อัมฮารา...สุดปลายทางที่ความรัก (สนพ.ที่รัก)
เพราะคู่หมั้นหายตัวลึกลับในระหว่างปฏิบัติหน้าที่องค์การแพทย์ไร้พรมแดน ธารวารีจึงต้องออกตามหา โดยไม่รู้ว่านายพีคนจรที่คอยตามติด คือน้องชายของคู่หมั้นที่จากกันไปนานกว่าสิบปี สองหนุ่มสาวกับการเดินทางในดินแดนอารยธรรมเก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก...อัมฮารา
Tags: ตามรักสุดแดนตะวัน อัมฮารา รักดราม่า ผจญภัย

ตอน: บทที่ 5 ยายดอกการะเวก



เพราะสองสาวที่นั่งโต๊ะถัดไปตั้งอกตั้งใจรับประทานอาหารอย่างนิ่งเงียบราวกับปิดสวิตช์ เป็นความบังเอิญที่เขามาติดต่อบริษัททัวร์ตามเบอร์โทรศัพท์ที่อยู่ในห้างนี้ แถมห่างออกไปเพียงแค่บันไดเลื่อนกั้น

เขาเห็นหล่อนนั่งลำพังง่วนอยู่กับโทรศัพท์ท่าทางหงุดหงิดมากมาย คิดจะเข้ามาทักทายแสดงตัวตน แต่ก็ช้ากว่าชยานุชที่ตัดหน้าเขาไปฉิวเฉียด

ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มและหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อฟังบทสนทนาเมื่อครู่ที่เอ่ยถึงเขาจบ

เสียงช้อนส้อมกระทบกับจานไม่เบานัก ชยานุชชะงักมือที่กำลังตักสลัดเข้าปากค้างอยู่อย่างสงสัยในสีหน้าประหลาดของธารวารี จึงเอ่ยถามเพื่อนรักที่กำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่

“เป็นอะไรไป”

“ฉันว่าฉันได้ยินเสียงแปลกๆ เหมือนมีใครกำลังหัวเราะเยาะฉันอยู่”

“หืม... ที่ไหน” ชยานุชขยับตัวสอดส่ายสายตามองหาแล้วก็หันมาค้อน “ประสาทแล้ว แกโดนคุณหมอแว่นนั่นบลัฟจนจิตตก นึกว่าอะไรตามมาหลอกหลอนอยู่รึไง ไม่เอาแล้ว กินๆ ฉันรีบ ใกล้ได้เวลาที่ต้องเตรียมตัวสวยไปงานคืนนี้แล้ว”ฃ

“นี่ยังสวยไม่พอรึไง อีกตั้งหลายชั่วโมงไม่เห็นต้องรีบเลย”

“ได้ไงยะ เผื่อเจอเนื้อคู่ในงานคืนนี้ ฉันต้องสวยจัดเต็มก่อน”

ชยานุชหัวเราะเสียงดังไม่มีกระมิดกระเมี้ยนจนน่าหมั่นไส้ แล้วบทสนทนาก็หยุดลงอีกครั้งพร้อมกับสองสาวก้มหน้าก้มตากับอาหารตรงหน้า

ภูบดีนั่งพิงพนักกอดอกหลับตาอมยิ้มไปกับความรู้สึกดื่มด่ำบรรยากาศบทเพลงสากลที่เปิดคลอภายในร้าน และเสียงใสที่เพิ่งเงียบไปเมื่อครู่ของใครคนนั้น สีหน้าสลดวูบเมื่อนึกถึง

‘ยายดอกการเวก เธอคงจำได้แต่เจ้าชายขี่ม้าขาวของเธอเท่านั้นละมัง อย่างฉันคงเป็นได้แค่ตัวร้ายที่เธอเกลียดเหมือนเดิม’

ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลอบมองหญิงสาวผ่านกระจกอีกด้านของผนัง เห็นดวงหน้านวลยุ่งเหยิงแล้วก็อยากเข้าไปคุยกับหล่อนเหลือเกิน



ภูบดีก้าวขึ้นประจำที่นั่งคนขับ หยิบโทรศัพท์มือถือที่วางลืมไว้หน้าคอนโซลรถตั้งแต่มาถึงห้าง เปิดเช็คดูสายก็พบเบอร์ไม่คุ้นเคยโทรเข้ามาเกือบยี่สิบสาย นึกสงสัยว่าอาจจะเป็นธารวารีที่ติดต่อมา จึงจะกดโทรออกหาถ้าไม่เผอิญมีสายเข้าเสียก่อนซึ่งเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก

“ว่าไงวา”

“ทำอะไรอยู่ภู”

เป็นเสียงหล่อน ภูบดีถอนหายใจเฮือกกับประโยคคำถามที่ได้ยินซ้ำสองในรอบวันของคนปลายสาย สะกดกลั้นความรำคาญที่กำลังก่อตัว

“ทำธุระอยู่ใกล้เสร็จแล้ว ก็เห็นว่าไม่ให้ไปรับแล้วไม่ใช่หรือ”

ประโยคคำถามสั้น ๆ จากชายหนุ่ม ทำให้คนรอเสียงสั่นเทามาตามสาย ฟังดูคล้ายจะร้องไห้

“นึกว่าจะเป็นห่วงเราบ้าง เราบอกไม่ให้มารับ ภูก็เลยตามสบายเลย”

“แล้วจะเอายังไง เราเริ่มจะไม่เข้าใจวาแล้วนะ”

“ก็ไม่ได้จะเอายังไง เราไม่มีสิทธิ์ถามภูสินะ” น้ำเสียงปลายสายสั่น

“เราเป็นเพื่อนกันนะวา ไม่ได้เป็นแฟนซะหน่อยทำไมจะต้องอะไรมากมาย”

ภูบดีเริ่มจะอารมณ์เสียเช่นกัน เพราะเริ่มเดาทางเพื่อนรักไม่ถูก บางครั้งก็ดีบางทีก็แปรปรวนไม่ใช่ว่าไม่รู้ความรู้สึกของทิวา แต่หัวใจไม่ใช่สิ่งของไม่สามารถแลกเปลี่ยนให้เป็นอื่นได้ เขาเคยบอกหล่อนไปแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

“ก็เราเป็นห่วง”

“เอางี้ดีกว่า เดี๋ยวเรารับวาไปส่งที่คอนโด แล้วถือโอกาสคืนรถเลยก็แล้วกัน”

“เราบอกแล้วว่าให้ภูใช้ก่อน อย่าโกรธที่เราเซ้าซี้มากเลย”

“เรารู้ว่าหวังดี แต่เมื่อกี้ไปจองรถมาแล้ว กะว่ากลับจากเมืองนอกรถก็คงได้พอดีจะได้ไม่ต้องกวนวาอีก หรือไม่แน่ถ้าภายในสิบวันนี้รถมาก่อนก็ยิ่งดี เราจะได้จัดการให้มันเสร็จเรียบร้อยก่อนเดินทาง”

เขาปดหล่อน! แต่นั่นเพื่อตัดปัญหา

เพราะมัวแต่เอาเวลามาตามดูธารวารีอยู่ต่างหาก แต่จะบอกไปกระไรได้เพราะมีแต่จะทำให้ทิวาคิดมาก แล้วเจ้าหล่อนก็ยังไม่ยอมเลิกรากับปัญหาเรื่องรถราที่คาใจ

“บอกแล้วว่าไม่กวน ภูเพิ่งกลับมายังไม่ค่อยชินถนนหนทาง ที่ภูจะไปเราว่าจะลางานไป”

“เราไปธุระงาน ไม่ได้ไปเที่ยว วาไม่ต้องไปหรอก”

ภูบดีตัดบทไม่ใยดี คนปลายสายถึงกับเสียงเครืออีก

“นึกแล้วว่าต้องได้คำตอบนี้ อย่าบอกนะว่าจะไปกับคู่หมั้นพี่ชาย”

น้ำเสียงตัดพ้อจากคนปลายสาย ภูบดีได้แต่กำหมัดแน่นที่โดนจี้ใจดำ ยังไม่ตอบอะไรเพราะมัวแต่มองคนที่เดินคุยกับเพื่อนออกมาจากลิฟท์อย่างออกรสก่อนจะแยกย้ายกันไป ธารวารีเดินเข้ามาใกล้จุดที่รถของเขาจอดอยู่

“ภู... โกรธที่เราถามใช่ไหม”

“ไม่โกรธ แค่นี้ก่อนนะวา เรายุ่ง เอาเป็นว่าเดี๋ยวเจอกันก็แล้วกันนะ”

ภูบดีกดตัดสายทันทีที่เห็นธารวารีเปิดประตูรถคันที่จอดข้างกันฝั่งซ้าย ช่างบังเอิญจริงจังที่รถจอดข้างกันจนมองเห็นความเคลื่อนไหวของหญิงสาวได้ชัดเจน

หรือจะใช้โอกาสนี้แสดงตัวกับหล่อน!

หญิงสาวหอบของพะรุงพะรังพยายามเบียดตัวผ่านซอกเล็กระหว่างรถแล้วเปิดง้างออกไม่มากไม่ให้โดนรถเขา ท่าทางเก้กังโยนกระเป๋าสะพายเข้าไปก่อน ส่วนตัวหล่อนเอาของที่ซื้อมาหอบใหญ่ไปไว้ยังท้ายรถ

ภูบดีเหมือนจะหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อคนที่เขาติดตามตั้งแต่เมื่อวานอยู่ใกล้แค่เอื้อม มองตามการกระทำไม่คลาดสายตา มือจับอยู่ที่ประตูรถตัดสินใจจะเปิดลงไปช่วยหล่อนที่ท่าทางหนักไม่เบา แต่ธารวารีเบียดตัวขึ้นไปนั่งบนรถเสียก่อน เขาจึงได้แต่ถอนใจแต่ก็ยังเฝ้ามองหล่อนผ่านกระจกฟิล์มดำมืดสนิทภายในรถของตน

“บทจะไม่กล้าก็ปอดซะงั้น เป็นอะไรของแกวะไอ้ภู นั่นยายการะเวกเด็กดื้อของแกไง”

ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองพร้อมทอดถอนใจมองรถญี่ปุ่นสีเหลืองทองแล่นออกไปจนลับสายตา



ทิวากำโทรศัพท์ค้างอยู่นานโดยไม่ทันได้สนใจเลยว่าใครเดินเข้ามาภายในห้อง นภัทรหอบหนังสือปึกใหญ่มาวางอย่างแรงที่โต๊ะ จนทิวาสะดุ้งโหยง

“หมู่นี้คุณยุ่งจังนะ หมอวา รอแฟนมารับหรือไง ใจลอยจัง”

นภัทรสัพยอก รู้อยู่แล้วว่าหล่อนกำลังรอใครแต่ก็แกล้งถามไปอย่างนั้นเผื่อว่าบรรยากาศอึมครึมเมื่อครู่จะดีขึ้น แต่ทิวาก็ยังทำหน้าบอกบุญไม่รับก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ถ้าเป็นแฟนก็ดีสิคะ พี่ท็อป ฉันกลัวแต่ว่างานนี้ฉันจะแห้วตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลย”

“นายภูมีแฟนใหม่แล้วหรือ คุณถึงคิดอย่างนั้น”

นภัทรถามด้วยความสงสัย หล่อนยิ้มบางดวงตาเรียวเล็กใต้แว่นกรอบหนาคลอน้ำตาเล็กน้อย จนคุณหมอหนุ่มสังเกตเห็น

“คิดว่ายังไม่มีค่ะ ไม่เคยได้ยินว่าเขาควงใคร แต่อาจจะมีใครในใจ และฉันไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงกับเธอคนนั้นค่ะ เอ๊ะ! ทำไมพี่ท็อปถึงคิดว่าเป็นหมอภูหรือคะ” ทิวาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดความในใจ

นภัทรถึงกับหัวเราะลั่น คาดการณ์ไว้อยู่แล้วไม่ผิด ถึงแม้จะรู้สึกแปลก ๆ กับน้องชายคู่หมั้นธารวารีที่เป็นถึงศัลยแพทย์หนุ่มอนาคตไกล ได้ทำงานกับโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในออสเตรเลีย แต่กลับผันตัวเองกลับมาเมืองไทย แถมยังไม่เริ่มงานกับโรงพยาบาลไหนอย่างเป็นกิจลักษณะเอาแต่ลอยไปลอยมา เป็นอะไรที่คาดไม่ถึงสำหรับเขาและอยากหาคำตอบเช่นกัน




ธารวารีนำรถเข้าจอดใต้ต้นไม้ใหญ่ มีแม่บ้านสาวจอมป่วนวิ่งตามมาติด ๆ หลังจากปิดประตูรั้วเรียบร้อยก็มาช่วยหอบของเข้าบ้านอย่างขยันขันแข็ง ปากก็จ้อไม่หยุดจนหญิงสาวฟังไม่ทัน

“น้องรีซื้ออะไรมาเยอะแยะเลยคะ มีของฝากพี่รึเปล่า”

“เอ้า... ต้องมีสิจะลืมพี่นาคนเก่งได้ยังไง พายเจ้าอร่อยให้พี่นากล่องหนึ่ง จัดใส่จานให้แม่สักสองชิ้นด้วยนะ ห้ามให้เกินช่วงนี้แม่ต้องควบคุมน้ำหนักเห็นพี่ท็อปบอกแม่น้ำตาลสูงกลัวจะเป็นเบาหวาน ส่วนนี่ของใช้ของรีฝากพี่นาไปไว้ที่ห้องด้วยค่ะ”

“ไม่มีปัญหาค่ะ สุขภาพคุณป้าสำคัญที่สุด พี่นาจำได้ขึ้นใจเลย” นายิ้มแฉ่งกุลีกุจอรับของเต็มสองมือ

“แล้วช่างแอร์ที่นัดไว้เรียบร้อยดีรึเปล่า”

หล่อนนึกขึ้นได้เมื่อมองไปยังสตูดิโอก็เลยถามเรื่องที่ฝากฝังเอาไว้ แม่บ้านสาวยิ้มแหยอ้ำอึ้งจนน่าแปลกใจจึงถามย้ำอีกครั้ง แต่คนปากเก่งก็ยังคงได้แต่กรอกตาหลุกหลิกยิ้มไปมา

“ว่าไง พี่นา”

“เอ่อ... น้องรีขา คือว่า”

“เรียบร้อยแล้วยายรี แต่ไม่ใช่ช่างแอร์ของลูกหรอกนะ เป็นแม่นาต่างหากที่ร้อยก็เรียบ โดนแม่บ่นยกชุดไปเมื่อกี้โทษฐานพาผู้ชายเข้าบ้าน เห็นหล่อๆ เป็นไม่ได้เปิดประตูให้เฉยเลย คิดเองเออเองว่าเป็นช่างแอร์ นี่ดีนะที่เขามาดีเอาของมาคืนลูก ไม่งั้นมีหวังแม่กับยายตัวแสบชอบชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้านคงแย่แน่ ๆ ดูสิ ผู้หญิงอยู่กันสองคนแค่นี้”

ธาราบ่นเป็นชุด ธารวารีถึงกับตาโตกับสิ่งที่ได้รับรู้ หันมาเอ็ดคนหน้าเหมือนจะร้องไห้ด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก

“ทำไมไม่ถามให้ดี ๆ ก่อน ถ้าเกิดเป็นโจรห้าร้อยจะทำยังไงกัน”

“โธ่! น้องรีขา” นาจีบปากจีบคอตอบ “คุณเขามาดีค่ะ ใจดีซ่อมแอร์ให้ฟรี ๆ ไม่คิดสตางค์ด้วยนะคะ”

“นี่ความดีความชอบสินะ คราวหน้าห้ามเลยนะคะพี่นา รีจะไม่อยู่หลายวันอย่าให้เป็นห่วง”

หล่อนสั่งความเสียงเข้ม กำชับมั่นเหมาะแล้วหันไปหาแม่

“แล้วตกลงแอร์หนูได้ซ่อมรึเปล่าคะ วันนี้คงต้องขลุกอยู่ห้องมืดทั้งคืนด้วยสิ ใกล้ส่งงานแล้วด้วย”

ยิ่งนึกไปถึงภาพขาวดำที่จะต้องล้างอัดและคัดสรรเพื่อจะใช้เอาลงประกอบนิตยสารฮาวทูเกี่ยวกับการถ่ายภาพลงเป็นรายปักษ์ ซึ่งเป็นอีกงานที่เป็นรายได้หลัก

หล่อนยิ่งกังวลเพราะต้องทำล่วงหน้าระหว่างที่จะไม่อยู่และครบกำหนดที่ต้องส่งภาพให้โรงพิมพ์ในอีกสามวันเป็นอย่างช้าและต้องสต็อกไว้อย่างน้อยอีกสี่ตอนกันพลาดในช่วงเดินทางอีกด้วย แล้วยังมีนัดสัมภาษณ์อีก

“เรียบร้อยแล้วลูก ช่างที่ลูกนัดมาเสียเย็นเลย หลังจากคุณคนนั้นกลับไปนิดเดียว เขาว่าแอร์ปกติดี ไม่ได้เสียอะไรจะมีก็แต่เสียงหวีดที่ดังเป็นบางทีเห็นว่าค่อยมาทำให้ทีหลัง นี่เขายังงง ๆ อยู่ว่าหนูเรียกมาจะให้ซ่อมอะไร แอร์ออกจะเย็นเฉียบ”

“อ้าว! ทำไมเป็นงั้นล่ะคะ เมื่อวานนอกจากแอร์จะไม่เย็นแล้วนะ ยังมีเสียงดังที่คอมเพรสเซอร์อยู่เลย หนูยังกลัวมันจะระเบิด”

“เอ... หรือว่าโจรห้าร้อยรูปหล่อของน้องรีซ่อมให้แล้วคะคุณป้า” นาพูดแทรก

“ยายคนนี้ เขาเป็นคุณหมอนะ” ธาราตอบเสียงขุ่นแล้วบิดเนื้อคนพูดเต็มแรง “พูดอะไรระวังปากหน่อย”

“โอ๊ย! คุณป้าขา หนูเจ็บนะคะ” นากุมแขนหน้าบิดเบี้ยว

ธารวารีถึงกับอึ้ง เข่าอ่อนแทบยืนไม่ติด จะเป็นไปได้ยังไง! ถ้าคนที่เอาเอกสารมาส่งหล่อนคือคุณหมอภูบดีที่ประวัติการทำงานยาวอย่างกับแม่น้ำฮวงโหคนนั้นจริง เขาจะสามารถซ่อมแอร์ได้เหมือนซ่อมคนเชียวหรือ!

ธาราหยิบซองเอกสารที่วางไว้นอกชานยื่นส่งให้ หญิงสาวรับมาดูเมื่อเห็นโลโก้ซองสถานพยาบาลก็ถึงกับยิ้มกว้าง

“ของหนูจริงๆ ค่ะ ไม่ผิดแน่แล้วคนคนนั้นคือคุณหมอภูบดี”

“เดี๋ยวๆ เขาชื่ออะไรนะยายรี”

ธาราถามกลับตาโต ธารวารีถึงกับงงที่แม่สนใจช่างแอร์จำเป็นเป็นพิเศษ

“ภูบดี ค่ะแม่ มีอะไรหรือคะ”

“เปล่าหรอกจ้ะ แค่ชื่อเหมือนน้องชายรุจ” ธาราครุ่นคิด “แต่คนชื่อนี้คงเยอะละนะ”

หญิงสาวฟังแล้วยักไหล่ ไม่ใส่ใจนักเพราะห่างเหินกันไปนานจนหล่อนแทบจะลืมไปแล้ว สงสารก็แต่รมณีย์ที่รอแล้วรอเล่าแต่ลูกชายคนเล็กก็ไม่เคยกลับมา

ขนาดวันสำคัญของพี่ชายแท้ ๆ เขาก็ยังไม่มา นับประสาอะไรที่หล่อนจะใส่ใจ

“ถ้าหากจะเป็นคนเดียวกัน โลกมันก็คงกลมมากเกินไปค่ะ หนูว่าไม่ใช่หรอก ไม่งั้นเขาก็ต้องติดต่อมาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่รู้จักกันเสียเมื่อไหร่ ว่าแต่เขาใจดีจังต้องโทรไปขอบคุณ เอ... หรือจะเลี้ยงขอบคุณดี แม่ว่าไงคะ”

“ก็แล้วแต่ลูกเถอะ แล้วเอาไปลืมไว้ได้ยังไงยังไม่บอกแม่เลย”

“เมื่อเช้าที่หนูรีบออกไปก็จะไปเอาซองนี้แหละค่ะ ลืมไว้ตอนไปฉีดวัคซีน แล้วทางโน้นบอกว่ามีคนเก็บได้”

“อย่างนี้นี่เอง เขาถึงเอามาคืนให้”

ธาราพยักหน้ารับแล้วก็ถึงกับสะดุ้งเมื่อลูกสาวคนเดียวโวยวาย

“ตายแล้ว! แต่พี่นาไปใช้ให้เขาซ่อมแอร์” ธารวารีอุทานลั่น “โอย! หนูต้องโทรไปขอโทษเขาซะแล้ว”

“เปล่านะคะน้องรี พี่ไม่ได้ใช้คุณเค้าอาสาเองค่ะ”

“แม่ว่าแม่คุ้นหน้าเขายังไงก็ไม่รู้” ธาราแทรกสีหน้าครุ่นคิด

“คุณป้าคุ้นหน้าทุกคนที่หล่อนั่นแหละค่ะ มิน่าดูดี๊ดูดีอย่างกับนายแบบแถมราศีจับซะขนาดนั้น หน้าตารึก็น้องๆ พระเอกดัง พี่นาดูคนไม่ผิดจริงๆ ว่าเขาไว้ใจได้” นาหัวเราะร่วนลืมความผิดตัวเองหน้าตาเฉย

“ที่ว่าเหมือนพระเอกดังนี่ รีว่าพี่นาต้องดูละครมากไปแน่ ๆ”

ธารวารีขอความเห็นจากแม่ ยิ่งเห็นท่าทางปลื้มอกปลื้มใจของแม่บ้านสาวที่ดูติดจะเกินไปนิดยิ่งไม่อยากเชื่อ แต่เมื่อเห็นแม่พยักหน้าเห็นด้วย หล่อนยิ่งอึ้งเข้าไปใหญ่


หลังจากเก็บสัมภาระและเช็คความเรียบร้อยของเอกสารที่ได้คืน ธารวารีก็หอบหนังสือที่เพิ่งซื้อมาใหม่ตรงรี่ไปยังสตูดิโอ และจะเริ่มงานล้างอัดภาพขาวดำที่ทำค้างไว้วันก่อน สำรวจตรวจตราบริเวณโดยรอบแล้วไม่พบความผิดปกติใดจึงคลายใจ เดินตรงไปยังโต๊ะทำงานที่อยู่มุมหนึ่งของห้อง

กระดาษแผ่นใหญ่ขนาดเกือบเท่าเอสี่แปะไว้อยู่กลางโต๊ะ เขียนด้วยลายมือหวัดกว่าปกติ หล่อนต้องเพ่งแล้วเพ่งอีกกว่าจะอ่านเข้าใจในใจความสำคัญที่เขียนเอาไว้

‘ดูให้แล้ว ตั้งพัดลมต่ำไปทำให้แอร์ไม่เย็นเท่าที่ควรให้ช่างมาเติมน้ำยาแอร์เพิ่มอีกหน่อย เสียงหวีดที่ตัวคอมเพรสเซอร์ให้ช่างแอร์ตัวจริงถอดมอเตอร์ไปให้ร้านไดนาโมพันให้ใหม่น่าจะใช้ได้อีกนาน และอีกอย่าง ระวังอย่าเปิดประตูให้ใครเข้าบ้านง่าย ๆ อีกนะ... คุณช่างภาพ’
จาก... ช่างแอร์ตัวปลอม

“โอ้โห! ยังไม่ทันเจอกันก็เหน็บฉันซะแล้ว คุณทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกประชดยังไงก็ไม่รู้นะคะคุณช่างแอร์ตัวปลอม ฮึ”
ธารวารีบ่นพึมพำ ล้วงหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าสะพายมากดโทรออกหาคนลายมือหวัด ทันทีที่ปลายสายรับหล่อนถึงกับตาโต พูดตะกุกตะกักประหม่า

“สวัสดีค่ะ นั่นคุณหมอภูบดีใช่ไหมคะ”

เสียงใสเอ่ยก่อนจะเปิดประตูห้องมืดที่ตอนนี้สลัวเพราะแสงไฟสีแดง มือข้างที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์หยิบรีโมทขึ้นมาเปิด ไอเย็นเฉียบจากแอร์ตัวเก่งพ่นแรงตามกระดาษที่ปลิวว่อนหน้าแผง หญิงสาวมองผลงานช่างแอร์ตัวปลอมอย่างถูกใจ

“ใช่ครับ... คุณคือ”

เสียงของเขาไม่แก่สักนิด! นึกว่าเสียงจะสูงวัยตามภาพที่จินตนาการไว้ แต่ที่ไหนได้

“ฉันเองค่ะ คือฉันคือช่างภาพที่...”

หล่อนเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก เมื่อเจอคำพูดประหยัดคำจากเขา

“คุณธารวารี ผมรู้แล้ว”

“คะ! คุณรู้ได้ยังไงคะ ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเลย”

“ก็คุณเพิ่งบอกผมเมื่อครู่ว่าคุณคือช่างภาพ หรือไม่ใช่”

น้ำเสียงกวนแถมกลั้วเสียงหัวเราะมาตามสาย พาให้นึกฉุนไม่น้อย จากที่อยากขอบคุณด้วยการเลี้ยงอาหารสักมื้อ ธารวารีคอแข็งขึ้นมาอยากเปลี่ยนใจแต่ด้วยมารยาทและสำนึกในความใจดีที่เขาเป็นธุระให้ จึงต้องยั้งอารมณ์ไว้

“คือ... ดิฉันอยากจะเลี้ยงอาหารขอบคุณคุณหมอสักมื้อไม่ทราบว่าจะสะดวกไหมคะ”

“ไม่จำเป็น”

เสียงปลายสายห้วนและสั้นจนหล่อนปอดแต่ยังทำใจดีสู้เสือถามกลับไปอีกครั้ง คราวนี้ไม่ปล่อยให้เขาปฏิเสธแน่

“จำเป็นสิคะ คุณหมอชอบอาหารแนวไหน ไทย จีน ฝรั่ง หรือเอาเป็นอาหารไทยดีไหมคะ คุณต้องไม่เคยทานแน่ๆ เลย จำพวกตำรับชาววัง ข้าวแช่อะไรทำนองนี้ค่ะ”

“ไม่ต้องลำบากหรอกครับ เรื่องเล็กน้อย”

“ไม่ลำบากเลยค่ะ ฉันอยากขอบคุณคุณหมอจริง ๆ”

ธารวารีระล่ำระลักบอก แต่ดูเหมือนปลายสายไม่อาลัยใยดีกับน้ำใจตอบแทนของหล่อนสักนิด คำพูดตัดบทสั้นได้อีกจนหญิงสาวถึงกับหน้ามุ่ย

“งั้นถ้าคุณหมอไม่สะดวก เอาไว้ฉันจะฝากขนมตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ ไว้ที่คุณหมอทิวานะคะ อันที่จริงฉันอยากจะขอบคุณคุณด้วยตัวเองมากกว่า แต่ถ้าคุณลำบากใจก็ไม่เป็นไรค่ะ”

“ไม่ได้ลำบากใจ ผมเกรงใจ... ว่าแต่ขนมอะไรละ”

“คะ อ๋อ คุณอยากทานอะไรดีคะ ถ้าไม่ยากเกินไปฉันจะหามาให้คุณให้ได้เลย”

ธารวารีใจชื้นขึ้นมาอีกนิด แต่คิดหาคำตอบเรื่องขนมไม่ทัน ไม่คิดว่าเขาจะมีปฏิสัมพันธ์กับหล่อนขึ้นมาบ้างแค่เพราะขนมที่เอ่ยถึงเมื่อครู่

“เสน่ห์จันทร์”

“เสน่ห์จันทร์” หล่อนทวนคำ “คุณอยากทานขนมไทยหรือคะ”

“ใช่... เสน่ห์จันทร์ ถ้าหาได้ค่อยโทรมาอีกทีนะ ผมจะได้ไปรับถูก แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรไม่ต้องลำบาก เอาเป็นว่าขอบคุณล่วงหน้า”

“เดี๋ยว! เดี๋ยวค่ะ คุณหมออย่าเพิ่งวางค่ะ แล้วฉันจะไปหาได้ที่ไหน สมัยนี้หายากอยู่นะคุณ ถ้าเป็นเบเกอรี่ร้านดัง ๆ จะไม่ว่าสักคำเลย”

“ถ้าหาไม่ได้ก็แล้วไปเถอะ อย่างอื่นผมไม่อยากได้”

เขาตอบน้ำเสียงบ่งบอกความรำคาญเข้าให้อีก ธารวารีถึงกับมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่กลับมาเป็นภาพพักหน้าจอภาพดอกการเวกเหมือนเดิมอย่างงุนงง คนปลายสายตัดบทวางสายไปเฉย ๆ โดยที่หล่อนไม่ทันได้พูดจบด้วยซ้ำ

หญิงสาวได้แต่ขัดเคือง แล้วสายตาก็พลันเห็นภาพที่หล่นอยู่ที่พื้นไม่ไกลกับจุดวางถาดน้ำยาล้างอัดภาพมากนัก คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างคิดหนักแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างนึกได้

“ใช่แล้ว เสน่ห์จันทร์ของคุณป้าไง ใช่ ๆ ขนมอร่อยที่สุดในโลกจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจากขนมฝีมือคุณนายรมณีย์”

ธารวารียิ้มกว้างดวงตากลมสดใส มองภาพในมืออย่างนึกขึ้นได้ ภาพของรุจิภพคู่หมั้นหนุ่มที่ยิ้มแย้มร่าเริงสู้กล้องโอบกอดแม่ของเขาอย่างมีความสุข



ภูบดีมองโทรศัพท์มือถือในมืออย่างครุ่นคิด เขารู้สึกประหม่าไม่รู้จะพูดกับหล่อนอย่างไร ความรู้สึกโหยหาอดีตเริ่มกลับมาอีกครั้ง หยิบภาพถ่ายขาวดำที่แอบหยิบมาจากสตูดิโอออกมาเพ่งพิศ สองหนุ่มสาวในชุดไทยเรือนต้นสีขาวงาช้างนั่งอยู่บนพื้น โดยมีแม่ของเขาและแม่ของหล่อนนั่งบนเก้าอี้ในฐานะญาติผู้ใหญ่และรายล้อมด้วยญาติสนิทมิตรใกล้ชิดที่ต่างยิ้มแย้มอย่างมีความสุข โดยไม่มีแม้แต่ที่ว่างสักที่ที่เป็นของเขา

ร่างสูงใหญ่ยืดตัวขึ้นตรงคิดถึงคนที่เพิ่งคุยกันเมื่อครู่ เขาลังเลใจเมื่อหล่อนติดต่อมา ทั้งที่ใจหนึ่งก็อยากเจอหล่อนแทบบ้า แต่อีกใจกลับรู้สึกกลัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น

อาจเพราะว่าไม่ทันตั้งตัว ภูบดีถึงกับกุมขมับในความขลาดของตัวเอง…



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

บทที่นี้สั้นหน่อย ก็เลยลงเต็มบทเลยค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ

^____^



lovereason2
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 พ.ย. 2559, 13:57:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 พ.ย. 2559, 13:57:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 1260





<< บทที่ 4/2 ช่างแอร์จำเป็น   บทที่ 6 ขนมแทนใจใครบางคน >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account