น้ำค้างเปื้อนสี
'เพชร' ของสูงค่าที่ใครๆ ต่างหมายปอง
ชีวิตของ ‘เธอ’ จึงถูกเจียระไนเพื่อให้เป็นเพชรน้ำงามที่สุดที่เจ้าของจะได้อวดใครๆ
แต่กว่าจะเป็นเพชรต้องผ่านความร้อน ชีวิตคนเล่า ต้องผ่านความทุกข์สักเพียงไหน เมื่อคนคนหนึ่งหวังให้เพชรเปรอะเปื้อนโคลนตม
หากในวันที่เพชรอับแสง 'เขา' จึงได้ตระหนักถึงคุณค่าของเพชร และต่อให้เพชรมีรอยร้าว เธอก็ยังเป็นเพชรเม็ดเดียวในใจที่เขาปรารถนาจะครอบครอง
Tags: ดราม่า แอบรัก รักต้องห้าม สะท้อนสังคม
ตอน: บทที่ ๕
๕
ข่าวลือว่ารุ่นพี่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกถึงสองคนถูกพักการเรียนเพราะเหตุทะเลาะวิวาทแพร่กระจายไปทั่วโรงเรียน น้ำหนึ่งสลดใจแทนรุ่นพี่ทั้งสองคนนั้น อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าพวกเขาก็จะสำเร็จการศึกษา ไปมีอนาคต มีโลกใบใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่น่าต้องมาเสียเวลา เสียโอกาส เพียงเพราะผู้ชายคนเดียวเลย
น้ำหนึ่งทอดถอนใจ แล้วไหนจะขวัญฤดีอีกคนที่พลอยรู้สึกผิดเพราะเป็นคนไปแจ้งแก่คุณครู
"เอาเถอะขวัญ เราไม่รู้นี่ว่าพี่เขาโดนทัณฑ์บนอยู่ก่อนแล้ว แล้วอีกอย่าง...ตัวต้นเหตุต่างหากที่ควรต้องสำนึก" เธอปลุกปลอบเพื่อน "ลงไปกินข้าวกันเถอะ"
เสียดายที่เที่ยงนี้อรรณพต้องไปศึกษาวิชาทหาร มิเช่นนั้นคงช่วยพูดให้ขวัญฤดีรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง
น้ำหนึ่งค่อยเบาใจเมื่อเพื่อนยอมลุกไปด้วย นอกจากนั้นก็ยังโล่งใจที่ดรัณมีเรียนรักษาดินแดนเช่นกัน เขาจะได้ไม่มาป่วนทำลายเวลาพักของเธออีก
สองสาวเลือกทานร้านเดียวกันเหมือนทุกครั้ง น้ำหนึ่งอาสาต่อคิวรอซื้ออาหารตามสั่ง ขณะที่ขวัญฤดีไปรอซื้อน้ำอีกด้านหนึ่งของโรงอาหารซึ่งแถวยาวไม่ต่างกัน
"มานี่"
แรงฉุดกระชากที่ต้นแขนทำเอาร่างบางเซไปตามแรงจนออกนอกแถว เมื่อเงยขึ้นมองก็เห็นดรัณในเครื่องแบบนักศึกษาวิชาทหาร หัวใจสาวเต้นแรงด้วยความตระหนก ไม่คิดว่าเขาจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้
เธอเหลียวมองรอบตัวอย่างกลัวว่าจะตกเป็นเป้าสายตา แล้วก็เป็นเช่นนั้น นักเรียนที่ต่อแถวอยู่บริเวณนี้ต่างหันมองพวกเธอเป็นตาเดียว ดรัณจับแขนอีกข้างของเด็กสาวให้มองมาที่เขานี่ ยิ่งเธอพยายามบิดพลิ้วออกจากการเกาะกุม เขาก็บีบแขนทั้งสองข้างแรงขึ้นให้อยู่มือ
"ปล่อยนะ มีอะไร" น้ำหนึ่งถามเสียงแข็ง
ดรัณปล่อยมือเพียงข้าง เสียงถามห้วนจัดไม่แพ้กัน
"ทำไมเมื่อคืนไม่อยู่กินแพนเค้ก"
นี่น่ะหรือธุระของเขา ถึงกับต้องโดดเรียนรักษาดินแดนด้วยเรื่องแค่นี้น่ะหรือ
"ไม่อยากกิน ยุ่งอะไร"
"ไม่อยากยุ่งหรอก แต่รู้ไว้ซะว่าเธอมันตัวทำเสียบรรยากาศ ทุกคนต้องเสียอารมณ์เพราะเธอ จะเรียกร้องความสนใจไปถึงไหน"
อ้อ เธอสำคัญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ น้ำหนึ่งไม่เคยรู้ตัวเลย น่าขันที่เขาเปรียบเธอเหมือนมลพิษ เพราะสำหรับเธอ ทุกที่ที่ดรัณอยู่ก็มีมลพิษเช่นกัน
"ยัยบ้า ยิ้มอะไร"
น้ำหนึ่งกลั้นยิ้ม ถึงกระนั้นมันก็ฉายชัดผ่านรอยแย้มหัวในดวงตา ดรัณเสียอีกที่ร้อนใจ เขาเกลียดท่าทางถือไพ่เหนือกว่าของเธอจนเผลอบีบต้นแขนกลมกลึงแรงเข้าอีก
"ที่นายเดือดร้อน เป็นเพราะพ่อของนาย...หรือป้าของฉันไม่อยู่กินแพนเค้กฝีมือนายกันแน่" น้ำหนึ่งจี้จุด
"อย่าทำเหมือนเหนือกว่าฉัน ถ้าเธอก็ทำตัวต่ำๆ แบบฉันเหมือนกัน" เขาเค้นเสียงเอ่ยลอดไรฟัน "เมื่อคืนชวนพ่อฉันทำโครงงานอะไรถึงในห้องเชียวล่ะ สุขศึกษาล่ะสิ"
ดรัณกวาดตามองคนตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าด้วยแววตาหยามเหยียด ใบหน้าซีดเซียวสลับแดงก่ำของเธอไม่ได้ทำให้เขาเห็นใจแม้แต่น้อย สะใจเสียมากกว่าที่หุบปากเล็กๆ นั้นลงได้
น้ำหนึ่งจ้องมองรอยยิ้มหยันแล้วก็ให้ด้านชาไปทั้งตัว เขามองเธอต่ำๆ แบบนั้นได้อย่างไร กล้าดียังไงที่คิดว่าเธอจะทำเรื่องชั่วช้าพรรค์นั้นได้ แค่คิดน้ำหนึ่งก็สะอิดสะเอียนจนอยากจะอาเจียนแล้ว
แรงโทสะส่งให้เด็กสาวสะบัดแขนหลุดจากเงื้อมมือเขาสำเร็จ ร่างบางสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนฝ่ามือเรียวจะตวัดลงบนซีกหน้าอีกฝ่ายเต็มแรง
เผียะ!
เสียงเนื้อกระทบเนื้อเรียกสายตาทุกคู่ในโรงอาหารให้มอง ขวัญฤดีซึ่งกำลังถือแก้วน้ำอัดลมตกใจกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้า รวมทั้งดรัณที่ตกตะลึง หน้าม้านไปอย่างคาดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าทำกับตนเช่นนี้
ราวกับเวลาหยุดหมุนชั่วขณะ ก่อนที่จะมีใครขยับกายเคลื่อนไหว น้ำหนึ่งเป็นคนแรกที่หันหลังวิ่งหนีไป
"หนึ่ง แกทำอย่างนั้นกับพี่รันได้ยังไง คนมองทั้งโรงอาหารเลย" เสียงผู้พูดยากจะคาดเดาได้ว่าทึ่งหรือโกรธเคืองมากกว่ากัน
จริงสิ ดรัณเป็นขวัญใจของสาวๆ ทั้งโรงเรียน รวมทั้งอัจฉริยาเพื่อนของเธอ
"อย่ามายุ่งนะแจน" ขวัญฤดีเอ่ยขึ้นพลางกุมมือเย็นชืดของน้ำหนึ่งซึ่งหนีขึ้นมาบนห้องเรียน
"ไม่ยุ่งไม่ได้หรอก เพราะครูฝ่ายปกครองให้เรามาตามหนึ่ง" อัจฉริยาสวนกลับ
ใบหน้าของผู้กระทำผิดซีดเผือดลงทันตา น้ำหนึ่งเบิกตามองเพื่อนรักอย่างตื่นตระหนก กลัวเหลือเกินว่าตนเองจะต้องถูกพักการเรียนเช่นเดียวกับรุ่นพี่ทั้งสองคน
"ขวัญ..."
"ใจเย็นๆ ก่อนหนึ่ง อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ หนึ่งทำตัวดีมาตลอด ครูต้องเข้าใจสิ" ขวัญฤดีปลุกปลอบเพื่อนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
แม้จะไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้น้ำหนึ่งทำเช่นนั้น แต่เธอเชื่อว่าเพื่อนของตนไม่ได้เป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน น้ำหนึ่งพยายามหลบเลี่ยงดรัณมาตลอด แล้วเรื่องใดกันเล่าที่ทำให้เพื่อนของเธอถึงกับสติหลุด
"ไปเถอะหนึ่ง ครูไม่พักการเรียนหนึ่งหรอก" เสียงเพื่อนคนหนึ่งร้องบอกให้กำลังใจ
"ใช่ หนึ่งน่ะเป็นหน้าเป็นตาของชั้นเชียวนะ"
"ใช่ๆ" เสียงเห็นด้วยดังขึ้นทั่วทั้งห้องเรียน
น้ำหนึ่งลุกยืนพร้อมกับฝืนแย้มยิ้มให้ทุกคน นั่นสินะ ระหว่างเด็กเรียนอย่างเธอกับคนที่มีประวัติด่างพร้อยอย่างดรัณ เด็กสาวเชื่อมั่นว่าตนจะต้องได้รับความยุติธรรม
ทว่าน้ำหนึ่งไม่ทันคิด...ความยุติธรรมต้องแลกมาด้วยความกล้าหาญ ความกล้าที่เธอไม่เคยมี
ไอเย็นจัดจากเครื่องปรับอากาศในห้องพักครูฝ่ายปกครองทำเอาเลือดในกายของผู้ที่ก้าวเข้าไปแทบหยุดไหลเวียน น้ำหนึ่งไหว้คุณครูคนหนึ่ง ก่อนท่านจะพยักพเยิดไปหาคุณครูท่านที่รอ
ร่างบางก้าวช้าผ่านฉากกั้นโต๊ะสีขุ่นไปยังโต๊ะของคุณครูผู้ได้ชื่อว่าเข้มงวดที่สุด แล้วก็ให้ใจหายวาบเมื่อเห็นดรัณนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะตัวนั้น ท่าทางเขาไม่ทุกข์ร้อนอันใดขณะหันมองเธอ น้ำหนึ่งเสียอีกที่ต้องข่มกลั้นความร้อนรุ่มในใจ ก่อนจะนั่งลงยังเก้าอี้ข้างกัน
"น้ำหนึ่ง รู้ใช่ไหมว่าทำไมครูถึงเรียกมาพบวันนี้" น้ำเสียงเยียบเย็นพานให้คนฟังใจเสีย
"ค่ะ"
"เป็นพี่น้องกันแท้ๆ แต่กลับทะเลาะตบตีกัน ไม่อายคนอื่นก็ควรนึกถึงผู้ปกครองพวกเธอบ้าง"
"ผมไม่ได้ทำไรนะครู ทุกคนก็เห็น"
น้ำหนึ่งหันมองก็เห็นเขาไหวไหล่ปฏิเสธ ก่อนดวงตาคมกริบคู่นั้นจะตวัดมองเธออย่างกล่าวโทษ
"ไหนบอกครูซิว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร ว่าไงน้ำหนึ่ง"
"เขาหาเรื่องหนูก่อนค่ะ" เด็กสาวก้มหน้าตอบ
"หาเรื่องยังไง"
น้ำหนึ่งเม้มปากแน่น เธอจะตอบครูได้อย่างไรว่าดรัณกล่าวหาว่าเธอมีความสัมพันธ์กับพ่อของเขา น้ำหนึ่งไม่อยากแม้แต่ให้ใครรับรู้หรือติดใจสงสัยขึ้นมา ต่อให้มันไม่มีมูลความจริงเลยก็ตาม
เด็กสาวได้แต่สั่นศีรษะ มือบนตักจิกเข้าหากันจนแสบผิว แต่ยังไม่เท่าความเจ็บปวดใจยามนี้เลย
"เอาล่ะ พวกเธอตอบคำถามกับผู้ปกครองเองแล้วกัน"
จบประโยคนั้น เสียงประตูถูกผลักเข้ามาก็เรียกสายตาของเด็กทั้งสองให้หันไปมอง หัวใจเด็กสาวตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อเห็นสีหน้าขุ่นเคืองของป้า เธอไม่คิดว่าเรื่องจะบานปลายถึงขั้นนี้เลย
ดรัณเป็นฝ่ายลุกให้กุสุมานั่งเก้าอี้ของเขา ทว่าทันทีที่ลุกยืน ฝ่ามือของพ่อก็ตวัดลงบนใบหน้าข้างเดียวกับที่ยังมีรอยแดงซ้ำ ดรัณกุมซีกหน้าพร้อมกับมองพ่ออย่างตื่นตะลึง ก่อนแววตาคู่นั้นจะเปลี่ยนเป็นเจ็บช้ำที่พ่อทำร้ายเขาต่อหน้าทุกคน
มันเจ็บ...เจ็บเสียยิ่งกว่าฝ่ามือเล็กๆ ประทุษร้าย ดรัณปวดปลาบไปถึงในใจ
น้ำหนึ่งคาดไม่ถึงเช่นกันว่าดัสกรจะทำเช่นนี้ เขาลงโทษลูกโดยไม่รอไต่สวน วูบหนึ่งที่เธอพลอยเห็นใจคนที่ตนเกลียดชัง แต่เพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น ก่อนป้าของเธอเสียอีกที่เข้าขวางโดยดึงตัวเด็กหนุ่มไปยืนซ้อนหลังแทน
"ทำอะไรน่ะกร ยังไม่รู้ใครผิดใครถูก ทำโทษก่อนแบบนี้ไม่ถูก"
น้ำหนึ่งก้มหน้าซ่อนความเสียใจ ป้าพูดถูกก็จริง แต่นั่นก็หมายความได้ว่าท่านไม่รู้จักหลานสาวคนนี้เลย เธอไม่มีวันทำร้ายใครก่อนหากไม่เป็นฝ่ายถูกรังแกย่ำยีจิตใจ
"ใจเย็นก่อนนะคะ ครูกำลังถามทั้งสองคนว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร" ครูฝ่ายปกครองกลายมาเป็นคนกลางในการเจรจา
กุสุมาสูดหายใจลึก อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน คนหนึ่งก็คนรัก อีกคนก็หลานสาวแท้ๆ แต่กระทำการงามหน้าเสียจริงๆ
"ตกลงทะเลาะอะไรกัน ใครจะตอบฉันได้บ้าง"
สาวใหญ่มองเด็กทั้งสองสลับกัน แล้วก็พลอยหงุดหงิดใจยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อน้ำหนึ่งเอาแต่ก้มหน้า
"ผมแค่ถามคุณหนึ่งเรื่องเมื่อวานครับ" ดรัณเป็นฝ่ายตอบ
เขาจ้องตอบเด็กสาวอย่างท้าทาย พาลโกรธแค้นเธอที่เป็นต้นเหตุให้พ่อลงไม้ลงมือกับเขา
"เรื่องอะไร" กุสุมานิ่วหน้า
"เรื่อง..."
ทว่าเพียงเอ่ยคำแรก น้ำหนึ่งก็แทรกขึ้นมาราวกับกลัวว่าเขาจะเฉลยความจริง
"เรื่องที่หนึ่งไม่ทานแพนเค้ก เขาหาว่าหนึ่งเรียกร้องความสนใจ"
"แค่นี้น่ะหรือ" ผู้เป็นป้าเอ่ยอย่างผิดหวังระคนขุ่นเคือง "เรื่องแค่นี้ถึงกับต้องตบพี่เขา คงต้องอบรมกันอีกยาวนะยัยหนึ่ง นิสัยแบบนี้ฉันไม่เคยทำไม่เคยสั่งสอน ไปได้มาจากใครฮึ"
น้ำหนึ่งได้แต่ก้มหน้าน้ำตาตกใน จะให้เธอบอกสาเหตุที่แท้จริงได้อย่างไร มีแต่จะทำร้ายท่านกับดัสกรให้เสื่อมเสียเท่านั้น
"หนึ่งขอโทษค่ะ" เธอเอ่ยเสียงเครือพร้อมกับพนมมือไหว้ท่าน
ทว่าไม่เพียงแต่กุสุมาจะเมินหน้าหนีไม่รับคำขอโทษ ผู้เป็นป้ายังสั่งให้หลานขอโทษดรัณอีกด้วย
"ขอโทษพี่เขาซะ แล้วอย่าให้ฉันรู้นะว่าลับหลังยังแผลงฤทธิ์อะไรอีก"
น้ำหนึ่งสั่นศีรษะอย่างไม่ยอมรับคำตัดสินนั้น น้ำตาที่ฝืนกักเก็บไว้นานร่วงพรูลงมาอย่างสุดกลั้นต่อไป
"ไม่... หนึ่งไม่ขอโทษ"
"ยัยหนึ่ง!" กุสุมาเรียกเสียงแข็ง
ไม่คิดเลยว่าเด็กเมื่อวานซืนจะกล้าหักหน้าเธอต่อหน้าทุกคน สาวใหญ่กำมือแน่น ถ้าน้ำหนึ่งเป็นลูกไก่เธอก็หวังให้ตายคามือทีเดียว
"ไปเก็บกระเป๋ากลับบ้านกับฉันเดี๋ยวนี้"
ไม่มีอีกแล้วสรรพนามป้าหลานที่ท่านเคยใช้ น้ำหนึ่งปาดน้ำตาก่อนหันไปมองคุณครูซึ่งพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำอนุญาต แววตาเห็นใจที่ครูมองมายิ่งทำให้เธอนึกน้อยใจป้า ถ้าเพียงแต่ท่านจะมองเธอเช่นนี้บ้าง สักครั้ง...สักครั้งเดียว
ร่างบางรีบลุกจากไปก่อนที่น้ำตาจะไหลลงมาอีกครา น้ำหนึ่งไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยว แปลกแยกจากโลกนี้มาก่อนเลย ถ้ามีพรวิเศษสักข้อเป็นจริงได้ เธอขอหายไปจากตรงนี้...ชีวิตนี้ตลอดกาล
"รัน พ่อเอง"
ไม่รอเสียงตอบรับจากในห้อง ดัสกรก็เปิดประตูห้องนอนของบุตรชายเข้าไป
เขาถอนใจเหนื่อยหน่ายขณะกวาดตามองทั่วทั้งห้องซึ่งรกด้วยแผ่นเกมและหนังสือไร้สาระเหมือนทุกครั้งที่เข้ามา เมื่อเจ้าของห้องไม่อนุญาตให้คนงานเข้ามาทำความสะอาด บอกแต่ว่าจะจัดการด้วยตัวเอง
ดรัณก้าวออกจากห้องน้ำโดยนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว เขามองเมินบิดาอย่างโกรธท่านไม่หาย ก่อนจะเปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบเอาเสื้อยืดกับกางเกงกีฬามาสวมใส่
"หุ่นดีเหมือนกันนี่เรา แสดงว่าซ้อมกีฬาจริง ไม่ได้แอบไปเล่นยา"
ดรัณมองพ่อราวค้อน แล้วก็ต้องขบกรามแน่นเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ
"ขี้งอนเป็นผู้หญิงไปได้ ที่พ่อตบแกก็เพราะคุณแอ๊วจะได้เข้าข้างเห็นใจแก แล้วอีกอย่าง คุณหนึ่งจะได้หายโกรธแกบ้าง"
ผู้เป็นลูกหันกลับไปมองพ่อบังเกิดเกล้าอย่างค้นคว้า เขารู้สึกว่าตนช่างโง่เง่า ไม่เข้าใจอะไรเสียเลย แม้พ่อจะเฉลยว่าทำลงไปเพื่อเขาก็ตาม
เขานึกว่าพ่อถือหางน้ำหนึ่งและโกรธแทน แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม ดรัณไพล่นึกถึงเด็กสาวที่คงไม่รู้ตัวว่าคนที่ดีต่อเธอหาได้รักหล่อนจริงไม่ ต่อให้ฉลาด เรียนเก่งแค่ไหน สุดท้ายเธอกับเขาก็อาจโง่พอๆ กัน
"ไหนดูซิ บวมหรือเปล่า"
ดัสกรจับคางของบุตรชายให้เงยขึ้นสำรวจรอยแดงบนซีกแก้มได้ถนัด ถ้าไม่สังเกตก็แทบไม่เห็นว่าแก้มข้างซ้ายนั้นบวมกว่าเล็กน้อย
"แค่นี้สิวๆ เว้ย ทีนี้ก็เลิกมองพ่อแกตาขวางได้แล้วนะ"
ร่างสูงใหญ่กำลังจะเปิดประตูออกไปหลังได้สะสางปัญหาคาใจกับลูก ทว่าดรัณเอ่ยเรียกผู้เป็นพ่อไว้เสียก่อน เขาอ้ำๆ อึ้งๆ เมื่อคำถามหนึ่งติดอยู่ริมฝีปาก ไม่รู้จะถามออกไปดีหรือไม่
"มีอะไร ฉันต้องไปปรนนิบัติแม่เลี้ยงแกอีก ท่าจะความดันขึ้น ก็เล่นอบรมหลานไปเป็นชั่วโมงเมื่อบ่ายนี่นะ" น้ำเสียงผู้พูดไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อน ตรงกันข้ามกลับฟังดูรื่นรมย์เสียด้วยซ้ำ "เออ ว่าไปคุณแอ๊วนี่ก็แปลกนะ บางทีก็ดูรักหลาน บางทีก็ดูเหมือนเกลียดคุณหนึ่งมาก มากกว่าแค่โกรธหรือไม่พอใจ ทีกับแกที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขดันเข้าข้างเสียนี่ มันยังไงๆ อยู่นะ"
ดรัณเสหลบตาพ่อ เขาประหวัดไปนึกถึงเรื่องในอดีตเมื่อบ่ายวันนั้น วันที่เขาพยายามเอาอกเอาใจสาวใหญ่และแอบขโมยจูบด้วยความอยากรู้อยากลองแบบเด็กๆ
กุสุมาอาจไม่รู้ตัวก็จริง แต่เขารู้และละอายใจเสมอมา ยิ่งมีคนร่วมรู้เห็นเหตุการณ์ เขาก็ยิ่งผลักไสความโกรธความอับอายไปที่เธอ ทุกครั้งที่สบตากลมโตคู่นั้นมันเหมือนเครื่องประจานความผิดที่ติดตัวเขา คอยตอกย้ำให้ยิ่งรังเกียจตัวเองและพลอยเกลียดคนที่วางตัวดีเสมอมาอย่างเธอ
"มันจะแปลกอะไร ก็ผมเป็นลูกของพ่อ หรือยัยเด็กขี้อิจฉาบอกอะไรพ่อล่ะ" เขาถามเสียงเรียบพลางก้าวไปกดเปิดคอมพิวเตอร์เหมือนไม่สนใจ
"เปล่า แกก็เลิกแขวะน้องเสียที รู้ก็รู้ว่าพ่ออยากให้แกได้กับเด็กนั่น เลิกแกล้งน้องเป็นเด็กๆ แล้วหัดดูแลเอาใจเขาบ้าง คุณหนึ่งน่ะขี้ใจอ่อนจะตายไป ใครดีด้วยเธอก็รักง่ายๆ ระวังเถอะใครจะตัดหน้าแกไป"
ดรัณหงุดหงิดทุกครั้งที่พ่อเอ่ยเช่นนี้ คนอย่างเขาไม่เคยคิดเกาะผู้หญิงกิน ใครจะตัดหน้าก็ช่างปะไร ขออย่างเดียว คนคนนั้นอย่าเป็นพ่อของเขาก็แล้วกัน!
"พ่อ" เด็กหนุ่มเรียกรั้งไว้อีกครั้ง
ดัสกรชะงักมือซึ่งกำลังจะหมุนลูกบิดประตู เขาหันมองร่างสูงของลูกที่ยืนเผชิญหน้าห่างออกไปกลางห้อง แล้วก็ได้แต่ถอนใจกับความเจ้าปัญหาของมัน
"อะไรอีกวะเจ้านี่"
"ผมอยากรู้... สมมติว่าถึงวันที่คุณแอ๊วยกสมบัติให้หลานเขาจริงๆ พ่อจะทำยังไงกับยัยน้ำหนึ่ง"
"เฮ้ย นี่แกแช่งคุณแอ๊วเรอะ"
"เปล่านะพ่อ ก็แค่สมมติ" ดรัณรีบปฏิเสธ
ทว่าคำถามของลูกทำให้ดัสกรฉุกคิด ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ แล้วเจ้าลูกชายของเขาไม่คิดจะทำอะไร เขาก็คงต้องเป็นฝ่ายลงมือทำเอง ดัสกรจะต้องพาตัวเองเข้าไปมีสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติให้ได้ ไม่ว่าทางใด...
"มันขึ้นกับแก เจ้ารัน"
คำตอบทิ้งท้ายเพียงแค่นั้นยิ่งทำให้ดรัณรุ่มร้อนใจ เขารู้ว่าพ่อไม่อายสายตาคนในสังคมไม่ว่าจะอยู่สถานะไหน ท่านถึงได้ปลงใจกับสตรีที่สูงวัยกว่าถึงสิบห้าปีได้ ขอเพียงแค่คนคนนั้นทำให้ท่านสุขสบายก็พอ
แต่เขาสิ เขาอาย ลำพังแค่ต้องตอบคำถามผู้อื่นว่าเขาเป็นพี่น้องกับน้ำหนึ่งทางไหน ดรัณก็อยากเย็บปิดปากคนถามเสียทุกคนไป และเขาจะไม่ยอมให้อะไรๆ มันเน่าเฟะไปกว่านี้แน่
ในเมื่อเขาไม่อาจคาดเดาจิตใจพ่อของตนได้ ดรัณจะทำทุกวิถีทางให้น้ำหนึ่งเกลียดชังพวกตน เธอสมควรรับรู้ว่าไม่มีใครรักเธอจริงสักคนและเลิกทำตัวเป็นคนดีของใครต่อใคร
น้ำหนึ่งเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องหลังเกิดเรื่องเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่ทุกวันเสาร์เช่นนี้เธอมีเรียนเปียโน สิ่งเดียวที่ช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจได้บ้าง เด็กสาวจึงยอมลงมาข้างล่างเมื่อใกล้เวลาไปเรียน
"ผมกำลังจะให้นีขึ้นไปตามเลยครับ" ดัสกรเอ่ยทักเมื่อเห็นเธอลงบันไดมา
เด็กสาวกวาดตามองรอบบ้านอย่างกริ่งเกรงไม่หาย เธอไม่อยากมีปัญหากับใครอีกแล้ว โดยเฉพาะกับป้า ให้ท่านต้องดุว่า ค่อนขอดไปถึงบุพการี
เออหนอ นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่น้ำหนึ่งไม่เข้าใจ เธอโตพอที่จะรู้ว่าที่ท่านว่ากล่าวเธอมิใช่เพียงแต่ต้องการอบรมสั่งสอน คำพูดซึ่งมักพาดพิงถึงพ่อกับแม่ต่างหากที่เหมือนใบมีดกรีดหัวใจของคนเป็นลูกยามต้องทนรับฟัง
"ไม่มีใครอยู่หรอกครับ" ชายหนุ่มตอบราวกับรู้ว่าอีกฝ่ายหวั่นเกรงสิ่งใด "ผมออกไปส่งคุณแอ๊วไปไหว้พระเก้าวัดกับเพื่อนแต่เช้า ส่วนเจ้ารันก็เพิ่งออกไปเมื่อกี้นี้เอง"
จู่ๆ น้ำหนึ่งก็หายใจหายคอโล่งขึ้นมาเสียอย่างนั้น เธอยิ้มแห้งกับดัสกรซึ่งรู้เท่าทัน ก่อนจะเผื่อแผ่ไปถึงปราณีด้วยอีกคน
"ไปครับ ผมไปส่ง"
ร่างบางก้าวตามชายหนุ่มออกไป ดัสกรรอจนเด็กสาวสวมเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยจึงค่อยเคลื่อนรถออกอย่างใจเย็น
"วันนี้ผมรอรับคุณหนึ่งอยู่ที่ห้างนะครับ เลิกเมื่อไรโทร. หาผมได้เลย"
"คุณกรไม่เบื่อแย่หรือคะ"
ปกติทุกครั้งที่ป้าของเธอหรือดัสกรมาส่ง พวกท่านมักกลับไปพักที่บ้านจึงค่อยออกมารับอีกครั้ง เว้นแต่บางวันหากพวกท่านไปส่งเธอพร้อมกันสองคน ป้าของเธอกับคนรักจึงจะเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าฆ่าเวลารอเธอเลิกเรียน
"ไม่เบื่อหรอกครับ ผมว่าจะดูหนังรอ แต่เดี๋ยวต้องเช็ครอบอีกที"
"หนึ่งดูให้นะ"
เธอหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนออกมาดูตารางฉายภาพยนตร์ เมื่อดัสกรบอกว่าอยากดูเรื่องอะไร เธอจึงแจ้งเวลาฉายแก่เขาด้วยความดีใจ
"มีรอบบ่ายโมงสิบนาที หนังน่าจะจบใกล้ๆ กับเวลาเลิกเรียนนะคะ"
"ดีเลย ทีนี้คุณหนึ่งก็ไม่ต้องเกรงใจว่าผมจะเบื่อแล้วนะครับ"
น้ำหนึ่งยิ้มสดใสให้คนรักของป้าที่ดีต่อเธอเหลือเกิน เขามีบางอย่างเหมือนกับพ่อ คงเพราะความใจดีและดูเหมือนพ่อแม่สมัยใหม่ก็เป็นได้ที่ทำให้เธอสบายใจยามอยู่กับดัสกร อดคิดไม่ได้ว่าหากพ่อกับแม่ยังมีชีวิตอยู่ ชีวิตเธอจะมีความสุขสักเพียงไหนหนอ
ดัสกรผินมองใบหน้าหมองเศร้าของคนที่เงียบไปอีกครั้ง พร้อมกับใคร่อยากรู้ความคิดที่เด็กสาวเก็บงำ
"เย็นนี้เราทานข้าวข้างนอกดีไหมครับ" ชายหนุ่มชวนคุยอีกครั้ง "คุณแอ๊วคงทานกับเพื่อน เหลือผมกับคุณหนึ่ง คนงานจะได้ไม่ต้องหุงหาด้วย"
เมื่อมีเรื่องน่าสนใจแทรกเข้ามา น้ำหนึ่งก็พลอยลืมความทุกข์โศกไปได้บ้าง ที่สำคัญคือเธอยังสามารถหลบเลี่ยงป้าและดรัณต่อไปได้อีกด้วย
"เอาสิคะ หนึ่งมีร้านที่อยากลองมานานแล้ว เอ่อ หรือคุณกรอยากทานอะไรคะ"
"ตามใจคุณหนึ่งเลยครับ แต่ถ้าให้ผมเดาคงไม่ใช่อาหารญี่ปุ่นใช่ไหม" ดัสกรหลิ่วตาอย่างรู้เท่าทัน
เด็กสาวฉีกยิ้มกว้างอย่างที่ทำให้โลกสดใสได้ทีเดียว แน่นอนว่าร้านที่เธออยากไปไม่ใช่ร้านอาหารญี่ปุ่นที่กุสุมามักพาไปเสมอ เธอรู้อีกนั่นแหละว่าที่ท่านมักเลือกเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นทุกครั้งก็เพราะดรัณชอบทาน
เธอเคยชวนป้าทานร้านอื่นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่เมื่อออกมาแล้วท่านเอาแต่ตำหนิรสชาติอาหาร น้ำหนึ่งก็พลอยเสียความมั่นใจและไม่อยากชวนท่านอีกเลย
ทว่ากับดัสกรย่อมแตกต่างออกไป เธอมั่นใจว่าเขาไม่มีทางตำหนิความคิดของเธอ ไม่เคยสักครั้งเลย
ดัสกรนัดกับเด็กสาวหน้าสถาบันดนตรีซึ่งอยู่ชั้นเดียวกับโรงภาพยนตร์ ทันทีที่ภาพยนตร์ซึ่งมีความยาวกว่าสองชั่วโมงจบลง เขาจึงรีบเดินเร็วไปยังที่นัดหมาย หากก็ยังช้ากว่าคนที่เพิ่งเลิกเรียนและนั่งรออยู่หน้าโรงเรียนดนตรี
เขาทอดมองนักเรียนสาวในชุดเดรสผ้ายืดตัวยาวกับแจ็กเก็ตยีนส์ไม่วางตาขณะก้าวไปหาเธอ เจ้าหล่อนเสียอีกที่ไม่รู้ตัว ยังคงก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ ให้เขาได้พิจารณาส่วนสัด รูปร่างของเด็กที่กำลังเติบโตเป็นสาวอย่างย่ามใจ
จากเด็กผอมแกร็นที่เคยว่ายน้ำเล่นด้วยกัน น้ำหนึ่งโตเป็นสาวที่มีน้ำมีนวลภายในเวลาแค่สามปี ผิวสาวราวกับขาวขึ้นกว่าวันแรกรู้จักเสียอีก และยังแลดูเปล่งปลั่งตามวัย พาลให้อดคิดเปรียบเทียบกับผิวแห้งกร้านของกุสุมาไม่ได้ ต่อให้ทาครีมบำรุงเท่าไรก็ไม่อาจย้อนคืนความสาวกลับมา
ดัสกรต้องสูดหายใจลึกให้ความปั่นป่วนในใจสงบลงเสียก่อน ก่อนจะก้าวไปทักเธอด้วยท่าทางปกติดังเดิม
"รอนานไหมครับ โฆษณาในโรงหนังสมัยนี้เยอะจริงๆ ผมคิดว่าจะทันคุณหนึ่งเลิกเรียนแล้วเชียว"
น้ำหนึ่งสั่นศีรษะว่าไม่เป็นไร เธอเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า ก่อนดัสกรจะแย่งไปถือให้เสียเอง
"หนึ่งถือเองก็ได้ค่ะ ไม่หนักเลย" เธอเอ่ยอย่างเกรงใจ
"ไหนครับ ร้านที่คุณหนึ่งอยากทาน"
น้ำหนึ่งยิ้มอ่อนใจ ลองเขาเปลี่ยนเรื่องเช่นนี้ตนคงไม่ได้กระเป๋าคืนง่ายๆ เธอจึงตัดสินใจเดินนำไปยังร้านที่ตนหมายตาไว้แทน
ภาพเด็กสาววัยรุ่นกับชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่แต่สะพายกระเป๋าเป้สีชมพูกำลังลงบันไดเลื่อนมาด้วยกันยากจะตัดสินว่าคนทั้งสองมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างไร จะว่าเป็นพ่อลูกก็วัยใกล้เคียงกันเกินไป หรือจะเป็นพี่น้องก็อายุห่างกันอยู่ดี
"เฮ้ยรัน นั่นน้ำหนึ่งเปล่าวะ" นายมิค ลิ่วล้อของดรัณสะกิดเรียกเพื่อน "ปล่อยผมซะสาวเชียว มากับใครวะ แฟนหรือเปล่า"
ดรัณผละจากเคาน์เตอร์ร้านขายกล้องและอุปกรณ์ไปเกาะราวระเบียงข้างเพื่อน เขามองไปยังบันไดเลื่อนก็เห็นเป็นน้ำหนึ่งจริงๆ นั่นแหละ ทว่าคนที่ยืนอยู่ข้างเธอคือพ่อของเขาเอง
"อ้าว นั่นพ่อมึงนี่" นายมิคเพิ่งเห็นฝ่ายชายชัดๆ "โธ่ กูก็ใจแป้ว นึกว่าแฟน"
ดรัณมองเพื่อนตาขวาง ไม่รู้โกรธที่มันนิยมชมชอบในตัวน้ำหนึ่งหรือโกรธที่มันตาถั่ว คิดว่าพ่อของเขาเป็นแฟนกับยัยเด็กนั่นมากกว่ากัน
"เดี๋ยวกูมา" เขาสั่งเสียงขุ่น
เด็กหนุ่มวิ่งลงบันไดเลื่อนตามไปแต่ก็ไม่ทัน ไม่มีทางที่พ่อและเด็กสาวจะเดินไปถึงที่จอดรถได้ด้วยเวลาเพียงแค่นี้
ต้องอยู่แถวนี้นี่แหละ เขาเหลียวมองรอบตัวก็เห็นมีแต่ร้านอาหาร หรือว่า... ดรัณขบกรามแน่น ไพล่ไปคิดถึงคำตอบของพ่อเมื่อคืนเขาก็ยิ่งหัวเสียจัด หวาดกลัวว่ามันจะเป็นจริง
เขาตัดสินใจก้าวเข้าไปในร้านอาหารทีละร้าน กวาดตามองหาคนทั้งสองโดยไม่สนใจพนักงานร้านซึ่งต้อนรับเชื้อเชิญ บ้างก็ห้ามปรามเมื่อคิดว่าเขาจะลัดคิวลูกค้าคนอื่น
ดรัณมองป้ายร้านอาหารอิตาเลียนก่อนผลักประตูกระจกเข้าไปเป็นร้านที่ห้า ครั้งนี้ไม่ยากเลยที่จะมองหาพ่อของตน ลูกค้าซึ่งบางตาทำให้เขาสังเกตเห็นบิดากับน้ำหนึ่งนั่งอยู่โต๊ะชิดหน้าต่างด้านใน มีบริกรนำพิซซ่า สลัด และสปาเก็ตตี้จานใหญ่มาเสิร์ฟให้ทั้งสองคน
เด็กหนุ่มกำมือแน่น ได้แต่ยืนตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธอยู่ตรงนั้นเมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่คนทั้งสองมีให้แก่กัน
ทว่าแทนที่จะตรงเข้าไปโวยวาย เขากลับหันหลังกลับออกไปจากร้าน บอกตัวเองว่าได้มาเห็นกับตาเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เขาจะต้องทำอะไรสักอย่าง ทำให้เด็กนั่นไม่หลงไปกับภาพมายาที่พ่อของเขาสร้างขึ้นมา ให้รู้ว่าเธอไม่ได้ฉลาด ไม่ได้เหนือไปกว่าเขาเลย
....................................
รันเพิ่มดีกรีความร้ายบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ
แอบบอกว่าตอนหน้ารันจะทำบางสิ่งที่แย่มากกก และเป็นปมสำคัญในใจหนึ่งด้วยค่ะ
อย่าเกลียดไรต์นะคะทุกคน T-T
ข่าวลือว่ารุ่นพี่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกถึงสองคนถูกพักการเรียนเพราะเหตุทะเลาะวิวาทแพร่กระจายไปทั่วโรงเรียน น้ำหนึ่งสลดใจแทนรุ่นพี่ทั้งสองคนนั้น อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าพวกเขาก็จะสำเร็จการศึกษา ไปมีอนาคต มีโลกใบใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่น่าต้องมาเสียเวลา เสียโอกาส เพียงเพราะผู้ชายคนเดียวเลย
น้ำหนึ่งทอดถอนใจ แล้วไหนจะขวัญฤดีอีกคนที่พลอยรู้สึกผิดเพราะเป็นคนไปแจ้งแก่คุณครู
"เอาเถอะขวัญ เราไม่รู้นี่ว่าพี่เขาโดนทัณฑ์บนอยู่ก่อนแล้ว แล้วอีกอย่าง...ตัวต้นเหตุต่างหากที่ควรต้องสำนึก" เธอปลุกปลอบเพื่อน "ลงไปกินข้าวกันเถอะ"
เสียดายที่เที่ยงนี้อรรณพต้องไปศึกษาวิชาทหาร มิเช่นนั้นคงช่วยพูดให้ขวัญฤดีรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง
น้ำหนึ่งค่อยเบาใจเมื่อเพื่อนยอมลุกไปด้วย นอกจากนั้นก็ยังโล่งใจที่ดรัณมีเรียนรักษาดินแดนเช่นกัน เขาจะได้ไม่มาป่วนทำลายเวลาพักของเธออีก
สองสาวเลือกทานร้านเดียวกันเหมือนทุกครั้ง น้ำหนึ่งอาสาต่อคิวรอซื้ออาหารตามสั่ง ขณะที่ขวัญฤดีไปรอซื้อน้ำอีกด้านหนึ่งของโรงอาหารซึ่งแถวยาวไม่ต่างกัน
"มานี่"
แรงฉุดกระชากที่ต้นแขนทำเอาร่างบางเซไปตามแรงจนออกนอกแถว เมื่อเงยขึ้นมองก็เห็นดรัณในเครื่องแบบนักศึกษาวิชาทหาร หัวใจสาวเต้นแรงด้วยความตระหนก ไม่คิดว่าเขาจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้
เธอเหลียวมองรอบตัวอย่างกลัวว่าจะตกเป็นเป้าสายตา แล้วก็เป็นเช่นนั้น นักเรียนที่ต่อแถวอยู่บริเวณนี้ต่างหันมองพวกเธอเป็นตาเดียว ดรัณจับแขนอีกข้างของเด็กสาวให้มองมาที่เขานี่ ยิ่งเธอพยายามบิดพลิ้วออกจากการเกาะกุม เขาก็บีบแขนทั้งสองข้างแรงขึ้นให้อยู่มือ
"ปล่อยนะ มีอะไร" น้ำหนึ่งถามเสียงแข็ง
ดรัณปล่อยมือเพียงข้าง เสียงถามห้วนจัดไม่แพ้กัน
"ทำไมเมื่อคืนไม่อยู่กินแพนเค้ก"
นี่น่ะหรือธุระของเขา ถึงกับต้องโดดเรียนรักษาดินแดนด้วยเรื่องแค่นี้น่ะหรือ
"ไม่อยากกิน ยุ่งอะไร"
"ไม่อยากยุ่งหรอก แต่รู้ไว้ซะว่าเธอมันตัวทำเสียบรรยากาศ ทุกคนต้องเสียอารมณ์เพราะเธอ จะเรียกร้องความสนใจไปถึงไหน"
อ้อ เธอสำคัญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ น้ำหนึ่งไม่เคยรู้ตัวเลย น่าขันที่เขาเปรียบเธอเหมือนมลพิษ เพราะสำหรับเธอ ทุกที่ที่ดรัณอยู่ก็มีมลพิษเช่นกัน
"ยัยบ้า ยิ้มอะไร"
น้ำหนึ่งกลั้นยิ้ม ถึงกระนั้นมันก็ฉายชัดผ่านรอยแย้มหัวในดวงตา ดรัณเสียอีกที่ร้อนใจ เขาเกลียดท่าทางถือไพ่เหนือกว่าของเธอจนเผลอบีบต้นแขนกลมกลึงแรงเข้าอีก
"ที่นายเดือดร้อน เป็นเพราะพ่อของนาย...หรือป้าของฉันไม่อยู่กินแพนเค้กฝีมือนายกันแน่" น้ำหนึ่งจี้จุด
"อย่าทำเหมือนเหนือกว่าฉัน ถ้าเธอก็ทำตัวต่ำๆ แบบฉันเหมือนกัน" เขาเค้นเสียงเอ่ยลอดไรฟัน "เมื่อคืนชวนพ่อฉันทำโครงงานอะไรถึงในห้องเชียวล่ะ สุขศึกษาล่ะสิ"
ดรัณกวาดตามองคนตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าด้วยแววตาหยามเหยียด ใบหน้าซีดเซียวสลับแดงก่ำของเธอไม่ได้ทำให้เขาเห็นใจแม้แต่น้อย สะใจเสียมากกว่าที่หุบปากเล็กๆ นั้นลงได้
น้ำหนึ่งจ้องมองรอยยิ้มหยันแล้วก็ให้ด้านชาไปทั้งตัว เขามองเธอต่ำๆ แบบนั้นได้อย่างไร กล้าดียังไงที่คิดว่าเธอจะทำเรื่องชั่วช้าพรรค์นั้นได้ แค่คิดน้ำหนึ่งก็สะอิดสะเอียนจนอยากจะอาเจียนแล้ว
แรงโทสะส่งให้เด็กสาวสะบัดแขนหลุดจากเงื้อมมือเขาสำเร็จ ร่างบางสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนฝ่ามือเรียวจะตวัดลงบนซีกหน้าอีกฝ่ายเต็มแรง
เผียะ!
เสียงเนื้อกระทบเนื้อเรียกสายตาทุกคู่ในโรงอาหารให้มอง ขวัญฤดีซึ่งกำลังถือแก้วน้ำอัดลมตกใจกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้า รวมทั้งดรัณที่ตกตะลึง หน้าม้านไปอย่างคาดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าทำกับตนเช่นนี้
ราวกับเวลาหยุดหมุนชั่วขณะ ก่อนที่จะมีใครขยับกายเคลื่อนไหว น้ำหนึ่งเป็นคนแรกที่หันหลังวิ่งหนีไป
"หนึ่ง แกทำอย่างนั้นกับพี่รันได้ยังไง คนมองทั้งโรงอาหารเลย" เสียงผู้พูดยากจะคาดเดาได้ว่าทึ่งหรือโกรธเคืองมากกว่ากัน
จริงสิ ดรัณเป็นขวัญใจของสาวๆ ทั้งโรงเรียน รวมทั้งอัจฉริยาเพื่อนของเธอ
"อย่ามายุ่งนะแจน" ขวัญฤดีเอ่ยขึ้นพลางกุมมือเย็นชืดของน้ำหนึ่งซึ่งหนีขึ้นมาบนห้องเรียน
"ไม่ยุ่งไม่ได้หรอก เพราะครูฝ่ายปกครองให้เรามาตามหนึ่ง" อัจฉริยาสวนกลับ
ใบหน้าของผู้กระทำผิดซีดเผือดลงทันตา น้ำหนึ่งเบิกตามองเพื่อนรักอย่างตื่นตระหนก กลัวเหลือเกินว่าตนเองจะต้องถูกพักการเรียนเช่นเดียวกับรุ่นพี่ทั้งสองคน
"ขวัญ..."
"ใจเย็นๆ ก่อนหนึ่ง อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ หนึ่งทำตัวดีมาตลอด ครูต้องเข้าใจสิ" ขวัญฤดีปลุกปลอบเพื่อนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
แม้จะไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้น้ำหนึ่งทำเช่นนั้น แต่เธอเชื่อว่าเพื่อนของตนไม่ได้เป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน น้ำหนึ่งพยายามหลบเลี่ยงดรัณมาตลอด แล้วเรื่องใดกันเล่าที่ทำให้เพื่อนของเธอถึงกับสติหลุด
"ไปเถอะหนึ่ง ครูไม่พักการเรียนหนึ่งหรอก" เสียงเพื่อนคนหนึ่งร้องบอกให้กำลังใจ
"ใช่ หนึ่งน่ะเป็นหน้าเป็นตาของชั้นเชียวนะ"
"ใช่ๆ" เสียงเห็นด้วยดังขึ้นทั่วทั้งห้องเรียน
น้ำหนึ่งลุกยืนพร้อมกับฝืนแย้มยิ้มให้ทุกคน นั่นสินะ ระหว่างเด็กเรียนอย่างเธอกับคนที่มีประวัติด่างพร้อยอย่างดรัณ เด็กสาวเชื่อมั่นว่าตนจะต้องได้รับความยุติธรรม
ทว่าน้ำหนึ่งไม่ทันคิด...ความยุติธรรมต้องแลกมาด้วยความกล้าหาญ ความกล้าที่เธอไม่เคยมี
ไอเย็นจัดจากเครื่องปรับอากาศในห้องพักครูฝ่ายปกครองทำเอาเลือดในกายของผู้ที่ก้าวเข้าไปแทบหยุดไหลเวียน น้ำหนึ่งไหว้คุณครูคนหนึ่ง ก่อนท่านจะพยักพเยิดไปหาคุณครูท่านที่รอ
ร่างบางก้าวช้าผ่านฉากกั้นโต๊ะสีขุ่นไปยังโต๊ะของคุณครูผู้ได้ชื่อว่าเข้มงวดที่สุด แล้วก็ให้ใจหายวาบเมื่อเห็นดรัณนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะตัวนั้น ท่าทางเขาไม่ทุกข์ร้อนอันใดขณะหันมองเธอ น้ำหนึ่งเสียอีกที่ต้องข่มกลั้นความร้อนรุ่มในใจ ก่อนจะนั่งลงยังเก้าอี้ข้างกัน
"น้ำหนึ่ง รู้ใช่ไหมว่าทำไมครูถึงเรียกมาพบวันนี้" น้ำเสียงเยียบเย็นพานให้คนฟังใจเสีย
"ค่ะ"
"เป็นพี่น้องกันแท้ๆ แต่กลับทะเลาะตบตีกัน ไม่อายคนอื่นก็ควรนึกถึงผู้ปกครองพวกเธอบ้าง"
"ผมไม่ได้ทำไรนะครู ทุกคนก็เห็น"
น้ำหนึ่งหันมองก็เห็นเขาไหวไหล่ปฏิเสธ ก่อนดวงตาคมกริบคู่นั้นจะตวัดมองเธออย่างกล่าวโทษ
"ไหนบอกครูซิว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร ว่าไงน้ำหนึ่ง"
"เขาหาเรื่องหนูก่อนค่ะ" เด็กสาวก้มหน้าตอบ
"หาเรื่องยังไง"
น้ำหนึ่งเม้มปากแน่น เธอจะตอบครูได้อย่างไรว่าดรัณกล่าวหาว่าเธอมีความสัมพันธ์กับพ่อของเขา น้ำหนึ่งไม่อยากแม้แต่ให้ใครรับรู้หรือติดใจสงสัยขึ้นมา ต่อให้มันไม่มีมูลความจริงเลยก็ตาม
เด็กสาวได้แต่สั่นศีรษะ มือบนตักจิกเข้าหากันจนแสบผิว แต่ยังไม่เท่าความเจ็บปวดใจยามนี้เลย
"เอาล่ะ พวกเธอตอบคำถามกับผู้ปกครองเองแล้วกัน"
จบประโยคนั้น เสียงประตูถูกผลักเข้ามาก็เรียกสายตาของเด็กทั้งสองให้หันไปมอง หัวใจเด็กสาวตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อเห็นสีหน้าขุ่นเคืองของป้า เธอไม่คิดว่าเรื่องจะบานปลายถึงขั้นนี้เลย
ดรัณเป็นฝ่ายลุกให้กุสุมานั่งเก้าอี้ของเขา ทว่าทันทีที่ลุกยืน ฝ่ามือของพ่อก็ตวัดลงบนใบหน้าข้างเดียวกับที่ยังมีรอยแดงซ้ำ ดรัณกุมซีกหน้าพร้อมกับมองพ่ออย่างตื่นตะลึง ก่อนแววตาคู่นั้นจะเปลี่ยนเป็นเจ็บช้ำที่พ่อทำร้ายเขาต่อหน้าทุกคน
มันเจ็บ...เจ็บเสียยิ่งกว่าฝ่ามือเล็กๆ ประทุษร้าย ดรัณปวดปลาบไปถึงในใจ
น้ำหนึ่งคาดไม่ถึงเช่นกันว่าดัสกรจะทำเช่นนี้ เขาลงโทษลูกโดยไม่รอไต่สวน วูบหนึ่งที่เธอพลอยเห็นใจคนที่ตนเกลียดชัง แต่เพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น ก่อนป้าของเธอเสียอีกที่เข้าขวางโดยดึงตัวเด็กหนุ่มไปยืนซ้อนหลังแทน
"ทำอะไรน่ะกร ยังไม่รู้ใครผิดใครถูก ทำโทษก่อนแบบนี้ไม่ถูก"
น้ำหนึ่งก้มหน้าซ่อนความเสียใจ ป้าพูดถูกก็จริง แต่นั่นก็หมายความได้ว่าท่านไม่รู้จักหลานสาวคนนี้เลย เธอไม่มีวันทำร้ายใครก่อนหากไม่เป็นฝ่ายถูกรังแกย่ำยีจิตใจ
"ใจเย็นก่อนนะคะ ครูกำลังถามทั้งสองคนว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร" ครูฝ่ายปกครองกลายมาเป็นคนกลางในการเจรจา
กุสุมาสูดหายใจลึก อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน คนหนึ่งก็คนรัก อีกคนก็หลานสาวแท้ๆ แต่กระทำการงามหน้าเสียจริงๆ
"ตกลงทะเลาะอะไรกัน ใครจะตอบฉันได้บ้าง"
สาวใหญ่มองเด็กทั้งสองสลับกัน แล้วก็พลอยหงุดหงิดใจยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อน้ำหนึ่งเอาแต่ก้มหน้า
"ผมแค่ถามคุณหนึ่งเรื่องเมื่อวานครับ" ดรัณเป็นฝ่ายตอบ
เขาจ้องตอบเด็กสาวอย่างท้าทาย พาลโกรธแค้นเธอที่เป็นต้นเหตุให้พ่อลงไม้ลงมือกับเขา
"เรื่องอะไร" กุสุมานิ่วหน้า
"เรื่อง..."
ทว่าเพียงเอ่ยคำแรก น้ำหนึ่งก็แทรกขึ้นมาราวกับกลัวว่าเขาจะเฉลยความจริง
"เรื่องที่หนึ่งไม่ทานแพนเค้ก เขาหาว่าหนึ่งเรียกร้องความสนใจ"
"แค่นี้น่ะหรือ" ผู้เป็นป้าเอ่ยอย่างผิดหวังระคนขุ่นเคือง "เรื่องแค่นี้ถึงกับต้องตบพี่เขา คงต้องอบรมกันอีกยาวนะยัยหนึ่ง นิสัยแบบนี้ฉันไม่เคยทำไม่เคยสั่งสอน ไปได้มาจากใครฮึ"
น้ำหนึ่งได้แต่ก้มหน้าน้ำตาตกใน จะให้เธอบอกสาเหตุที่แท้จริงได้อย่างไร มีแต่จะทำร้ายท่านกับดัสกรให้เสื่อมเสียเท่านั้น
"หนึ่งขอโทษค่ะ" เธอเอ่ยเสียงเครือพร้อมกับพนมมือไหว้ท่าน
ทว่าไม่เพียงแต่กุสุมาจะเมินหน้าหนีไม่รับคำขอโทษ ผู้เป็นป้ายังสั่งให้หลานขอโทษดรัณอีกด้วย
"ขอโทษพี่เขาซะ แล้วอย่าให้ฉันรู้นะว่าลับหลังยังแผลงฤทธิ์อะไรอีก"
น้ำหนึ่งสั่นศีรษะอย่างไม่ยอมรับคำตัดสินนั้น น้ำตาที่ฝืนกักเก็บไว้นานร่วงพรูลงมาอย่างสุดกลั้นต่อไป
"ไม่... หนึ่งไม่ขอโทษ"
"ยัยหนึ่ง!" กุสุมาเรียกเสียงแข็ง
ไม่คิดเลยว่าเด็กเมื่อวานซืนจะกล้าหักหน้าเธอต่อหน้าทุกคน สาวใหญ่กำมือแน่น ถ้าน้ำหนึ่งเป็นลูกไก่เธอก็หวังให้ตายคามือทีเดียว
"ไปเก็บกระเป๋ากลับบ้านกับฉันเดี๋ยวนี้"
ไม่มีอีกแล้วสรรพนามป้าหลานที่ท่านเคยใช้ น้ำหนึ่งปาดน้ำตาก่อนหันไปมองคุณครูซึ่งพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำอนุญาต แววตาเห็นใจที่ครูมองมายิ่งทำให้เธอนึกน้อยใจป้า ถ้าเพียงแต่ท่านจะมองเธอเช่นนี้บ้าง สักครั้ง...สักครั้งเดียว
ร่างบางรีบลุกจากไปก่อนที่น้ำตาจะไหลลงมาอีกครา น้ำหนึ่งไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยว แปลกแยกจากโลกนี้มาก่อนเลย ถ้ามีพรวิเศษสักข้อเป็นจริงได้ เธอขอหายไปจากตรงนี้...ชีวิตนี้ตลอดกาล
"รัน พ่อเอง"
ไม่รอเสียงตอบรับจากในห้อง ดัสกรก็เปิดประตูห้องนอนของบุตรชายเข้าไป
เขาถอนใจเหนื่อยหน่ายขณะกวาดตามองทั่วทั้งห้องซึ่งรกด้วยแผ่นเกมและหนังสือไร้สาระเหมือนทุกครั้งที่เข้ามา เมื่อเจ้าของห้องไม่อนุญาตให้คนงานเข้ามาทำความสะอาด บอกแต่ว่าจะจัดการด้วยตัวเอง
ดรัณก้าวออกจากห้องน้ำโดยนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว เขามองเมินบิดาอย่างโกรธท่านไม่หาย ก่อนจะเปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบเอาเสื้อยืดกับกางเกงกีฬามาสวมใส่
"หุ่นดีเหมือนกันนี่เรา แสดงว่าซ้อมกีฬาจริง ไม่ได้แอบไปเล่นยา"
ดรัณมองพ่อราวค้อน แล้วก็ต้องขบกรามแน่นเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ
"ขี้งอนเป็นผู้หญิงไปได้ ที่พ่อตบแกก็เพราะคุณแอ๊วจะได้เข้าข้างเห็นใจแก แล้วอีกอย่าง คุณหนึ่งจะได้หายโกรธแกบ้าง"
ผู้เป็นลูกหันกลับไปมองพ่อบังเกิดเกล้าอย่างค้นคว้า เขารู้สึกว่าตนช่างโง่เง่า ไม่เข้าใจอะไรเสียเลย แม้พ่อจะเฉลยว่าทำลงไปเพื่อเขาก็ตาม
เขานึกว่าพ่อถือหางน้ำหนึ่งและโกรธแทน แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม ดรัณไพล่นึกถึงเด็กสาวที่คงไม่รู้ตัวว่าคนที่ดีต่อเธอหาได้รักหล่อนจริงไม่ ต่อให้ฉลาด เรียนเก่งแค่ไหน สุดท้ายเธอกับเขาก็อาจโง่พอๆ กัน
"ไหนดูซิ บวมหรือเปล่า"
ดัสกรจับคางของบุตรชายให้เงยขึ้นสำรวจรอยแดงบนซีกแก้มได้ถนัด ถ้าไม่สังเกตก็แทบไม่เห็นว่าแก้มข้างซ้ายนั้นบวมกว่าเล็กน้อย
"แค่นี้สิวๆ เว้ย ทีนี้ก็เลิกมองพ่อแกตาขวางได้แล้วนะ"
ร่างสูงใหญ่กำลังจะเปิดประตูออกไปหลังได้สะสางปัญหาคาใจกับลูก ทว่าดรัณเอ่ยเรียกผู้เป็นพ่อไว้เสียก่อน เขาอ้ำๆ อึ้งๆ เมื่อคำถามหนึ่งติดอยู่ริมฝีปาก ไม่รู้จะถามออกไปดีหรือไม่
"มีอะไร ฉันต้องไปปรนนิบัติแม่เลี้ยงแกอีก ท่าจะความดันขึ้น ก็เล่นอบรมหลานไปเป็นชั่วโมงเมื่อบ่ายนี่นะ" น้ำเสียงผู้พูดไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อน ตรงกันข้ามกลับฟังดูรื่นรมย์เสียด้วยซ้ำ "เออ ว่าไปคุณแอ๊วนี่ก็แปลกนะ บางทีก็ดูรักหลาน บางทีก็ดูเหมือนเกลียดคุณหนึ่งมาก มากกว่าแค่โกรธหรือไม่พอใจ ทีกับแกที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขดันเข้าข้างเสียนี่ มันยังไงๆ อยู่นะ"
ดรัณเสหลบตาพ่อ เขาประหวัดไปนึกถึงเรื่องในอดีตเมื่อบ่ายวันนั้น วันที่เขาพยายามเอาอกเอาใจสาวใหญ่และแอบขโมยจูบด้วยความอยากรู้อยากลองแบบเด็กๆ
กุสุมาอาจไม่รู้ตัวก็จริง แต่เขารู้และละอายใจเสมอมา ยิ่งมีคนร่วมรู้เห็นเหตุการณ์ เขาก็ยิ่งผลักไสความโกรธความอับอายไปที่เธอ ทุกครั้งที่สบตากลมโตคู่นั้นมันเหมือนเครื่องประจานความผิดที่ติดตัวเขา คอยตอกย้ำให้ยิ่งรังเกียจตัวเองและพลอยเกลียดคนที่วางตัวดีเสมอมาอย่างเธอ
"มันจะแปลกอะไร ก็ผมเป็นลูกของพ่อ หรือยัยเด็กขี้อิจฉาบอกอะไรพ่อล่ะ" เขาถามเสียงเรียบพลางก้าวไปกดเปิดคอมพิวเตอร์เหมือนไม่สนใจ
"เปล่า แกก็เลิกแขวะน้องเสียที รู้ก็รู้ว่าพ่ออยากให้แกได้กับเด็กนั่น เลิกแกล้งน้องเป็นเด็กๆ แล้วหัดดูแลเอาใจเขาบ้าง คุณหนึ่งน่ะขี้ใจอ่อนจะตายไป ใครดีด้วยเธอก็รักง่ายๆ ระวังเถอะใครจะตัดหน้าแกไป"
ดรัณหงุดหงิดทุกครั้งที่พ่อเอ่ยเช่นนี้ คนอย่างเขาไม่เคยคิดเกาะผู้หญิงกิน ใครจะตัดหน้าก็ช่างปะไร ขออย่างเดียว คนคนนั้นอย่าเป็นพ่อของเขาก็แล้วกัน!
"พ่อ" เด็กหนุ่มเรียกรั้งไว้อีกครั้ง
ดัสกรชะงักมือซึ่งกำลังจะหมุนลูกบิดประตู เขาหันมองร่างสูงของลูกที่ยืนเผชิญหน้าห่างออกไปกลางห้อง แล้วก็ได้แต่ถอนใจกับความเจ้าปัญหาของมัน
"อะไรอีกวะเจ้านี่"
"ผมอยากรู้... สมมติว่าถึงวันที่คุณแอ๊วยกสมบัติให้หลานเขาจริงๆ พ่อจะทำยังไงกับยัยน้ำหนึ่ง"
"เฮ้ย นี่แกแช่งคุณแอ๊วเรอะ"
"เปล่านะพ่อ ก็แค่สมมติ" ดรัณรีบปฏิเสธ
ทว่าคำถามของลูกทำให้ดัสกรฉุกคิด ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ แล้วเจ้าลูกชายของเขาไม่คิดจะทำอะไร เขาก็คงต้องเป็นฝ่ายลงมือทำเอง ดัสกรจะต้องพาตัวเองเข้าไปมีสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติให้ได้ ไม่ว่าทางใด...
"มันขึ้นกับแก เจ้ารัน"
คำตอบทิ้งท้ายเพียงแค่นั้นยิ่งทำให้ดรัณรุ่มร้อนใจ เขารู้ว่าพ่อไม่อายสายตาคนในสังคมไม่ว่าจะอยู่สถานะไหน ท่านถึงได้ปลงใจกับสตรีที่สูงวัยกว่าถึงสิบห้าปีได้ ขอเพียงแค่คนคนนั้นทำให้ท่านสุขสบายก็พอ
แต่เขาสิ เขาอาย ลำพังแค่ต้องตอบคำถามผู้อื่นว่าเขาเป็นพี่น้องกับน้ำหนึ่งทางไหน ดรัณก็อยากเย็บปิดปากคนถามเสียทุกคนไป และเขาจะไม่ยอมให้อะไรๆ มันเน่าเฟะไปกว่านี้แน่
ในเมื่อเขาไม่อาจคาดเดาจิตใจพ่อของตนได้ ดรัณจะทำทุกวิถีทางให้น้ำหนึ่งเกลียดชังพวกตน เธอสมควรรับรู้ว่าไม่มีใครรักเธอจริงสักคนและเลิกทำตัวเป็นคนดีของใครต่อใคร
น้ำหนึ่งเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องหลังเกิดเรื่องเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่ทุกวันเสาร์เช่นนี้เธอมีเรียนเปียโน สิ่งเดียวที่ช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจได้บ้าง เด็กสาวจึงยอมลงมาข้างล่างเมื่อใกล้เวลาไปเรียน
"ผมกำลังจะให้นีขึ้นไปตามเลยครับ" ดัสกรเอ่ยทักเมื่อเห็นเธอลงบันไดมา
เด็กสาวกวาดตามองรอบบ้านอย่างกริ่งเกรงไม่หาย เธอไม่อยากมีปัญหากับใครอีกแล้ว โดยเฉพาะกับป้า ให้ท่านต้องดุว่า ค่อนขอดไปถึงบุพการี
เออหนอ นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่น้ำหนึ่งไม่เข้าใจ เธอโตพอที่จะรู้ว่าที่ท่านว่ากล่าวเธอมิใช่เพียงแต่ต้องการอบรมสั่งสอน คำพูดซึ่งมักพาดพิงถึงพ่อกับแม่ต่างหากที่เหมือนใบมีดกรีดหัวใจของคนเป็นลูกยามต้องทนรับฟัง
"ไม่มีใครอยู่หรอกครับ" ชายหนุ่มตอบราวกับรู้ว่าอีกฝ่ายหวั่นเกรงสิ่งใด "ผมออกไปส่งคุณแอ๊วไปไหว้พระเก้าวัดกับเพื่อนแต่เช้า ส่วนเจ้ารันก็เพิ่งออกไปเมื่อกี้นี้เอง"
จู่ๆ น้ำหนึ่งก็หายใจหายคอโล่งขึ้นมาเสียอย่างนั้น เธอยิ้มแห้งกับดัสกรซึ่งรู้เท่าทัน ก่อนจะเผื่อแผ่ไปถึงปราณีด้วยอีกคน
"ไปครับ ผมไปส่ง"
ร่างบางก้าวตามชายหนุ่มออกไป ดัสกรรอจนเด็กสาวสวมเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยจึงค่อยเคลื่อนรถออกอย่างใจเย็น
"วันนี้ผมรอรับคุณหนึ่งอยู่ที่ห้างนะครับ เลิกเมื่อไรโทร. หาผมได้เลย"
"คุณกรไม่เบื่อแย่หรือคะ"
ปกติทุกครั้งที่ป้าของเธอหรือดัสกรมาส่ง พวกท่านมักกลับไปพักที่บ้านจึงค่อยออกมารับอีกครั้ง เว้นแต่บางวันหากพวกท่านไปส่งเธอพร้อมกันสองคน ป้าของเธอกับคนรักจึงจะเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าฆ่าเวลารอเธอเลิกเรียน
"ไม่เบื่อหรอกครับ ผมว่าจะดูหนังรอ แต่เดี๋ยวต้องเช็ครอบอีกที"
"หนึ่งดูให้นะ"
เธอหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนออกมาดูตารางฉายภาพยนตร์ เมื่อดัสกรบอกว่าอยากดูเรื่องอะไร เธอจึงแจ้งเวลาฉายแก่เขาด้วยความดีใจ
"มีรอบบ่ายโมงสิบนาที หนังน่าจะจบใกล้ๆ กับเวลาเลิกเรียนนะคะ"
"ดีเลย ทีนี้คุณหนึ่งก็ไม่ต้องเกรงใจว่าผมจะเบื่อแล้วนะครับ"
น้ำหนึ่งยิ้มสดใสให้คนรักของป้าที่ดีต่อเธอเหลือเกิน เขามีบางอย่างเหมือนกับพ่อ คงเพราะความใจดีและดูเหมือนพ่อแม่สมัยใหม่ก็เป็นได้ที่ทำให้เธอสบายใจยามอยู่กับดัสกร อดคิดไม่ได้ว่าหากพ่อกับแม่ยังมีชีวิตอยู่ ชีวิตเธอจะมีความสุขสักเพียงไหนหนอ
ดัสกรผินมองใบหน้าหมองเศร้าของคนที่เงียบไปอีกครั้ง พร้อมกับใคร่อยากรู้ความคิดที่เด็กสาวเก็บงำ
"เย็นนี้เราทานข้าวข้างนอกดีไหมครับ" ชายหนุ่มชวนคุยอีกครั้ง "คุณแอ๊วคงทานกับเพื่อน เหลือผมกับคุณหนึ่ง คนงานจะได้ไม่ต้องหุงหาด้วย"
เมื่อมีเรื่องน่าสนใจแทรกเข้ามา น้ำหนึ่งก็พลอยลืมความทุกข์โศกไปได้บ้าง ที่สำคัญคือเธอยังสามารถหลบเลี่ยงป้าและดรัณต่อไปได้อีกด้วย
"เอาสิคะ หนึ่งมีร้านที่อยากลองมานานแล้ว เอ่อ หรือคุณกรอยากทานอะไรคะ"
"ตามใจคุณหนึ่งเลยครับ แต่ถ้าให้ผมเดาคงไม่ใช่อาหารญี่ปุ่นใช่ไหม" ดัสกรหลิ่วตาอย่างรู้เท่าทัน
เด็กสาวฉีกยิ้มกว้างอย่างที่ทำให้โลกสดใสได้ทีเดียว แน่นอนว่าร้านที่เธออยากไปไม่ใช่ร้านอาหารญี่ปุ่นที่กุสุมามักพาไปเสมอ เธอรู้อีกนั่นแหละว่าที่ท่านมักเลือกเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นทุกครั้งก็เพราะดรัณชอบทาน
เธอเคยชวนป้าทานร้านอื่นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่เมื่อออกมาแล้วท่านเอาแต่ตำหนิรสชาติอาหาร น้ำหนึ่งก็พลอยเสียความมั่นใจและไม่อยากชวนท่านอีกเลย
ทว่ากับดัสกรย่อมแตกต่างออกไป เธอมั่นใจว่าเขาไม่มีทางตำหนิความคิดของเธอ ไม่เคยสักครั้งเลย
ดัสกรนัดกับเด็กสาวหน้าสถาบันดนตรีซึ่งอยู่ชั้นเดียวกับโรงภาพยนตร์ ทันทีที่ภาพยนตร์ซึ่งมีความยาวกว่าสองชั่วโมงจบลง เขาจึงรีบเดินเร็วไปยังที่นัดหมาย หากก็ยังช้ากว่าคนที่เพิ่งเลิกเรียนและนั่งรออยู่หน้าโรงเรียนดนตรี
เขาทอดมองนักเรียนสาวในชุดเดรสผ้ายืดตัวยาวกับแจ็กเก็ตยีนส์ไม่วางตาขณะก้าวไปหาเธอ เจ้าหล่อนเสียอีกที่ไม่รู้ตัว ยังคงก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ ให้เขาได้พิจารณาส่วนสัด รูปร่างของเด็กที่กำลังเติบโตเป็นสาวอย่างย่ามใจ
จากเด็กผอมแกร็นที่เคยว่ายน้ำเล่นด้วยกัน น้ำหนึ่งโตเป็นสาวที่มีน้ำมีนวลภายในเวลาแค่สามปี ผิวสาวราวกับขาวขึ้นกว่าวันแรกรู้จักเสียอีก และยังแลดูเปล่งปลั่งตามวัย พาลให้อดคิดเปรียบเทียบกับผิวแห้งกร้านของกุสุมาไม่ได้ ต่อให้ทาครีมบำรุงเท่าไรก็ไม่อาจย้อนคืนความสาวกลับมา
ดัสกรต้องสูดหายใจลึกให้ความปั่นป่วนในใจสงบลงเสียก่อน ก่อนจะก้าวไปทักเธอด้วยท่าทางปกติดังเดิม
"รอนานไหมครับ โฆษณาในโรงหนังสมัยนี้เยอะจริงๆ ผมคิดว่าจะทันคุณหนึ่งเลิกเรียนแล้วเชียว"
น้ำหนึ่งสั่นศีรษะว่าไม่เป็นไร เธอเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า ก่อนดัสกรจะแย่งไปถือให้เสียเอง
"หนึ่งถือเองก็ได้ค่ะ ไม่หนักเลย" เธอเอ่ยอย่างเกรงใจ
"ไหนครับ ร้านที่คุณหนึ่งอยากทาน"
น้ำหนึ่งยิ้มอ่อนใจ ลองเขาเปลี่ยนเรื่องเช่นนี้ตนคงไม่ได้กระเป๋าคืนง่ายๆ เธอจึงตัดสินใจเดินนำไปยังร้านที่ตนหมายตาไว้แทน
ภาพเด็กสาววัยรุ่นกับชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่แต่สะพายกระเป๋าเป้สีชมพูกำลังลงบันไดเลื่อนมาด้วยกันยากจะตัดสินว่าคนทั้งสองมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างไร จะว่าเป็นพ่อลูกก็วัยใกล้เคียงกันเกินไป หรือจะเป็นพี่น้องก็อายุห่างกันอยู่ดี
"เฮ้ยรัน นั่นน้ำหนึ่งเปล่าวะ" นายมิค ลิ่วล้อของดรัณสะกิดเรียกเพื่อน "ปล่อยผมซะสาวเชียว มากับใครวะ แฟนหรือเปล่า"
ดรัณผละจากเคาน์เตอร์ร้านขายกล้องและอุปกรณ์ไปเกาะราวระเบียงข้างเพื่อน เขามองไปยังบันไดเลื่อนก็เห็นเป็นน้ำหนึ่งจริงๆ นั่นแหละ ทว่าคนที่ยืนอยู่ข้างเธอคือพ่อของเขาเอง
"อ้าว นั่นพ่อมึงนี่" นายมิคเพิ่งเห็นฝ่ายชายชัดๆ "โธ่ กูก็ใจแป้ว นึกว่าแฟน"
ดรัณมองเพื่อนตาขวาง ไม่รู้โกรธที่มันนิยมชมชอบในตัวน้ำหนึ่งหรือโกรธที่มันตาถั่ว คิดว่าพ่อของเขาเป็นแฟนกับยัยเด็กนั่นมากกว่ากัน
"เดี๋ยวกูมา" เขาสั่งเสียงขุ่น
เด็กหนุ่มวิ่งลงบันไดเลื่อนตามไปแต่ก็ไม่ทัน ไม่มีทางที่พ่อและเด็กสาวจะเดินไปถึงที่จอดรถได้ด้วยเวลาเพียงแค่นี้
ต้องอยู่แถวนี้นี่แหละ เขาเหลียวมองรอบตัวก็เห็นมีแต่ร้านอาหาร หรือว่า... ดรัณขบกรามแน่น ไพล่ไปคิดถึงคำตอบของพ่อเมื่อคืนเขาก็ยิ่งหัวเสียจัด หวาดกลัวว่ามันจะเป็นจริง
เขาตัดสินใจก้าวเข้าไปในร้านอาหารทีละร้าน กวาดตามองหาคนทั้งสองโดยไม่สนใจพนักงานร้านซึ่งต้อนรับเชื้อเชิญ บ้างก็ห้ามปรามเมื่อคิดว่าเขาจะลัดคิวลูกค้าคนอื่น
ดรัณมองป้ายร้านอาหารอิตาเลียนก่อนผลักประตูกระจกเข้าไปเป็นร้านที่ห้า ครั้งนี้ไม่ยากเลยที่จะมองหาพ่อของตน ลูกค้าซึ่งบางตาทำให้เขาสังเกตเห็นบิดากับน้ำหนึ่งนั่งอยู่โต๊ะชิดหน้าต่างด้านใน มีบริกรนำพิซซ่า สลัด และสปาเก็ตตี้จานใหญ่มาเสิร์ฟให้ทั้งสองคน
เด็กหนุ่มกำมือแน่น ได้แต่ยืนตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธอยู่ตรงนั้นเมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่คนทั้งสองมีให้แก่กัน
ทว่าแทนที่จะตรงเข้าไปโวยวาย เขากลับหันหลังกลับออกไปจากร้าน บอกตัวเองว่าได้มาเห็นกับตาเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เขาจะต้องทำอะไรสักอย่าง ทำให้เด็กนั่นไม่หลงไปกับภาพมายาที่พ่อของเขาสร้างขึ้นมา ให้รู้ว่าเธอไม่ได้ฉลาด ไม่ได้เหนือไปกว่าเขาเลย
....................................
รันเพิ่มดีกรีความร้ายบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ
แอบบอกว่าตอนหน้ารันจะทำบางสิ่งที่แย่มากกก และเป็นปมสำคัญในใจหนึ่งด้วยค่ะ
อย่าเกลียดไรต์นะคะทุกคน T-T
ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ต.ค. 2559, 16:01:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ต.ค. 2559, 16:01:25 น.
จำนวนการเข้าชม : 994
<< บทที่ ๔ | บทที่ ๖ >> |