อัมฮารา...สุดปลายทางที่ความรัก (สนพ.ที่รัก)
เพราะคู่หมั้นหายตัวลึกลับในระหว่างปฏิบัติหน้าที่องค์การแพทย์ไร้พรมแดน ธารวารีจึงต้องออกตามหา โดยไม่รู้ว่านายพีคนจรที่คอยตามติด คือน้องชายของคู่หมั้นที่จากกันไปนานกว่าสิบปี สองหนุ่มสาวกับการเดินทางในดินแดนอารยธรรมเก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก...อัมฮารา
Tags: ตามรักสุดแดนตะวัน อัมฮารา รักดราม่า ผจญภัย

ตอน: บทที่ 6 ขนมแทนใจใครบางคน


ทางเดินทอดยาวภายในคอนโดมิเนียมหรูใจกลางกรุงดูจะแคบไปถนัดใจ เมื่อนภัทรหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังเต็มสองมือ ร้องขอทางตลอดตั้งแต่ชั้นหนึ่ง ขึ้นลิฟท์ จนมาถึงหน้าห้องเป้าหมาย แล้วไม่รอช้ากดกริ่งติดต่อกันหลายครั้งทันทีจนมีเสียงตะโกนออกมา

“ใครคะ”

เสียงห้วนจากด้านใน นภัทรถึงกับสะดุ้งเอามือปิดตาแมวไม่ให้เจ้าของเสียงเห็น นึกสนุกเคาะประตูรัวจนได้ยินเสียงโครมใหญ่

“โอ๊ย! จะเคาะอะไรกันนักหนา คนกำลังรีบ”

“นุช! พี่เอง เป็นอะไรรึเปล่า”

เจ้าของความคิดพิเรนทร์ถึงกับสะดุ้งหน้าตื่นตะโกนร้องถาม หล่อนแง้มประตูเผยใบหน้าเนียนสวยภายใต้เครื่องสำอางหนาเหยเก เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ปลดสายคล้องประตูแล้วยืนเท้าสะเอวค้อนใส่

“นึกว่าใครเคาะเสียรัว พี่ท็อป มาทำไมคะ”

“พี่เอาของมาให้ เห็นยายรีบอกว่าเราจะบินคืนนี้ เจ้าตัวมัวแต่ไปหัดทำขนมกับป้าณี ก็เลยเอามาให้ไม่ได้ ว่าที่แม่สามีล็อคตัวไว้ซะก่อนน่ะสิ”

นภัทรหัวเราะแก้เก้อยิ้มกว้างเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ เจ้าของห้องคนสวยค้อนตาคว่ำ ร่างสูงเพรียวในชุดทำงานเรียบกริบ ทรงผมรวบมวยเก็บปลายผมเรียบร้อยบ่งบอกว่าหล่อนกำลังเตรียมพร้อมเต็มที่สำหรับบินคืนนี้

“ขอบคุณมากนะพี่ท็อป พอดีนุชลืมไว้เมื่อวันก่อนตอนไปกินข้าวกับรี เกรงใจจังเดี๋ยวซื้อของฝากจากฝรั่งเศสให้นะ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า แต่ได้ก็ดีนะ”

นภัทรพูดติดตลกจนคนฟังค้อนขวับเข้าให้อีก เสหยิบถุงจากมือชายหนุ่มมาตั้งไว้บนโต๊ะหน้าห้อง

“นี่อะไรคะ ของนุชถุงเดียวเองนี่นา”

“ถุงนี้พี่เอามาให้ ที่ติดเราไว้คราวก่อนไง พี่ซื้อมาจากเชียงใหม่”

“นึกว่าไม่ใส่ใจจำแล้ว ไม่เห็นต้องลำบาก”

ชยานุชพูดพลางหยิบของในถุงออกมาดูแล้วถึงกับตาโต กระเป๋าสะพายผ้าฝ้ายสีดำปักลวดลายช้างด้วยดิ้นเงินและเม็ดเลื่อมเงินแบนไม่เหมือนของทั่วไปในตลาด ร้อยชายกระเป๋ายาวด้วยลูกปัดเงินรมดำขนาดกำลังดีไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป

“โธ่! ซื้อมาจริง ๆ หรือคะ นุชพูดเล่นเองลำบากพี่ท็อปอีกแล้ว งานทำมือแบบนี้แพงรึเปล่าคะ”

“เฮ้ย! ไม่เป็นไรขนหน้าแข้งไม่ร่วง แล้วพี่ก็อยู่ใกล้เรานิดเดียวไม่ได้ลำบากต้องแบกมาอะไรหนักหนา นี่พี่ขี่จักรยานมาจะได้ออกกำลังกายด้วยไง”

นภัทรแก้เก้อ แอร์โฮสเตสสาวถึงกับหน้าแดงเมื่อเห็นเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าชายหนุ่ม ถือวิสาสะคว้าแขนเขามานั่งที่ชุดรับแขก
“นั่งก่อนนะคะ นุชหาอะไรเย็น ๆ ให้ดื่ม”

“ไม่ต้องๆ พี่เกรงใจ จะไปแล้วเราจะได้ไปทำงานไง” เขาโบกมือห้าม “แต่งเต็มยศขนาดนี้ได้เวลาบินอีกแล้วสิ”

“ก็มีเวลาอีกสักนิดค่ะ นั่งพักหายเหนื่อยก่อนนะพี่ท็อป”

“แต่พี่เกรงใจ” เขาตอบสีหน้าลังเล

“เกรงใจอะไรกัน พี่ท็อปไม่ใช่ใครที่ไหนซะหน่อย”

หล่อนพูดจบก็ลงนั่งข้างๆ สองคนนั่งเงียบครู่ใหญ่ท่าทางเก้อเขินประดักประเดิดจนแอร์โฮสเตสสาวลุกออกไป

นภัทรส่ายหน้าไล่ความคิดประหลาด พอรู้ตัวอีกทีก็โดนมือนิ่มจับแก้มแล้วเอาผ้าเย็นเฉียบปาดหยดเหงื่อข้างแก้มให้ เขาถึงกับผงะรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างแต่ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเอง เพราะเห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย หล่อนเป็นเพื่อนเล่นกับธารวารีลูกพี่ลูกน้องของเขา จึงมองหล่อนเหมือนเป็นน้องสาวคนหนึ่งมาตลอด

ใช่! ก็แค่น้องสาว... เขาประหม่ารีบแก้เก้อ

“มะ... ไม่ต้องหรอกนุช”

“ไม่ได้ค่ะ สารรูปพี่ตอนนี้เหงื่อซกหน้าแดงขนาดนี้ คงจะปั่นจักรยานมาเหนื่อยน่าดู” หล่อนตอบแล้วเช็ดหน้าให้ต่อ

จะบอกได้อย่างไรว่าเขาเขินหนักขนาดไหน!

“งั้น พี่ขอน้ำเย็นสักแก้วก่อนกลับก็แล้วกัน คงเพลียเพราะเมื่อคืนเตรียมสอนดึกมาก”

ชยานุชพยักหน้ารับแล้วกุลีกุจอไปรินน้ำเย็นใส่แก้วทรงสูงมายื่นส่งให้ทันใจ คุณหมอหนุ่มรับมาดื่มรวดเดียว ในขณะที่เจ้าของห้องชวนคุยต่อ

“รอบนี้นุชไปหลายวัน เป็นห่วงรีเหมือนกัน พี่ท็อปคิดว่าไงคะเรื่องที่สาวห้าวของเราจะไปหาพี่รุจที่เอธิโอเปีย มันจะอันตรายรึเปล่า”

“ใจจริงพี่ไม่อยากให้ไป แต่ขัดไม่ได้ก็เลยแอบฝากฝังกับเพื่อนที่เป็นไกด์ไว้ พอดียายรีมาปรึกษา พี่ก็เลยแนะนำว่าให้ไปกับทัวร์จะได้ตัดปัญหาเรื่องการเดินทาง พวกวีซ่าออนอาร์ไรวอลทางทัวร์ก็จัดการให้ แต่ไม่ได้บอกหรอกว่าพี่กวินที่แนะนำให้เป็นคนไข้ประจำของพี่”

“ก็ดีนะคะ เอ๊ะ! เดี๋ยวนะคะ พี่กวินที่ว่าใช่ไกด์ของเอธิโอเปียนเลิฟไลค์ทัวร์รึเปล่าคะ”

“ใช่ๆ ว่าแต่เราถามทำไม” กวินถามกลับสีหน้าบ่งบอกข้องใจสุดฤทธิ์

“อ้าว! งั้นก็ใจตรงกัน บังเอิญจังที่นุชก็แนะนำยายรีให้ไปกับเขา”

“เออ ใจตรงกัน เอ๊ย! โลกกลมจริงแฮะ” นภัทรพูดแล้วก็หัวเราะขัดเขิน

สองคนต่างอึดอัดกับท่าทีผิดแผก ก่อนที่คุณหมอหนุ่มจะรีบขอตัวกลับและอวยพรให้หล่อนโชคดีในการเดินทาง



เพราะว่าที่ลูกสะใภ้มาขอให้ช่วยสอนทำขนมให้ แรกทีเดียวรมณีย์รู้สึกประหลาดใจ ไม่เคยเห็นลูกสาวเพื่อนรักมีทีท่าสนใจการบ้านการเรือนมาก่อน แต่ครั้งนี้กลับคะยั้นคะยอขอให้ช่วย รมณีย์มองท่าทางปลื้มปริ่มยามยกขนมที่เสร็จจากการอบควันเทียนมาให้ดูผลงาน

“เสร็จแล้วค่ะ พอจะไปวัดไปวาได้บ้างไหมคะคุณป้า”

เสียงหล่อนใสนัก ธารวารีเป็นเด็กสาวน่ารักร่าเริงมาตั้งแต่เด็ก รมณีย์พินิจมองดวงหน้านวลแต้มเครื่องสำอางสีจางอย่างพึงใจ ไม่เสียแรงที่หมายมาดอยากจะได้หล่อนมาเป็นลูกสาวอีกคนของบ้าน

“ยิ่งกว่าได้อีกจ้ะ ถ้าฝีกทำบ่อยๆ ขี้คร้านจะเก่งการเรือน”

“หนูคงไม่ถนัดหรอกค่ะ กว่าจะทำได้ตั้งนาน” หล่อนแก้เก้อ

รมณีย์ยิ้มกว้าง เอ็นดูว่าที่ลูกสะใภ้อดไม่ได้ที่จะถามไถ่

“นึกยังไงถึงให้ป้าสอนทำขนมเสน่ห์จันทร์จ๊ะ”

“หนูติดหนี้คนคนหนึ่งค่ะ ก็เลยถามเขาไปว่าอยากเลี้ยงอาหารสักมื้อ แต่เขาบอกว่าอยากได้ขนมเสน่ห์จันทร์แทน หนูยังงงว่าเขารู้จักได้ยังไง นี่แบบขนมไทยแท้โบราณเชียวค่ะ”

“เขาคือใครจ๊ะ”

รมณีย์ถามกลับ นึกฉงนใจจะมีใครที่ทำให้ว่าที่ลูกสะใภ้ถึงกับต้องลงมือหัดทำขนมด้วยตัวเอง เพราะแม้แต่ลูกชายของหล่อนที่เป็นคู่หมั้นแท้ ๆ ยังไม่เคยได้ชิมด้วยซ้ำไป

“เรื่องมันยาวค่ะ เขาเป็นผู้มีพระคุณของหนู เอาไว้มีเวลาหนูจะเล่าให้ฟังนะคะ”

หล่อนตอบพร้อมทั้งจัดขนมใส่โถสูญญากาศอย่างดี รมณีย์หยิบริบบิ้นสีแดงทำเป็นโบว์สำเร็จยื่นส่งให้ หญิงสาวรับไว้แล้วแกะเทปกาวแปะลงบนฝาขวดโหล

“สวยแล้ว เหมาะเป็นของฝากมากจ้ะ” รมณีย์เอ่ยชม

คนทำยิ้มกริ่มภูมิใจ อยู่คุยต่ออีกพักใหญ่แล้วจึงขอลากลับ รมณีย์มองตามหลังร่างผอมบางแต่แข็งแรงกระฉับกระเฉงอุ้มขวดโหลอย่างหวงแหนก้าวลงเรือที่ผูกไว้ริมศาลาท่าน้ำ หญิงสาวหันกลับมาโบกมือร่ำลา ก่อนจะพายข้ามฟากกลับไปบ้านของตัวเองที่อยู่ตรงข้ามกัน

มือเรียวย่นด้วยวัยประคองจานแก้วที่ธารวารีแบ่งขนมไว้ให้เต็มจานขึ้นมามองอย่างพินิจ เป็นความบังเอิญเหลือใจที่ของชอบของลูกชายคนเล็กยังมีคนสรรหารับประทานในปีพ.ศ.นี้ ไม่นับกับว่าความหมายของเสน่ห์จันทร์คือขนมสำหรับงานมงคลก็แทบจะหาชิมที่ไหนไม่ได้

หล่อนนับวันรอจะได้ทำให้ลูกชายคนโตและลูกสะใภ้ในวันแต่งงาน แต่ไม่รู้วันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่...

เรือพายพลาสติกสีฟ้าทรงอีแปะหัวแหลมเข้าเทียบบันไดท่าน้ำใกล้บัวขาวกอใหญ่ ธารวารียื่นขวดโหลส่งให้นารับไปถือไว้ก่อนจะผูกลำเรือกับเสาสะพาน แล้วแหวกม่านบาหลีขึ้นมานั่งบนเก้าอี้หวาย ดวงหน้านวลชื้นเหงื่อ มือโบกสะบัดไล่ความร้อน ส่วนนากุลีกุจอเอาน้ำเย็นมาเอาใจ

“น้ำเย็น ๆ ก่อนจ้ะ น้องรี ขนมน่าทานสุด ๆ ไปเลย เอาไว้สอนให้พี่นาทำบ้างนะคะ”

แม่บ้านสาวยกขวดโหลดูอย่างชื่นชม ธารวารียิ้มกว้างก่อนจะพูดอวดฝีมือ

“ขอรีดูผลงานก่อนนะว่าสุดหล่อหน้าเหมือนพระเอกดังของพี่นา เขาจะว่ายังไง”

“วุ้ย! ของพี่นาที่ไหนคะ น้องรีพูดแบบนี้พี่ก็เขินแย่”

“ก็นึกว่าพี่นาจองเป็นพระเอกส่วนตัวนี่นา” หล่อนหยอกให้ “หรือไม่จริง”

“โอ๊ย! ถ้าได้แบบนี้สักคน พี่นายอมเลยค่ะ”

“ยอมอะไร”

“ก็ยอมเป็นทาสเรอของธัก ทาสรักของเธอยังไงล่ะคะ” นาตอบแล้วบิดตัวไปมาขวยเขิน

ธารวารีส่ายหน้าระอาความน้ำเน่าของแม่บ้านสาวรีบเดินหนี แล้วหยิบโทรศัพท์นัดแนะภูบดี แต่รอจนสายตัดเขาไม่รับ หล่อนได้แต่หน้ามุ่ยกลับเข้าสตูดิโอไป



ภูบดีเก็บเอกสารและใบจองทัวร์ใส่กระเป๋าเดินทางเตรียมไว้ก่อนจะเข้าห้องน้ำ เป็นเวลาเดียวกับที่ธารวารีโทรมา เสียงโทรศัพท์มือถือดังหลายครั้งแต่ชายหนุ่มไม่ทันได้ยินเพราะเสียงน้ำดังกลบ ดวงตาคมสีดำสนิทจ้องมองไรหนวดที่เขาเผลอลืมใส่ใจตัวเองหน้ากระจกแล้วหยิบมีดโกนมาโกนจนหน้าใสทั้งฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี

“งานนี้เจอกันแน่ อยากรู้นักว่าเธอจะทำยังไงเมื่อไปถึงที่นั่น”

ภูบดียิ้มมุมปากสำรวจความเรียบร้อยแล้วพันผ้าเช็ดตัวออกจากห้องน้ำ กว่าจะรู้ตัวว่ามีสายเข้าก็ดึกเกินไปแล้ว เกือบสิบสายจากเลขหมายเดียวกันทำให้ชายหนุ่มคิ้วขมวดจ้องเบอร์โทรไม่คุ้น

“ใครกันโทรมาหลายสายขนาดนี้”

บ่นพลางเหลือบมองนาฬิกาข้างฝาผนังบอกเวลาเกือบเที่ยงคืน ด้วยความอยากรู้ทำให้กดโทรศัพท์ออกไปหาที่มา กว่าปลายทางจะรับสายก็นานโข

“คุณหมอภูบดี... ในที่สุดก็ติดต่อคุณได้เสียที”

“คุณน่ะเองที่โทรมาซะหลายสาย” เขาตอบสั้น เพราะจำเสียงหล่อนได้

“ฉันจะเอาเสน่ห์จันทร์ไปให้ ไม่ทราบจะนัดเจอคุณได้ที่ไหนคะ”

“ผ่านไปสามวัน ผมนึกว่าคุณลืม”

“ฉันเปล่าลืมนะคะ! มัวแต่หัดทำอยู่”

เสียงหล่อนดูตกใจ ตามมาด้วยเสียงจิ๊จ๊ะส่งมาตามสาย ภูบดีหัวเราะในลำคอเมื่อได้ยินว่าหล่อนถึงกับหัดทำขนมเพื่อเขา หวังเหลือเกินว่าสิ่งที่เขาต้องการจะมาจากคนไม่ใกล้ไม่ไกลที่คิดถึง ชายหนุ่มรอฟังคำตอบเมื่อหล่อนเงียบไป

“งั้นเจอกันพรุ่งนี้เป็นไง”

“ที่ไหนคะ ฉันจะได้เตรียมตัว” หล่อนกระตือรือร้นถาม

“ดีใจจัง อยากเจอผมถึงขนาดต้องเตรียมตัวเชียว”

“เปล่าซะหน่อย ฉันก็แค่อยากเอาขนมไปให้ไม่ได้อยากเจอ” หล่อนตอบก่อนจะเงียบไป

ภูบดียิ้มออกมาได้กับน้ำเสียงกระเง้ากระงอด นึกหน้าเด็กสาวผมเปียในอดีตไม้เบื่อไม้เมาของเขาแล้วอดขำไม่ได้
“โอเค ไม่อยากเจอก็ไม่อยากเจอ” เขาตอบ “

กว่าจะนัดแนะสถานที่กับหล่อนได้ก็ต่อปากต่อคำกันอยู่นานจนเขาแทบจะหลับคาโทรศัพท์ ถ้าไม่ติดที่กำลังตาค้าง หัวใจเต้นแรงเสียขนาดนี้

ธารวารีถอนหายใจเฮือกใหญ่ทันทีที่วางสาย คุณหมอคนนี้เสียงไม่แก่จริง ๆ อย่างที่นาโฆษณาไว้ แล้วยังคำพูดยอกย้อนกวนใจอย่างประหลาดนั่นอีก เหมือนเคยคุ้นแต่ไม่รู้จัก ได้แต่สะบัดหน้าไปมาขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านที่วิ่งวนไปมาในหัว

“พรุ่งนี้ได้เจอซะที อยากจะรู้นักว่าคุณหมอปากร้าย ตัวจริงจะหล่อลืมโลกแบบที่พี่นาบอกรึเปล่า ”

บ่นเสร็จหล่อนก็ล้มตัวลงนอน ปล่อยความหงุดหงิดทิ้งไป แต่ดูเหมือนไม่ได้ผลนักเมื่อความรู้สึกปั่นป่วนกวนใจยังไม่หยุด ผุดลุกขึ้นนั่งอีกครั้งด้วยความรู้สึกประหม่าแปลก ๆ สายตาทอดมองขวดโหลผูกโบว์สีสวยบรรจุดขนมเสน่ห์จันทร์แล้วได้แต่คิดไม่ตก

“จะกลัวอะไร... เลิกฟุ้งซ่านได้แล้วธารวารี ยายบ้าเอ๊ย!”

ร่างบอบบางมองหัวหูยุ่งเหยิงของตัวเองในกระจกปลายเตียงแล้วได้แต่ขุ่นเคือง ล้มตัวลงนอนให้ผ่านคืนนี้ไปให้ได้ เผื่อว่าพรุ่งนี้จะได้สะสางความรู้สึกที่ติดหนี้บุญคุณใครบางคนให้หมดสิ้นไปเสียที...



ถนนมุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าที่เป็นสถานที่นัดหมายแคบไปถนัดใจเมื่อถูกบีบให้เหลือช่องจราจรเดียว ธารวารีเคาะพวงมาลัยรถแก้เซ็งรอสัญญาณไฟ นานแสนนานกับการรอคอยจนเวลานัดหมายใกล้เข้ามาทุกที หล่อนได้แต่ร้อนใจเมื่อไม่มีทีท่าว่าจะถึงที่หมายทันเวลา

“รถจะติดไปถึงไหน จะไม่ทันนัดอยู่แล้ว”

มองนาฬิกาข้อมือพลางมองรถเริ่มขยับทีละน้อยก็ค่อยใจชื้น แต่เมื่อเห็นคนวิ่งไปมาตรงเกาะกลางถนนไม่ไกลก็เปิดกระจกรถชะเง้อมอง

“โธ่ รถชนอีกแล้ว ความปลอดภัยบนท้องถนนบ้านเรามันเป็นอะไรนักหนานะ แล้วจะไปทันได้ยังไง โอย! ยายรีเอ๊ย ไปสายคุณหมอไม่เคืองแย่หรือนี่ อุตส่าห์นัดเขาซะดิบดี”

หล่อนส่ายหน้าด้วยความหงุดหงิด รถคืบคลานเข้าใกล้จุดที่เกิดอุบัติเหตุจนเห็นชัดเจน ภาพความวุ่นวายทั้งหน่วยกู้ชีพ เสียงไซเรนของรถพยาบาล และบรรดาไทยมุงที่ล้อมกรอบคนป่วยเอาไว้ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน แต่หล่อนถึงกับขนลุกเมื่อเห็นรถมอเตอร์ไซค์คันเกิดเหตุ

ต้องเรียกว่าซากรถจริง ๆ เจ้าเหล็กสองล้อกลางถนนแทบไม่เหลือเค้าให้เห็นว่าเคยเป็นพาหนะวิ่งได้ มันเละไม่มีชิ้นดีอยู่ท้ายรถบรรทุกที่หักหัวเข้าหาเกาะกลางจนหน้าทิ่มลงไปในคูน้ำเกือบถึงกระจกหน้า

“โอย เห็นภาพแบบนี้ ลดความห้าวของฉันเยอะเลย”

หล่อนถอนหายใจ พลันเหลือบตามองนาทีชีวิตของคนเจ็บที่คงไม่พ้นเจ้าของเหล็กสองล้อแผ่หรากลางถนนกำลังได้รับการช่วยเหลือ ถ้าที่เห็นไม่ผิดจากที่คิดคงเป็นปฏิบัติการยื้อชีวิตคนเจ็บอย่างสุดความสามารถ

ธารวารีถึงกับขยาดเมื่อเห็นภาพการปั๊มหัวใจถี่ ๆ ของคนคุกเข่ากลางถนนกลางแดดแรงจ้าขะมักเขม้นเต็มกำลัง แต่ดูเหมือนคนนอนนิ่งจะไม่มีปฏิกิริยา หล่อนได้แต่ลุ้นเอาใจช่วยจากในรถไม่นานเสียงแตรก็ดังไล่หลัง

ภาพชายหนุ่มที่มองเห็นจากด้านหลังยังคงติดตา เช่นเดียวกับรุจิภพที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสร่วมกับองค์การแพทย์ไร้พรมแดนอย่างสุดความสามารถ

“พี่รุจอยู่ที่โน่นคงทำแบบนี้เหมือนกันสินะคะ รีภูมิใจในตัวพี่รุจมากนะ”

หล่อนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นึกถึงคนไกลที่อีกไม่กี่วันจะไม่ต้องเจอกันในฝันอีกแล้ว เพราะหล่อนจะไปให้เขาเห็นแบบตัวเป็น ๆ จับต้องได้เลยทีเดียว

เกือบครึ่งชั่วโมงกว่าที่ทุกอย่างจะเรียบร้อย ภูบดีลุกขึ้นยืนแทบหมดแรง หลังออกแรงปั๊มหัวใจคนเจ็บเป็นเวลานานจนอาการเบื้องต้นดีขึ้นตามลำดับ เจ้าหน้าที่เปลโรงพยาบาลจึงนำขึ้นรถไป พร้อมรถอาสากู้ชีพที่ทยอยกันแล่นจากไป เลือดแดงสดเต็มมือเต็มเสื้อโดยที่แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่ทันสนใจ จนเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรเข้ามาจัดการพื้นที่มาคุย

“ขอบคุณมากนะครับคุณหมอ ถ้าไม่ได้คุณ ผู้บาดเจ็บคงแย่เผลอ ๆ จะไปไม่ทันถึงโรงพยาบาลเอา”

เจ้าหน้าที่ตำรวจยื่นผ้าขนหนูผืนเล็กให้ เขารับไว้และเช็ดทำความสะอาดมือและเนื้อตัว

“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่ผ่านมาประสบเหตุเข้าพอดี หวังว่าเขาจะถึงมือหมอทันเวลา ผมดูแล้วแผลค่อนข้างหนักเอาการ”

“นั่นละครับ ต้องขอบคุณแทนจริง ๆ ที่ต้องเสียเวลาตั้งนาน ผมนึกว่าแย่แล้ว” ตำรวจหนุ่มแสดงความชื่นชม

“เรื่องเล็กน้อยครับ ชีวิตคนสำคัญกว่า” ภูบดีตอบ “ผมต้องขอตัวก่อน”

“คุณหมอคงมีธุระ ไม่รบกวนแล้วครับ ผมขอตัวกลับไปทำสำนวนต่อ”

ภูบดีพยักหน้ารับสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนักเมื่อมองเสื้อผ้าตัวเอง ยกนาฬิกาข้อมือดูก่อนจะก้มมองเสื้อยืดสีขาวของตัวเองอีกครั้งแล้วถอนใจ เลือดจากคนเจ็บที่พุ่งกระจายสีแดงสดเหมือนลายผ้าโดนพู่กันสะบัดสีใส่ กลิ่นคาวคละคลุ้งทำให้เครียด เขาจะไปพบคู่หมั้นพี่ชายได้อย่างไรในสภาพแบบนี้

ทันทีที่ขึ้นนั่งบนรถเช่าที่จอดริมข้างทาง ภูบดีเปิดแอร์เย็นฉ่ำขับไล่ความร้อนจากภายนอกก่อนจะมองหาแต่ไม่มีอะไรที่พอจะปกปิดรอยคราบสกปรกบนเสื้อยืดตัวเก่งได้เลย

“เจริญละไอ้ภู ดันลืมแจ็กเก็ตไว้ในรถวา แล้วทีนี้จะทำยังไง”

ชายหนุ่มส่ายหน้าเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะออกรถไป สายตาสอดส่องมองหาร้านเสื้อผ้าข้างทางที่พอจะหาซื้อได้ นาทีนี้อะไรก็คงต้องหามาใส่รักษาภาพพจน์ไว้ก่อน

อยากให้ว่าที่พี่สะใภ้ประทับใจเมื่อได้เจอกันอีกครั้ง แต่เขาคิดผิด ทันทีที่เข้าไปในร้านเสื้อข้างทางที่เปิดเรียงรายอยู่หน้าตลาด ก็ต้องเจอปัญหาหนักอกเข้าให้ เมื่ออยู่ดี ๆ ก็โดนล้อมกรอบจากผู้ประสงค์ดีที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ

“ผมบอกแล้วไงว่าไม่ใช่คนร้าย ลุงจะบ้ารึไงถึงจะแจ้งตำรวจ”

ภูบดีสบถเสียงดังหลังจากตะครุบโทรศัพท์ที่เจ้าของร้านกดโทรออกแทบไม่ทัน ดีที่เขาได้ยินก่อนไม่อย่างนั้นเรื่องคงยุ่งไปใหญ่

“ลื้อจะทำอะไร! อั๊วร้องให้คนช่วยจริงๆ นะ”

ชายแก่ผมสีดอกเลาร่างผอมเกร็งถึงผงะตะโกนเสียงดัง หันรีหันขวางหาตัวช่วย ภูบดีกำหมัดแน่นทั้งโมโหที่ทำให้เขาต้องเสียเวลานานขนาดนี้เพียงเพราะเสื้อตัวเดียว!

“เข้าใจผิดแล้ว! ผมจะมาซื้อเสื้อเปลี่ยนตัวที่ใส่อยู่นี่ต่างหาก” เขาตอบหงุดหงิดหยิบธนบัตรสีม่วงจากกระเป๋ากางเกงมาให้ “นี่ไงเงิน เสื้อตัวนั้นคงไม่เกินห้าร้อยไม่ต้องกลัวว่าผมจะไม่มีจ่ายหรอกน่า”

“ใครจะไปรู้ อยู่ดีๆ ก็เดินดุ่ม ๆ เข้ามาหน้าถมึงทึง เสื้อผ้าก็เปื้อนเลือดเหม็นคาวจะตาย อย่างกับไปทำอะไรใครมา จะให้อั๊วเข้าใจว่ายังไง”

เจ้าของร้านหน้าขึงขังตอบ ไม่คิดจะขอโทษสักคำจนภูบดีถึงกับหงุดหงิด

“คราวหน้าก็ถามไถ่กันก่อนสิลุง ผมมาดีมีเงินจ่าย”

ภูบดีพรูลมหายใจ เก็บกลั้นอารมณ์ขุ่นมัวเพราะเสียเวลามากโข แล้วคว้าเสื้อเชิ้ตแขนยาวพอดูได้ใกล้มือมาจ่ายเงิน

“ไม่ต้องทอนนะลุง ผมใส่เลย” เขาตอบพลางถอดเสื้อโยนลงถังขยะ “ฝากทิ้งด้วย”

เจ้าของร้านได้แต่มองเสื้อเก่าที่เจ้าของทิ้งแล้วทำหน้าเหยเก แต่รีบรับเงินมาเก็บเข้าลิ้นชักโดยไว

“เซี่ย เซี่ย นา”

ชายหนุ่มหันมองชั่วครู่ก่อนจะส่ายหน้าระอา คนสมัยนี้มองอะไรฉาบฉวย จนคนอยู่เมืองนอกมานานอย่างเขาไม่ค่อยชิน
หนุ่มมาดเซอร์เดินออกจากร้านด้วยอารมณ์ขุ่นมัวเมื่อดูนาฬิกาข้อมือพบว่าเลยเวลานัดไปนานโข


กว่าจะถึงค็อฟฟี่ช็อปที่ธารวารีนัดหมายก็สายไปเกือบสองชั่วโมง ภูบดีวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามามองหาไปทั่วแต่ไม่เจอแม้เงา ได้แต่กดโทรศัพท์รอจนสายตัดแต่หล่อนไม่รับ

“โธ่เอ๊ย! วันนี้มันวันอะไรกัน”

ชายหนุ่มสบถคิดไม่ตกว่าจะทำยังไง เขาพลาดที่จะได้เจอหล่อนอีกตามเคย

“คุณภูบดีรึเปล่าครับ”

ชายหนุ่มหันไปตามเสียง เป็นพนักงานเสิร์ฟที่ยืนอยู่ด้านหลัง ในมือถือขวดโหลแก้วผูกริบบิ้นสีสวยส่งให้ เขาหันมาสีหน้างุนงง

“ใช่ครับ” ภูบดีถามกลับ “คุณรู้จักชื่อผม”

“คือคุณธารวารีฝากของไว้ให้คุณหมอภูบดี พี.บอร์ด ครับ ถ้าหากคุณใช่... ก็นี่ครับ”

พนักงานเสิร์ฟยื่นขวดโหลส่งให้ ภูบดีรับมาถือแบบงง ๆ เพ่งมองสิ่งที่อยู่ภายในก็รู้ทันทีว่าคือของที่อยากได้จากหล่อน แต่เสียดายที่ได้แต่ของ ส่วนคนจัดหามาให้ไม่ได้เจออีกตามเคย

“แล้วเธอ”

“เธอมารอเกือบสองชั่วโมง เพิ่งกลับไปครู่ใหญ่นี่เองครับ”

ภูบดีพยักหน้ารับรู้ นึกเสียดายที่ไม่ได้เจอหล่อนอีกตามเคย ที่ตั้งใจไว้ว่าจะได้เจอก็มีเหตุทำให้ต้องรอไปอีกหลายวันกว่าจะถึงวันเดินทาง

คุณหมอหนุ่มมาดเซอร์กลับมาขึ้นรถแล้วมองขวดโหลในมือนิ่งนาน ขนมแห่งความหลังของเขากับแม่เมื่อสมัยเด็กๆ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าธารวารีไปเอามาจากไหนเพราะดูจากหน้าตาแล้วไม่ผิดเพี้ยนจากที่เคยคุ้น หยิบขนมชิ้นแรกขึ้นกัดลิ้มรสแล้วถึงกับน้ำตารื้น

“ไม่ได้กินเกือบยี่สิบปียังอร่อยเหมือนเดิมเลยนะครับแม่”

เขาพึมพำพลางกินขนมจนหมดชิ้น น้ำตาปริ่มจนต้องปาดทิ้งแล้วหยิบชิ้นแล้วชิ้นเล่า ดวงตาแดงก่ำทั้งที่พยายามสะกดกลั้นแต่สุดท้ายก็แพ้ความรู้สึกลึกๆ ภายในใจปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาจนได้



เสียงกริ่งหน้าประตูดังรัวหลายครั้งทำให้นภัทรถึงกับสะดุ้งตื่น เขาฟุบหลับคากองหนังสือไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เหลือบดูนาฬิกาบอกเวลาเกือบห้าทุ่มแล้วถึงกับตาโต

“เฮ้ย! เผลอหลับไปนานขนาดนี้ได้ยังไง เกือบได้นอนคลินิกซะแล้วไอ้ท็อปเอ๊ย!”

ร่างอวบในชุดทำงานเมื่อกลางวันสวมทับด้วยเสื้อกาวน์สีขาวผุดลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูแล้วก็ต้องพบกับคนที่ทำให้ประหลาดใจ

“นึกแล้วว่าพี่ต้องยังอยู่ที่นี่... ฉีดยาให้ผมหน่อย”

ภูบดียืนเกาะขอบประตู มืออีกข้างกุมท้องสีหน้าเหยเก ทรงตัวแทบไม่อยู่ นภัทรรุดเข้าประคองทันทีก่อนที่ชายหนุ่มจะล้มลงไป

“ไปไงมาไงวะนี่ ไปทำอะไรมาท่าทางไม่ดีเลย” นภัทรถามแต่อีกฝ่ายไม่ตอบ “เข้ามาก่อนมา ดีนะที่พี่ยังไม่กลับ ไปกินอะไรผิดสำแดงผื่นขึ้นเต็มตัวขนาดนี้”

“ผงจันทร์เทศ ฉีดยาแก้แพ้ให้ผมหน่อยสิพี่” ภูบดีตอบทั้งที่หลับตา “คันคะเยอไปหมด หายใจไม่ออก เวียนหัว ผื่นขึ้นเต็มตัวแล้วก็”

“พอๆ ไม่ต้องพูดแล้ว สภาพนายแย่มาก รอเดี๋ยว”

นภัทรกุลีกุจอจัดการตามที่ร้องขอ ปล่อยให้ภูบดีนอนอ่อนระโหยโรยแรงหมดสภาพอยู่บนเตียงคนไข้



ธารวารีกลับถึงบ้านเกือบสามทุ่ม เพราะรถติดมโหฬารจนหล่อนอยากย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ต่างจังหวัดเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ทันทีที่จอดรถใต้ลีลาวดีต้นใหญ่หน้าบ้าน นาก็กระหืดกระหอบมารับของจากหล่อนอย่างรู้งาน

“น้องรีเจอคุณหมอแล้วรึยังคะ หล่อออร่าแรงอย่างที่พี่นาบอกไหมคะ”

ประโยคแรกจากนาก็ทำให้คนเพิ่งกลับถึงบ้านยังไม่ทันพักให้หายเหนื่อยหน้าบูดทันที

“แรง... แรงมาก” ธารวารีตอบ “หมายถึงอุปสรรคนะไม่ใช่ออร่า”

“อ้าว! แล้วตกลงได้เจอกันไหมคะ” นาทำหน้างงทันทีที่ฟัง

“เจอกันในฝันสิคะ รีออกจากบ้านบ่ายเจอทั้งรถติด อุบัติเหตุปิดถนน ไหนจะคนเต็มห้างกว่าจะหาที่จอดได้แทบแย่ แต่คนที่นัดไว้เบี้ยวเสียเฉยเลย” หล่อนตอบหน้ามุ่ย

“อ้าว! ตกลงไม่เจอกันหรือคะ แล้วขนมล่ะน้องรี”

“ก็ฝากที่ร้านอาหาร มาไม่มาก็แล้วแต่เขา มาก็ได้กินไม่มาก็อดกิน ถือว่ารีหมดหน้าที่แล้ว ผู้ชายอะไรเล่นตัวชะมัด ปล่อยให้รอตั้งสองชั่วโมง พี่นาคิดดูเถอะ รีจะไม่สนใจแล้วไปทำงานดีกว่า ไม่ทำงานเราก็ไม่มีกิน ใครจะยังไงก็ช่างเขา”

ธารวารีค้อนลมค้อนแล้งฝากไปให้คนไม่เคยเห็นหน้า ก่อนจะเดินไปทางสตูดิโอ อีกไม่กี่วันหล่อนก็ต้องเดินทางแล้ว คงไม่เอาเวลาไปเสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกนอกจากจะต้องสะสางงานคั่งค้างให้มากที่สุดเพื่อจะได้ไปหารุจิภพได้อย่างสบายใจ



ภูบดีลืมตาตื่นถึงกับสะดุ้งลุกนั่งทันทีที่เห็นนภัทรนั่งกอดอกหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ข้างเตียง

“ฟื้นซะทีนะไอ้เสือ” นภัทรเอ่ย “ไปโดนผงจันทร์เทศมาจากไหน... อย่าบอกนะว่าจากขนมไอ้รี ตกลงเจอกันแล้วรึวะ”

“ผมหลับไปนานรึเปล่าพี่” ภูบดีหลบตาตอบไม่ตรงคำถาม

“ก็พอดูละ” เจ้าของคลินิกส่ายหน้าแล้วพูดต่อ “ไม่เคยเข็ดเลย เมื่อไหร่จะรู้ตัวว่าอะไรที่แพ้ นายจะไม่มีวันชนะมัน”

“ผมก็แค่คิดว่านานขนาดนั้นแล้ว อาการนี้คงหายไป” ภูบดีตอบเสียงเบารู้ตัว “แต่มันก็ไม่หาย มันยังอยู่เพื่อตอกย้ำให้ผมคิดถึงเรื่องเดิมๆ”

“อกหักยังรักษาหายแต่อาการแพ้รุนแรงไม่มีวันรักษาหายหรอก นายกินเข้าไปมากเท่าไหร่กันถึงได้สำแดงเดชซะอ่วมแบบนี้”

“ก็แค่เสน่ห์จันทร์สูตรแม่เกือบสิบชิ้น” ภูบดีหยุดคำพูดไว้แค่นั้นแล้วนึกได้ “ขอบคุณนะพี่ ผมหายดีแล้วอย่าบอกใครโดยเฉพาะแม่”

นภัทรถอนใจ นึกไว้ไม่ผิดเพราะได้ยินธารวารีมาปรับทุกข์เมื่อวันก่อนเรื่องไปเรียนทำขนมเสน่ห์จันทร์กับรมณีย์ ว่าจะเอาขนมมาให้เจ้าหนี้ซึ่งก็ไม่น่าจะใช่ใคร เขาพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้

“พี่รู้... ไม่ต้องพูดแล้ว พี่ไม่บอกใครหรอกทั้งป้าณี ทั้งรี ถ้าเป็นไปได้ก็ละทิฐิกลับไปหาแม่นายบ้างจะดีมาก นายมีแม่แค่คนเดียวนะ... อย่าลืม”

“เอาไว้กลับจากเอธิโอเปียก่อน ผมจะกลับไปหาแม่” ภูบดีตอบ “อย่างน้อยแม่จะได้ดีใจถ้าหากผมหาพี่เจอ”

“ยังไงพี่ฝากรีด้วยก็แล้วกันนะ พี่ไว้ใจนาย”

“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลเธอยิ่งกว่าชีวิตส่งให้ถึงมือพี่รุจอย่างปลอดภัย”

ภูบดียิ้มแห้งแล้งเต็มประดา นภัทรตบบ่าให้กำลังใจ ได้แต่เก็บงำเอาไว้ตามที่รุ่นน้องหนุ่มร้องขอไม่ให้ใครรู้ ไม่ว่าจะเป็นรมณีย์ ธารวารี รวมทั้งทิวาถ้ารู้คงเต้นผางอยากตามไปแน่นอน

+++++++++++++++++++++++++++++++++

บทนี้ยาวหน่อย ลงจบบทค่ะ
บทหน้าจะได้ออกเดินทางกันแล้ว
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่า ^___^



lovereason2
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 พ.ย. 2559, 13:56:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 พ.ย. 2559, 13:56:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 1108





<< บทที่ 5 ยายดอกการะเวก   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account