เธอเป็นดั่ง...ยอดชีวัน ภาคพิเศษ

Tags: หม่อมเจ้า,วัง,แอบรัก

ตอน: ๒ | เ สี ย ง ข อ ง หั ว ใ จ

หม่อมเจ้าอัครดนัย สิรภพรู้จักสนิทสนมกับราชสกุลดิลบุตรมานานแล้ว นับไปตั้งแต่สมัยพระอัยกา[1]เลยด้วยซ้ำกระมัง ยิ่งมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นมากขึ้นเมื่อเชษฐาของท่านชายช่วยชีวิตหม่อมเจ้าเจตนิพิฐ...พระบิดาของอินทุอรไว้ขณะปะทะกับพวกค้ายาเสพติดแถมชายแดนภาคเหนือในสมัยที่บิดาของหล่อนยังติดยศพันตรีอยู่

ขณะนี้เวลาล่วงเลยมานานแล้ว จากพันตรี ผู้เป็นบิดาได้เลื่อนยศเป็นพลโท แต่ก็หาได้ลืมบุญคุณที่ผู้เป็นเพื่อนเคยช่วยชีวิตไว้ไม่

สืบเนื่องจากเหตุการณ์นั้น หม่อมเจ้าเจตนิพิฐจึงตั้งใจทำตามเจตนารมณ์ของผู้เป็นเพื่อนซึ่งสั่งเสียไว้ก่อนตายว่าอยากให้ดิลบุตรกับสิรภพได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน

และคู่หมั้นคู่หมายของหล่อนก็คือหม่อมราชวงศ์กฤตพล ผู้เป็นโอรสและมีศักดิ์เป็นหลานชายของอาดนัยนั่นเอง

แม้จะไม่ได้เข้าพิธีหมั้นกันตามพิธีการ แต่ทั้งหล่อนและกฤตพลต่างก็รู้ดีว่าเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมก็จำต้องแต่งงานกันตามที่สิรภพกับดิลบุตรได้ให้สัญญากันไว้

สำหรับกฤตพลแล้ว อินทุอรไม่เคยคิดกับเขาในเชิงชู้สาว แต่กลับเห็นเขาเป็นเพื่อนที่ดีตลอดมา กฤตพลเองก็คิดเช่นเดียวกัน ผู้ชายคนนี้มีสาวๆ ล้อมหน้าล้อมหลังไม่แพ้พระปิตุลา[2] จีบคนนู้นคนนี้ไปทั่ว คบกับใครได้ไม่เกินหกเดือนก็เปลี่ยนคนใหม่เสียแล้ว สาวที่ควงไม่ซ้ำหน้าก็ทั้งสวย ทั้งหุ่นดี และมีชาติตระกูลดีแทบทุกคน

จะว่าไป...อาหลานคู่นี้ก็เหมือนกันไม่น้อย คงเพราะหลังจากบิดาเสีย กฤตพลมักจะขลุกอยู่กับผู้เป็นอาเสียเป็นส่วนใหญ่ จึงซึมซับนิสัยกันมาไม่มากก็น้อย จะมีต่างกันก็ตรงที่กฤตพลเจ้าชู้แบบเปิดเผย แต่อาดนัยมักนั้นไม่โฉ่งฉ่าง อีกทั้งยังมีชั้นเชิงบางอย่างที่กฤตพลตามไม่ทัน และชั้นเชิงนั้นยังทำให้สาวๆ หลงเสน่ห์ได้อย่างง่ายดายอีกด้วย

หม่อมราชวงศ์อินทุอรยืนเกร็งตัวในอ้อมกรอันอบอุ่น ดวงตาดำขลับหล่อเลี้ยงด้วยน้ำบริสุทธิ์คู่นั้นจับจ้องพักตร์อันหล่อเหลาของคนตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง ทั้งไม่อยากเชื่อ ไม่คาดคิด และ...ขวยเขิน

ใช่ว่าหล่อนไม่เคยถูกอาดนัยกอด นับแต่จำความได้ หล่อนถูกกอด ถูกหอมไปกี่ครั้งก็คร้านจะนับ

ทว่าห้าปีแล้ว...เป็นห้าปีที่หล่อนไม่ได้พบพักตร์อาดนัยเลย เมื่อได้พบกันอีกครั้งในช่วงวัยสิบหกปีของหล่อน อ้อมกอดนี้กลับให้ความรู้สึกผิดแผกไป

“คงจะลืมเสียแล้วละมัง ลืมทั้งกอดของอา และลืมอาด้วย”

คำกล่าวหานั้นทำให้คนตัวเล็กรีบสั่นศีรษะ คิ้วขมวดเข้าหากันและสีหน้าเป็นกังวลโดยอัตโนมัติ

“ไม่นะเพคะ อินไม่เคยลืมอาดนัย ไม่เคยลืมเลยสักวินาที”

คนฟังคลี่ยิ้ม ตาพราวระยับ

“ชื่นใจจริง” ตรัสพลางเอื้อมหัตถ์ออกไปแตะปลายผมที่บัดนี้ยาวประบ่าแล้ว “นึกว่าลืมอาเสียแล้วเลยไปตัดผมซะสั้นขนาดนี้”

“ผมเสียเพคะ” อินทุอรทูลเสียงอ่อย ยกมือลูบผมของตนเองไปมา “ตอนตัดเสียดายแทบแย่ อาดนัยไม่รู้หรอกว่าอินน้ำตาคลอเลยนะเพคะ”

“งั้นก็อย่าตัดอีกนะคะ อาชอบให้หนูอินไว้ผมยาว”

อินทุอรหน้าแดง ใจเต้นกระหน่ำรัวเพียงได้ยินอาดนัยตรัสเช่นนั้น ทั้งที่อีกฝ่ายตรัสเพียงโปรดผมของหล่อนเท่านั้นเอง

“ไม่ตัดแล้วค่ะ อินจะดูแลไม่ให้มันเสียอีก”

“ไว้อาจะถามเพื่อนของอาให้ว่าใช้แชมพูยี่ห้อไหนถึงจะดี”

‘เพื่อน’ ย่อมเป็นสาวๆ แน่ละ อินทุอรรู้สึกอิจฉาอยู่นิดๆ...เป็นความอิจฉาอย่างเด็กที่กำลังจะถูกแย่งความสนใจไปหรือเปล่าหนอ

“อาดนัยกลับมาตั้งแต่เมื่อไรคะ ทำไมไม่บอกหนูอินเลย”

ทั้งสองคงจะพูดกันอีกนานในสภาพที่ตระกองกอดกันอยู่เช่นนั้น ถ้าไม่เพราะได้ยินเสียงพี่แม้นตะโกนเรียกเสียก่อน

“คุณหญิงคะ คุณหญิง! อยู่ไหนค้า”

วงแขนล่ำสันค่อยคลายออก ก่อนผู้เป็นเจ้าของจะนำมันไปไพล่ไว้ด้านหลัง เป็นเวลาเดียวกับที่พี่แม้นเดินพ้นมุมตึกออกมาพอดี

“อยู่นี่...” พลันสะดุดกึกเมื่อพบท่านชายประทับยืนอยู่ด้วย “อุ๊ย! ท่านชายดนัย!” เจ้าหล่อนรีบย่อตัวถวายบังคม “ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ทราบว่าท่านชายเสด็จมา”

“ไม่เป็นไรๆ ฉันแค่แวะมาเฉยๆ พี่เจตคงยังไม่กลับ แล้วหม่อมน้าเล่าอยู่หรือเปล่า”

“ไม่อยู่เพคะ หม่อมไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาลตั้งแต่เช้าแล้วเพคะ”

“อ้อ...งั้นเอาไว้ฉันมาหาใหม่วันพรุ่งนี้ดีกว่า” จากนั้นก็ทรงโบกหัตถ์ “ไปทำอะไรก็ไปทำเถอะ ฉันจะอยู่คุยกับหนูอินอีกสักประเดี๋ยวก็จะกลับแล้ว”

“เพคะ” พี่แม้นถวายบังคมลา ก่อนเดินจากไป

“แล้วเจ้าปุยมันหายไปตั้งแต่ตอนไหนล่ะหนูอิน หายไปนานหรือยัง”

คล้อยหลังเด็กรับใช้ผู้นั้นก็ทรงหันไปถามคนที่ยืนหน้าแดงระเรื่ออยู่ข้างๆ

“ไม่ทราบเพคะ แต่ตั้งแต่หนูอินกลับจากโรงเรียนก็ไม่เห็นมันแล้ว”

“เอ...มันคงไม่ไปไหนไกลหรอก ประตูบ้านก็ปิดอยู่ไม่ใช่หรือ มันคงอยู่ในนี้แหละ มา...เดี๋ยวอาช่วยหาเอง”

ทรงคว้ามือของหล่อน ลากและดึงให้เดินตาม ก่อนจะจับหล่อนนั่งตรงม้าหินอ่อนใต้ต้นจำจุรีที่ลำต้นใหญ่ราวสองคนโอบริมกำแพงวัง

“หนูอินนั่งรอตรงนี้แหละ อาจะหามันให้เอง”

“แต่...” อินทุอรทักท้วง แต่เสียงนั้นกลับกลืนหายเมื่อท่านชายใช้สองกรเท้ากับพนักเก้าอี้ กักขังหล่อนไว้ พลางจ้องหล่อนเขม็ง

“อย่าดื้อน่า อาไม่อยากให้...” ทรงกวาดเนตรมองไปทั่วไปหน้าของหล่อน “หน้าใสๆ ของหนูอินมีรอยแผล แค่นี้ก็โดนกิ่งไม้ข่วนเต็มแล้ว รออยู่นี่แหละ” ทรงชี้พระดัชนีห้ามปราม “อย่าดื้อกับอานะ ไม่งั้นอาทำโทษหนูอินแน่”

โทษที่หล่อนเคยได้รับครั้งสุดท้ายก็ตอนหล่อนอายุเจ็ดแปดขวบ อาดนัยตีก้นหล่อนเป็นสิบครั้งโทษฐานที่หล่อนแอบหนีไปวิ่งเล่นนอกวังโดยไม่บอกใคร

ตอนนั้นทั้งเจ็บ ทั้งเสียใจ ร้องไห้โฮเป็นเผาเต่า โกรธอาดนัยเป็นอาดนัยเป็นอาทิตย์ หากพออาดนัยมาง้อด้วยไอศกรีมเพียงแท่งเดียว หล่อนกลับหายโกรธได้อย่างง่ายดาย

มาวันนี้...หล่อนไม่ใช่เด็กแล้ว นึกไม่ออกเลยว่าอาดนัยจะทำโทษหล่อนอย่างไร จะทำแบบเดิมงั้นหรือ?

“จะตีอินอีกหรือเพคะ”

คนฟังสรวลอย่างเห็นขัน แล้วส่ายพักตร์

“โตเกินกว่าอาจะตีได้แล้ว” ทรงนิ่งคิดอยู่อึดใจแล้วตรัสด้วยสุรเสียงจริงจัง “เอาเป็นว่า...อาจะขัดขวาง ทำตัวเป็นก้างขวางคอพวกหนุ่มๆ ที่มาเกาะแกะหนูอินทุกคนก็แล้วกัน”

“คะ?” คนตัวเล็กเบิกตาโตเท่าไข่ห่าน “หนุ่มๆ ที่ไหนกัน อินมีซะที่ไหน”

“อย่ามาปดอา ถึงอาจะอยู่ที่นู่น อาก็รู้เรื่องเกี่ยวกับหนูอินแทบทุกเรื่องนะ”

อินทุอรอ้าปากจะเถียงหรือแก้ตัวเกี่ยวกับเรื่องหนุ่ม หากอาดนัยไม่อยู่ฟัง ทรงวางหัตถ์ลงบนศีรษะของหล่อนโยกเบาๆ ก่อนสาวบาทจากไป ทรงออกตามหาเจ้าปุยตั้งแต่กำแพงหลังวังมาจนถึงหลังวัง สองสามรอบถึงจะพบตัว ทรงอุ้มมันกลับมาพร้อมรอยแย้มสรวล

“เอ้า อาพามันกลับมาให้แล้ว” ทรงส่งมันให้หล่อน แล้วประทับนั่งข้างกัน “มันไปนอนหลับอยู่บนต้นมะม่วงฟากนู้นนู่น”

อินทุอรอุ้มเจ้าปุยแนบอก พลางยกมือไหว้

“ขอบพระทัยเพคะ ถ้าไม่ได้อาดนัยสงสัยอินคงต้องหามันจนมืดค่ำเลยเพคะ”

ท่านชายผ่อนลมหายพระทัย เอนองค์พิงพนัก สองเนตรแลมองไปเบื้องหน้า ตกอยู่ในภวังค์บางอย่างจนอินทุอรไม่กล้ารบกวน หล่อนจึงนั่งรับลมลูบขนเจ้าปุยอยู่เช่นนั้น

“กลัวอาไล่บรรดาหนุ่มๆ ของหนูอินไปเสียหมดหรือคะ”

“คะ?”

“ก็หนูอินเชื่อฟังอาผิดปกติ กลัวว่าอาจะไล่ตะเพิดพวกนั้นจนไม่กล้ามาจีบหนูอินอีกหรือคะ”

เจ้าหล่อนกะพริบตาปริบ ก่อนพ่นเสียงหัวเราะพรืด

“เปล่านะเพคะ อินไม่ได้คิดแบบนั้น ที่อินนั่งรอตรงนี้ก็เพราะอินรู้ว่าอาดนัยต้องตามหาเจ้าปุยให้อินได้แน่ ไม่ใช่เพราะกลัวอะไรแบบนั้นซะหน่อย”

ท่านชายเลิกคิ้ว ยกหัตถ์ลูบปลายพระหนุที่ไรพระมัสสุขึ้นเขียวจางๆ ดวงเนตรวาววะวับขึ้นมาราวกับกำลังไม่พอพระทัย

“แล้วหนุ่มๆ ที่มาเกาะแกะหนูอินมีกี่คนคะ”

คนถูกถามเลิกคิ้ว นิ่งคิดอยู่พักใหญ่ทีเดียวกว่าจะสั่นศีรษะ

“ไม่มีเพคะ”

“มีซี่” คนตัวโตเถียง “อาได้ยินมา...ทั้งนายภัทร นายภูดิส ประยุทธ์ พงศนาถ พันเลิศ อ้อ...นายสพลอีกคน ยังมีคนอื่นอีกไหมคะ”

“โธ่...ใช่ที่ไหนเพคะ ก็เพื่อนกันทั้งนั้น”

“แน่ใจหรือคะ”

“แน่ใจสิเพคะ”

“แต่อาไม่แน่ใจ...ไว้ว่างๆ แนะนำเพื่อนหนูอินให้อารู้จักหน่อยสิคะ”

คนฟังชักนึกเป็นห่วงบรรดาเพื่อนๆ เหล่านั้น ด้วยไม่รู้ว่าคนตรงหน้าหล่อนจะทำอะไรแผลงหรือไม่

“อาไม่จับพวกเพื่อนหนูอินไปฆ่าหรอกค่ะ แค่อยากทำความรู้จักกันไว้เผื่อวันหน้าหนูอินไปตกลงปลงใจกับใครสักคนในพวกนั้น อาจะได้รู้ว่าคนคนนั้นเหมาะสมกับหนูอินหรือเปล่า แต่...” ทรงจับปลายคางมน บังคับให้หล่อนหันมาสบตา “อาพูดจริงๆ นะคะ อาไม่เห็นว่าจะมีผู้ชายคนไหนเหมาะกับหนูอินเลยสักคน แม้แต่กับเจ้ากฤต อาก็ไม่ไว้ใจมัน”

“ว้า...แย่แล้วสิ” อินทุอรทำเสียงเสียดาย ก่อนจะพูดติดกลั้วหัวเราะ “สงสัยชาตินี้อินคงจะไม่ได้แต่งงานแล้วละ คงได้ขึ้นไปอยู่บนคานตลอดชีวิตแน่ๆ เลยเพคะ”

“ขึ้นก็ขึ้นสิ” ท่านชายไหวพระอังสา พลางตรัสทีเล่นทีจริง “แต่หนูอินไม่เหงาหรอก เพราะอาจะปีนขึ้นไปอยู่ด้วย!”



โธ่เอ๋ย!!...

อาดนัยน่ะหรือจะขึ้นคาน สาวๆ ล้อมหน้าล้อมหลังขนาดนั้น แค่เลือกมาสักคนไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย เว้นเสียแต่ว่าอาดนัยจะไม่ยอมเลือกเอง และที่ไม่ยอมเลือกก็คงเพราะไม่ชอบการผูกมัด

อาดนัยเปลี่ยนแฟนมากี่คนแล้ว หล่อนนับแทบไม่ถูก บางคนคบไม่ถึงเดือนก็เลิกเสียแล้ว เพราะเหตุนี้แหละใครๆ ต่างก็ว่าว่าอาดนัยเจ้าชู้

อย่าไปเชื่อนะหนูอิน จริงๆ แล้วอาไม่ได้เจ้าชู้นะคะ เพียงแต่ยังหาคนที่ถูกใจไม่ได้ต่างหาก

เป็นคำแก้ตัวที่อาดนัยเขียนมาถึงหล่อนเมื่อครั้งที่ไปอยู่ลอนดอนใหม่ๆ

อินทุอรอ่านด้วยความรู้สึกขบขันหน่อยๆ ด้วยไม่เห็นความจำเป็นที่อาดนัยจะต้องหาข้อแก้ตัวหรืออธิบายเกี่ยวกับความเจ้าชู้หรือไม่เจ้าชู้ของตัวเองให้หล่อนฟังเลยสักนิด หล่อนเป็นแค่เด็ก...อายุเพิ่งสิบสองเท่านั้น และยังไม่ประสีประสาเรื่องความรักเลยแม้แต่นิดเดียว

หม่อมราชวงศ์อินทุอรคงคิดอะไรต่อมิอะไรไปอีกนาน ถ้าไม่เพราะสัมผัสจากคนข้างกาย

ปลายผมของหล่อนถูกแตะต้องอย่างเบามือ ก่อนคนจับจะก้มพักตร์ลงมากระซิบข้างหู

“เดินส่งอาแค่นี้ก็ได้ค่ะ”

‘แค่นี้’ คือทางเข้าสวนหย่อม ที่มีซุ้มประตูโค้งประดับด้วยเถากุหลาบเลื้อยสีชมพูอ่อน

“หนูอินไปเล่นกับเจ้าปุยต่อเถอะ ไว้เจอกัน...” ทรงนิ่งไปอึดใจ ขณะจ้องหล่อนด้วยแววเนตรที่หล่อนอ่านไม่ออก “พรุ่งนี้นะคะ อาจะแวะมาหาพี่เจษกับหม่อมน้าด้วย”

ตรัสจบก็ยกมือป้องโอษฐ์หาวหวอดๆ

“ไม่ไหวแล้วค่ะ ง่วงมาก ตาจะปิดเสียแล้ว” เห็นแววตามีคำถามจากหล่อนจึงตรัสต่อ “อาลงจากเครื่องมายังไม่ทันได้พักก็รีบมาหาหนูอินเลย”

“แล้วทำไมไม่พักก่อนเล่าเพคะ มาหาอินวันพรุ่งนี้ก็ได้”

“ก็ถ้าไม่เห็นหน้าหนูอิน” ทรงซุกหัตถ์กับกระเป๋ากางเกง เลียริมโอษฐ์ แล้วอมยิ้มน้อยๆ “...อาคงนอนไม่หลับ”

“คะ?”

หล่อนอุทาน กะพริบตาปริบ ซึมซับถ้อยคำนั้นอยุ่พักใหญ่ทีเดียวกว่าหัวใจของหล่อนจะเต้นแรงโลดขึ้นมา อีกครั้งแล้วที่อาดนัยทำให้แก้มของหล่อนแดงซ่าน

“อะไรกันเพคะ” หล่อนเอ่ยเสียงอุบอิบ “ตรัสเหมือนกับอินเป็นยานอนหลับอย่างนั้นแหละ”

กลั้นใจมองสบเนตรทรงเสน่ห์ จึงเห็นว่ามีประกายระยับอยู่ในนั้น เสมือนขบขัน เอ็นดูและ...มีบางสิ่งที่หล่อนมองไม่ออก แต่ทว่ากลับทำให้หล่อนร้อนวูบวาบไปทั้งสรรพางค์

“ไม่เจอกันเกือบหกปี...ไม่คิดว่านานเกินไปหรือคะ”

อินทุอรไม่ได้ตอบ หล่อนเพียงแต่สบเนตรของอีกฝ่ายราวกับถูกมนตร์สะกด

“สำหรับอา...มันนานเกินกว่าจะรอไหว”

...ก็แล้วทำไมไม่กลับมาเร็วกว่านี้เล่าเพคะ

คำถามนั้นดังอยู่เพียงในใจ แต่ราวกับอีกฝ่ายจะรู้จึงตรัสตอบ

“อยากกลับมาเร็วกว่านี้ แต่มีบางอย่างที่ต้องหาคำตอบ”

“บางอย่าง? คืออะไรหรือเพคะ”

ทรงก้มลงมากระซิบข้างหูหล่อนอีกครั้ง

“ความลับจ้ะเด็กน้อย”

‘เด็กน้อย’ หน้างอง้ำ ขัดเคืองใจที่อาดนัยมีความลับกับหล่อน แล้วยังคำเรียกนั้นอีก...อาดนัยยังเห็นหล่อนเป็นเด็กน้อยอยู่ร่ำไป

“อินโตแล้วนะเพคะ”

“โตแล้ว...อืม...จริงสินะ ปีนี้หนูอินก็สิบหกแล้ว...ใช่ไหม” ทรงกอดพระอุระ แล้วเลิกพระขนงเมื่อตรัสประโยคถัดมา “แต่สำหรับคนวัยยี่สิบเก้าอย่างอาก็ยังมองว่าหนูอินเด็กอยู่ดี”

...สิบสามปี

นั่นสินะ...หล่อนเด็กกว่าอาดนัยตั้งสิบสามปี จะแปลกอะไรถ้าอาดนัยจะยังเห็นหล่อนเป็นเด็ก

“เรียนจบเมื่อไร ค่อยมาพูดเรื่องโตเป็นสาวนะคะ”

ทรงจับศีรษะหล่อนโยกอย่างเอ็นดูก่อนสาสบาทจากไป ทิ้งไว้เพียงรอยผะผ่าว และความคิดถึงที่ยังกรุ่นอยู่ในอกของหล่อน



หล่อนยังเป็นเด็กหญิงอินทุอรผู้มีดวงตากลมโตสุกสกาวเฉกเช่นที่เคยเป็น

ห้าปีก่อนหล่อนเป็นเช่นไร บัดนี้ยังไม่มีอะไรต่างไปมากนัก...เฉพาะแววตา และรอยยิ้ม

ทว่าอย่างอื่น...ทรงเหยียบคันเร่งอย่างไม่รู้องค์ รถจึงแล่นฉิว...ตามแรงพระอารมณ์

อารมณ์ของความ...ปั่นป่วนล่ะมัง

ทรงปั่นป่วนในพระหทัยอย่างไม่มีเหตุผลเมื่อเห็นอินทุอรในวัยแรกรุ่น หล่อนสดใสสมวัย...ยังไม่อาจเรียกว่าสวย แต่เค้าของความสวยนั้นประจักษ์ชัดแน่แก่ดวงหทัย

ใบหน้าที่เคยกลม บัดนี้เริ่มเรียวยาวขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เพราะแก้มที่ยังคงยุ้ยเหมือนวัยเด็กจึงไม่อาจสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคือเรือนร่างอันอรชรอ้อนแอ้น

อินทุอรเริ่มมีทรวดทรงแบบที่สาวๆ ควรจะมี เนินทรวงภายใต้เสื้อนักเรียนของหล่อน ทรงสัมผัสได้ชัดเจนจากการกอดรัด เอวของหล่อนก็เล็กกว่าที่คาด แล้วยังสะโพกที่ซ่อนอยู่ใต้กระโปรงบานนั่นอีก

ทรวดทรงองค์เอวของหล่อน นับว่าเป็นสาวเต็มตัว

สาวน้อยแรกรุ่นวัยสิบหกปี...เปรียบดั่งกุหลาบที่กำลังเบ่งบาน ส่งกลิ่นหอมชวนเชิญหมู่ภมรให้มาดอมดม

เพียงแค่คิดก็มีบางอย่างก่อกวนอยู่ในห้วงพระหทัย...คือความหวงแหนงั้นหรือ

ทรง ‘หวง’ หล่อน...หวงที่หล่อนจะมีหนุ่มๆ มาจีบน่ะหรือ

ความว้าวุ่นพระทัยทำให้ต้องทรงหักพวงมาลัย นำรถจอดชิดริมฟุตปาธ ก่อนจะทอดถอนพระทัยยาวนาน

ได้แต่ถามองค์เอง ‘เป็นอะไรไป’

ความรู้สึกเช่นนี้ใช่ว่าจะไม่เข้าพระทัย แต่ที่มันเกิดกับเด็กสาวที่อายุห่างกันถึงสิบสามปีนี่สิ

‘ชอบหรือ?’

เด็กสาวที่ประจำเดือนเพิ่งมาไม่กี่ปี ยังไม่ประสีประสา และไม่มีประสบการณ์เรื่องความรักแม้สักนิด

ได้แต่บอกองค์เองว่า...ไม่ใช่สเปค!

ทรงไม่เคยโปรดสตรีในลักษณะนี้มาก่อน ผู้หญิงที่ทรงคบและควง หากไม่เซ็กซี่ราวกับนางแบบ ก็ประเปรียว ระเหิดระหง แต่อินทุอรอ่อนหวาน ไร้เดียงสา และ...เด็ก!

‘อาจแค่เอ็นดู หรือไม่ก็แค่ผูกพัน’

ผูกพัน...ในความบริสุทธิ์สดใส

ผูกพัน...เพราะหล่อนเคยเป็นที่พักพิงในยามเหนื่อยล้า

บ่าเล็กๆ ของเด็กตัวกลมป้อม เคยให้พระองค์ได้ซุกซบ ซ่อนความอ่อนแอและเศร้าเสียใจ

แม้เพียงครั้งเดียว แต่ความรู้สึกนั้นกลับฝังแน่นในดวงหทัย

ก็แค่ความผูกพันน่า...ทรงย้ำกับองค์เอง

ทว่า...ยังมีคำถามตามมา

ผูกพันกับรักจะแยกกันออกได้อย่างไร

หม่อมเจ้าอัครดนัยถอนพระทัยเป็นคำรบสอง ก่อนจะเหยียบคันเร่งพารถออกสู่ถนน มุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทาง ทิ้งเสียงของหัวใจที่อึงอลไว้เบื้องหลัง


[1] พระอัยกา = ปู่ , ตา

[2] พระปิตุลา = ลุงหรืออาชาย



ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ธ.ค. 2559, 23:02:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ธ.ค. 2559, 23:37:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 1111





<< ๑ | ช า ย เ ส เ พ ล ๓   
แว่นใส 28 ธ.ค. 2559, 07:12:57 น.
ยังไม่รู้ใจตัวเองอีกนะ


Zephyr 30 มี.ค. 2560, 15:54:17 น.
^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account