น้ำค้างเปื้อนสี

'เพชร' ของสูงค่าที่ใครๆ ต่างหมายปอง

ชีวิตของ ‘เธอ’ จึงถูกเจียระไนเพื่อให้เป็นเพชรน้ำงามที่สุดที่เจ้าของจะได้อวดใครๆ

แต่กว่าจะเป็นเพชรต้องผ่านความร้อน ชีวิตคนเล่า ต้องผ่านความทุกข์สักเพียงไหน เมื่อคนคนหนึ่งหวังให้เพชรเปรอะเปื้อนโคลนตม



หากในวันที่เพชรอับแสง 'เขา' จึงได้ตระหนักถึงคุณค่าของเพชร และต่อให้เพชรมีรอยร้าว เธอก็ยังเป็นเพชรเม็ดเดียวในใจที่เขาปรารถนาจะครอบครอง


Tags: ดราม่า แอบรัก รักต้องห้าม สะท้อนสังคม

ตอน: บทที่ ๖





เสียงกีตาร์กรีดดังรบกวนการอ่านหนังสือกลางดึกของน้ำหนึ่งยิ่งนัก เธอฟุบหน้ากับโต๊ะพลางยกมือปิดหู กระนั้นก็ไม่ได้ช่วยลดเสียงที่ดังมาจากห้องติดกันลงเลย

เด็กสาวพับปิดหนังสือเรียน ดูท่าว่าคืนนี้ตนคงไม่ได้ทบทวนตำราอย่างสงบเสียแล้ว แต่จะนอนก็คงหลับไม่ลงอีกเช่นกัน เธอน่าจะรู้ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนว่าทำไมดรัณจึงอยากได้กีตาร์นักหนา เพราะตั้งแต่นั้นมาเธอไม่เคยอ่านหนังสืออย่างสงบได้เลย ยิ่งใกล้สอบทีไรเป็นต้องมีเสียงกรีดดังฟังดูก้าวร้าวมารบกวนทุกคืน

เธอเคยบอกเรื่องนี้ต่อหน้าผู้ใหญ่ หากคำกล่าวอ้างของดรัณว่าเขาต้องการผ่อนคลายระหว่างอ่านหนังสือก็ทำให้ป้าไม่ได้ว่าอะไร เธอจนปัญญาจะเอาชนะเขาแล้วจึงได้แต่เลี่ยงไม่สร้างปัญหาเสียเอง

ไหนๆ ก็นอนไม่หลับ น้ำหนึ่งตัดสินใจออกจากห้องลงมาข้างล่างดีกว่าต้องทนหนวกหูต่อไป บ้านหลังใหญ่เงียบสงัด มีเพียงแสงไฟจากบันไดส่องให้เห็นทางเท่านั้น เด็กสาวเดินไปยังเปียโนสีขาวซึ่งตั้งอยู่กลางบ้านระหว่างห้องนั่งเล่นและห้องทานอาหาร มือบางลูบไล้แป้นคีย์แผ่วเบาขณะจิตใจเหม่อลอยไปไกล คิดถึงพ่อผู้เป็นครูคนแรกที่สอนให้เธอเล่นดนตรี

เด็กสาวนั่งลง นิ้วเรียวพร่างพรมลงบนโน้ตแต่ละตัวเป็นเพลง 'โด เร มี' เพลงจากภาพยนตร์เรื่อง The sound of music ที่พ่อเคยสอนให้เล่นและเธอก็จำได้ขึ้นใจมาจนบัดนี้ จังหวะดนตรีอันสดใสค่อยเรียกรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้าหมองเศร้าได้อีกครั้ง

น้ำหนึ่งคงเล่นวนอยู่อย่างนั้น ทว่าแสงไฟจากบันไดวูบไหวเมื่อมีเงาคนพาดผ่านเสียก่อน

ดรัณ...

เด็กสาวแทบกลั้นใจเมื่อเห็นว่าเป็นใคร มือบางค้างแข็งอยู่อย่างนั้น รู้แน่แก่ใจว่าเขาย่อมได้ยินเสียงเพลงและเห็นเธอแล้วเช่นกัน

"คุณแอ๊วให้มาตาม"

ดรัณหยุดยืนอยู่ปลายบันไดขั้นสุดท้าย เขาเอ่ยไม่ดังนัก แต่ความเงียบสงัดยามค่ำคืนก็ทำให้น้ำเสียงก้องกังวานอยู่ดี

น้ำหนึ่งยังคงนั่งนิ่งอย่างคาดไม่ถึง ดึกดื่นป่านนี้น่ะหรือ จะว่าเป็นเพราะเสียงเปียโนของเธอรบกวนก็ไม่น่าเป็นไปได้ มันเบากว่าเสียงกีตาร์ของดรัณเสียด้วยซ้ำ

เอาเถอะ มัวมานั่งสงสัยอย่างนี้ก็เสียเวลาเปล่า ร่างบางในชุดนอนผ้าฝ้ายลุกยืนพลางรวบรวมลมหายใจ เธอเดินผ่านดรัณที่ยังคงยืนอยู่ปลายบันได แสงสลัวอันน้อยนิดทำให้ไม่อาจสังเกตเห็นแววตาคมกล้าซึ่งสว่างวาบขึ้นมา

น้ำหนึ่งหันมองผู้ที่ตามตนขึ้นมาถึงระเบียงทางเดินบนชั้นสองของบ้านด้วยความแปลกใจระคนหวาดระแวง เขาไม่ได้เลี้ยวไปทางห้องพวกเธอ แต่กลับเดินประกบเธอไม่ห่าง น้ำหนึ่งหรี่ตามองไปทางประตูห้องนอนใหญ่ซึ่งปิดสนิท ไม่มีแสงไฟเล็ดลอดออกมา ก่อนจะหันกลับไปมองเด็กหนุ่มอย่างเริ่มเข้าใจอะไรๆ ได้ดี

ป้าไม่ได้เรียกหาเธอเป็นแน่ แต่เป็นเล่ห์กระเท่ห์ของดรัณต่างหากที่หลอกเธอขึ้นมา!

เด็กสาวตั้งท่าจะวิ่งกลับเข้าห้อง ทว่าช้ากว่าแขนยาวซึ่งคว้าหมับยังเอวของเธอ น้ำหนึ่งกรีดร้อง หากมือหนาประกบปิดปากไว้ได้ทัน ลมหายใจร้อนผ่าวรินรดต้นคอเธอขณะเขากระซิบขู่ลอดไรฟัน

"อยู่เฉยๆ ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอกน่า"

น้ำหนึ่งกรีดร้องหากมีแต่เสียงอู้อี้ออกมาเท่านั้น และไม่ว่าเธอจะพยายามขืนกายอย่างไรก็ไม่อาจสู้พละกำลังของเด็กหนุ่มที่กำลังจะเป็นชายหนุ่มเต็มตัวได้เลย เขาบังคับพาเธอไปหน้าห้องนอนใหญ่ เธอหันไปมองเขาอย่างไม่เข้าใจก็ได้เห็นประกายตามุ่งมาดของอีกฝ่ายเรืองรองในความมืด

"ฟัง... ฟังสิ เสียงของคนที่เขารักกัน คุณแอ๊วกับพ่อฉันไม่ได้รักเธอ"

เด็กสาวรู้เดี๋ยวนั้นเองว่าดรัณต้องการทำอะไร เขากดศีรษะเธอแนบประตูบานใหญ่โดยที่เธอไม่อาจสู้แรงได้ น้ำหนึ่งอยากปิดหู ไม่อยากได้ยินเสียงใดทั้งนั้น แต่ก็ทำไม่ได้ น้ำตาแห่งความโกรธ อดสู ไหลลงมาต้องหลังมือคนที่เธอรังเกียจ เกลียดเขาที่สุดในชีวิต

เสียงกุกกักกระทบประตูจากการพยายามขัดขืนทำให้ดรัณต้องรั้งร่างบางออกห่างจากหน้าห้องนอนของพ่อกับกุสุมาในที่สุด มือหนายังคงปิดปากเจ้าหล่อนแน่นแม้รู้สึกถึงรอยชื้นจากน้ำตา หากน้ำตาของเธอมันไม่ได้มีค่ามากไปกว่าความทุกข์ของเขาหรอก มันขมขื่นบัดซบสิ้นดีที่เห็นเธอหัวร่อต่อกระซิกกับพ่อของเขาลับหลัง แล้วต่อไปจะมีอะไรมากกว่านี้ก็สุดรู้

"จำไว้ พวกเขาไม่ได้รักเธอ ยัยโง่" ดรัณบีบคางเด็กสาวแน่นพร้อมกับเอ่ยกรอกหู "เธอกับฉันก็แค่หมาที่เขาเลี้ยงไว้ประกวด เลิกกระดิกหางแค่เพราะพ่อฉันดีต่อเธอเสียที เห็นแล้วมันสมเพชเว้ย"

เขาผลักคนที่ไม่หยุดขืนกายดิ้นรนออกเต็มแรง น้ำหนึ่งเซไปกระแทกราวระเบียง น้ำตาของความเจ็บปวด หวาดกลัวไหลลงมาอย่างสุดกลั้น

แม้คนใจร้ายจะจากไปแล้ว หากร่างบางยังสั่นเทาด้วยตื่นกลัวไม่หาย ท้ายที่สุดมันก็ไร้เรี่ยวแรงจะพาตัวเองก้าวเดินต่อไป เด็กสาวทรุดลงร่ำไห้อยู่ตรงนั้นนั่นเอง



"คุณหนึ่ง... คุณหนึ่งคะ พี่นีเอง"

เสียงเคาะประตูรบกวนห้วงนิทราของผู้ที่เพิ่งข่มตาลงเมื่อตอนรุ่งสาง น้ำหนึ่งปรือตามองแสงจ้าที่สาดส่องผ่านผ้าม่านบางเข้ามาแล้วก็ต้องหยีตา ยกแขนขึ้นก่ายหน้าผากซึ่งปวดตุบทันที

"คุณหนึ่ง ลงไปทานข้าวได้แล้วค่ะ ทุกคนรออยู่น้า"

"ไม่! หนึ่งไม่หิว" เด็กสาวตะโกนกลับไปแต่แทบไม่มีเสียงใดผ่านลำคอออกมา

ปวดหัวเหลือเกิน เหมือนมันจะแตกเป็นเสี่ยงได้ น้ำหนึ่งรู้สึกเหมือนตนเดินอยู่กลางทะเลทราย ลำคอแห้งผากราวคนขาดน้ำ เหงื่อทุกหยดพรากเอาความสดชื่นไปจากร่างกาย และแสงจากดวงอาทิตย์กำลังระอุอยู่รอบตัว

เสียงรบกวนภายนอกเงียบไปแล้ว เธอผ่อนลมหายใจยาวก่อนกลับเข้าสู่ห้วงนิทราง่ายดาย หารู้ไม่ว่าปราณีนำความห่วงใยมาแจ้งแก่ทุกคนที่รออยู่ยังโต๊ะอาหาร

"ยัยหนึ่งอาบน้ำอยู่หรือเปล่า ทำไมไม่เข้าไปดู" กุสุมาคาดเดาอย่างเบื่อหน่าย

นับวันหลานสาวของตนยิ่งอวดดี ยังไม่หายขุ่นเคืองที่เด็กเมื่อวานซืนทำให้เธอต้องอับอายต่อหน้าผู้อื่น วันนี้เจ้าหล่อนยังทำตัวมีปัญหาตามมาอีก ทั้งที่รู้กฎของบ้านดีว่าต้องลงมาทานอาหารเช้าด้วยกันเวลาเก้าโมง

"คุณหนึ่งล็อคห้องค่ะ ปกติถ้าเธออาบน้ำก็จะตะโกนตอบนีนะคะ แต่วันนี้เงียบไป กลัวจะไม่สบายสิคะ"

"ฉันบอกแล้วนี่ว่าห้ามล็อคห้อง มันวุ่นวายอย่างนี้นี่ไงเล่า"

แทนที่จะห่วงใยในตัวหลาน กุสุมากลับตำหนิอย่างหงุดหงิดใจ

"เอากุญแจไปไขไปนี" ดัสกรบอกสาวใช้ก่อนลูบหลังมือสาวใหญ่ให้เย็นลง "พี่ขึ้นไปดูคุณหนึ่งก่อนก็ได้ครับ พวกผมรอได้"

ได้ผลชะงัดเมื่อกุสุมามองค้อนคนรักอย่างสิเน่หา ทุกครั้งที่สบตาเป็นต้องประหวัดไปนึกถึงความสุขที่ชายหนุ่มปรนเปรอแก่เธอเมื่อคืน เขาไม่ได้ทำให้เธอมีความสุขอย่างนั้นนานเหลือเกินแล้ว แค่คิดก็พลอยอารมณ์ดีขึ้นมา

สาวใหญ่ไม่รู้เลยว่าช่วงเวลาที่เธอล่องลอยอยู่บนสวรรค์ หลานของตนกำลังตกนรกทั้งเป็น

"กรกับรันทานเถอะ ไม่ต้องรอ"

กุสุมาตามปราณีขึ้นไปข้างบน คงเหลือแต่สองพ่อลูกอยู่ที่โต๊ะอาหาร เมื่อนั้นดัสกรจึงได้ผ่อนลมหายใจติดจะขบขันตัวเองออกมา

อย่าว่าแต่เจ้าหล่อนจะปลาบปลื้มใจกับความสุขเมื่อคืนเลย เขายังแปลกใจตัวเองที่มีความสุขบนเตียงได้อีกครั้ง หากมีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ว่าไม่ใช่เพราะความเสน่หาต่อกุสุมา แต่เป็นเพราะจินตนาการที่เขามีต่อ…

"กิน กินเว้ยเจ้ารัน ไม่ต้องรอพ่อ" ดัสกรหยุดคิดพร้อมกับหันมาเอ่ยกระตุ้นบุตรชายที่เหม่อลอยเช่นกัน

ดรัณดึงสติกลับมาจากเรื่องที่ทำให้เขาเป็นกังวล แต่เมื่อเห็นพ่อทำท่าจะลุกไปอีกคนจึงรีบเอ่ยถามทันที

"พ่อจะไปไหน"

"ไปรอดูคุณหนึ่ง เผื่อไม่สบายต้องไปหาหมอ"

ดรัณไม่รู้จะหาเหตุผลใดมารั้งท่านไว้อีก เขามองตามแผ่นหลังของผู้เป็นพ่อจนลับตา ก่อนจะทุบกำปั้นลงบนโต๊ะอย่างเจ็บใจตัวเอง

ใช่สิ เขาหรือจะสู้สุนัขประกวดอย่างยัยเด็กน้ำหนึ่งที่ใครๆ ต่างก็ประคบประหงมเอาอกเอาใจ เขาอยากรอดูวันที่เธอเป็นหมาหัวเน่าอย่างเขา ไม่แน่ว่าวันนั้นเขาอาจรับเธอเป็นเพื่อนก็ได้



ดรัณจัดการมื้อเช้าของตนจนหมดให้สมกับที่ต้องตื่นแต่เช้า ทว่านานครู่ใหญ่ทีเดียวบิดาของเขากับกุสุมาก็ยังไม่ลงมา คนที่กินอิ่มเริ่มหนังตาตึงอีกครั้ง เขาคร้านจะรอฟังอาการของน้ำหนึ่งแล้วจึงตัดสินใจยกจานไปเก็บในครัว

นอกจากปราณีที่เป็นเสมือนหัวหน้าแม่บ้าน บ้านหลังนี้ก็มีสาวใช้ชาวต่างด้าวอีกสองคน ทั้งสองถือถังน้ำและไม้ถูพื้นสวนกับเขาออกไป ในครัวจึงเหลือดรัณยืนล้างจานของตนลำพัง

"อุ๊ย คุณรัน วางไว้เถอะค่ะ เดี๋ยวพี่ล้างพร้อมกับของคุณๆ ทีเดียว" ปราณีร้องห้าม

ถึงอย่างไรเด็กหนุ่มผู้นี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านายของตนคนหนึ่ง ไม่ว่ามาก่อนหรือหลัง เป็นลูกเต้าเหล่าใคร เธอย่อมต้องปฏิบัติอย่างเท่าเทียม

ดรัณหันมองผู้ที่ก้าวเข้ามาในครัวหลังจากหายขึ้นไปดูแลน้ำหนึ่งนานสองนาน พลันคิดขึ้นมาได้ว่าเขาควรถามถึงอาการของคนป่วยจากใครจึงจะเกิดพิรุธน้อยที่สุด

"พี่นีต้องดูแลคุณหนึ่งไม่ใช่หรือฮะ เธอเป็นยังไงบ้างฮะ" เขาถามโดยไม่ได้หันไปมอง

"พี่เช็ดตัวให้แล้วล่ะค่ะ ตัวร้อนจี๋เทียว เนื้อตัวนี้มีแต่รอยช้ำ ไม่รู้เพราะพิษไข้หรือไปโดนอะไรมา"

คนฟังชะงักมือซึ่งกำลังล้างจาน เด็กหนุ่มไพล่นึกถึงตอนที่เขาบังคับขู่เข็ญเธอเมื่อคืน จำไม่ได้หรอกว่าเขาใช้กำลังรุนแรงกับเธอเท่าไร แต่คงแรงพอสมควร...ไม่อย่างนั้นคงจับตัวผู้ที่พยายามดิ้นหนีสุดกำลังไม่ได้หรอก

ก็ใครสั่งให้เธอสะบัดสะบิ้งนักเล่า ทำราวกับตัวเองจะแปดเปื้อนหากเขาแตะต้องอย่างนั้นแหละ ดรัณสะบัดน้ำออกจากจานแรงด้วยความหงุดหงิดใจ หากครั้งนี้มันไม่ได้เกิดจากความโกรธหรือหมั่นไส้เธอ แต่เป็นความไม่พอใจลึกๆ ที่เธอรังเกียจเขามากกว่าจะรักตัวเอง คนอะไร!

เขาเช็ดมือก่อนก้าวออกไปจากครัวโดยเลี่ยงสบตากับปราณี รวมทั้งเมื่อสวนกับบิดาและกุสุมาที่บันได ร่างสูงก็ก้มหน้าก้มตากลับขึ้นห้องของตน

เด็กหนุ่มกระโดดกลับขึ้นเตียงอีกครั้งหลังจากตื่นแต่เช้าเพื่อร่วมมื้อเช้าอันเป็นกิจวัตรประจำวันหยุด ทว่าความง่วงงุนก่อนหน้านี้หายเป็นปลิดทิ้ง นอนพลิกตัวไปมาอย่างไรก็ไม่หลับเสียที ดรัณอยากเห็นด้วยตาว่าเธอป่วยจริงหรือไม่ อย่างน้อยจะได้ขจัดความรู้สึกแปลกใหม่ที่รบกวนจิตใจในตอนนี้ออกไปเสียที

เอาวะ... เขาบอกกับตัวเองว่าจะกลัวอะไร ก็ถ้าเธอโวยวายฟ้องผู้ใหญ่ที่เขาบุกไปถึงห้อง เขาก็มีข้ออ้างให้พ้นผิดได้ว่าต้องการเยี่ยมไข้เธอก็เท่านั้น

คิดได้ดังนี้ดรัณจึงลุกจากเตียง เขาตรงไปหยุดยืนหน้าห้องข้างๆ แล้วก็ค่อยโล่งใจที่ประตูไม่ได้ถูกล็อคเอาไว้ เด็กหนุ่มหมุนลูกบิดเข้าไปในห้องซึ่งอบอุ่นกว่าห้องของตนพร้อมกับก้อนเนื้อในอกซึ่งโลดแรงขึ้นมา

เตียงสีขาวหลังใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง บนเตียงเต็มไปด้วยตุ๊กตาจนผู้ที่นอนอยู่แทบจะถูกกลืนหายไป จากที่คิดว่าเธออาจค่อยยังชั่วและลุกมาโวยวายข้อหาที่เขาบุกรุกเข้ามา ดรัณกลับผิดคาดเมื่อเห็นเด็กสาวนอนซมไม่ได้สติ มีผ้าขนหนูวางอยู่บนหน้าผากเพื่อลดอุณหภูมิร่างกาย

เขาสาวเท้าไปใกล้เมื่อไม่มีวี่แววว่าเจ้าหล่อนจะรู้สึกตัว ดรัณจ้องมองเสี้ยวหน้าของคนที่นอนตะแคง ผมยาวสีดำขลับแผ่กระจายตัดกับปลอกหมอนสีขาว ยามอยู่ในห้วงนิทราเช่นนี้น้ำหนึ่งยิ่งดูบริสุทธิ์ราวตุ๊กตานางฟ้า ไม่เหมือนผู้หญิงคนไหนที่เขาเคยเห็นสักคน กระทั่งป้าของเธอ

ถ้าเพียงแต่เธอมีบางอย่างที่เขาจะเข้าถึงได้บ้าง ไม่ใช่ต่างกันราวนางฟ้ากับสุนัขเช่นนี้ เขาคง...

ดรัณรีบหยุดความคิดซึ่งฟุ้งซ่านไปไกล เขาถอนใจหนักๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบผ้าขนหนูบนศีรษะเด็กสาว มันคลายความเย็นและถูกแทนที่ด้วยไอร้อนจากร่างกายคนป่วยแล้ว ตนจึงนำไปขยำผ่านน้ำพลางบิดพอหมาด ก่อนวางลงบนหน้าผากของน้ำหนึ่งอีกครั้ง

"อ้าว คุณรัน" ปราณีเอ่ยเรียกด้วยความแปลกใจหลังเข้ามาพบเด็กหนุ่ม

ดรัณก้าวถอยจากเตียงอัตโนมัติ ทั้งตกใจและเสียหน้าที่ถูกจับได้ว่าตนแอบเข้ามาที่นี่ ใบหน้าร้อนเห่อขึ้นมาราวจับไข้อีกคน เขาอาย...อายที่มีคนเห็นในด้านที่ไม่ปรารถนาให้ผู้ใดรู้เห็น

ร่างสูงรีบก้าวไปหาปราณี เมื่อหลุบตามองชามข้าวต้มกุ้งที่สาวใช้ถือมาก็ได้แต่เอ็ดในความเลินเล่อของตัวเอง

"พี่นี อย่าบอกใครนะ ห้ามบอกคุณหนึ่งเด็ดขาด" เขากระซิบเสียงเคร่ง

ทว่าปราณีต้องกลั้นยิ้ม ยิ่งเห็นพิรุธเช่นนี้เธอก็ยิ่งแปลกใจ ใครเลยจะคิดว่าศัตรูคู่แค้นอย่างเด็กทั้งสองคนจะมีมุมเอื้ออาทรต่อกัน

"ค่ะ พี่สัญญา"

ดรัณคลายยิ้มเล็กน้อยอย่างโล่งใจ เขาก้าวออกไปพลางงับประตูปิดตามหลัง แล้วก็ต้องเป่าปากถอนใจเมื่อนึกย้อนว่าตนทำอะไรลงไป หากเป็นยัยเด็กนั่นตื่นมารับรู้ มิแคล้วเขาคงต้องเสียหน้ากว่านี้เป็นแน่



อาการป่วยของน้ำหนึ่งทุเลาขึ้นเมื่อได้พักผ่อนเพียงพอ อีกทั้งคืนนั้นทั้งคืนไม่มีเสียงดนตรีจากห้องข้างๆ รบกวน เธอจึงตื่นไปโรงเรียนได้ในเช้าวันถัดมา

เด็กสาวกำลังยอบตัวใส่รองเท้านักเรียนขณะเดียวกับที่มีเงาของคนข้างๆ ทาบทับ เธอจำกลิ่นโคโลญจน์ของเขาได้ อย่างน้อยมันก็ไม่ชวนเวียนหัวเท่ากับตอนเลิกเรียน น้ำหนึ่งไม่คิดจะหันมองคนข้างๆ ไม่อยากรับรู้ว่าเขามีตัวตนเสียด้วยซ้ำ เธอจึงไม่ได้เห็นแววตาเคลือบแคลงในตนเองของเขาทอดมองมา

"ไปเด็กๆ ขึ้นรถจ้ะ"

กุสุมาตามออกมาเป็นคนสุดท้ายพร้อมกล่องอาหารเช้าสองใบ สาวใหญ่ขึ้นนั่งประจำที่คนขับ ขณะที่ดรัณชิงเปิดประตูหน้าด้านข้างก่อนเด็กสาวซึ่งช้ากว่า ทว่าวันนี้ไม่มีดวงตาขุ่นเคืองของน้ำหนึ่งตวัดมองเช่นทุกที เธอกลับขึ้นนั่งเบาะหลังราวเต็มใจ

นี่ไง ท่าทางหยิ่งยโสของเจ้าหล่อนกลับมาแล้ว หนักข้อกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำเมื่อเธอไม่แม้แต่ปรายตามองเขาเลย ก็ดี เขาจะได้เลิกอ่อนข้อให้เธอเสียที

ดรัณจ้องมองใบหน้าเรียบเฉย ไร้อารมณ์ความรู้สึกใดๆ ผ่านกระจกมองหลัง เจ้าหล่อนกำลังละเลียดทานคลับแซนด์วิชในกล่องที่ผู้เป็นป้าเตรียมไว้ให้ ก่อนเสียงของกุสุมาจะดึงสติเขากลับมา

"ไม่ทานล่ะจ๊ะรัน"

"ผมยังไม่ค่อยหิวเลยครับ เก็บไว้กินตอนพักดีกว่า เพื่อนที่เคยชิมชมว่าแซนด์วิชคุณแอ๊วอร่อยด้วยครับ ผมจะเอาไปกินยั่วพวกมัน"

ตอบสาวใหญ่แท้ๆ แต่สายตาเด็กหนุ่มกลับมองสาวน้อยไม่วางตา เขาคาดหวังว่าจะได้เห็นปฏิกิริยาบางอย่างจากน้ำหนึ่ง แต่ก็ไม่มี คนถูกชมต่างหากที่หัวเราะชอบใจ

"แล้วไม่บอกฉัน จะได้ทำเผื่อเพื่อนๆ ด้วย"

"ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ก็พอแบ่งเพื่อนที่สนิทๆ ได้แล้ว" ดรัณตอบเซ็งๆ

เขาเอนศีรษะพิงหน้าต่างรถยนต์พลางปิดเปลือกตาซึ่งหนักอึ้งในยามเช้าลง มีเวลานอนในรถอีกร่วมหนึ่งชั่วโมงกว่าจะฝ่าการจราจรอันแสนติดขัดยามเช้าไปถึงโรงเรียน ทว่าวันนี้เด็กหนุ่มมิได้ตื่นเพราะถูกปลุก แต่เป็นเสียงสนทนาที่รบกวนการนอน

"ถ้าปวดหัวอีกก็ไปนอนที่ห้องพยาบาลนะ ไม่ไหวจริงๆ ก็โทร. บอกป้า จะมารับ"

"ค่ะป้า" เสียงตอบรับยังคงแหบโหย "หนึ่งไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ไปก่อนนะคะ"

ดรัณลืมตาตื่นเมื่อเสียงประตูรถปิดลง ได้ยินเสียงถอนใจของกุสุมาที่คงนึกเคืองในตัวหลานสาวอีกครั้ง อย่าว่าแต่ท่านเลย เขาได้ยินยังอดคิดไม่ได้ว่าน้ำหนึ่งออกจะกระด้างกระเดื่องไม่น้อย

"อ้าวรัน ถึงโรงเรียนแล้วจ้ะ"

สาวใหญ่ปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้แช่มชื่นขึ้นหลังหันมาเห็นเด็กหนุ่มขยับตัว ยิ่งเมื่อมองสบดวงตาวาวๆ อย่างเป็นเดือดเป็นร้อนแทนคู่นั้น เธอก็พลอยเต็มตื้น ปลาบปลื้มใจยิ่งนัก

"อย่าถือสาน้องเลยจ้ะ พ่อแม่เขาคงเลี้ยงมาอย่างตามใจ ฉันน่ะเลี้ยงเขาตอนโตแล้ว ไม่รู้แม่เขาปลูกฝังอะไรมาบ้าง"

คนฟังนิ่วหน้าครุ่นคิด กระแสเสียงของผู้พูดบอกถึงอะไรบางอย่างโดยไม่ต้องพูดออกมา

"ไว้ฉันจะเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้ไปเรียนได้แล้ว"

ไม่พูดเปล่า กุสุมายังหนีบจมูกโด่งเป็นสันด้วยความมันเขี้ยว ท่าทางที่อีกฝ่ายมองเธออย่างเทิดทูนนั้นช่างน่าแกล้ง น่าเอ็นดู น่ารักเสียจริง

"โอ๊ย คุณแอ๊ว ไปละฮะ ผมไปแล้ว"

ดรัณพยายามปัดป้องพร้อมกับเปิดประตูลงจากรถ น่าแปลกที่คราวนี้เขาออกจะอับอายระคนกรุ่นโกรธนิดๆ กับความสนิทสนมที่เจ้าหล่อนมอบให้ ด้วยหวาดเกรงจะมีเพื่อนของตนมาเห็นและล้อเลียน

เขาไม่ปรารถนาให้มีผู้ใดรู้เห็น เช่นที่น้ำหนึ่งเคยเป็นพยานในเหตุการณ์สำคัญ ดรัณรู้ดีว่าต่อให้ความรู้สึกในอดีตของเขาอาจเปลี่ยนแปลงได้ก็จริง แต่ไม่อาจเปลี่ยนภาพจำถึงตัวเขาในสายตาผู้อื่นได้ตาม

เขาได้ตระหนักว่าความรู้สึกที่เคยมีต่อกุสุมาเป็นเพียงความรัก หวงแหนอย่างเด็กที่ขาดแม่ ความหลงใหล ปลาบปลื้มที่เขามีต่อเธอเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อแรกรู้จัก แต่เมื่อเขาได้มีสังคมใหม่ มีเพื่อนวัยไล่เลี่ยที่สนใจอะไรเหมือนๆ กัน เติบโตไปพร้อมกัน ความรู้สึกหลงใหลใฝ่ฝันในตัวกุสุมาจึงค่อยจืดจาง เหลือแต่เพียงความเคารพรักและอยากได้รับความรักตอบมาประสาเด็กขาดแม่คนหนึ่ง



'เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ ฉันน่ะไม่เคยอิจฉาน้องหรอกนะ แต่ถ้าจะพูดว่ารักก็คงไม่เต็มปากนัก ฉันผ่านความเจ็บปวดมามาก แล้วก็ดูท่าจะต้องเจ็บเพราะยัยหนึ่งอีกคน ทำอย่างไรได้ ก็เอาเขามาเลี้ยงแล้วนี่เนอะ'

น้ำเสียงทดท้อของกุสุมายามบอกเล่าเรื่องราวในอดีตยังคงติดอยู่ในสมองของเด็กหนุ่มโดยไม่อาจสลัดออกไปได้ แม้เมื่อกลับขึ้นห้องมานอนเหยียดอยู่บนเตียง เขาก็ไพล่ไปนึกถึงเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับต้องการค้นหาความหมายของทุกถ้อยคำ

'ฉันรักแล้วก็หวังกับยัยหนึ่งมาก รักเหมือนลูกแท้ๆ เชียว'

ประโยคนี้อีกเช่นกันที่เขาติดใจสงสัย คนที่บอกว่ารักหลาน แต่ทำไมทุกเรื่องราวที่เจ้าหล่อนเล่าให้เขาฟังจึงมีแต่ด้านลบของน้ำหนึ่งเท่านั้นเล่า หากเขาเป็นคนอื่นคงไม่แคล้วมองเด็กสาวในแง่ลบเป็นแน่

ดรัณตกใจกับความคิดตนเอง เหตุใดจู่ๆ เขากลับรู้สึกเหมือนตนรู้จักน้ำหนึ่งดีขึ้นมา แต่กับกุสุมา...เหมือนเขาไม่รู้จักเธอเอาเสียเลย

ถ้ารถของพ่อไม่กลับมาจากส่งน้ำหนึ่งไปเรียนเปียโนเสียก่อน ดรัณเชื่อว่าตนอาจได้รู้จักกุสุมามากกว่านั้น หากเมื่อสาวใหญ่ผละไปจากโต๊ะอาหาร เข้าไปเก็บตัวอยู่ในห้องโฮมเธียเตอร์กับพ่อของเขาหลังจากนั้น เขาจึงได้ขึ้นมาข้างบน มีโอกาสทบทวนสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ดรัณไม่คิดจะปักใจเข้าข้างฝ่ายใด เขาพอใจแค่รู้ว่าแท้จริงแล้วน้ำหนึ่งไม่ได้รับความรักปรี่ล้นจนต้องอิจฉาเสียหน่อย ไม่ว่าป้าของเธอหรือพ่อของเขา ทุกคนมองเธอเป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุเป้าหมาย ล้วนต่างมุ่งหวังให้เธอเป็นไปดังใจ

น่าสมเพชน้อยไปเมื่อไรที่เจ้าหล่อนยังเชิดคออยู่ได้ ไม่ได้รู้เลยว่าที่ทุกคนชื่นชมหาใช่ตัวตนของเธอ หากแต่เป็นโบว์บนอกของสุนัขประกวดต่างหากเล่าที่เขาชื่นชม ถ้าไม่มีโบว์นั่นแล้ว เธอก็ไม่ต่างจากสุนัขพันธุ์ทางอย่างเขาหรอก ลองมาเดินถนนคงไม่แคล้วผอมโซ จะเชิดต่อไปได้สักกี่น้ำเชียว

อยากเห็นหน้า... ความรู้สึกนี้ผุดขึ้นมาในใจเด็กหนุ่ม ทั้งที่เพิ่งแยกจากและอีกไม่นานก็ได้พบ แต่เขากลับทนไม่ได้ที่ต้องรอ อยากเห็นหน้าเชิดๆ จมูกรั้นๆ ของเธอ

ดรัณมองนาฬิกาบนผนังห้อง บางทีเขาน่าจะติดรถพ่อไปรับเจ้าหล่อน จะได้จับสังเกตด้วยว่าน้ำหนึ่งมีอากัปกิริยาอย่างไรต่อบิดาของตน เมื่อหาข้ออ้างได้ดังนั้นเขาจึงลงมาข้างล่าง ทว่าห้องนั่งเล่นกลับว่างเปล่า มีเพียงปราณีกำลังเก็บแก้วไวน์อยู่ลำพัง

"พ่อล่ะพี่นี"

"ออกไปข้างนอกกับคุณแอ๊วค่ะ" ปราณีหันมาตอบ

"ไปรับคุณหนึ่งน่ะหรือ อีกตั้งเกือบสองชั่วโมงนี่ฮะ"

"เปล่าค่ะ ได้ยินคุณกรว่าคุณหนึ่งจะกลับเองเพราะนัดเพื่อนไว้หลังเลิกเรียนน่ะค่ะ"

"เพื่อนคนไหน" ดรัณเผลอเปรยออกมา

"โธ่คุณรัน พี่ก็ไม่ทราบหรอกค่ะ" ปราณีตอบกลั้วหัวเราะ

คนลืมตัวพลอยรุ่มร้อนเมื่อถูกมองอย่างล้อเลียน จำต้องแก้เกี้ยวไปอีกทาง

"ก็ไม่น่าเชื่อนี่ฮะว่ามีเพื่อนคบด้วย"

"ค่า พี่ก็ไม่เชื่อเหมือนกัน"

ไม่เชื่อใคร เรื่องอะไร เด็กหนุ่มไม่ทันถามสาวใช้ซึ่งยกแก้วไปเก็บล้าง

ดรัณลอบเป่าปากถอนใจเมื่อเหลือตนอยู่ลำพัง มือหนาล้วงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง เขาคิดว่าจะหาคำตอบเรื่อง 'เพื่อน' ของน้ำหนึ่งได้จากใคร



จวนสี่โมงเย็นแล้ว ใกล้ถึงเวลาเลิกเรียนดนตรีของเด็กสาวขี้โกหก ดรัณกระตุกยิ้มมุมปากเมื่อรู้ว่าเจ้าหล่อนโกหก เธอไม่ได้นัดขวัญฤดีไว้อย่างแน่นอน เมื่อเขาได้รับคำยืนยันจากเพื่อนของตนที่กำลังเดตกับขวัญฤดีอยู่ที่สยามนู่น

เหลือใครให้คบอีกล่ะ เขามั่นใจว่าไม่เคยเห็นน้ำหนึ่งสนิทสนมกับใครที่โรงเรียน ยิ่งคิด คนเพื่อนเยอะก็ยิ่งกระหยิ่มใจ

ร่างสูงลุกยืนเมื่อเห็นเด็กนักเรียนหลากวัยกำลังทยอยออกมาจากสถาบันดนตรี หนึ่งในนั้นคือคนที่เขาตั้งใจมาดักรอ ทว่ายังไม่ทันก้าวไปหา ใครคนหนึ่งก็ก้าวมาตัดหน้าเขาเสียก่อน ดรัณเขม่นมองเด็กหนุ่มผมรองทรงสั้นถูกระเบียบ สวมแว่นตากรอบเงิน คุ้นหน้าอีกฝ่ายอย่างไรชอบกล

ที่แท้ก็นัดผู้ชาย...

เขาทำเสียงขึ้นจมูกอย่างเย้ยหยัน จากแรกที่คิดจะตรงเข้าไปทัก เขากลับแอบตามสองคนไปห่างๆ กระทั่งคลาดสายตาเมื่อมาถึงแผนกเครื่องเขียน คนทั้งสองกลืนหายไปกับชั้นวางของซึ่งสูงบังตา ดรัณเดินเข้าล็อกนู้นออกล็อกนี้แต่ก็ไม่เห็นเธอ

"หายไปไหนวะ" เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง

น้ำหนึ่งก้าวออกจากหลังชั้นวางปากกา เธอเห็นดรัณตามมาผ่านเงาสะท้อนในกระจกร้านค้า แต่มาแน่ใจว่าเขาสะกดรอยตามเธอจริงๆ เมื่อได้ยินประโยคนี้เอง

"ตามมาทำไม"

ผู้ที่ถูกจับได้หน้าเสียไปนิดหนึ่ง หากกลบเกลื่อนไว้ภายใต้ท่าทางยียวน

"แฟนเหรอ" เขาถามพลางเลิกคิ้วข้างหนึ่ง

น้ำหนึ่งหันไปสบตาเพื่อนซึ่งตกใจกับคำถามนั้นเช่นกัน ก่อนเธอจะตวัดสายตาขุ่นเขียวมองผู้ที่ตามมาหาเรื่องตน

"ไม่เอาน่า ไม่ต้องอาย โถๆๆ หน้าแดงเชียว"

เธอกำลังโกรธต่างหากเล่า เด็กสาวคำรามในใจ

"ไม่...ไม่ใช่นะครับพี่รัน"

"เฮ้ย รู้จักฉันเหรอ"

ดรัณตบบ่าอีกฝ่ายราวยินดียิ่งนัก ทว่ามือของเด็กหนุ่มรุ่นพี่จงใจบีบไหล่อีกฝ่ายแรง

น้ำหนึ่งปัดมือของดรัณออกเมื่อเห็นท่าทางกลัวจนหงอของเพื่อนร่วมชั้นเรียน ใครๆ ในโรงเรียนย่อมรู้กิตติศัพท์ของดรัณดี และสำหรับเธอกับเพื่อน...พวกเธอเหมือนอยู่คนละโลกกับดรัณ

"ฉันเลิกยุ่งเกี่ยวกับโลกของนาย กับป้า กับพ่อของนาย เพราะฉะนั้นเลิกยุ่งกับฉันสักที!"

ดรัณหน้าชาเมื่อโดนตอกกลับอย่างคาดไม่ถึง เขายืนมองเด็กสาวจูงมือเพื่อนจากไป ก่อนจะรวบรวมสติตามไปกระชากแขนข้างที่จับจูงกันไว้ของเธอ

"นี่เธอกลัวฉันเหรอ เพราะเรื่องคืนนั้นสินะ"

เขากวาดตามองทั่วดวงหน้าซึ่งเชิดท้าทาย อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าที่เจ้าหล่อนยอมถึงเพียงนี้เพราะกลัวเขา เพราะคำขู่ที่เขาพร่ำกรอกหูเธอในคืนนั้น

ทว่าแววตาโกรธเกรี้ยวของน้ำหนึ่งพลันเปลี่ยนไป เธอมองเขาอย่างสมเพชเวทนา ดรัณเข้าใจผิดไปมาก เธอยอมเขาก็เพราะความเกลียด รังเกียจที่ต้องอยู่ร่วมโลกกับคนอย่างเขาต่างหาก มิใช่ความกลัว

"ถ้าคิดอย่างนั้นแล้วสบายใจก็ตามใจ"

"น้ำหนึ่ง!"

ดรัณบีบข้อมือเล็กแน่นเข้าอีก ยิ่งเห็นเธอเม้มปากออกแรงขืน เขาก็ยิ่งอยากเอาชนะ

"หนึ่ง..." เด็กหนุ่มเรียกเพื่อนด้วยความห่วงใย

ทว่าน้ำหนึ่งหมดความอดทนต่อไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรวันนี้เธอก็ต้องพูดให้เขาเลิกยุ่งกับตนให้ได้

"ยิ่งนายข่มขู่ บีบบังคับฉันอย่างนี้ ฉันยิ่งไม่กลัวนาย ไม่กลัวอะไรในโลกทั้งนั้น นายอย่าคิดว่ามีกำลังมากกว่าจะชนะได้เสมอไป เพราะฉันไม่คิดว่าฉันจะแพ้ตลอดไปเหมือนกัน"

ดรัณจ้องลึกเข้าไปในแววตามุ่งมั่นของคนตรงหน้า เขารู้สึกเหมือนถูกสะกด ถูกดูดเข้าไปในจักรวาลสุญญากาศ กว่าจะรู้ตัว น้ำหนึ่งก็ดึงข้อมือของเธอออกจากการเกาะกุมได้สำเร็จ

เด็กสาวไม่ได้วิ่งหนีอีกต่อไป เธอยืนเผชิญหน้ากับเขาโดยมีเพื่อนชายหลบอยู่ข้างหลัง ดรัณจ้องตอบเจ้าหล่อนเช่นกัน เธอสู้ นั่นคือสิ่งที่เขารู้ เขาขบกรามแน่นเมื่อรู้ว่าแต่นี้ไปตนจะไม่มีทางเอาชนะเด็กอวดดีได้ง่ายๆ ดังเดิม

"ไปเถอะหนึ่ง ยังไม่ได้ซื้อของเลย"

น้ำหนึ่งยอมก้าวไปตามแรงจับจูงของเพื่อน ลับหลังดรัณไปแล้วความแข็งแกร่งที่สร้างขึ้นมาก็พังทลาย มีเพียงเธอที่รู้แก่ใจว่าความเข้มแข็งซึ่งตนแสดงเป็นแค่ภูเขาน้ำแข็งเท่านั้นหรอก มันไม่ได้แข็งแกร่งราวหินผาดังที่ลวงตาผู้อื่นเลย

หากน้ำหนึ่งบอกตัวเองว่าเธอจะไม่ยอมให้ใครได้เห็นด้านอ่อนแอของตนอีก เท่านี้เธอก็ยอมลงมากพอแล้ว เธอจะไม่ยอมแพ้ให้เขาอีกแม้แต่เรื่องเดียว

................................

หนึ่งของพวกเรากล้าเถียงรันยาวๆ แล้วสิคะ จะดีหรือไม่ดีล่ะนี่ แหะๆ
เนื่องจากเรื่องนี้ยาวถึง 323 หน้าเอสี่ ความรู้สึกของทุกคนจึงค่อยๆ พัฒนา
หวังว่าคนอ่านจะยังไม่เบื่อกันนะคะ >///<



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ต.ค. 2559, 16:19:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ต.ค. 2559, 16:19:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 934





<< บทที่ ๕   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account