รัตติสรวง
Tags: เจ้าหญิง,เจ้าชาย,ศศิอักษร
ตอน: บทที่ ๑ | เ จ้ า ห นู ตั ว ม อ ม ๑
ธงสี่เหลี่ยมผืนผ้าพื้นดำ กลางธงเป็นรูปสุนัขจิ้งจอกตัวเขื่องอยู่ใต้ดาบยาวโค้งสองเล่มวางไขว้กันมัดติดกับปลายเสาไม้ ปักอยู่กลางทุ่งดอกหญ้าที่กำลังไหวเอนตามแรงลม ปลายธงปลิวสะบัดเฉกเช่นชายผ้าโพกศีรษะของคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เขาเป็นชายหนุ่มร่างบึกบึนสูงใหญ่ สวมเสื้อแขนยาวกางเกงขายาวหุ้มข้อสีดำดูรัดกุม ที่เอวผูกด้วยผ้าคาดเอวสีเดียวกันปลายข้างหนึ่งมีไหมสีเทาปักอยู่เป็นคำว่า ‘รัตติธร’
สายหมอกสีขาวลอยอ้อยอิ่ง ระเรี่ยอยู่บนพื้นดินจนแทบจะกลบความเขียวชอุ่มของผืนป่าไปจนหมดสิ้น ไกลออกไปเป็นยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหมอก ขาวโพลนทั้งสามยอดเขา…จุดที่เขายืนอยู่คือเทือกเขาละวิน เป็นยอดดอยสูง อากาศหนาวเย็นตลอดปี มีชนเผ่าอาศัยอยู่หลายสิบเผ่า อยู่กันอย่างสันติภายใต้การปกครองของหัวหน้าเผ่าอัสสนีนามว่าชรัณ และเรียกดินแดนของตนเองว่าอัศวคีรี …เป็นดินแดนแห่งภูเขาและอาชาไนย
ชาวอัศวคีรีนอกจากจะทำเกษตรกรรม และหาของป่าขายแล้ว ยังเพาะพันธุ์ม้าขายด้วย ม้าของที่นี่เป็นม้าพันธุ์ดี…หน้าแหลมเรียว จมูกเชิด คางเป็นสันกลม รูปร่างของมันสูงใหญ่แต่ปราดเปรียว แข็งแกร่ง กำยำ ทนทาน ฉลาด ว่องไวและมีความตื่นตัวสูง ม้าที่โดดเด่นที่สุดของชาวอัศวคีรีคือเจ้าสีทอง ที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะขนของมันเป็นสีทองอ่อนๆ ตลอดทั้งตัว ดู
บัดนี้เจ้าสีทองส่งเสียงร้องเบาๆ ในลำคอ และหายใจฟืดฟาดราวกับหงุดหงิด อาจเพราะมันถูกผูกติดกับต้นสนนานเกินไป หรือไม่…อาจเพราะผู้เป็นนายเอาแต่ยืนเหม่อมองท้องฟ้า สายหมอกและยอดเขาจนละเลยมันก็เป็นได้
กระทั่งเจ้าสีทองส่งเสียงเป็นคำรบสอง ผู้เป็นนายจึงเหลียวมามอง ใบหน้าของเขาคมสันด้วยคิ้วเข้ม จมูกโด่ง ริมฝีปากหยักได้รูป แม้ผิวของเขาจะขาวจัด แต่ไรหนวดเขียวจางตามแก้มและคาง รวมถึงริมฝีปากแดงๆ คู่นั้นก็ทำให้เขาไม่ ‘จืด’ จนเกินไป ส่วนที่สะดุดตาที่สุดคือดวงตา…สีดำเหลือบเทาจางๆ ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน เพราะในอัศวคีรีไม่มีใครมีสีตาเช่นนี้เลยแม้แต่คนเดียว
“จะรีบไปไหนเล่าสีทอง อยู่อีกสักพักไม่ได้หรือ”
เป็นคำถามกึ่งร้องขอ แต่พอมันพ่นลมหายใจหนักๆ ก็รู้ว่าคือคำปฏิเสธ
“เอาละๆ กลับก็กลับ” เขาก้าวยาวๆ มายืนข้างมัน ยกมือลูบแผงคออย่างปลอบประโลมกึ่งออดอ้อน “อย่าโมโหน่า” พูดจบก็หยิบคันธนูและกระบอกบรรจุลูกธนูที่วางอิงต้นสนขึ้นมาสะพาย แล้วกระโดดขึ้นควบบนหลังเจ้าสีทอง มือข้างหนึ่งกุมบังเหียน มืออีกข้างดึงชายผ้าโพกศีรษะมาปิดใบหน้าส่วนล่างของตัวเองไว้ จากนั้นจึงออกคำสั่งให้อาชาคู่ใจเหยาะย่างลงจากยอดเขา
ยามหมอกลงหนา การเดินทางย่อมยากลำบากเป็นเท่าตัว สำหรับคนที่คุ้นเคยกับพื้นที่ในแถบนี้อย่างเขาก็ยังต้องระมัดระวัง เจ้าสีทองเป็นม้าเลือดร้อน มันชอบวิ่งมากกว่าเดิน เขาต้องคอยปรามมันเป็นระยะๆ ไม่ให้มันห้อเหยียดเต็มฝีเท้าอย่างไม่ดูทิศดูทาง
ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะลงมาถึงตีนเขา มีทางเดินดินเล็กๆ ขนาบข้างด้วยต้นสนสูงชะลูดทอดยาวสุดลูกหูลูกตา อาจเพราะมีน้อยคนที่ใช้เส้นทางนี้ หญ้าจึงขึ้นจนรกชัฏแทบมองไม่เห็นพื้นดินเบื้องล่าง
เจ้าสีทองเดินเนิบนาบตามคำสั่งของผู้เป็นนาย กระนั้นมันก็ยังพ่นลมหายใจฟืดฟาดอย่างหงุดหงิดเพราะใจจริงคงอยากวิ่งตะบึงให้ถึงบ้านเร็วๆ เสียมากกว่า แต่ในชั่วขณะหนึ่ง จู่ๆ มันก็ชะงักกึกอย่างไม่ปี่มีขลุ่ย ศีรษะสะบัดขึ้นลง ลมหายใจยิ่งถี่กระชั้น เร็ว แรง หางกวัดแกว่งไกวไปมาราวกับสำเหนียกถึงอันตรายบางอย่าง ผู้เป็นเจ้าของจุ๊ปากเบาๆ แล้วลูบแผงคอของมันอย่างปลอบประโลม
“ชู่ว์…นิ่งไว้สีทอง” เสียงนั้นดังเพียงกระซิบแต่ก็แฝงด้วยอำนาจไว้ในที “เดินต่อไป”
ราวกับฟังรู้เรื่องและเข้าใจ เจ้าสีทองก้าวเดินต่อด้วยท่าทีสงบ ในขณะที่เจ้าของ…สองตาหลุบต่ำ อาศัยแพขนตายาวพรางประกายเรืองรองในดวงตาคู่นั้น
ฟุบ!
เพียงเสี้ยวลมหายใจ อะไรบางอย่างพุ่งออกจากพุ่มไม้ทางด้านซ้าย แหวกผ่านอากาศด้วยความเร็ว แรง และทรงพลัง ชายผู้นั่งหลังตรงเป็นสง่ารีบก้มลงแนบลำตัวกับแผงคอม้า สิ่งนั้นสะกิดต้นแขนของเขาจนเสื้อขาดเป็นทาง ก่อนจะพุ่งผ่านเลยไปและปักลงตรงกลางต้นไม้อีกฟากหนึ่ง
ฉึก!
ลูกธนูแทรกลึกเข้าไปในเนื้อไม้เกือบครึ่ง ปลายของมันสะบัดแกว่งไกวได้ยินชัดเจน ท่ามกลางความเงียบสงัดของผืนป่าที่มีแต่เสียงลมหวีดหวิวและเสียงลมหายใจของเจ้าสีทอง
เขายังคงนิ่งราวกับรอคอยอะไรบางอย่าง กระทั่งแว่วเสียงฟุบดังขึ้นอีก แววตาของเขาจึงกร้าวขึ้น ชายหนุ่มพลิกกายลงจากหลังม้าอย่างว่องไว ไม่ลืมที่จะตบก้นเจ้าสีทองเพื่อให้มันหลบปลายลูกธนูที่เพิ่งพุ่งออกจากพุ่มไม้พุ่มนั้นด้วย
ลูกธนูและคันธนูอยู่ในมือ เขายกขึ้นประทับเล็ง เป้าหมายคือหลังพุ่มไม้อันหน้าทึบนั้น แว่วเสียงสวบสาบ ใครที่ซุ่มอยู่คงกำลังจะหนี เขาหรี่ตาลงก่อนปล่อยมือ
ฟุบ!
ลูกธนูหลุดออกจากแล่ง พุ่งผ่านพุ่มไม้นั้น ก่อนจะปักลงบนเป้าหมาย
“โอ๊ะ…” ได้ยินเสียงร้องอยู่แว่วๆ ก่อนจะเงียบหายไป ถ้าไม่เพราะบาดเจ็บหมดสติ ก็อาจพยายามหาที่ซ่อนตัวอยู่
ยังไม่ทันที่เขาจะคิดทำการสิ่งใดต่อไป ใครคนหนึ่งก็ควบขับม้าตรงเข้ามาหา ม้าตัวนั้นสีน้ำตาลเข้ม ตัวใหญ่แต่วิ่งอย่างปราดเปรียด ยังไม่ทันหยุดดีด้วยซ้ำเมื่อตอนที่ใครคนนั้นกระโดดลงมาแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าเขา
“รีบกลับเถอะขอรับท่าน ข้าเพิ่งได้ข่าวมาว่ามีคนคิดทำร้าย…”
“นู่น” พูดยังไม่ทันจบ ‘ท่าน’ ก็บุ้ยปากไปทางต้นไม้ใหญ่ “เจอแล้ว”
น้ำเสียงเรียบเฉยราวกับการถูกลอบฆ่าไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร
“ไปเอาตัวมันมาให้เรา”
สิ้นเสียงออกคำสั่ง ผู้เป็นลูกน้องก็ผงกศีรษะรับคำ แล้วผลุบหายเข้าไปหลังพุ่มไม้ใหญ่ ใช้เวลาไม่นานเขาผู้นั้นก็หิ้วปีกชายร่างผอมผู้หนึ่งออกมา เลือดชุ่มโชกเสื้อสีเขียวขี้ม้าจนเปรอะเปื้อนเป็นด่างดวง ปลายลูกธนูปักอยู่บนบ่าด้านซ้าย หากต่ำกว่านี้อีกสักหน่อย ลูกธนูหัวทองดอกนั้นคงปักลงกลางหัวใจของมันไปแล้ว
‘ท่าน’ กระชากผ้าปิดใบหน้าส่วนล่างออก ตาหรี่ลงอย่างประเมินยามจับจ้องชายผู้คิดลอบทำร้ายตนเอง
พลันที่เห็นมีดปักอยู่บนอกด้านซ้าย คิ้วเข้มก็ยิ่งขมวดเข้าหากัน แววตาสีดำเหลือบเทาผิดหวังไม่น้อย เพราะหมดโอกาสที่จะค้นหาความจริงจากชายผู้นี้เสียแล้ว ดูจากมีดที่ปักจนมิด ย่อมไม่ใช่การฆ่าตัวตาย แต่มีใครอีกคนหนึ่งซุ่มดูอยู่ พอเห็นว่างานผิดพลาด ก็เลยจัดการคนคนนี้ซะไม่ให้เขาสืบสาวไปถึงต้นตอได้
“เป็นไงบ้าง?”
“ตายแล้วขอรับ”
อนล…คนสนิทของเขาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อมระคนเคร่งเครียด
“คนทำน่าจะเป็นนักฆ่าฝีมือดีนะขอรับ” ว่าพลางกระตุกมีดสั้นเล่มนั้นออกมาพลิกดูคร่าวๆ
“เพิ่งทำขึ้นใหม่ ไม่รู้ว่าเป็นของพวกไหน” จากนั้นก็ก้มศีรษะโค้งคำนับจนลำตัวแทบจะขนานกับพื้น “กระผมจะรีบไปหาตัวมันให้พบ”
“ไม่ต้องหรอก ป่านนี้มันคงหนีไปไกลแล้วแล้วมันก็คงไม่ยอมให้จับง่ายๆ ด้วย ไว้ค่อยสืบทีหลังว่าเป็นฝีมือใคร รีบกลับกันเถอะ” สั่งเสร็จก็ผิวปากเรียกเจ้าสีทอง ก่อนจะกระโดดขึ้นควบมัน
“ช่วยฝังเจ้าหนุ่มนั่นให้ด้วยนะอนล”
กล่าวทิ้งท้ายก่อนสั่งให้อาชาคู่ใจห้อตะบึงเต็มฝีเท้า คนสนิทจึงได้แต่มองตามด้วยความอึ้ง ทึ่งและระอาใจ
…ก็ใครบ้างที่คิดว่างานอื่นสำคัญกว่าตามหาตัวคนที่ลอบฆ่าตัวเอง คงมีแต่เจ้านายของเขาเพียงคนเดียวนี่แหละ!
ใช้เวลาไม่นานจึงมาถึงประตูทางเข้าหมู่บ้าน ประตูนั้นทำจากไม้ มีป้ายชื่อห้อยลงมาจากคานเอียงกระเท่เร่ บนนั้นแกะสลักคำว่าอัสสนี แลเลยไปทางด้านหลังประตูจะเห็นทางเดินดินทอดยาวคดเคี้ยวไปสุดลูกหูลูกตา ขนาบข้างด้วยบ้านไม้ไผ่เก่าบ้างใหม่บ้างสลับกันไป บ้างก็เป็นเรือนไม้สองชั้นซึ่งพอจะเดาได้ว่าน่าจะเป็นของคนใหญ่คนโตหรือค่อนข้างมีฐานะ
ชายหนุ่มสั่งให้เจ้าสีทองเหยาะย่างไปจนเกือบท้ายหมู่บ้าน แล้วสั่งให้หยุดอยู่ตรงหน้าบ้านไม้สองชั้นซึ่งร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบ เขากระโดดลงจากหลังม้า ตบแผงคอเจ้าสีทองสองสามที ก่อนสาวเท้าผ่านประตูที่เปิดอ้าเข้าไปด้านใน
ทันทีที่ก้าวเท้าข้าวธรณีประตู ก็พบบันไดทอดขึ้นสู่ชั้นสอง บนนั้นมีชายสูงวัยผู้หนึ่งสวมเสื้อแขนยาวกางเกงขายาวสีน้ำตาล โพกศีรษะด้วยผ้าสีเดียวกันยืนรอเขาอยู่ก่อนแล้ว
“พร้อมจะไปแล้วหรือรัตติธร”
คนที่เพิ่งเดินเข้ามาชะงักฝีเท้า เงยหน้าขึ้นมองต้นเสียง ก่อนโค้งคำนับเป็นการเคารพแล้วเอ่ยตอบ
“ขอรับคุณลุง”
จากนั้นก็ก้าวเท้ายาวๆ ขึ้นบันได หยุดยืนตรงหน้าชายผู้นั้นซึ่งเป็นหัวหน้าเผ่าอัสสนี เป็นผู้ปกครองอัศวคีรี และเป็นลุงของเขานามว่าชรัณ
“เพื่อเผ่าอัสสนี และเพื่อทุกคนในอัศวคีรี หลานคงไม่มีทางเลือก”
ผู้เป็นลุงผ่อนลมหายใจยาว ดวงตามีแววเคร่งเครียดขึ้น…ทั้งกังวล ทั้งเป็นห่วง และลำบากใจ
“อย่างที่ลุงบอก…ด้วยศักยภาพของเราตอนนี้คงไม่อาจเปิดศึกสู้รบกับทั้งนครสรวงและศิงขรบุรีได้ จำเป็นต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง หลานคงเข้าใจ”
“หลานเข้าใจขอรับคุณลุง”
ตอบชัดถ้อยชัดคำและหนักแน่น ทว่าแววตารวดร้าวไม่น้อย…คนที่ยึดมั่นในศักดิ์ศรี เป็นผู้นำ และเชื่อมั่นในตัวเองตลอดมาอย่างเขาต้องยอมก้มศีรษะให้ใครสักคนนับว่าเป็นเรื่องยาก แต่เพื่อชนเผ่า เขาก็จำต้องทำ
“มีจดหมายมาถึงอีกฉบับเมื่อครู่นี้”
ถ้อยคำนั้นทำให้รัตติธรเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“มีข้อเรียกร้องอะไรอีกหรือขอรับ”
“ไม่ใช่เรียกร้องหรอก เพียงแต่องค์มหิศวรต้องการให้หลานเดินทางไปนครสรวงให้เร็วที่สุด” ว่าพลางส่งพระราชหัตถเลขาขององค์กษัตริย์แห่งนครสรวงให้กับเขา “เห็นว่าให้เดินทางลงไปทางตะวันตก ตรงชายแดนระหว่างนครสรวงกับศิงขรบุรี มีบ้านพักตากอากาศอยู่ที่นั่น ทรงมีพระบัญชาให้หลานพักอยู่ที่นั่น”
รัตติธรกวาดตาอ่านข้อความในจดหมายแล้วพยักหน้า
“ไม่มีปัญหาขอรับ หลานออกเดินทางคืนนี้ได้เลย”
ผู้เป็นลุงพยักหน้า วางมือลงบ่าของเขาแล้วบีบกระชับเพื่อให้กำลังใจ
“ขอบใจเจ้ามาก สิ่งที่เจ้าทำเพื่อเผ่าของเราและเพื่ออัศวคีรี ลุงจะไม่มีวันลืม”
สายหมอกสีขาวลอยอ้อยอิ่ง ระเรี่ยอยู่บนพื้นดินจนแทบจะกลบความเขียวชอุ่มของผืนป่าไปจนหมดสิ้น ไกลออกไปเป็นยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหมอก ขาวโพลนทั้งสามยอดเขา…จุดที่เขายืนอยู่คือเทือกเขาละวิน เป็นยอดดอยสูง อากาศหนาวเย็นตลอดปี มีชนเผ่าอาศัยอยู่หลายสิบเผ่า อยู่กันอย่างสันติภายใต้การปกครองของหัวหน้าเผ่าอัสสนีนามว่าชรัณ และเรียกดินแดนของตนเองว่าอัศวคีรี …เป็นดินแดนแห่งภูเขาและอาชาไนย
ชาวอัศวคีรีนอกจากจะทำเกษตรกรรม และหาของป่าขายแล้ว ยังเพาะพันธุ์ม้าขายด้วย ม้าของที่นี่เป็นม้าพันธุ์ดี…หน้าแหลมเรียว จมูกเชิด คางเป็นสันกลม รูปร่างของมันสูงใหญ่แต่ปราดเปรียว แข็งแกร่ง กำยำ ทนทาน ฉลาด ว่องไวและมีความตื่นตัวสูง ม้าที่โดดเด่นที่สุดของชาวอัศวคีรีคือเจ้าสีทอง ที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะขนของมันเป็นสีทองอ่อนๆ ตลอดทั้งตัว ดู
บัดนี้เจ้าสีทองส่งเสียงร้องเบาๆ ในลำคอ และหายใจฟืดฟาดราวกับหงุดหงิด อาจเพราะมันถูกผูกติดกับต้นสนนานเกินไป หรือไม่…อาจเพราะผู้เป็นนายเอาแต่ยืนเหม่อมองท้องฟ้า สายหมอกและยอดเขาจนละเลยมันก็เป็นได้
กระทั่งเจ้าสีทองส่งเสียงเป็นคำรบสอง ผู้เป็นนายจึงเหลียวมามอง ใบหน้าของเขาคมสันด้วยคิ้วเข้ม จมูกโด่ง ริมฝีปากหยักได้รูป แม้ผิวของเขาจะขาวจัด แต่ไรหนวดเขียวจางตามแก้มและคาง รวมถึงริมฝีปากแดงๆ คู่นั้นก็ทำให้เขาไม่ ‘จืด’ จนเกินไป ส่วนที่สะดุดตาที่สุดคือดวงตา…สีดำเหลือบเทาจางๆ ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน เพราะในอัศวคีรีไม่มีใครมีสีตาเช่นนี้เลยแม้แต่คนเดียว
“จะรีบไปไหนเล่าสีทอง อยู่อีกสักพักไม่ได้หรือ”
เป็นคำถามกึ่งร้องขอ แต่พอมันพ่นลมหายใจหนักๆ ก็รู้ว่าคือคำปฏิเสธ
“เอาละๆ กลับก็กลับ” เขาก้าวยาวๆ มายืนข้างมัน ยกมือลูบแผงคออย่างปลอบประโลมกึ่งออดอ้อน “อย่าโมโหน่า” พูดจบก็หยิบคันธนูและกระบอกบรรจุลูกธนูที่วางอิงต้นสนขึ้นมาสะพาย แล้วกระโดดขึ้นควบบนหลังเจ้าสีทอง มือข้างหนึ่งกุมบังเหียน มืออีกข้างดึงชายผ้าโพกศีรษะมาปิดใบหน้าส่วนล่างของตัวเองไว้ จากนั้นจึงออกคำสั่งให้อาชาคู่ใจเหยาะย่างลงจากยอดเขา
ยามหมอกลงหนา การเดินทางย่อมยากลำบากเป็นเท่าตัว สำหรับคนที่คุ้นเคยกับพื้นที่ในแถบนี้อย่างเขาก็ยังต้องระมัดระวัง เจ้าสีทองเป็นม้าเลือดร้อน มันชอบวิ่งมากกว่าเดิน เขาต้องคอยปรามมันเป็นระยะๆ ไม่ให้มันห้อเหยียดเต็มฝีเท้าอย่างไม่ดูทิศดูทาง
ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะลงมาถึงตีนเขา มีทางเดินดินเล็กๆ ขนาบข้างด้วยต้นสนสูงชะลูดทอดยาวสุดลูกหูลูกตา อาจเพราะมีน้อยคนที่ใช้เส้นทางนี้ หญ้าจึงขึ้นจนรกชัฏแทบมองไม่เห็นพื้นดินเบื้องล่าง
เจ้าสีทองเดินเนิบนาบตามคำสั่งของผู้เป็นนาย กระนั้นมันก็ยังพ่นลมหายใจฟืดฟาดอย่างหงุดหงิดเพราะใจจริงคงอยากวิ่งตะบึงให้ถึงบ้านเร็วๆ เสียมากกว่า แต่ในชั่วขณะหนึ่ง จู่ๆ มันก็ชะงักกึกอย่างไม่ปี่มีขลุ่ย ศีรษะสะบัดขึ้นลง ลมหายใจยิ่งถี่กระชั้น เร็ว แรง หางกวัดแกว่งไกวไปมาราวกับสำเหนียกถึงอันตรายบางอย่าง ผู้เป็นเจ้าของจุ๊ปากเบาๆ แล้วลูบแผงคอของมันอย่างปลอบประโลม
“ชู่ว์…นิ่งไว้สีทอง” เสียงนั้นดังเพียงกระซิบแต่ก็แฝงด้วยอำนาจไว้ในที “เดินต่อไป”
ราวกับฟังรู้เรื่องและเข้าใจ เจ้าสีทองก้าวเดินต่อด้วยท่าทีสงบ ในขณะที่เจ้าของ…สองตาหลุบต่ำ อาศัยแพขนตายาวพรางประกายเรืองรองในดวงตาคู่นั้น
ฟุบ!
เพียงเสี้ยวลมหายใจ อะไรบางอย่างพุ่งออกจากพุ่มไม้ทางด้านซ้าย แหวกผ่านอากาศด้วยความเร็ว แรง และทรงพลัง ชายผู้นั่งหลังตรงเป็นสง่ารีบก้มลงแนบลำตัวกับแผงคอม้า สิ่งนั้นสะกิดต้นแขนของเขาจนเสื้อขาดเป็นทาง ก่อนจะพุ่งผ่านเลยไปและปักลงตรงกลางต้นไม้อีกฟากหนึ่ง
ฉึก!
ลูกธนูแทรกลึกเข้าไปในเนื้อไม้เกือบครึ่ง ปลายของมันสะบัดแกว่งไกวได้ยินชัดเจน ท่ามกลางความเงียบสงัดของผืนป่าที่มีแต่เสียงลมหวีดหวิวและเสียงลมหายใจของเจ้าสีทอง
เขายังคงนิ่งราวกับรอคอยอะไรบางอย่าง กระทั่งแว่วเสียงฟุบดังขึ้นอีก แววตาของเขาจึงกร้าวขึ้น ชายหนุ่มพลิกกายลงจากหลังม้าอย่างว่องไว ไม่ลืมที่จะตบก้นเจ้าสีทองเพื่อให้มันหลบปลายลูกธนูที่เพิ่งพุ่งออกจากพุ่มไม้พุ่มนั้นด้วย
ลูกธนูและคันธนูอยู่ในมือ เขายกขึ้นประทับเล็ง เป้าหมายคือหลังพุ่มไม้อันหน้าทึบนั้น แว่วเสียงสวบสาบ ใครที่ซุ่มอยู่คงกำลังจะหนี เขาหรี่ตาลงก่อนปล่อยมือ
ฟุบ!
ลูกธนูหลุดออกจากแล่ง พุ่งผ่านพุ่มไม้นั้น ก่อนจะปักลงบนเป้าหมาย
“โอ๊ะ…” ได้ยินเสียงร้องอยู่แว่วๆ ก่อนจะเงียบหายไป ถ้าไม่เพราะบาดเจ็บหมดสติ ก็อาจพยายามหาที่ซ่อนตัวอยู่
ยังไม่ทันที่เขาจะคิดทำการสิ่งใดต่อไป ใครคนหนึ่งก็ควบขับม้าตรงเข้ามาหา ม้าตัวนั้นสีน้ำตาลเข้ม ตัวใหญ่แต่วิ่งอย่างปราดเปรียด ยังไม่ทันหยุดดีด้วยซ้ำเมื่อตอนที่ใครคนนั้นกระโดดลงมาแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าเขา
“รีบกลับเถอะขอรับท่าน ข้าเพิ่งได้ข่าวมาว่ามีคนคิดทำร้าย…”
“นู่น” พูดยังไม่ทันจบ ‘ท่าน’ ก็บุ้ยปากไปทางต้นไม้ใหญ่ “เจอแล้ว”
น้ำเสียงเรียบเฉยราวกับการถูกลอบฆ่าไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร
“ไปเอาตัวมันมาให้เรา”
สิ้นเสียงออกคำสั่ง ผู้เป็นลูกน้องก็ผงกศีรษะรับคำ แล้วผลุบหายเข้าไปหลังพุ่มไม้ใหญ่ ใช้เวลาไม่นานเขาผู้นั้นก็หิ้วปีกชายร่างผอมผู้หนึ่งออกมา เลือดชุ่มโชกเสื้อสีเขียวขี้ม้าจนเปรอะเปื้อนเป็นด่างดวง ปลายลูกธนูปักอยู่บนบ่าด้านซ้าย หากต่ำกว่านี้อีกสักหน่อย ลูกธนูหัวทองดอกนั้นคงปักลงกลางหัวใจของมันไปแล้ว
‘ท่าน’ กระชากผ้าปิดใบหน้าส่วนล่างออก ตาหรี่ลงอย่างประเมินยามจับจ้องชายผู้คิดลอบทำร้ายตนเอง
พลันที่เห็นมีดปักอยู่บนอกด้านซ้าย คิ้วเข้มก็ยิ่งขมวดเข้าหากัน แววตาสีดำเหลือบเทาผิดหวังไม่น้อย เพราะหมดโอกาสที่จะค้นหาความจริงจากชายผู้นี้เสียแล้ว ดูจากมีดที่ปักจนมิด ย่อมไม่ใช่การฆ่าตัวตาย แต่มีใครอีกคนหนึ่งซุ่มดูอยู่ พอเห็นว่างานผิดพลาด ก็เลยจัดการคนคนนี้ซะไม่ให้เขาสืบสาวไปถึงต้นตอได้
“เป็นไงบ้าง?”
“ตายแล้วขอรับ”
อนล…คนสนิทของเขาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อมระคนเคร่งเครียด
“คนทำน่าจะเป็นนักฆ่าฝีมือดีนะขอรับ” ว่าพลางกระตุกมีดสั้นเล่มนั้นออกมาพลิกดูคร่าวๆ
“เพิ่งทำขึ้นใหม่ ไม่รู้ว่าเป็นของพวกไหน” จากนั้นก็ก้มศีรษะโค้งคำนับจนลำตัวแทบจะขนานกับพื้น “กระผมจะรีบไปหาตัวมันให้พบ”
“ไม่ต้องหรอก ป่านนี้มันคงหนีไปไกลแล้วแล้วมันก็คงไม่ยอมให้จับง่ายๆ ด้วย ไว้ค่อยสืบทีหลังว่าเป็นฝีมือใคร รีบกลับกันเถอะ” สั่งเสร็จก็ผิวปากเรียกเจ้าสีทอง ก่อนจะกระโดดขึ้นควบมัน
“ช่วยฝังเจ้าหนุ่มนั่นให้ด้วยนะอนล”
กล่าวทิ้งท้ายก่อนสั่งให้อาชาคู่ใจห้อตะบึงเต็มฝีเท้า คนสนิทจึงได้แต่มองตามด้วยความอึ้ง ทึ่งและระอาใจ
…ก็ใครบ้างที่คิดว่างานอื่นสำคัญกว่าตามหาตัวคนที่ลอบฆ่าตัวเอง คงมีแต่เจ้านายของเขาเพียงคนเดียวนี่แหละ!
ใช้เวลาไม่นานจึงมาถึงประตูทางเข้าหมู่บ้าน ประตูนั้นทำจากไม้ มีป้ายชื่อห้อยลงมาจากคานเอียงกระเท่เร่ บนนั้นแกะสลักคำว่าอัสสนี แลเลยไปทางด้านหลังประตูจะเห็นทางเดินดินทอดยาวคดเคี้ยวไปสุดลูกหูลูกตา ขนาบข้างด้วยบ้านไม้ไผ่เก่าบ้างใหม่บ้างสลับกันไป บ้างก็เป็นเรือนไม้สองชั้นซึ่งพอจะเดาได้ว่าน่าจะเป็นของคนใหญ่คนโตหรือค่อนข้างมีฐานะ
ชายหนุ่มสั่งให้เจ้าสีทองเหยาะย่างไปจนเกือบท้ายหมู่บ้าน แล้วสั่งให้หยุดอยู่ตรงหน้าบ้านไม้สองชั้นซึ่งร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบ เขากระโดดลงจากหลังม้า ตบแผงคอเจ้าสีทองสองสามที ก่อนสาวเท้าผ่านประตูที่เปิดอ้าเข้าไปด้านใน
ทันทีที่ก้าวเท้าข้าวธรณีประตู ก็พบบันไดทอดขึ้นสู่ชั้นสอง บนนั้นมีชายสูงวัยผู้หนึ่งสวมเสื้อแขนยาวกางเกงขายาวสีน้ำตาล โพกศีรษะด้วยผ้าสีเดียวกันยืนรอเขาอยู่ก่อนแล้ว
“พร้อมจะไปแล้วหรือรัตติธร”
คนที่เพิ่งเดินเข้ามาชะงักฝีเท้า เงยหน้าขึ้นมองต้นเสียง ก่อนโค้งคำนับเป็นการเคารพแล้วเอ่ยตอบ
“ขอรับคุณลุง”
จากนั้นก็ก้าวเท้ายาวๆ ขึ้นบันได หยุดยืนตรงหน้าชายผู้นั้นซึ่งเป็นหัวหน้าเผ่าอัสสนี เป็นผู้ปกครองอัศวคีรี และเป็นลุงของเขานามว่าชรัณ
“เพื่อเผ่าอัสสนี และเพื่อทุกคนในอัศวคีรี หลานคงไม่มีทางเลือก”
ผู้เป็นลุงผ่อนลมหายใจยาว ดวงตามีแววเคร่งเครียดขึ้น…ทั้งกังวล ทั้งเป็นห่วง และลำบากใจ
“อย่างที่ลุงบอก…ด้วยศักยภาพของเราตอนนี้คงไม่อาจเปิดศึกสู้รบกับทั้งนครสรวงและศิงขรบุรีได้ จำเป็นต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง หลานคงเข้าใจ”
“หลานเข้าใจขอรับคุณลุง”
ตอบชัดถ้อยชัดคำและหนักแน่น ทว่าแววตารวดร้าวไม่น้อย…คนที่ยึดมั่นในศักดิ์ศรี เป็นผู้นำ และเชื่อมั่นในตัวเองตลอดมาอย่างเขาต้องยอมก้มศีรษะให้ใครสักคนนับว่าเป็นเรื่องยาก แต่เพื่อชนเผ่า เขาก็จำต้องทำ
“มีจดหมายมาถึงอีกฉบับเมื่อครู่นี้”
ถ้อยคำนั้นทำให้รัตติธรเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“มีข้อเรียกร้องอะไรอีกหรือขอรับ”
“ไม่ใช่เรียกร้องหรอก เพียงแต่องค์มหิศวรต้องการให้หลานเดินทางไปนครสรวงให้เร็วที่สุด” ว่าพลางส่งพระราชหัตถเลขาขององค์กษัตริย์แห่งนครสรวงให้กับเขา “เห็นว่าให้เดินทางลงไปทางตะวันตก ตรงชายแดนระหว่างนครสรวงกับศิงขรบุรี มีบ้านพักตากอากาศอยู่ที่นั่น ทรงมีพระบัญชาให้หลานพักอยู่ที่นั่น”
รัตติธรกวาดตาอ่านข้อความในจดหมายแล้วพยักหน้า
“ไม่มีปัญหาขอรับ หลานออกเดินทางคืนนี้ได้เลย”
ผู้เป็นลุงพยักหน้า วางมือลงบ่าของเขาแล้วบีบกระชับเพื่อให้กำลังใจ
“ขอบใจเจ้ามาก สิ่งที่เจ้าทำเพื่อเผ่าของเราและเพื่ออัศวคีรี ลุงจะไม่มีวันลืม”
ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ธ.ค. 2559, 13:00:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ธ.ค. 2559, 13:00:27 น.
จำนวนการเข้าชม : 967
บทที่ ๑ | เ จ้ า ห นู ตั ว ม อ ม ๒ >> |