นชัดๆ ว่าเขากลับมาก็แค่ต้องการประโยชน์จากฝนกับตายุ เขาทิ้งฝนทำให้ฝนเจ็บ ทำไมฝนจะต้องยอมเขาด้วย’ ที่พูดออกไป ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ถึงเหตุจำเป็นของเธอ ทวีรัฐก็รู้ว่าถิรายุต้องใช้เงินมากแค่ไหน และเขาเองก็จะช่วยเธอเต็มที่

แต่... มันต้องใช้เวลา

‘ฝนทำเพื่อลูก’ และเท่าที่วริษาเงยหน้าขึ้นมอง แววเจ็บปวดจำยอมในดวงตานั้นของเธอ ก็ทำให้เขาพูดไม่ออก

ชีวิตของวริษา สำคัญที่สุดก็คือถิรายุ

ทวีรัฐนิ่งอย่างยอมจำนน เขาขมขื่นใจมากแค่ไหนแต่ก็ต้องทนให้ได้ เพราะวริษาคงยิ่งกว่าขมขื่น

ทวีรัฐถอนลมหายใจยาว เขาจะรอ

‘ไม่เป็นไรนะฝน... เมื่อไหร่ที่สัญญากับเขาหมดลง พี่อยากให้ฝนรู้ไว้ พี่ยังรออยู่ตรงนี้ รออยู่เสมอและจะรอฝนอยู่ตลอดไป’





นิตาเหลียวมองทวีรัฐ ที่คงจมอยู่ในความคับแค้นและเสียใจที่ไม่สามารถช่วยวริษาได้ เธอรู้ นายตำรวจหนุ่มรู้สึกอย่างไรกับนายจ้างของเธอ

ความรัก,,, ร้ายกาจเสมอ เธอเองก็รู้เรื่องนี้ดี

นิตาผ่อนลมหายใจยาว มองความเป็นไปในห้องนั้นอย่างหนักใจ ก่อนเบือนสายตามองไปจับยังถิรายุ เธอยิ้มนิดๆ

อย่างน้อย... ก็ยังมีคนหนึ่งที่มีความสุข ถิรายุจะได้มีพ่อเสียที




เสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากของถิรายุ ดังขึ้นเหมือนเช่นสองสามวันที่ผ่านมา หลังตกลงกันได้ ชิษณุพงษ์ก็ใช้เวลาอยู่กับถิรายุค่อนข้างมาก เด็กน้อยติดเขาอย่างเห็นได้ชัด ความดีใจที่มีพ่อทำให้วริษายิ่งเจ็บในใจมากขึ้น

เด็กชายมีกำหนดออกจากโรงพยาบาลในเย็นวันนี้ นิตาจึงกลับไปก่อนพร้อมกับทวีรัฐเพื่อเตรียมเก็บข้าวของไว้ ‘เพื่อ’ สำหรับการย้ายไปบ้านใหม่ในกรุงเทพฯ ถิรายุตื่นเต้นดีใจ แม้จะหงอยๆ ไปบ้างที่รู้ว่าจะต้องจากเพื่อนเล่นที่โรงเรียน

“แม่ฝนคับ แม่ฝน”

เสียงเรียก ทำให้วริษาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงเปิดยิ้มส่งให้ เธอสลัดความกังวลให้ออกไปจากหัว

“อะไรครับ ยุเป็นอะไร”

“พ่อณุ” เด็กชายเรียกชิษณุพงษ์เช่นนั้น เขานั่งอยู่บนเตียง มือข้างหนึ่งโอบเอวถิรายุที่เกาะคอไว้ และมองตรงมาที่เธอ

“ยุเล่าพ่อณุว่า แม่ฝนบอกว่าพ่อณุไปอยู่บนสวรรค์”

วริษาพยักหน้ารับ

“เล่าว่ายุเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนบอกว่าพ่อณุตาย” เด็กชายบอกเสียงเศร้า “พ่อณุไม่กลับมาแล้ว” ประโยคต่อมาค่อยร่าเริงขึ้น “แต่พ่อณุก็กลับมา พ่อณุไม่ตายยุจะไปเล่าให้เพื่อนฟัง พ่อของเดซี่กับแก้มก็ไปสวรรค์ ถ้าพ่อณุกลับมา พ่อของเดซี่กับแก้มก็จะกลับมาใช่ไหมคับ”

“เอ่อ” วริษาพูดไม่ออก ขณะที่กำลังคิดหาคำตอบ ชิษณุพงษ์ก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงกลั้วหัวเราะแทน

“ยุครับ... รู้ไหมที่แม่ฝนบอกแบบนั้น เพราะพ่อณุต้องไปทำงานที่ๆไกลมากไงครับ พ่อณุเลยต้องขึ้นเครื่องบินไป... พ่อณุยังไม่ตายนะ แต่แม่ฝนไม่รู้จะบอกยุยังไง ก็เลยต้องบอกยุไปแบบนั้น ไม่เหมือนพ่อของเดซี่กับแก้มนะครับ”

เด็กน้อยพยักหน้ารับแสดงท่าว่าเข้าใจ

“ได้คับ! ยุจะเล่าเดซี่กับแก้ม”

วริษามองท่าทีของลูกน้อยกับชิษณุพงษ์อย่างหวาดหวั่น

เขากำลังจะกลับมาแย่งสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเธอไปแล้วใช่ไหม

เธอกลัว... กลัวเหลือเกินว่าจะต้องเสียถิรายุไป





“พี่ฝนคะ จะเอานี่ไปด้วยไหมคะ”

นิตาเอ่ยถามขึ้นในสองสามวันต่อมา ตอนที่กำลังเก็บข้าวของในบ้านหลังน้อยลงกล่อง

อาการของถิรายุหลังออกจากโรงพยาบาลดีขึ้นมาก นายแพทย์ที่รักษาบอกว่าเด็กชายแข็งแรงพอที่จะเดินทางได้แล้ว วริษาจึงตัดสินใจจะพาถิรายุกลับไปกรุงเทพฯ เพื่อทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับชิษณุพงษ์ และเขาก็ไม่รอช้า จัดแจงส่งคนมาจัดการเรื่องย้ายโรงเรียนของถิรายุเรียบร้อยแล้ว

“ไม่ละนิดเอาไว้นี่แหละ... เราคงจะไปไม่นานนักหรอก”

วริษาเอ่ยตอบ นัยน์ตาคู่สวยนับแต่วันนั้นก็หม่นแสนหม่น

“พี่ฝน”

“พี่ไม่เป็นไร” วริษาส่งยิ้มให้ และลงมือเก็บข้าวของลงในกล่องต่อ

วันนี้ถิรายุไปโรงเรียน เด็กชายบอกว่าอยากไปเจอเพื่อนๆ ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ที่ใหม่ นิตาเองก็ต้องเตรียมตัวย้ายตามวริษาไปด้วย แต่เธอจะตามไปทีหลัง เพราะยังมีงานที่รับค้างไว้

“พี่ฝนคะ ตรงนี้เก็บหมดแล้ว นิดเอากล่องพวกนี้ไปเก็บข้างล่างก่อนนะคะ”

วริษาพยักหน้ารับ และมองตามนิตาที่ยกกล่องพลาสติกเดินผ่านประตูห้องนอนของถิรายุออกไป เธอเบือนสายตากลับมามองสภาพรอบๆ ตัวอีกครั้ง ตอนนี้ห้องนอนเด็กห้องนี้เหลือเพียงชั้นวางของว่างเปล่า ฟูกที่วางบนเตียงนอนเล็ก ผ้าม่านถูกเก็บไปหมดแล้ว เช่นเดียวกับเสื้อผ้าที่อยู่ในตู้ เธอถอนหายใจมองผ่านหน้าต่างกระจกใสออกไปยังด้านนอก

เธอหมดแรง และตอนนี้ก็เหนื่อยเหลือเกิน

“จวนจะเสร็จหรือยัง”

เสียงทุ้มนุ่มหูที่ไม่เคยลืมทำให้วริษาถึงกับสะดุ้ง เธอหันขวับไปมองที่ประตู และสีหน้าตกใจก็เปลี่ยนเป็นเฉยชา

“คุณมีธุระอะไรคะ”

ชิษณุพงษ์ยักไหล่ เขาขึ้นมาเชียงใหม่เมื่อวาน เพื่อจะรับเธอกลับไปด้วยกัน วันนี้แม้จะไม่ได้สวมสูทหรือเชิ้ตเรียบหรู ทว่าแค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์เก่าๆ นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความสง่าในตัวเขาลดลงแม้แต่นิด

“พี่มาดูว่าฝนเก็บของเสร็จหรือยัง แล้วเดี๋ยวจะได้ไปรับตายุกลับจากโรงเรียนด้วยกัน”

วริษาเม้มริมฝีปาก สีหน้าบอกว่าไม่ชอบใจนัก แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา หญิงสาวหันกลับมาสนใจกับเสื้อผ้าถิรายุที่เหลือสองสามตัว และลงมือพับมันวางลงในกล่อง เพราะเป็นชุดที่ไม่ค่อยได้ใช้

“คุณลงไปรอข้างล่างก่อนก็ได้ค่ะ เสร็จแล้วฉันจะตามลงไป”

แทนคำตอบนั้นคือฟูกที่ยุบยวบลง วริษาชะงักและเงยหน้าขึ้นมองอย่างเอาเรื่องแต่ก็ต้องหยุด เมื่อใบหน้าเขาอยู่ห่างเธอแค่คืบ ลมหายใจเธอสะดุด วินาทีต่อมาวริษาเอนตัวออกจนหลังติดพนักเตียง

“ฉัน... ฉันบอกว่าให้คุณออกไปก่อน เดี๋ยวฉันจะตามลงไปทีหลัง”

“หือ” เขาส่ายหน้าขยับเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น “ไม่ได้ยิน”

“คุณกำลังจะผิดสัญญา” วริษาเตือนเสียงเรียบ แต่หัวใจกลับเต้นไม่เป็นส่ำกับความใกล้ชิดนี้ “อ๋อ ใช่สิ ฉันลืมไป คุณมันพวกนักธุรกิจนี่นะ”

ได้ผล ชิษณุพงษ์ชะงักกึก

“ยังไม่ต้องรีบเล่นละครตอนนี้หรอกค่ะ เพราะไม่มีคนอื่นอยู่ที่นี่ และฉันลืมบอกคุณไปข้อหนึ่ง ฉันไม่ใช่เครื่องระบายความใคร่ของใคร”

เขานิ่ง เธอก็นิ่ง สายตาสองคู่ประสานกัน หนึ่งนั้นคือความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวในความคิดความรู้สึก ส่วนหนึ่งคือความสงสัยและขุ่นใจ

“ฉันมีคนที่อยากจะสร้างอนาคตที่ดีด้วยแล้ว... และจะดีกว่านี้ถ้าคุณจะยอมรักษาคำพูด กรุณาอย่าได้ทำอะไรๆ ที่จะทำให้ฉันรู้สึกผิดต่อเขาเลยค่ะ” วริษาพูดช้าๆ เพราะต้องการย้ำให้ชัดๆ

เธอยอมรับว่าเสียเปรียบเขาเรื่องข้อตกลง แต่เธอจะไม่ยอมให้ตัวเองเป็นคนน่าสมเพชเหมือนเมื่อเจ็ดปีนั่นอีกแล้ว ไม่มีวัน!

“อือฮึ ชัดเจนดี”

ชิษณุพงษ์หรี่ตาพลางยิ้มมุมปาก

“ก็ดีน่ะนะที่ฝนพูดออกมาชัดเจน... แต่ว่า--” ไม่ทันให้ได้ตั้งตัว ชิษณุพงษ์ก้มลงมาจนชิด ลมหายใจของเขาเป่ารดผิวแก้มของเธอ ต้นแขนกลมกลึงถูกจับยึดไว้มั่น และมันแน่นจนวริษาเจ็บ เธอนิ่วหน้าแต่ไม่ปริปากอุทธรณ์ “อย่าลืมซะล่ะ ว่าระหว่างนี้ฝนยังใช้นามสกุลของพี่อยู่... ถ้าขืนฝนทำอะไรให้พี่โกรธคงจำได้นะ ว่าสัญญานั่นจะมีผลทันที ลูกต้องอยู่กับพี่และฝนจะไม่ได้เจอกับลูกอีกเลย” พูดจบเขาก็ปล่อยมือ ก่อนเปลี่ยนเป็นรั้งเธอให้เข้าไปชิดกับเขาทั้งตัว นัยน์ตากลมโตเบิกกว้าง วริษาหลุดอุทาน “หน้าที่ของเมีย ฝนอย่าลืมว่ามันหมายความรวมถึงทั้งหมด ที่เมียที่ดีควรทำต่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี!”

วริษาสะดุ้งเฮือกใจหายวูบ เมื่อเห็นแววตาแข็งกร้าวของเขา ครั้งนี้ดวงตาของเธอปกปิดความหวาดหวั่นไว้ไม่มิด

ของเล่น... ชีวิตเธอมันก็แค่ของเล่นของเขา!

“ก็ได้!” วริษาตะโกนใส่ใบหน้าหล่อเหลาแต่เฉยชาปานปติมากรรมน้ำแข็งนั่นอย่างเหลือทน “ชีวิตฉันมันไม่มีค่าอยู่แล้วนี่ คุณจะทำอะไรกับมันก็ได้ คุณมันก็ไม่ต่างกับซาตาน แค่ได้เจอคุณ ฉันก็เหมือนกับตกนรกแล้ว!”

ชิษณุพงษ์นิ่งขึงไป และน้ำตาของวริษาก็ทะลักทลาย

เธอไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าเขา แต่สุดท้ายก็ห้ามไม่ได้อยู่ดี

ร่างบอบบางเริ่มสั่นสะท้านเพราะแรงสะอื้น หยาดน้ำตารินไหลออกมาเป็นสาย วริษาเบือนหน้าหนี เธอไม่ต้องการให้เขาเห็นเธอที่อ่อนแอ ชิษณุพงษ์ถอนหายใจ ปล่อยมือจากการดึงรั้ง เขาเอื้อมมือออกไปก่อนปาดหยดน้ำตาที่ไหลรินนั้นให้เธอแผ่วเบา แต่วริษาเบือนหน้าหนีอย่างรังเกียจเดียดฉันท์...

“หยุดร้องไห้แล้วก็ไปล้างหน้าล้างตา เดี๋ยวตายุจะสงสัยว่าทำไมตาบวม” เอ่ยบอกแล้วชิษณุพงษ์ก็ลุกขึ้นยืน ตาเหลือบแลมองร่างบางที่ตอนนี้กำลังสั่น เพราะพยายามกลั้นสะอื้นด้วยแววตาเฉยเมย ก่อนจะเดินออกจากห้องไป และวริษาก็ไม่ได้หันไปมองแม้แต่น้อย

วริษากอดตัวเองไว้เมื่อเขาออกไปพ้นแล้ว เธอยกมือขึ้นปิดหน้าก่อนลูบหยดน้ำตาออกจากแก้ม พอตั้งสติได้ ก็หันไปมองที่บานประตูซึ่งตอนนี้ปิดสนิท

ชิษณุพงษ์ยังคงต้องการแก้แค้นเธออยู่ดี เขาช่างคุมแค้นได้นานนักเพียงเพราะผิดหวังจากพี่สาวของเธอเท่านั้น

หญิงสาวใช้ฝ่ามือออกแรงถูไปตามเนื้อตัวที่ถูกเขาสัมผัส หวังให้ร่องรอยความหยาบหยามนั้นให้หายไปจากตัว สัมผัสจากฝ่ามือหยาบกระด้างที่แสนจะน่ารังเกียจนั้น ยังคงติดอยู่ตามตัว

เธอเกลียดเขา เกลียดที่เขาแตะต้องเธอ แต่จะลบให้สัมผัสเขาหายไปได้อย่างไร เมื่อตอนนี้นั้นร่องรอยเหล่านั้นยังคงเด่นชัด แม้เมื่อตัวของคนที่กระทำจะไม่ได้อยู่ในห้องนี้อีกแล้วก็ตาม

นรก... สำหรับเธอมันได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งแล้ว




“ฝน... พี่มาส่ง” เช้าวันอาทิตย์ เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วและลงมาจากชั้นสองของบ้าน เพื่อเตรียมตัวเข้ากรุงเทพฯ พร้อมกับถิรายุและชิษณุพงษ์ วริษาก็เจอกับทวีรัฐ เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้กับนิตาและถิรายุ

แววตาเขาเศร้าเสียจน... วริษาได้แต่นึกสงสาร

“เพิ่งรู้ว่าฝนจะไปวันนี้”

หญิงสาวขยับจะเดินเข้าไปหาเขา แต่ก็ต้องชะงักเมื่อชิษณุพงษ์ลุกพรวดก้าวเข้ามาหาเธอก่อน เขาดึงตัวเธอเข้าไปกอด พร้อมกับก้มลงฝังจมูกทิ้งรอยหนักๆ ไว้ที่แก้มนวลเนียนข้างหนึ่ง

วริษาได้แต่อึ้งเพราะนึกไม่ถึง

นิตาอ้าปากค้าง

ถิรายุหัวเราะเอิ๊กอ๊าก เชียร์เย้วๆ ให้พ่อหอมแม่ต่อ

และทวีรัฐกำมือแน่น กรามกัดกรอด

“ใกล้เวลาแล้วต้องรีบหน่อยเดี๋ยวตกเครื่อง” ชิษณุพงษ์เอ่ยเสียงราบเรียบ แล้วเหลียวมองนิตา “คุณนิด พรุ่งนี้ผมจะส่งคนมาช่วย คุณจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก แล้วพอที่นี่เข้าที่เข้าทาง คุณค่อยตามไปดูแลตายุแล้วกัน” ชิษณุพงษ์สั่งเสร็จสรรพ ไม่เปิดโอกาสให้นิตาได้เอ่ยถาม

พี่เลี้ยงของถิรายุจึงได้แต่พยักหน้ารับ เธอลอบผ่อนลมหายใจอย่างขลาดๆ ไม่รู้ทำไมว่าสามีของวริษาจึงได้ดูน่ากลัวนัก

“ยุครับ... ลาคุณลุงเสียสิลูก ตอนนี้เรากำลังจะกลับบ้านกันแล้วนะครับ” ชิษณุพงษ์รั้งวริษาให้ออกเดิน และเมื่อเข้าไปโน้มตัวลงโอบเด็กชายขึ้นมาอุ้ม ถิรายุก็เงยหน้ามองพ่อยิ้มกว้างและทำตาม

“ลุงทวีคับ ยุจะกลับบ้านพ่อณุแล้วนะคับ แล้วยุจะเอาของมาฝาก”

ทวีรัฐยิ้มรับ คิดจะเอื้อมมือออกไปสัมผัสกับเด็กน้อยอย่างเคยด้วยความเคยชิน หากผู้เป็นพ่อของถิรายุกลับเบี่ยงตัวหนี ทำทีมองไม่เห็นแล้วหันไปคุยกับคนของตน

“ของหมดแล้วใช่มั้ยฝน” ชิษณุพงษ์ยังรั้งวริษาไว้ข้างตัว หญิงสาวพยักหน้ารับ พยายามขืนตัวออกจากวงแขนที่โอบเอวไว้ แต่ไม่สำเร็จ

เธอฮึดฮัดไม่พอใจแต่สุดท้ายก็ไม่มีทางเลี่ยง

“หมดแล้วค่ะ... มีแค่เท่านี้”

“โอเค” ชิษณุพงษ์ว่า ก่อนหันมามองทวีรัฐ

“ลาละครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณทวีรัฐ”

เสียงทุ้มค่อนข้างเข้มเอ่ยขึ้นเป็นการตัดบท วริษาถอนหายใจ เธอส่งยิ้มให้กับทวีรัฐ

“พี่ทวี ฝนไปนะคะ ฝนฝากนิดกับร้านด้วย”

ทวีรัฐไม่ตอบแต่มองเธออย่างอาลัยอาวรณ์ สุดท้ายหัวใจก็เป็นใหญ่ นายตำรวจหนุ่มมองสบตากับชิษณุพงษ์

“คุณชิษณุพงษ์ผมขอเวลาคุยกับฝนสักครู่ได้มั้ย... คงไม่นาน”

เสียงต่ำลึกนั้นพร่า ปกปิดความรู้สึกในใจไม่มิด ชิษณุพงษ์มองอยู่นานก่อนจะยอมปล่อยมือจากวริษา เขาพาถิรายุเดินออกจากร้านไปขึ้นรถที่จอดรออยู่พร้อมกับนิตา เพื่อเปิดโอกาสให้วริษากับทวีรัฐได้อยู่ด้วยกัน

“ฝน... ฝนแน่ใจแล้วนะที่จะอยู่กับเขา”

เมื่อได้อยู่กันตามลำพัง นายตำรวจหนุ่มก็เอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน

“พี่เป็นห่วง... เขาเคยทำให้ฝนเสียใจ พี่กลัวว่าเขา--”

ก่อนเขาจะพูดจบ วริษาก็ส่งยิ้มให้ เธอส่ายหน้าช้าๆ

“เพื่อตายุ ฝนยอมทำทุกอย่างได้ค่ะพี่ทวี ตอนนี้สิ่งสำคัญสำหรับฝนคือตายุ ฝนคงทนไม่ได้ถ้าลูกของฝนจะเป็นอะไรไปเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของฝนเอง” เธอเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงสั่นๆ นัยน์ตากลมโตยังคงเหลือบแลมองออกไปยังด้านนอก เพียงเพราะรู้สึกได้ถึงสายตาของใครคนนั้นที่จ้องมาอย่างไม่ลดละ

“แล้วพี่จะหาโอกาสไปเยี่ยมฝนกับตายุบ่อยๆ นะ บางทีพี่อาจจะได้ย้ายไปประจำที่นั่น อีกไม่นานเราคงจะได้เจอกัน”

ทวีรัฐเอื้อมมาคว้ามือเธอไปกุมไว้

“ฝน... พี่ยังยืนยันนะ พี่จะรอ”

วริษาผ่อนลมหายใจ ทวีรัฐช่างดีเหลือเกิน... ดีจนเธอไม่อยากจะทำให้เขาต้องเสียใจ

มันช้าเกินไปสำหรับการได้พบกัน ช้าเกินไป... ถ้าวันนั้นเธอไม่หลงไปกับสิ่งปรุงแต่ง ที่ปิดบังความโสมมของจิตใจคนไว้ เธอก็คงจะรักเขาได้อย่างเต็มหัวใจ อย่างน้อยๆ ก็คงจะไม่ต้องมาเจ็บช้ำ ซ้ำๆ ซากๆ แบบนี้

ชิษณุพงษ์ ผู้ชายคนแรกที่ทำให้เธอรู้จักคำว่ารัก... และเขาก็เป็นคนแรกอีกเช่นกัน ที่สอนให้เธอเข้าใจกับคำว่าเกลียดได้เป็นอย่างดี




ดังปัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ต.ค. 2559, 19:53:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ต.ค. 2559, 19:53:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 1530





<< บทที่ ๓   บทที่ ๕ >>
ดังปัณณ์ 5 ต.ค. 2559, 19:54:31 น.
สวัสดีค่า พาพี่ณุกับหนูฝนมาส่งค่า ^O^

เล่ห์แฝงรัก ตอนนี้มีจำหน่ายในรูปแบบของ E-BOOK ค่ะ ราคา 260.- บาท จำนวน 392.- หน้า มีทั้งรูปแบบ PDF และ epub ค่ะ ถ้าสนใจลองโหลดตัวอย่างมาอ่านแบบไม่ต้องรอเว็บได้ที่ลิงก์นี้เลยค่ะ
https://goo.gl/g2pcqS
.
.
.
เจ็ดปีก่อน ความเกลียดได้ก่อตัวขึ้นบนฐานความสัมพันธ์อันง่อนแง่นที่เรียกกันว่า ‘รัก’
วริษาเคยมีชีวิตที่สดใส เธอเคยคิดว่าตัวเองเข้มแข็งพอแล้วสำหรับเรื่องร้ายๆ แต่แล้วเธอก็กลับพบว่า สิ่งที่เธอคิดนั้นผิดมาตลอด ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปนับตั้งแต่ได้เจอกับเขา
“ฉันเชื่อไม่ลง”
ชิษณุพงษ์หลับตาลง “ความเชื่อใจของฝนที่มีให้พี่ มันคงหมดไปแล้วใช่ไหม”
วริษานิ่งไป “ใช่” พูดจบเธอก็ก้าวออกจากห้องนั้นมา
วริษาไม่หันกลับไปมองข้างหลังอีกว่าชิษณุพงษ์มีสีหน้าเช่นไร เธอไม่ต้องการที่จะเสี่ยง ไม่ว่าที่เขาบอกมาจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม
เรื่องมันผ่านมาแล้ว และจบไปแล้ว
ชิษณุพงษ์เคยเจ็บปวดเพราะความรัก เคยถูกทำร้ายด้วยความรัก และเขาเลิกศรัทธาในความรัก จนความรักแสนเกลียดได้ย้อนกลับเข้ามาในชีวิตของเขาอีกครั้ง เธอคือใครคนนั้น คนที่เขาไม่เคยคิดว่าจะรัก
“ก็ดีน่ะนะที่ฝนพูดออกมาชัดเจน... แต่ว่า--” ไม่ทันให้ได้ตั้งตัว ชิษณุพงษ์ก้มลงมาจนชิด ลมหายใจของเขาเป่ารดผิวแก้มของเธอ ต้นแขนกลมกลึงถูกจับยึดไว้มั่น และมันแน่นจนวริษาเจ็บ เธอนิ่วหน้าแต่ไม่ปริปากอุทธรณ์ “อย่าลืมซะล่ะ ว่าระหว่างนี้ฝนยังใช้นามสกุลของพี่อยู่... ถ้าขืนฝนทำอะไรให้พี่โกรธคงจำได้นะ ว่าสัญญานั่นจะมีผลทันที ลูกต้องอยู่กับพี่และฝนจะไม่ได้เจอกับลูกอีกเลย” พูดจบเขาก็ปล่อยมือ ก่อนเปลี่ยนเป็นรั้งเธอให้เข้าไปชิดกับเขาทั้งตัว นัยน์ตากลมโตเบิกกว้าง วริษาหลุดอุทาน “หน้าที่ของเมีย ฝนอย่าลืมว่ามันหมายความรวมถึงทั้งหมดที่เมียที่ดีควรทำต่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี!”
และเจ็ดปีต่อมา สายสัมพันธ์อันเปราะบางนั้น ก็ดึงให้เธอกับเขามาเจอกัน
อ่านแล้วอย่าลืมมาเม้าท์กันนะ
ป.ล. ขอคะแนนกำลังใจให้เค้าด้วยน้าาาาาาาาาา


Zephyr 21 ต.ค. 2559, 21:33:03 น.
มันจะยังไงละเนี่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account