รัตติสรวง

Tags: เจ้าหญิง,เจ้าชาย,ศศิอักษร

ตอน: บทที่ ๑ | เ จ้ า ห นู ตั ว ม อ ม ๒


ขบวนเดินทางเตรียมพร้อมตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน มีหีบสัมภาระสองสามหีบกับข้าวปลาอาหารแห้งให้พอรับประทานประมาณสิบวัน ส่วนผู้ติดตามนั้นรัตติธรพาไปเพียงสองคนคืออนลกับปกรณ์

มีชาวบ้านมารอส่งเขามากมาย รัตติธรหอบดอกไม้ที่มีคนนำมาให้ไว้เต็มอ้อมแขน จนเมื่อถือไม่หวาดไม่ไหว เขาจึงได้แต่โค้งคำนับ

“เดินทางปลอดภัยนะท่าน”

“ดูแลตัวเองด้วยนะท่าน”

“กลับมาหาพวกเราเร็วๆ นะท่าน”

พวกชาวบ้านตะโกนแข่งกันเซ็งแซ่ เขาได้แต่ก้มศีรษะรับคำ ส่งดอกไม้ในอ้อมแขนให้อนลก่อนจะกระโดดขึ้นควบเจ้าสีทอง โบกมือลาชาวบ้านกลุ่มนั้น ก่อนกระตุกบังเหียนสั่งให้อาชาคู่ใจโผนทะยานไปเบื้องหน้า มุ่งสู่ลงใต้ เดินทางสู่ทิศตะวันตกของดินแดนนครสรวง

การเดินทางราบรื่นจนถึงคืนวันที่เก้า เมื่อรัตติธรกับคนสนิทเข้าสู่เขตแดนนครสรวงแล้ว เดินทางเกือบถึงบ้านพักตากอากาศที่ระบุไว้ในพระราชาหัตถเลขาขององค์มหิศวรนเรนทรแล้ว กลับเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น

“อะไร”

เสียงดาบกระทบกันดังแว่วอยู่ไม่ไกล ทำให้คนที่กำลังล้มตัวลงนอนผุดลุก

“เสียงต่อสู้กันขอรับ”อนลซึ่งกำลังก่อกองไฟตอบ “กระผมจะไปดูเองขอรับ”

ก่อนที่อีกฝ่ายจะผลุนผลันจากไป ผู้เป็นนายก็ลุกตาม ไม่ลืมคว้าดาบที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาด้วย

“ไปด้วยกัน พวกมันน่าจะมีกันหลายคน” จากนั้นก็หันปกรณ์ให้เฝ้าข้าวของไว้ แล้วมุ่งหน้าไปทางต้นเสียง

เมื่อไปถึง กลับพบเพียงร่องรอยการต่อสู้และบาดเจ็บ มีร่างของชายฉกรรจ์สองสามคนนอนสิ้นลมอยู่บนพื้น เลือดสีข้นคลั่กกระจัดกระจายเปรอะเปื้อนเป็นหย่อมๆ

“ทหารของนครสรวง”

หลังจากก้มๆ เงยๆ สำรวจสภาพศพอยู่พักหนึ่ง รัตติธรก็ได้ข้อสรุป

“หมายความว่าศิงขรบุรีกับนครสรวงกำลังเปิดศึกกันหรือขอรับ”

คนถูกถามส่ายหน้าน้อยๆ คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด ตอนนั้นเองแว่วเสียงสวบสามดังขึ้นสองทาง เขาจึงสั่งให้อนลไปดูทางหนึ่ง ส่วนตัวเองเดินไปอีกทาง

แม้ตัวจะสูงใหญ่ แต่ฝีเท้ากลับเงียบกริบ เขาค่อยๆ คืบคลานไปข้างหน้าทีละน้อยๆ

ภายใต้แสงจันทร์ที่ถูกบดบังด้วยเมฆดำทะมึน หนทางข้างหน้าจึงไม่ค่อยชัดเจน กระนั้นก็ยังพอมองเห็นเงาตะคุ่มๆของใครคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งยองๆ เหลียวซ้ายแลขวาราวกับหวาดกลัวสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ รัตติธรเพ่งมองก่อนผ่อนลมหายใจยาวเมื่อเห็นว่าคนผู้นั้นทั้งตัวเล็ก ทั้งผอม ย่อมไม่ใช่ทหารหนำซ้ำยังเป็นเด็ก แต่อายุเท่าไรเขายังเดาไม่ออก

ชายหนุ่มก้าวสวบๆ ตรงไปหาเด็กคนนั้นผู้ซึ่งพอหันมาเห็นเขาเข้าก็สะดุ้งสุดตัว รีบลุกยืนแล้วออกวิ่งในทันที

“เดี๋ยวเจ้าหนู!”

รัตติธรร้องเรียก ก้าวเท้ายาวๆ เพียงสองครั้งก็คว้าตัวมันไว้ได้แล้ว

ครั้นจับตัวมันหันมา สิ่งที่สะดุดตาภายใต้คืนเดือนมืด คือดวงตากลมโตวาววามระยิบระยับราวกับดวงดาว แม้ตอนนี้จะมีความหวาดกลัวฉาบอยู่บนนั้นก็ตาม

ชายหนุ่มกวาดตามอง ตั้งแต่ผมทรงกะลาครอบ จมูกเล็กๆ แก้มยุ้ยๆ และเลื่อนลงมายังเสื้อผ้าที่มันสวมใส่

‘เจ้าหนู’ มันตัวเปื้อนอย่างกะแมวคราว

...ไม่สิ ไม่ใช่แค่เปื้อน เขายิ่งขมวดคิ้วมากขึ้นเมื่อเห็นรอยเลือดเปรอะเปื้อนบนแขนของมัน ความเป็นห่วงทำให้เข้าก้าวประชิดตัวมันอย่างรวดเร็ว และใช้มือคว้าคอเสื้อด้านหลังมันไว้ได้ทันก่อนมันจะวิ่งหนี

“ไปโดนอะไรมา”

น้ำเสียงของเขาอาจจะห้วนไป มันถึงได้สะดุ้งสุดตัว

“ขอดูแผลหน่อย” ประโยคหลังไม่กระด้างเหมือนเก่า แต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นมิตรเท่าไรนัก

“ไม่ต้องมายุ่ง!” เป็นคำแรกที่มันเอื้อนเอ่ย เสียงของมันแหลมเล็กแปลกๆ...ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น อายุมันจะสักเท่าไรกันเชียว คงไม่เกินสิบสอง ยังไม่แตกหนุ่ม เสียงมันก็เลยกระเดียดไปทางผู้หญิงเสียมาก

“ปล่อยเรานะ!”

มันแหวใส่เขา ทั้งที่เขาตั้งใจจะช่วยมันแท้ๆ

“อย่าดิ้นสิเจ้าหนู!” ไม่พูดเปล่า เขากระชากตัวมันให้นั่งลง ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้า ยื้อยุดแขนของมันไว้เพื่อสำรวจรอยแผล

“ไม่ลึกเท่าไร” เขาว่าพลางเงยหน้าขึ้น ครั้นได้สบตากลมๆ ของมัน เขาก็อดห่วงใยมันไม่ได้

“ถูกใครทำร้ายมา พวกโจรหรือเปล่า”

จู่ๆ น้ำตามันก็คลอเบ้า ตามมาด้วยเสียงสะอื้นแผ่วๆ

“พะ...พ่อ พ่อเรา...เจ็บ”

กว่ามันจะพูดได้แต่ละคำ เขาลุ้นจนแทบกลั้นหายใจเลยทีเดียว

“พวกโจรมันทำ เรากำลังตามหาคนไปช่วย” มันสูดจมูกฟุดฟิดแล้วจ้องเขาตาแป๋ว

“เจ้าไม่ใช่โจรใช่ไหม เป็นคนดีหรือเปล่า”

เป็นคำถามที่ทำให้ความเคร่งเครียดในอกเบาบางลงไปได้บ้าง มุมปากของเขาจึงยกขึ้นเกือบๆจะเป็นรอยยิ้ม

“ข้าดูเหมือนโจรนักหรือ”

มันเอียงคอมองเขา คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันราวกับไม่แน่ใจ

“จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของเจ้า แต่ตอนนี้มีแค่ข้าเท่านั้นที่ช่วยพ่อเจ้าได้ ถ้าเจ้าไม่พาข้าไปพบพ่อเจ้าตอนนี้ พ่อเจ้าอาจจะ...”

ไม่รอให้พูดจบ เจ้าหนูผุดลุก เกาะกุมมือเขากระชับแน่นแล้วลากให้เดินตาม ตัวมันก็เล็กแค่นี้ ถ้าเขาไม่ยอมเดินตาม มันก็คงไม่มีปัญญาลากเขาไปไหนๆได้หรอก

“จำทางได้เหรอเจ้าหนู”

“ได้ซี่”

เสียงของมันขึ้นจมูก ดูท่ายังไม่หยุดร้องไห้

“เราจำได้เป็นทางนี้...”

มันพาเขาเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา จนเขาชักหวั่นใจขึ้นมาจริงๆเสียแล้วว่ามันจำทางได้แน่หรือเปล่า ตอนนี้มันเดินจนหอบตัวโยนก็ยังไม่พบพ่อของมันสักที

“หลงทางแล้วละมั้ง”

เขาสันนิษฐานแต่เจ้าหนูกลับสั่นศีรษะโดยแรง

“ไม่หลงหรอกน่า เราจำทางเก่งจะตาย”

ยังพูดชมตัวเองเสียอีก รัตติธรอดยิ้มน้อยๆ อย่างเอ็นดูกึ่งขบขันไม่ได้

“ถ้าไม่หลง คงไม่เดินวนไปวนมาแบบนี้หรอกมั้ง”

“อะไร” มันอุทานเบาๆ หันซ้ายหันขวา หันหน้าหันหลังสองสามครั้ง มือของมันยังจับมือเขาอยู่ไม่ยอมปล่อย “เราเดินวนเหรอ ไม่มั้ง”

“ไม่ม้งไม่มั้งแล้ว ไป!...” เขาเป็นฝ่ายคว้าข้อมือมันไว้แล้วลากให้เดินตาม “กลับไปสงบสติอารมณ์ก่อน แล้วรอตอนเช้าค่อยตามหาพ่อเจ้า”

“แต่เราเป็นห่วง พ่อเราบาดเจ็บอยู่”

“มืดแบบนี้จะตามหาเจอได้ยังไง พ่อเจ้าอาจจะหาที่ซ่อนตัวได้แล้ว ที่สำคัญไอ้พวกโจรนั่นมันจะโผล่มาเมื่อไรก็ไม่รู้ เรากับเจ้าแค่สองคนสู้กับมันได้เหรอ”

“ก็จริง แต่...”

ดูท่ามันจะดื้อไม่น้อย เขาเองก็ไม่มีอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียงจึงแบกมันพาดบ่า เป็นการปิดปากไม่ให้มันเถียง แต่เปลี่ยนมาโวยวายแทน ทนฟังเสียงมันอยู่พักหนึ่ง พอถึงที่พักมันก็หมดแรง และหมดอารมณ์จะพูดกับเขาอีกด้วย

“เอาน่า...” เขาจ้องตาวาวๆของมันแล้วเอ่ยปลอบ “พ่อเจ้าคงไม่เป็นอะไรหรอก เจ้านอนพักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยออกตามหา ข้าเชื่อว่าต้องหาพ่อเจ้าพบ”

มันคงเหนื่อยจนกว่าจะดื้อดึงจึงชันเข่าขึ้นมากอดไว้ พาดปลายคางบนเข่าของตัวเองแล้วถอนหายใจเฮือกๆ ตาวาวๆ ของมันตอนนี้ฉ่ำไปด้วยน้ำตาอีกแล้ว

“เชื่อข้าสิ พ่อเจ้าต้องไม่เป็นอะไร”

พอเห็นน้ำตามันไหล เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปเช็ดออกให้

“อย่าขี้แยน่า”

“เราเปล่าขี้แยนะ” มันทำเสียงกระเง้ากระงอดแล้วหาข้อแก้ตัวจนได้ “ฝุ่นมันเข้าตาหรอก”

แล้วมันก็กัดริมฝีปาก จ้องเขาอย่างคาดคั้น

“เจ้าจะช่วยเราหาพ่อแน่นะ”

“ช่วยซี่” ว่าพลางยื่นยกเสมอไหล่ให้สัญญา “สัญญาด้วยเกียรติของลูกผู้ชายเลยเอ้า”

พอเขาพูดจบมันก็ผล็อยหลับไปเสียอย่างนั้น ร่างเล็กโงนเงนจะล้มไม่ล้มแหล่ เขาจึงประคองมันให้นอนราบลงกับพื้น ก่อนสั่งให้ปกรณ์นำอุปกรณ์ปฐมพยาบาลมาให้ เขาก็ก้มหน้าก้มตาทำแผลให้มันจนเสร็จ

อนลกลับมาถึงหลังจากนั้นไม่นานและรายงานว่าเจอพวกโจรนอนตายอยู่สามสี่คน

“นี่เป็นดาบที่พวกมันใช้ขอรับ”

รัตติธรหยิบมาพลิกดูอย่างละเอียด

“ดาบดี” เขาว่าพลางขมวดคิ้วยิ่งขึ้น “พวกโจรธรรมดาๆไม่น่าจะใช้ดาบแบบนี้ได้”

“แล้วจะเป็นพวกไหนได้หรือขอรับ”

“ยังบอกไม่ได้ ต้องสืบดูให้แน่ใจก่อน” เขาโยนดาบคืนให้กับคนสนิท ก่อนออกคำสั่ง “นอนพักเอาแรงได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องออกไปตามหาคนแต่เช้า”

คนฟังทำสีหน้างุนงง และยิ่งงหนักขึ้นเมื่อสังเกตเห็นเด็กที่นอนขดตัวกลมอยู่ข้างๆ ผู้เป็นนาย

“ถูกโจรทำร้ายมา พ่อมันก็บาดเจ็บ ตอนนี้อยู่ที่ไหนเป็นยังไงบ้างก็ยังไม่รู้ สงสาร...ช่วยมันหน่อยเถอะ”

อนลยังงงๆ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีกเขาโค้งศีรษะเป็นเชิงลา แล้วล่าถอยไป หาที่นอนใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง

ฝ่ายรัตติธรก็ค้นผ้าห่มผืนหนึ่งจากหีบสัมภาระแล้วค่อยๆ คลี่คลุมลงบนร่างเล็กให้อย่างเบามือ



เรื่องนี้อัปอาทิตย์ละ 1 ตอนนะคะ (1 ตอนแบ่งเป็น 3 ส่วน)

กำหนดตีพิมพ์ปีหน้าค่ะ




ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ธ.ค. 2559, 18:30:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ธ.ค. 2559, 18:30:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 960





<< บทที่ ๑ | เ จ้ า ห นู ตั ว ม อ ม ๑   บทที่ ๒ | แ ส น แ ส ง ๑ >>
Zephyr 18 ธ.ค. 2559, 22:55:40 น.
เจ้าหนูหรือ ยัยหนูน้อ หุหุ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account