ทิพย์อสงไขย (The guardians)
ทิพย์อสงไขย (The guardians)

ดวงตาเจ้าดั่งดวงดาวที่ทอแสง
เหมือนกลั่นแกล้งวาดบรรจงให้หลงใหล
แล้วดวงใจเล่าหนอเจ้ารอใคร
จึ่งมิเคยมองหญิงใดในโลกา


และเราจะได้พบกับคำตอบของคำถาม ว่าเพราะเหตุใด เธียรวัฒน์จึงไม่เคยมอบหัวใจให้หญิงใดในโลกา จนกระทั่งในที่สุดก็ยินยอมมอบมันให้กับผู้หญิงที่เขาเฝ้ารอ


ทิพย์อสงไขยจะนำท่านย้อนเข้าในในหน้าประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้
ท่องเที่ยวไปในช่วงเวลาแห่งความผันผวนระหว่างสองราชสำนักที่ยิ่งใหญ่ในดินแดนสุวรรณภูมิ ที่มีหงสารามัญเป็นเหตุแห่งชนวน
พร้อมพบกับความรักที่เกิดขึ้นท่ามกลางสงครามและความขัดแย้ง ระหว่างแม่ทัพแห่งราชสำนักอังวะ และนางมอญน้อยผู้ต้องการปกป้องแผ่นดินเกิดของตน


ไม่ต้องกลัวว่านิยายเรื่องนี้จะใช้ภาษาโบราณที่อ่านยาก (เพราะคนเขียนไม่ถนัดเหมือนกัน ^_^)
แต่จะเป็นนิยายโบราณที่เขียนด้วยภาษาค่อนข้างสมัยใหม่ เข้าใจง่าย อ่านได้เพลินๆค่ะ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๑ คำสาป

บทที่ ๑ คำสาป

ด้วยจิตอธิษฐาน แม้ว่ากาลจะผ่านไกล
อย่าคิดจะมีใคร ขอให้ใจถูกจองจำ
ชาตินี้พี่รักเจ้า เพราะโง่เขลาเชื่อน้ำคำ
ชาติหน้าพี่จะกำ หัวใจเจ้าเอาไว้ครอง

บทกวีเคล้าเสียงพิณล่องลอยมาจากแผ่นดินที่แห้งผาก ผ่านแม่น้ำอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาสีเหลืองขุ่น ข้ามผ่านเทือกเขาอันสูงชันที่ทอดผ่านกางกั้นสองแผ่นดิน มายังดินแดนอันเขียวชะอุ่มใต้เเสงจันทร์ดวงเดียวกัน


ท่วงทำนองที่บรรเลงนั้นแว่วหวานเศร้าลึกเป็นเหมือนดั่งคำสาปไปยังผู้ที่หลับใหลให้ลืมตาตื่นขึ้นมาในเวลาใกล้รุ่ง แม้นั่นจะเป็นเพียงแค่ความฝันอันเลือนลาง แต่ความเจ็บปวดร้าวลึกยังคงอบอวนสะท้อนสะท้านไปมาในความรู้สึก แต่นั่นก็ยังทำให้กังวลได้ไม่เท่ากับบางสิ่งที่จิตของเธอมองเห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

ร่างบางลุกจากเตียงและเหม่อมองไปยังสายน้ำนอกหน้าต่างที่ยังคงหลั่งไหล อยู่ท่ามกลางหมอกน้ำค้างในยามเช้า ภาพตรงหน้ายังคงงดงามเสมอ แต่เธอไม่ได้เห็นภาพนั้น
หลายชีวิตกำลังตื่นขึ้นและดำเนินไปอย่างปกติสุข แต่เธอไม่ได้เห็นชีวิตผู้คนเหล่านั้น
ภาพบ้านเมืองที่ยังเรืองรองอยู่ในความมืด รอจับกับแสงอาทิตย์ให้ระยิบระยับจับตามานับร้อยๆปี เธอมองไม่เห็นเช่นนั้น
จะต้องทำอย่างไรเธอจึงจะ‘ไม่’ทำให้ภาพที่เธอเห็น มันกลายเป็นจริงขึ้นมาได้!
ร่างบางจึงลุกขึ้นจากเตียงอย่างไม่รีรอ

ในความมืดมิด เสียงฝีเท้าหลายคู่วิ่งฝ่าความมืดไปตามทางเส้นเล็กๆสุดฝีเท้า เพื่อหนีจากกลุ่มคนที่ไล่ล่ามาตั้งแต่ดินแดนอันเป็นมาตุภูมิ เบื้องหลังเสียงกระหืดกระหอบคล้ายลมหายใจใกล้จะขาด ผสมกับความหวาดกลัวสุดชีวิต คือเสียงฝีเท้าม้าที่ดังไล่หลังมาอย่างรวดเร็วจนถึงตัว

เสียงกรีดร้องดังระงมป่า บางคนหกล้มหน้าคะมำ บางคนพยายามสะบัดตัวหนีเงื้อมมือของผู้ที่อยู่บนหลังม้า แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้น จากสิบกว่าคนก็เหลือเพียงสี่ห้าคนเท่านั้นที่ยังคงวิ่งหลุดมาได้อย่างหวุดหวิด โดยอาศัยจังหวะชุลมุนวิ่งหลบเข้าไปในโขดหินตรงหลืบเขาข้างทาง แล้วซ่อนตัวอยู่นั้นอย่างเงียบกริบ ต่างคนต่างได้แต่เพียงมองหน้านั้น แม้เหงื่อกาฬจะแตกพล่านด้วยความหวาดกลัว แต่ทุกคนกลับรู้สึกหนาวเหน็บจนแทบขาดใจ

นานเท่านั้นจนเสียงวุ่นวายด้านนอกสงบลง พร้อมกับเสียงฝีเท้าม้าที่ทิ้งห่างออกไปจากจุดสั้น แต่จะคนจึงค่อยๆขยับตัวแล้วคลานต่อเข้าไปในป่า เพื่อหาทางข้ามเทือกเขาสูงเพื่อลงไปยังดินแดนอีกฟากที่เป็นจุดหมายในการลี้ภัย

ชายวัยกลางคนพยายามเพิ่งมองผู้ที่ยังเหลือรอดในความมืด คือชายวัยฉกรรจ์สองคน และเป็นหญิงอีกสองคน ทุกคนยังคนหน้าซีดหน้าเซียวจากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้น และแต่ละคนก็ยังไม่รู้เลยว่า ตนเองจะหนีรอดไปถึงพรุ่งนี้เช้าได้หรือไม่

โดยที่ไม่มีใครพูดอะไร แต่ต่างคนต่างก็เดินตามกันเข้าไปในป่าที่รกชัฏอย่างเงียบกริบ ให้ผู้ชำนาญทิศทางมากที่สุดเป็นผู้นำทาง แต่ละมือก็ค่อยๆแหวกกิ่งไม้ระเกะระกะไปในความมืดมิด มุ่งหน้าเดินข้ามเขาไปอีกไม่กี่ลูก ก็จะเป็นเส้นทางลงสู่พื้นราบเบื้องล่าง

เวลาผ่านไปนานครึ่งค่อนคืนที่เหมือนว่าจะใกล้จุดหมายเข้าไปทุกที คนทั้งห้า คนที่นำทางค่อยๆโผล่หน้าออกมาจากพงป่าเพื่อดูว่าถนนที่ปรากฏขึ้นตรงหน้านั้นปลอดภัยหรือไม่ในยามฟ้าใกล้สางเช่นนี้

เมื่อหนทางปลอดโล่งไร้ร้างผู้คน จึงชั่งใจอยู่นานว่าจะออกมาดีหรือไม่ เพราะอีกใจหนึ่งก็อยากจะเร่งรีบหนีให้พ้นเสียตั้งแต่ฟ้ายังมืด ถ้าฟ้ายิ่งสาง การหนีอาจจะยากลำบากมากกว่าเดิมก็ได้

ชั่งใจอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะทำเพียงวิ่งข้ามไปอีกฟากแล้วตลุยป่าลงไปตามเนินเขานั่นล่ะดีที่สุด ลำบากหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าเดินไปตามเส้นทางแล้วเจอใครเข้า เมื่อตกลงกันแล้ว บุคคลทั้งห้าจึงวิ่งอย่างรวดเร็วเพื่อจะตัดถนนข้ามไปยังอีกฟาก แต่ก็ปรากฏว่า อีกฟากนั้นเป็นผาหินเตี้ยๆ แต่ก็สูงพอที่จะทำให้คนที่กระโดดลงไปแข้งขาหักเอาได้ ทุกคนจึงรีบวิ่งไปตามข้างทางเพื่อหาจุดที่พอจะลงป่าอีกฟากถนนได้ เพราะอีกเพียงนิดเดียวก็จะถึงพื้นราบด้านล่าง ที่ๆพวกเขาพอจะหาที่หลบซ่อนแห่งใหม่ตามหมู่บ้านเล็กๆ ทุกคนมุ่งหน้าไปอย่างมีความหวัง

แต่แล้ว...ทุกฝีเท้าก็ต้องชะงัก เมื่อเส้นทางสายเล็กๆนั้นนำพาพวกเขามาเจอกับสิ่งที่ตกตะลึง
ฝูงม้ายืนสงบนิ่งรออย่างเงียบกริบ อยู่ในไอหมอกมืดสลัวในเวลาเช้ามืด ผู้ที่อยู่บนหลังม้าแต่ละตัวดูเหมือนกำลังรอพวกเขาอยู่อย่างใจเย็น

"จับมัน..." เสียงราบเรียบเอ่ยมาจากเงาตะคุ่มนั่งนิ่งที่อยู่บนหลังม้าตัวหนึ่ง

ซึ่งก็แทบจะเป็นเวลาเดียวกับทีฝูงม้าวิ่งควบเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็วดั่งลูกศรพุ่งออกจากคันธนู!
"กรี๊ด!!"
เสียงหวีดร้องของผู้หญิง และฝีเท้าที่วิ่งหนีกันอลหม่านไปคนละทิศละทางอย่างเสียขวัญ บางคนน้ำตานองหน้าอย่างสุดกลั้นกับความหวาดกลัวที่ถาโถมเข้ามา พร้อมๆกับความหวังที่สูญสลายไปในพริบตา

‘เคร้ง!’

ทันใดนั้นก็เกิดเสียงโลหะกระทบกันดังสนั่นมาจากเบื้องหลัง และดังต่อเนื่องเป็นจังหวะหนักแน่นอย่างไม่ลดราวาศอก ทั้งห้าคนไม่มีใครเลยที่กล้าพอจะหันหลังกลับไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างคนต่างวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต

จนเมื่อมีฝีเท้าม้าจำนวนหนึ่งควบตามพวกเขามาอย่างรวดเร็ว พร้อมฉุดให้คนที่วิ่งหนีตายทั้งห้าชีวิตให้ขึ้นมาอยู่บนหลังม้าแต่ละตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งทะยานไปข้างหน้าที่เป็นเส้นทางลาดลงไปตามเนินเขา เพื่อลงไปสู่พื้นราบเบื้องหน้า พร้อมมีเสียงฝีเท้าม้าอีกกลุ่มที่ไล่ตามมาอย่างไม่หยุดยั้ง และดูเหมือนว่าระยะทิ้งห่างจะลดลงเรื่อยๆ
แต่ก่อนที่ผู้ไล่ล่าจะตามมาถึงตัว เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น...

จิตติ วิตัง นะกรึง คะรัง...

ท่ามกลางหุบเขาและไม้ใหญ่ ท่ามกลางช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย เสียงใสก้องกังวาลนั้น ดังสะท้อนสะท้านกลับไปกลับมาอยู่ในป่านั้น จนไม่อาจจับทิศทางได้ว่ามาจากแหล่งไหน เหมือนไม่ได้ยินแค่หู แต่มันกลับดังเข้าไปในความคิดของผู้ที่มีจิตคิดรุกรานผู้อื่นอยู่ ณ ที่แห่งนี้

ทันทีที่สิ้นเสียงปริศนา ภาพหนทางเบื้องหน้าของฝูงม้าที่ติดตามมา ก็ปรากฏหมอกหนามาบดบังฝูงม้าที่ควบหนีอยู่ข้างหน้าเอาไว้จนมิด แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผู้ตามคิดจะชะลอฝีเท้าม้าอย่างอย่างใด จนกระทั่งเมื่อหมอกมลายไปอย่างฉับพลัน จึงเห็นเป็นดงไม้สูงใหญ่ปรากฏขึ้นมาขวางกั้น จากถนนที่เคยทอดยาวก็สิ้นสุดลงเพียงแค่นั้น กลายเป็นเส้นทางตันในทันใด!
ผู้ไล่ล่ากระชากบังเหียนม้าเอาไว้เกือบไม่ทัน ก่อนที่ตนจะปะทะเข้ากับต้นไม้ใหญ่

แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังพยายามที่จะเสาะหาว่าทางที่หายไปนั้น มันไปหลบอยู่เสียที่ไหน และทำท่านจะฝ่ามันไปให้ได้ หากไม่มีเสียงเรียบของผู้เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น

“ไม่ต้อง”

“ขอรับ อูอองเทียน” ทั้งหมดจึงยอมหยุด

เจ้าของนามที่ถูกเรียกนั้นมองไม้ใหญ่ที่ขวางกั้นอยู่เบื้องหน้า
เพราะแม้จะฝ่ามันอันออกไปได้ แต่คนของเขาก็มีจำนวนน้อยเกินกว่าที่จะไปปะทะกับคนที่รออยู่ที่พื้นราบเบื้องล่างที่ก็ไม่รู้ว่าจะมีอีกเท่าไหร่ หากเดินหน้าปะทะ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะชนะแล้วนำตัวเชลยกลับไปได้

สายตาคมกริบมองปลายทางที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังกำแพงต้นไม้อีกครั้ง ก่อนจะดึงบังเหียนม้าเพื่อหันกลับ เพื่อข้ามเทือกเขากลับไปยังดินแดนของตน

สาวน้อยหลับตาปี๋เกาะอยู่เบื้องหลังเจ้าของม้าไม่ยอมปล่อยตั้งแต่รู้ว่ามีคนมาช่วย โดยไม่แม้แต่จะสังเกตว่าฝีเท้าม้าได้หยุดลงเรียบร้อยแล้ว และหากไม่มีคนมาช่วยดึงตัวลงมา ก็คงจะเกาะอยู่อย่างนั้นได้เป็นวันๆ

“ลืมตาได้แล้ว” แม้เสียงที่พูดนั้นจะเป็นคนละภาษา แต่เธอก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี เพราะบ้านไม่ได้ห่างจากชายแดนมากนัก จึงเรียนรู้จากผู้คนที่ค้าขายกันไปมาระหว่างสองดินแดน

เมื่อหายตกใจและลืมตา จึงเห็นว่าเธอเองและอีกสี่คนที่เหลือกำลังยืนตัวสั่นอยู่ท่ามกลางวงล้อมของผู้คนในสถานที่ที่สว่างไสวด้วยคบเพลิงในยามที่ฟ้าใกล้สว่างเต็มที ทั้งหมดที่รายรอบเป็นชายฉกรรจ์ในเครื่องแบบทหารไม่ต่างกัน

พอรู้ว่าตัวเองรอดแล้ว ทุกคนจึงพากันยกมือไหว้ผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือ ที่เพิ่งเห็นชัดใต้แสงไฟว่าเป็นทหารจริงอย่างที่คาดเดาเอาไว้ เพราะแม้ในความมืด เสียงดาบที่ปะทะอย่างมีชั้นเชิงกับฝ่ายตรงข้ามอย่างเชี่ยวชาญที่ได้ยินนั้น บ่งบอกได้ว่าแต่ละคนต่างก็เป็นยอดฝีมือที่ฝึกปรือมาอย่างดี ไม่ใช่กลุ่มพรานป่าล่าเนื้ออย่างแน่นอน

“ที่นี่คือที่ไหนหรือ” หนึ่งในชายผู้รอดชีวิตเอ่ยถามอย่างกล้าๆกลัวๆ

“ด่านสิงขร” นายทหารผู้หนึ่งตอบ จนคนฟังต้องประหลาดใจที่ตนเองหนีมาไกลถึงที่นี่ แต่ที่ต้องประหลาดใจมากกว่านั้นก็คือ เมื่อได้ยินเสียงใสเอื้อนเอ่ยจากร่างบอบบาง ผู้ซึ่งเดินผ่านความมืดสลัวเข้ามายังเเสงไฟ

“เรารอเจ้าอยู่ทีเดียว...เมย”

เจ้าของเสียงนั้นคือสาวน้อยแรกรุ่นที่มาหยุดยืนที่ตรงหน้า และส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
ดวงตาใสเเจ๋วของสาวน้อยผู้รอดชีวิตเมียงมองอีกผู้หนึ่งที่อายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ ผู้ซึ่งมีผิวผุดผาดงดงามแม้อยู่ในความมืดสลัว

สาวน้อยผู้นั้นอยู่ในชุดนุ่งห่มที่เธอไม่คุ้นเคย ผ้านุ่งยาวกรอมเท้าพับจับจีบเป็นระเบียบสวยงามอยู่เบื้องหน้าและมีปั้นเหน่งสูงค่าคาดทับที่สะเอว ท่อนบนมีผ้าผืนยาวพันรอบอกแล้วเบี่ยงพาดไหล่ไว้เพียงข้างเดียว ทิ้งชายยาวๆเอาไว้ข้างหลัง เปิดไหล่กลมกลึงเผยผิวละออนวลอีกข้างไว้ และสวมสร้อยสีทองยาวๆคาดเฉียงจากหัวไหล่ไปคล้องที่บั้นเอวอย่างสวยงาม ผมยาวดำขลับไม่ได้เกล้ามวยขมวดมุ่นไว้กลางศีรษะเหมือนเช่นเธอ หากแต่ปล่อยลงประบ่ายาวไปถึงกลางหลัง ล้อมกรอบใบหน้าพริ้มพราย งดงามเฉิดฉายยิ่งนัก

รอยยิ้มที่ส่งมานั้นงดงามราวกับจันทร์ฉาย สะกดให้ผู้มาใหม่มองคลายความหวาดกลัวและกังวลไปได้อย่างน่าประหลาด

ผู้ที่ถูกเอ่ยชื่อนั้นเบิ่งตาโตด้วยความประหลาดใจ ไม่ใช่เพียงเพราะผู้นั้นรู้นามของเธอเท่านั้น

แต่น้ำเสียงใสนั้น คือเสียงเดียวกันกับที่กังวาลอยู่ในป่า!

‘แม่หญิง’ ยิ้มให้กับผู้รอดชีวิตชาวหงสาวดีเพื่อปลอบประโลม ก่อนมองกลับไปยังเทือกเขาตะหง่านที่แบ่งแยกสองแผ่นดินเอาไว้

ในที่สุดเ เธอก็ช่วยให้คนเหล่านี้รอดเงื้อมมือขุนพลของราชสำนักอังวะมาได้อย่างหวุดหวิด

และถึงแม้จะไม่ได้ประจันหน้ากันวันนี้ แต่อีกไม่นานเธอและเขาก็จะได้พบกันอยู่ดี…อูอองเทียน

**************************

เอาตัวอย่างมาให้อ่านกันค่ะ และนี่คือ เต็คเธียรภาคพิศดาร
ขอบคุณทุกท่านที่ยังรอนะคะ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเหลือกี่คนค่ะ
รักคนอ่่านเสมอ




นาวาร้อยกวี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ธ.ค. 2559, 23:04:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ธ.ค. 2559, 12:16:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 5778





   บทที่ ๒ วิวาห์เหาะ >>
Zephyr 2 ธ.ค. 2559, 23:29:12 น.
โอ้ะๆๆๆๆๆๆ อูอองเทียน
นางเอกคือแม่หญิงมีวิชาคนนี้รึ
ย้ายจากไทยไปแต่งพม่ารึคะ


kaelek 3 ธ.ค. 2559, 06:55:49 น.
และแล้วก็กลับมา..คิดถึง..อองอูเทียน&เมย&แม่หญิง


goszy 3 ธ.ค. 2559, 10:58:53 น.
รอค่าาาา แต่อ่านละงงนิดหน่อย เดี๋ยวกลับมาอ่านใหม่


นาวาร้อยกวี 3 ธ.ค. 2559, 11:33:21 น.
ตอนแรกจะงงค่ะ เพราะยังไม่รู้ว่าอะไรยังไง ใครเป็นใครค่ะ เดี๋ยวรออ่านตอนต่อไปนะคะ


แว่นใส 3 ธ.ค. 2559, 12:04:39 น.
แม่หญิง เป็นใครอะ เพราะน้องเมยกับอองเทียน คือน้องเมยกับพี่เธียรใช่ไหม


chocoholic 4 ธ.ค. 2559, 00:06:54 น.
รอตอนต่อไปนะคะ น่าสนใจจริงๆ อูอองเทียน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account