ร่ายรัก ลำนำเสน่หา
อดีตอันพลั้งพลาดได้ติดแน่นฝังตรึงจนกลายเป็นตราบาปที่ต่อให้ทั้งชาติไม่อาจไถ่ถอน มีเพียงประกายแห่งความหวังที่ผุดขึ้นที่กลางใจ สัมผัสลึกซึ้งของหัวใจดวงน้อยๆ ถึงสองดวงที่กำลังเต้นถี่ๆ อยู่ในกายเธอ

ภูวิช – มัณฑนากรหนุ่มหล่อ เลือดใหม่ ไฟแรง เจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างและออกแบบตกแต่งภายใน เป็นที่หมายปองของบรรดาหญิงสาวแทบจะทุกคนที่เฉียดเข้าใกล้ ทว่าหนุ่มโสดเนื้อหอมเช่นเขากลับครองตนเป็นโสด จนผู้คนรอบข้างเริ่มจะกังขาว่าแท้ที่จริงแล้ว เขาคือพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน แท้ที่จริงแล้ว ภาพเงาของเหตุการณ์ในอดีตนั่นต่างหากเล่า ที่ติดค้างฝังลึกอยู่ในจิตใจ ความไม่แน่ใจในสิ่งที่เคยทำผิดพลาดถูกซุกซ่อนเก็บไว้เนิ่นนาน คอยเป็นหอกทิ่มแทง จนไม่อาจเปิดรับใครใหม่เข้ามาในชีวิตอย่างสมบูรณ์ จวบจนวันเวลาผ่าน อาจเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิตชักนำให้เขามีโอกาสที่จะกลับไปแก้ไขความผิดพลาดในอดีตนั้นได้อีกครั้ง

ณิชญาฎา – สถาปนิกสาวสวย มาดมั่น เสน่ห์แรง ผู้มีสถานภาพคุณแม่ยังโสด ทว่าก็หาได้ลดทอนความสนใจของบรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่เฝ้าวนเวียนอยู่รอบกายเธอลงไปแม้แต่น้อย ผลพวงของความพลั้งพลาดในอดีตกลายกลับมาเป็นเงาดำทาบทับไม่อาจล้างจากกลางใจเธอ เพียงสิ่งเดียวที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว คอยฉุดรั้งเป็นกำลังใจให้ก้าวต่อ นั่นก็คือสองเด็กน้อยผู้เป็นยอดดวงใจแห่งเธอผู้เป็นมารดา นับแต่วันแรกที่ได้รู้ว่าชีวิตน้อย ๆ ได้ก่อกำเนิดขึ้นในกาย การตัดสินใจอันแน่วแน่ ของเธอได้ส่งผลให้วิถีชีวิตอันเป็นปกติต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล

ตัวไหม + ใบหม่อน เด็กคู่แฝด ชาย - หญิง วัยสี่ขวบครึ่ง ผู้เป็นห่วงโซ่คล้องชีวิตของมารดา ไม่ให้ต้องแตกหักพิณพัง ลงไปนับแต่วันแห่งความสูญเสีย ความน่ารักบริสุทธิ์สดใสของเด็กน้อย สัมผัสแห่งความรักแตะแต้มชีวิต เสมือนหนึ่งน้ำทิพย์ชโลมใจ เป็นที่หมายหลักและที่พึ่งสุดท้ายของการมีชีวิตอยู่เพื่อใครซักคน ก่อเกิดกำลังใจให้ลุกขึ้นและหันหน้ามาเผชิญกับความจริงอันปวดร้าว ผลลัพธ์สุดท้าย ที่สุดแห่งความอดทน นั้นคือความอิ่มเอม เปรมปรีอันหาที่สุดมิได้

พฤทธิ์ – บุรุษหนุ่มทายาทตระกูลดัง มหาเศรษฐีชื่อก้อง ที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็มักจะมีบรรดาหญิงสาวมาคอยห้อมล้อม คอยตามหว่านเสน่ห์ หวังพิชิตใจหนุ่มผู้มั่งคั่ง ทว่าชั่วชีวิตของเขา กลับเทใจวางไว้แทบเท้าเพียงหญิงสาวนางเดียว นับตั้งแต่วันแรกเจอ จวบจนเหตุการณ์พลิกผัน แม้หญิงสาวผู้เป็นที่รักจะไม่บริสุทธิ์ดุจดั่งน้ำค้างยามรุ่งอรุณอีกต่อไป แต่เขาก็ยังคงมั่นรัก เฝ้าติดตามดูแลเอาใจใส่ และหวังให้เป็นเช่นนั้นตลอดไป ขอเพียงแค่สักวัน “เธอ” ผู้นั้น จะหันมามอง และรับ “เขา” ไว้ในใจเธอบ้างก็พอ

รินรตี – เลขาสาว ผู้มีอดีตอันขมขื่นจากครอบครัวที่แตกแยกไม่มีชิ้นดีกับการทอดทิ้งของบุพการี กลับกลายเป็นหล่อหลอมให้เธอมีความเข้มแข็ง และแกร่งเกินที่ใครจะคาดคิด กับทางที่เธอเลือกเดิน บางครั้งหลายคนอาจมองว่ามันไม่ถูกไม่ควร แต่สำหรับชีวิตที่มีทางเลือกไม่มานัก เธอจึงจำเป็นต้องทำ เพื่อความอยู่รอดของตัวเธอเอง

ฤา ความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัยจะมีอำนาจเหนือความเจ็บช้ำของรอยแผลในอดีต

ฤา ความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ของผู้เป็นสายเลือด จะสามารถเป็นกาวใจ เอาชนะแรงทิฐิ ของผู้เป็นบิดา-มารดาลงได้

เรื่องราวทั้งหมดจะลงเอยอย่างไร ก็คง สุดแท้แต่การนำพาของโชคชะตาใน “ร่ายรัก ลำนำเสน่หา”

Tags: ซึ้งกินใจ

ตอน: ตอนที่ 14 : เพราะรัก หรือเสน่หา (2)

ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาดอกไม้ช่อโตพร้อมกับการ์ดอวยพรใบเล็กๆ ถูกส่งมาถึงมือณิชญาฎายังที่ทำงานมิได้ขาด จนเกิดเป็นกระแสข่าวลือหนาหูถึงความสัมพันธ์ระหว่างไฮโซหนุ่มเนื้อหอมฐานะเข้าขั้นเศรษฐีเจ้าของช่อดอกไม้ที่ครองตนเป็นโสดมานานปีอย่างภูมินทร์ กับสถาปนิกสาวสวยดีกรีนักเรียนนอก ทว่ามีตำแหน่งคุณแม่ยังโสดพ่วงท้าย จนถึงขั้นมีข่าวลือออกมาว่าชายหนุ่มอาจจะสละโสดในเร็ววัน พาให้ใครต่อใครต่างตกตะลึงและเกิดอาการช็อกกับข่าวนี้ไปตามๆ กัน

แน่นอนว่าแค่ดอกไม้เพียงไม่กี่ช่อย่อมไม่ใช่ต้นตอของเรื่องราวทั้งหมดไปเสียทีเดียว แต่สิ่งที่ช่วยตอกย้ำกระแสข่าวลือให้สะพัดไปไกลและส่อเค้าถึงความเป็นไปได้ก็คือภาพที่ปรากฏอยู่ในหน้าข่าวสังคมยามที่คนทั้งสองควงคู่กันตามสถานที่ต่างๆ เป็นครั้งคราว แม้จะไม่ถึงกับถี่มาก แต่ด้วยท่าทีที่แสดงออกอย่างชัดแจ้งของฝ่ายชายทำให้ข้อมูลนี้หนักแน่นเพียงพอที่จะทำให้ข่าวที่ว่ากลายการเป็นกระแสที่ผู้คนในแวดวงสังคมของคนมีสตางค์ต่างให้ความสนใจได้อย่างไม่ต้องสงสัย แถมพกไว้ด้วยความผิดหวังปนเสียดายของบรรดาสาวๆ ที่เคยหมายมั่นปั้นมือหมายปองจะครอบครองหัวใจของชายหนุ่มผู้เพียบพร้อมรายนี้เอาไว้ให้ต้องอกหักไปตามๆ กัน

“เย็นมากแล้วยังต้องออกไปข้างนอกอีกหรือคะคุณแพร”

พี่เลี้ยงผู้มากวัยของณิชญาฎาเดินเข้ามาภายในห้องนอนของหญิงสาวขณะที่เจ้าตัวกำลังแต่งเนื้อแต่งตัว เตรียมพร้อมจะออกไปข้างนอก นางบัวหยิบเครื่องประดับขึ้นมาแล้วช่วยสวมให้กับเธอ ปากก็พลางถาม

“ค่ะป้า แพรฝากป้าพาพวกเด็กๆ เข้านอนด้วยนะคะ” ณิชญาฎายอมรับแล้วออกปากฝากลูกๆ ไว้กับนาง

“กับคุณภูมินทร์หรือคะ” นางย้ำถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ทั้งที่นางเองก็พอจะเดาได้ออก

“ค่ะป้ามีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ ทำไมทำหน้าแบบนั้น” ณิชญาฎารับรู้ได้ถึงน้ำเสียงที่ดูจะผิดปกติไปบ้าง จึงหันไปสบตาแล้วถามกับนางตรงๆ

“คุณแพรจะว่าอะไรไหมคะ หากว่าป้าจะขอพูดอะไรกับคุณตรงๆ สักเรื่อง”

“เอ... วันนี้มาแปลก มีอะไรก็พูดมาสิจ๊ะ ป้าทำอย่างกับว่าตามปกติแล้วแพรเป็นจอมเผด็จการห้ามพูดห้ามถามอย่างนั้นแหละ”

“เรื่องที่ระยะนี้คุณมักจะไปไหนมาไหนกับคุณภูมินทร์เธออยู่บ่อยๆ ทำแบบนั้นมันจะดีหรือคะ บอกตรงๆ ว่าป้ารู้สึกไม่ค่อยจะสบายใจเลย” มือที่กำลังสาระวนกับการปรุงโฉมถึงกับชะงักไปเมื่อถูกตั้งคำถาม เจ้าตัวจึงนิ่งไปนิดอย่างตั้งสติแล้วย้อนถามกลับเรียบๆ พยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด

“ทำไมต้องดีหรือไม่ดีด้วยละคะป้า แพรก็แค่ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างเท่านั้นเอง”

“แค่นั้นจริงหรือคะ คุณแพรนะคุณแพร ป้าเลี้ยงคุณมาแต่เล็กแต่น้อย เรื่องแค่นี้มีหรือจะดูไม่ออกว่าคุณกำลังคิดจะทำอะไร” นางบัวเอ่ยอย่างตัดพ้อ

“ตายจริง! อย่าบอกนะคะว่าเดี๋ยวนี้ป้าบัวของแพรกลายเป็นหมอดูไปเสียแล้ว” ณิชญาฎาทำท่าทางตลกกลบเกลื่อน พยายามจะหลีกเลี่ยงเบี่ยงประเด็น ทว่าเมื่อโอกาสมาอยู่ตรงหน้าแล้ว มีหรือที่นางบัวจะยอมละโอกาสที่จะเตือนสติเจ้านายสาวที่นางรักประดุจเลือดในอก

“ไม่ต้องมาเฉไฉเลยค่ะ ทั้งที่รู้ว่าคุณภูมินทร์เป็นพี่ชายของคุณภู แถมยังเป็นพี่ชายแท้ๆ เสียด้วย คุณกลับไม่คิดจะหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธ แบบนี้แล้วจะให้ป้าเชื่อหรือคะว่าคุณหนูไม่ได้จงใจแกล้งปั่นหัวคุณภูเธอเล่นน่ะ” นางบ่นขณะที่ณิชญาฎาส่งยิ้มระรื่นมาให้นางผ่านกระจกบานใหญ่

“ปั่นหัวอะไรกันคะป้า แพรเคยทำอะไรแบบนั้นที่ไหน ป้าเอาแต่เข้าข้างคนอื่นแบบนี้ แพรชักจะน้อยใจแล้วนะคะ” ณิชญาฎาแสร้งทำงอนพร้อมกับส่งค้อนวงโต ส่วนนางบัวก็ได้แต่ส่ายหน้า อ่อนอกอ่อนใจกับความดื้อรั้นของหญิงสาว

“เห็นๆ กันอยู่ยังจะมาปฏิเสธ ลองคิดดูสิคะว่าคุณภูเธอจะรู้สึกอย่างไร ที่ต้องมารับรู้ว่าคุณพี่ของเธอมาติดตาต้องใจในตัวคุณ ไหนจะคุณหนูเล็กๆ ทั้งสองคนอีก คุณจะอธิบายกับพวกแกว่าอย่างไร นั่นคุณพ่อนี่คุณลุง ปล่อยไปแบบนี้เรื่องมันจะวุ่นวายพิลึกนะคะคุณหนู”

“วุ่นตรงไหนคะ แพรว่าน่าสนุกดีออก” คนถูกเตือนตอบเสียงกลั้วหัวเราะ มองว่าเป็นเรื่องน่าขันมากกว่าจะเป็นปัญหา

“แล้วถ้าหากว่าคุณภูมินทร์เธอเกิดคิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา คุณจะยังคิดว่ามันน่าสนุกอีกไหมคะ”

“จริงจังอะไรกันคะ ป้านี่หัวโบราณจัง นี่มันสมัยไหนกันแล้ว กับอีกแค่ไปไหนมาไหนด้วยกันไม่กี่ครั้ง ไม่มีใครเขาเก็บมาคิดเป็นจริงเป็นจังกันหรอกค่ะ” ณิชญาฎายังคงรั้น เลี่ยงหลบไปเรื่อยๆ

“เรื่องแบบนี้ ไม่มีใครรู้จิตใจใครหรอกค่ะ ถ้าวันหนึ่งคุณภูมินทร์เธอเกิดขอคุณแต่งงานขึ้นมาจริงๆ คุณเองนั่นล่ะที่จะพูดไม่ออก”

“ก็แล้วทำไมจะต้องพูดอะไรด้วยล่ะคะ ถ้าเขามาขอ แพรก็แค่ตอบตกลงก็เท่านั้นเอง” เจ้าของห้องตอบเสียงแจ้ว ราวกับว่าเรื่องที่กำลังพูดคุยเป็นหัวข้อชวนขำขัน จนห้ามอาการหัวเราะร่วนของตัวเองไว้ไม่อยู่

“คุณก็พูดเป็นเล่นไป ถ้าเรื่องมันเกิดเป็นแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ ป้าทายได้เลยว่าคุณภูเธอไม่มีทางจะยอมอยู่เฉยๆ หรอกค่ะ มีหวังคราวนี้ได้เป็นเรื่องเป็นราวกันใหญ่โตแน่ๆ”

“ไม่ยอมก็ช่างเขาสิคะ เพราะถึงอย่างไร เรื่องระหว่างแพรกับคุณภูมินทร์ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผู้ชายคนนั้นอยู่แล้ว”

“ค่ะ! ไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยวเลยสักนิดเดียว” นางบัวทอดเสียงยาวตอบแกมประชด เฮ้อ! ป้าละอ่อนใจจนเหนื่อยจะพูดกับคุณแล้ว”

“แหมป้าละก็ เรื่องมันยังไม่มีอะไรสักหน่อย จะกังวลล่วงหน้าไปทำไมกันล่ะคะ”

“ที่ป้าพูด ก็เพราะว่าเป็นห่วงคุณเท่านั้นล่ะค่ะ”

“แพรรู้ค่ะว่าป้าห่วง แต่ว่าแพรน่ะลูกสองแล้วนะคะ ไม่ใช่เด็กๆ อีกต่อไปแล้ว เรื่องแบบนี้ แพรจัดการเองได้”

“หัวใจของคนเราไม่ใช่สิ่งที่ใครจะเอามาล้อเล่นหรือหยิบยืมมาเป็นเครื่องมือในการแก้แค้นใครหรอกนะคะ คุณฟังป้าสักครั้งเถอะ อย่าดื้อดึงพาให้ใครๆ ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวระหว่างคุณสองคนเลยค่ะ มันจะยิ่งทำให้เรื่องวุ่นวายไปกันใหญ”

“ไปกันใหญ่แล้วค่ะ แพรไม่เคยคิดจะดึงใครเข้ามาเอี่ยวกับเรื่องของแพรเลยนะคะ เขามาของเขาเองต่างหาก”

“มาเองหรือว่าดึงมามัน อีหรอบเดียวกัน สุดท้ายแล้วคนที่จะเจ็บปวดคงไม่ใช่ใคร แต่เป็นตัวของคุณเอง”

ณิชญาฎารับฟังแล้วเลือกที่จะนิ่ง ปล่อยให้นางเดาเอาเองว่าแท้จริงแล้วเธอคิดเห็นอย่างไร และจะเออออไปกับคำขอร้องของนางหรือไม่

“เชื่อป้าเถอะนะคะคุณแพร”

“ปล่อยเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องของแพรเถอะนะคะป้า แพรรู้ว่าตัวเองควรจะรับมือกับเรื่องพวกนี้อย่างไร รับรองว่านอกเหนือจากผู้ชายคนนั้นแล้วจะไม่มีใครต้องมาเดือดร้อนกับเรื่องนี้แน่ อีกอย่าง แพรตั้งใจเอาไว้แล้วว่าหลังจากเสร็จงาน แพรจะพาพวกเด็กๆ ไปให้พ้นจากที่นี่ แล้วก็จะไม่กลับมาอีก ข้อนี้ป้าก็รู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือคะ”

“แต่การหนีไม่ใช่ทางแก้ปัญหานะคะ เผลอๆ ปัญหาจะยิ่งลุกลามและพัวพันเข้ามาประชิดตัวจนแก้ไม่ออกเสียด้วยซ้ำ”

“ถ้าอย่างนั้น แพรก็ยินดีจะรับผลของมัน ป้าอย่ากังวลให้มากไปเลย คิดมากห่วงมากยิ่งจะพาให้ปวดหัวไปเสียเปล่าๆ ตายจริง! แพรสายแล้ว ไปก่อนนะคะป้า”

ณิชญาฎาไม่คิดจะอยู่รอฟังความคิดเห็นหรือคำตอบอีกต่อไป หญิงสาวผละจากนางผู้เป็นพี่เลี้ยงแล้วรีบเดินออกจากห้องตน ทิ้งไว้แต่ปมปัญหาให้นางบัวต้องเป็นฝ่ายขบคิดต่อว่าผลว่าผลสุดท้ายแล้ว เรื่องระหว่างเจ้านายสาวของนางกับชายหนุ่มผู้เป็นต้นเรื่องของปัญหาทั้งหมดจะลงเอยกันอย่างไร นางคงได้แต่สวดมนต์และภาวนาขออย่าให้ความบาดหมางในครั้งอดีตลุกลามมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้เลย

-----------------------------------------------

เสียงวิพากษ์วิจารณ์หนาหูที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาเกือบเดือนที่ผ่านมา ทำเอานายพัฒนานั่งอยู่กับที่แทบไม่ติด จำต้องเรียกบุตรชายมาสอบถามถึงที่มาที่ไปของข่าวลือทั้งหมด จนในท้ายที่สุดก็ได้คำตอบที่ทำเอาเขาแทบคลั่ง แต่ก็จำต้องเก็บอารมณ์เอาไว้ ให้อย่างไรเขาก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ยามอยู่ต่อหน้าบุตรชายเอาไว้ สังหรณ์ใจบางอย่างบอกกับเขาว่าพฤทธิ์น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่รินรตีหายตัวไปอย่างปริศนาจากห้องพักของโรงแรมในคืนนั้น ดังนั้นหากยังดันทุรังถาม รังแต่จะทำให้บุตรชายระแคะระคายถึงสิ่งที่เขาจงใจจะซุกซ่อนเอาไว้เสียเท่านั้น

“สรุปว่า แกกำลังคบหาดูใจอยู่กับแม่หนูรินรตี เลขาของแกคนนั้นจริงๆ ใช่ไหม”

“ครับ และผมก็หวังว่าพ่อจะเข้าใจ ไม่ตั้งข้อรังเกียจเธอ”

ตามปกติแล้วนายพัฒนาไม่ใช่คนคิดมาก ทว่าวันนี้เขาอดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าทุกถ้อยคำของพฤทธิ์ดูเหมือนจะแฝงรอยกระแทกกระทั้นอยู่ในที เกือบจะตลอดเวลาที่นั่งสนทนากันเสียด้วยซ้ำ

“เอาเถอะ เรื่องนั้นไว้เราค่อยไปคุยพร้อมๆ กันกับแม่ของแก ว่าแต่ตัวแกเองเถอะ คิดดีแล้วหรือ ถึงได้ไปข้องเกี่ยวกับคนในปกครองแบบนั้น”

“ไม่เห็นมีอะไรให้ต้องคิดนี่ครับ รินรตีเป็นคนน่ารัก ขยันขันแข็ง แล้วก็ฉลาด ถึงแม้ว่าพื้นฐานครอบครัวเธอจะแตกต่างจากเรา แต่ถ้าเทียบกับผู้หญิงคนอื่นๆ ในแวดวงที่ผมเคยรู้จัก เธอยังดีกว่าพวกนั้นเป็นไหนๆ ดีเสียอีก ได้คนมาช่วยทำงาน แถมยังไว้ใจได้อีกต่างหาก”

“ดูแกจะเข้าข้างหล่อนเสียเหลือเกินนะ แล้วหนูแพรล่ะ แกเอาเธอไปไว้เสียที่ไหน”

นายพัฒนาห้ามใจไม่ให้หมั่นไส้บุตรชายเอาไว้ไม่อยู่จริงๆ ตอบกลับด้วยถ้อยคำเหน็บแนมชนิดที่พฤทธิ์เองก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าบิดาจะมีมุมเช่นนี้เหมือนกับคนอื่นเขาเหมือนกัน แต่สิ่งที่เขาเลือกที่จะทำคือค่อยๆ ตอบท่านไปอย่างใจเย็น

“แพรกับผม เราเป็นเพื่อนกัน และก็จะเป็นแบบนั้นตลอดไป เพราะฉะนั้นคุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงผมกับแพรเราเข้าใจ และรู้ใจกันดีเสมอมา” พฤทธิ์ตอบคำถามบิดาด้วยนัยของความเป็นจริงซึ่งตัวเขาเองก็ยอมรับกับมันเป็นอย่างดี

“เอ้อ! ดีนะ วันหนึ่งก็มาบอกว่าแกรักหนูแพรจนแทบจะเป็นจะตาย แล้วแต่จู่ๆ ก็มาบอกว่าเป็นเพื่อน แล้วตัวเองก็เปลี่ยนใจไปรักไปชอบอีกคนเสียเฉยๆ แบบนั้น”

“ของแบบนี้มันเปลี่ยนใจกันได้นี่ครับ เวลาเปลี่ยน คนเราก็เปลี่ยน” คำหลังของพฤทธิ์แม้จะฟังดูเรื่อยๆ ทว่านัยที่แท้จริงดูเหมือนจะอยากประชดใครบางคนเสียมากกว่า

“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่แกเถอะ อย่าลืมที่พ่อเตือนก็แล้วกัน การยุ่งเกี่ยวกับคนในปกครอง ระวังจะได้ไม่คุ้มเสีย”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับคุณพ่อ เอาเป็นว่าผมจะระวังเป็นพิเศษ ถ้าหมดธุระแล้วผมขอตัวนะครับ เย็นนี้ผมมีนัดทานข้าวกับรตี คงไม่ได้กลับไปทานข้าวบ้าน ฝากเรียนคุณแม่ด้วยนะครับ”

พฤทธิ์เดินกลับไปยังห้องทำงานของตน ใบหน้าเปื้อนยิ้มแฝงไว้ด้วยรอยสะใจลึกๆ แม้จะไม่อาจต่อว่าผู้เป็นบิดาได้ตรงๆ แต่อย่างน้อยการแอบจิกกัดทีละเล็กละน้อย ก็ช่วยให้เขาสามารถระบายความอัดอกอัดใจลงไปได้บ้าง

ด้านนายพัฒนานี่สิที่น่าเป็นห่วง ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยอยู่ตลอดเวลาในยามที่เจรจาความกับบุตรชาย บัดนี้กลับบูดเบี้ยวเต็มไปด้วยอาการโกรธขึ้ง ขัดใจจนหน้าเขียวหน้าเหลืองไปหมด เมื่อตระหนักชัดว่าได้สูญเสียสิ่งที่หมายปองไปซึ่งๆ หน้า และผู้ที่ฉกฉวยหยิบเอาของสิ่งนั้นไปต่อหน้าต่อตาก็หาใช่ใครอื่น หากแต่เป็นบุตรชายโทนของเขาเอง แต่ที่น่าแค้นยิ่งกว่าคือ เขาไม่สามารถตอบโต้ หรือทวงคืนเอาของสิ่งนั้นกลับคืนมาได้ แล้วแบบนี้จะไม่ให้โกรธจนอกแทบระเบิดได้อย่างไร

โทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋วถูกยกขึ้นแล้วกดโทรออกด้วยอาการหงุดหงิดเต็มพิกัด หลังจากนั้นไม่นาน นายเสมอคนขับรถคู่ใจของนายพัฒนาจึงเปิดประตูเข้ามาภายในห้อง ก่อนจะเดินเข้ามายืนสงบนิ่งตรงหน้าอย่างเตรียมพร้อมรอรับคำสั่ง

“สั่งให้คนคอยตามดู ฉันอยากรู้ว่าความสัมพันธ์ของสองคนนั่นไปถึงไหนกันแล้ว สืบให้รู้แน่ชัดว่าตอนนี้รินรตีพักอยู่กับใคร ที่ไหน แล้วรีบมารายงานฉัน”

“ครับท่าน”

“วันนี้แกไม่ต้องขับรถให้ฉันหรอก เพราะฉันจะไปค้างที่คอนโด แกไปได้แล้ว”

นายเสมอรับคำสั้นๆ แล้วกลับออกไปจากนั้นจึงเริ่มปฏิบัติตามคำสั่งของผู้เป็นนายทันที อย่างไม่ให้มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง เพราะความชะล่าใจ บวกกับไม่ทันได้สังเกต นายเสมอจึงไม่รู้เลยว่าตนกำลังตกอยู่ภายใต้การจับตามองของบุตรชายผู้เป็นเจ้านาย และทุกถ้อยคำที่นายเสมอสั่งการไปยังคนของเขา พฤทธิ์ล้วนแต่ได้ยินจนหมดสิ้น

“รินรตี เดี๋ยวพอเลิกงานแล้วคุณอย่าเพิ่งไปไหนนะครับ อยู่รอผมก่อน เลิกประชุมแล้วผมจะรีบกลับไปรับ เราจะแวะไปทานข้าวด้วยกันก่อน เสร็จแล้วผมค่อยไปส่งคุณที่คลับ แค่นี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวเย็นเจอกัน”พฤทธิ์กะเกณฑ์เอาเองเสร็จสรรพแล้ววางสาย โดยไม่รอฟังการตอบรับหรือปฏิเสธ

ครั้นพอห้าโมงครึ่งโดยประมาณ รถยุโรปคันหรูอันมีสารถีหนุ่มรูปงาม ก็ถูกขับมาจอดรอรินรตีที่ด้านหน้าบริษัท โดยมีสายตาของเหล่าพนักงานที่พากันจับจ้องด้วยความรู้สึกนานา แตกต่างกันไปตามลักษณะและความคิดของแต่ละคน

“ฉันว่าคราวหลังคุณไปจอดรอฉันที่ด้านหลังจะดีกว่านะคะ” รินรตีบอกกับเขาทันทีที่ก้าวขึ้นไปนั่งคู่กับชายหนุ่มบนรถ

“ผมว่าแบบนี้แหละดีแล้ว จะได้มีคนรู้เห็นเยอะๆ มันเด่นแล้วก็สะดุดตาดี” พฤทธิ์บอกกับเธออย่างมีแผน

“อ้อ! ค่ะ แต่ฉันว่าเรารีบไปกันเถอะค่ะ ช้านักเดี๋ยวรถจะยิ่งติด”

“ครับคุณผู้หญิง”

เจ้านายหนุ่มบอกพลางส่งสายตาล้อเลียน ประกายตาวิบวับที่ส่งมายังเธอนั้นไม่ต่างจากเด็กหนุ่มที่กำลังริรักเลยแม้แต่น้อย หากไม่มีเรื่องแผนการและข้อตกลงที่เธอและเขาต่างก็รับรู้และเข้าใจตรงกันดีเข้ามาแทรกกลางแล้วละก็ รินรตีอาจจะไพล่เผลอนึกไปว่าเขากำลังตกหลุมรักเธอเข้าให้จริงๆ ก็เป็นได้

รถเก๋งคันโก้แล่นออกจากลานจอดรถด้านหน้าตึกแล้วมุ่งตรงไปยังร้านอาหารที่ตั้งอยู่บริเวณนอกเมืองในทันที พฤทธิ์เองคุ้นเคยกับเส้นทางที่จะไปยังร้านอาหารร้านนี้เป็นอย่างดี เพราะเหตุที่เป็นร้านประจำของเขาและณิชญาฎา ชายหนุ่มจึงสามารถใช้เส้นทางลัด หลบเลี่ยงการจราจรอันติดขัดไปได้อย่างคนที่เจนในเส้นทาง

ภายในร้านอาหารที่ตกแต่งแบบเรียบง่าย สบายตา เน้นบรรยากาศของความเป็นกันเองเป็นหลัก เจ้าของร้านเลือกใช้เพลงบรรเลงที่ฟังแล้วคล้ายกับเสียงของธรรมชาติมาเปิดให้คนฟังเกิดการผ่อนคลายจากการงานอันเหนื่อยล้า อีกทั่งยังช่วยสร้างบรรยากาศให้โรแมนติคได้อย่างน่าประทับใจ

อาหารหลายอย่างถูกยกมาวางเรียง ทั้งที่รินรตียังไม่ทันได้สั่งอะไรเลยด้วยซ้ำ หญิงสาวได้แต่มองหน้าเขาสลับไปมากับจานอาหารตรงหน้า ไม่รู้จริงๆ ว่าเธอควรจะพูด หรือออกความเห็นอะไร

“ทำไมทำหน้างงอย่างนั้นล่ะ ผมก็แค่สั่งอาหารไว้รอล่วงหน้าเท่านั้นเอง”

“ท่าทางคุณพฤทธิ์จะชินกับร้านนี้มากเลยนะคะ”

“ครับ พอดีว่าที่นี่เป็นร้านโปรดของผมกับแพรเขา เรามาด้วยกันเป็นประจำ ก็เลยคุ้นเคยกับร้านนี้เป็นพิเศษ” พฤทธิ์พูดไปเรื่อยๆ ด้วยคิดว่าไม่มีอะไรที่จะต้องปกปิด ทว่าเขากลับไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ได้บอกออกไปมันทำให้เธอรู้สึกอึดอัด และอดที่จะนึกน้อยใจขึ้นมาเสียไม่ได้

“อ้อ... อย่างนี้นี่เอง” รินรตีก้มหน้าตอบ ซ่อนรอยจืดเจื่อนบนใบหน้าเพราะเกรงว่าชายหนุ่มจะจับสังเกตถึงความน้อยใจที่แอบเกิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“อาหารที่นี่เขาอร่อยนะครับ ไม่เชื่อคุณลองทานดูสิ ช่วงค่ำๆ คนจะแน่นมาก ผมถึงต้องโทรจองและสั่งอาหารเอาไว้ก่อน” พฤทธิ์ยังคงเล่าไปเรื่อยๆ

“คุณพฤทธิ์นี่ รอบคอบดีจริงๆ เลยนะคะ” รินรตีเอ่ยน้ำเสียงเรียบจนพฤทธิ์ฟังไม่ออกว่าแท้จริงแล้วเสียงนั้นมีรอยประชดเจือปน ทั้งที่เจ้าตัวคนพูดพยายามอย่างยิ่งที่จะสะกดและห้ามความน้อยใจของตัวเองเอาไว้อย่างยิ่งยวด

“ก็ไม่เชิงหรอก คงเพราะชินมากกว่า อย่างที่บอกล่ะครับ ผมกับแพร เรามาที่นี่กันอยู่บ่อยๆ”

“ค่ะ” เสียงหวานรับคำสั้นๆ ติดจะสั่นเครือเล็กน้อย รินรตีตระหนักดีว่าเธอไม่มีสิทธิ์จะมาคิดน้อยใจอะไรเขา และสิ่งเดียวที่ทำได้คือพยายามกดความรู้สึกนั้นเอาไว้ ไม่แสดงออกให้พฤทธิ์ได้สังเกตเห็น

มือบางเขี่ยอาหารในจานไปมา ใช่ว่ารสชาติของอาหารจะไม่ถูกปาก ตรงกันข้าม มันอร่อยมากๆ ไม่ผิดจากคำที่พฤทธิ์โฆษณาเอาไว้ แต่สาเหตุที่ทำให้เธอกินอะไรไม่ลง ก็เพราะความรู้สึกน้อยใจที่ยังคงผุดขึ้นมาเป็นระยะๆ ทำให้เธอแค้นคอจนฝืดเฝือน ไม่อาจฝืนใจกลืนอะไรได้ลงก็เท่านั้น

“คุณเป็นอะไรไปหรือเปล่า” จู่ๆ พฤทธิ์ก็ถามขึ้นมาอีกครั้ง ทำเอารินรตีถึงกับสะดุ้ง ขานรับแทบไม่ทัน

“ค...คะ?”

“ผมว่าคุณดูใจลอยๆ ชอบกล ไม่ได้เป็นอะไรไปใช่ไหม” เขาย้ำถามอีกครั้งทั้งยังสังเกตในกิริยาท่าทางของเธอ

“อ๋อ...ปละ...เปล่าค่ะ”

“เปล่าแล้วทำไมไม่กิน หรือว่ากับข้าวไม่อร่อย”

“อร่อยค่ะ เพียงแต่ว่าฉัน...ยังไม่ค่อยหิว” เธอตอบเสียงแผ่วๆ พร้อมกันนั้นก็เลี่ยงหลบสายตา

“เหรอครับ แหม! น่าเสียดายจริง แต่ก็อย่างว่า คุณอาจจะไม่ชินกับการกินมื้อเย็นเร็วแบบนี้ ไม่เป็นไรครับ กินไม่หมดก็ห่อกลับ แต่เท่าที่ดู ผมว่าคุณออกจะกินน้อยไปหน่อยนะ มิน่าล่ะ ถึงได้ผอม”

“ก็ฉันต้องทำงานนี่คะ จะกินอะไรก็ต้องระวัง ขืนตามใจปาก ปล่อยตัวจนอ้วน มีหวังได้ร้องเพลงต่อไม่ไหว คนฟังหายกันหมดพอดี” เธอต่อคำเขาด้วยใบหน้ายิ้มๆ สมองค่อยๆ ห่างจากเรื่องที่กำลังหมกมุ่นออกไปทีละน้อย

“นักร้องนะครับคุณ ไม่ใช่นางเอกหนัง ทฤษฎีที่ว่านั่นมันคงใช้ได้ไม่เสมอไปหรอก นักร้องดังๆ อวบๆ สมัยนี้มีออกถมไป ที่ผมเห็นก็ตั้งเยอะแยะ”

“ไม่เหมือนกันหรอกค่ะ ฉันไม่ได้ดังอย่างพวกเขานี่นา จะได้เลือกทำอะไรๆ ได้อย่างที่ใจอยาก”

“นี่ขนาดไม่ดังนะ คนยังตามติดมาฟังคุณร้องเพลงกันเสียจนแน่นขนาดนั้น ถ้าคุณดังจริงๆ คลับพี่พีแกมิพังหมดหรอกเหรอครับ?”

“แหม! คุณก็พูดเกินไป มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ”

“โอ.เค. ครับ ไม่ถึงก็ไม่ถึง ผมว่าไหนๆ คุณก็ไม่ยอมกินข้าวแล้ว ถ้าอย่างนั้นลองกินของหวานหน่อยนะครับ สละลอยแก้วที่นี่เขาขึ้นชื่อ รสชาติดี ไม่หวานมาก ลองดูนะครับ”

“ก็ได้ค่ะ”

พฤทธิ์จัดการตามที่บอกทุกอย่าง เริ่มจากสั่งของหวานให้กับหญิงสาว จากนั้นจึงสั่งให้บริกรห่ออาหารที่แทบไม่ได้แตะเลยกลับบ้านแทน

“จริงๆ แล้วผมยังมีเรื่องที่จะต้องคุยกับคุณ”

“เรื่องอะไรคะ”

“ช่วงนี้ ผมอาจจะต้องทำตัวใกล้ชิด และ...อยู่ใกล้กับคุณมากกว่าเดิม เพราะดูเหมือนว่าพ่อผมท่านจะไม่เชื่อ ว่าผมกับคุณกำลังคบหาดูใจกันอยู่จริงๆ ท่านเลยส่งคนมาคอยเฝ้าตามดู อย่างวันนี้ก็เหมือนกัน”

“อะไรนะคะ” รินรตีอุทานเสียงสูง แล้วเหลียวมองรอบด้าน พยายามหาผู้ต้องสงสัย

“อย่าหันไปมองสิครับ เดี๋ยวเจ้านั่นก็รู้ตัวกันพอดี” พฤทธิ์รีบห้าม พาให้รินรตีถึงกับชะงัก

“ค่ะๆ ขอโทษค่ะ”

“คุณต้องพยายามทำตัวให้เป็นปกติ ให้เหมือนกับว่าคุณไม่รู้เรื่องอะไรเลย ที่สำคัญคือ ผมอยากให้คุณย้ายเข้าไปอยู่ที่คอนโดฯ ของผม”

“ว่าอย่างไรนะคะ!” รินรตีร้องเสียงหลง จนพฤทธิ์ต้องขึงตาใส่ เป็นนัยว่าให้เบาเสียงลง

“ไหนๆ เราก็แสดงกันมาจนถึงป่านนี้แล้ว อย่างไรก็ต้องเดินหน้าต่อ และต้องเล่นให้จบเกม”

“แต่ว่า...มัน...จะดีเหรอคะ”

“ผมรู้ ว่ามันออกจะประหลาดอยู่สักหน่อย อีกอย่างคุณเองก็เป็นผู้หญิง อาจมีใครคิดหรือพูดไม่ดีเกี่ยวกับคุณก็ได้ แต่ผมยังยืนยันคำเดิม ว่ามันจำเป็นจริงๆ” ชายหนุ่มเน้นย้ำอย่างหนักแน่น

“แต่ฉันว่าเรื่องมันจะยิ่งไปกันใหญ่นะคะ ถ้าเกิดว่าคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณท่าน...”

“หรือว่าคุณกลัวเสียชื่อเสียง”

“ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นหรอกค่ะ เพียงแต่...”

“ผมรับรองด้วยเกียรติ ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นอันขาด ขอให้คุณเชื่อใจ”

“เรื่องนั้นฉันไม่ห่วงหรอกค่ะ ฉันห่วงก็แต่พี่แพรเท่านั้น เธออาจจะเข้าใจคุณผิดก็ได้นะคะ”

“นึกว่าเรื่องอะไร อย่าห่วงไปเลยครับ ผมกับแพรเราสนิทกันมานาน เรื่องแค่นี้ อธิบายนิดเดียวเดี๋ยวก็เข้าใจ”

“เหรอคะ” ดวงหน้าสวยปรากฏรอยเจื่อนเพียงชั่ววูบก่อนจะจางหาย และก็เหมือนอย่างทุกครั้งที่พฤทธิ์เองก็ไม่ทันได้สังเกต

“เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะครับ เราจะเดินตามแผนนี้ไปก่อน รอจนกว่าพ่อผมท่านจะเชื่อ หลังจากนั้นเราค่อยมาประเมินสถานการณ์กันอีกที” บุรุษหนุ่มเจ้าแผนการ ทั้งจัดแจงและกะเกณฑ์ไปทุกสิ่ง

“ค่ะ ว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน ไหนๆ เราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่ จริงไหมคะ”

“ดีครับ ถ้าอย่างนั้น เสาร์-อาทิตย์นี้ ผมจะไปรับคุณที่บ้าน คุณเก็บของรอไว้เลยแล้วกัน”

พฤทธิ์จัดการนัดหมายเสร็จสรรพ ต่อไปก็เหลือแค่ดำเนินการตามแผนเท่านั้น รินรตีแอบถอนหายใจเบาๆ สังหรณ์ใจบางอย่างกำลังร่ำร้องบอกกับเธอว่า แผนการครั้งนี้ อาจส่งผลกระทบจนทำให้ชีวิตเธอต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล แต่ในเมื่อเธอตัดสินใจร่วมมือกับเขามาตั้งแต่แรกแล้ว ไหนเลยจะละทิ้งมันไปได้กลางคัน อีกอย่างเธอเองก็รู้ดีว่าที่พฤทธิ์ทำลงไปทั้งหมด ก็เพราะเขาอยากจะช่วยเหลือเธอ พยายามให้เธอรอดพ้นจากเงื้อมมือของบิดาเขาเท่านั้น เธอจึงได้แต่ภาวนา มาดแม้นว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นจริง ก็ขอให้เธอได้มีโอกาสเก็บช่วงเวลาดีๆ นี้เอาไว้ เพื่อใช้ระลึกเขา ผู้ซึ่งเธอปักใจ แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาของความสัมพันธ์แบบปลอมๆ ก็ตามที

-------------------------------------------

แสงแฟลชเป็นประกายวูบวาบขึ้นพร้อมกับเสียงกดชัตเตอร์รัวไปในทิศทางเดียวกับสายตาของผู้คน ที่จับจ้องไปยังร่างโปร่งบางของณิชญาฎาทันทีที่หญิงสาวที่เคียงคู่มากับบุรุษหนุ่มร่างสูง โดดเด่นทั้งรูปลักษณ์และสถานภาพทางสังคมเข้ามาภายในงานการกุศลเพื่อระดมทุนให้แก่สมาคมแห่งหนึ่ง โดยที่อากัปกิริยาของฝ่ายชายนั้นเทบจะเรียกได้ว่าประคองฝ่ายหญิงเดินยามผ่านและทักทายใครต่อใครที่ในงาน เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้มาร่วมงานนับตั้งแต่ก้าวแรกที่คนทั้งสองเข้ามาปรากฏตัวภายในห้องจัดเลี้ยงกว้างนั่นเลยทีเดียว

ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองมายังบุคคลทั้งสองของใครๆ ภายในงาน มีเพียงดวงตาคู่สวยของเธอคนหนึ่งที่เอาแต่จับจ้องไปที่ฝ่ายหญิงชนิดที่เรียกว่าไม่ยอมวางตา กระแสแห่งความดีใจปะปนไปด้วยความสนใจใคร่รู้ระคนสงสัย อันเป็นอุปนิสัยและความเคยชินของเจ้าตัวซึ่งมีเหตุมาจากวิชาชีพ นั่นก็คือการเป็นแพทย์ด้านจิตเวช วรรณรสามักจะเกิดปฏิกิริยาเช่นนี้ในเวลาที่พบเจอกับเรื่องราวหรือพฤติกรรมแปลกๆ ของคนหลายๆ คนที่ผ่านเข้ามาชีวิตอันราบเรียบและค่อนข้างจะเป็นปกติของเธอ

วรรณรสาจำณิชญาฎาได้ตั้งแต่แวบแรก หลังจากที่ไม่ได้เจอะเจอกันเลยเป็นเวลาเกือบสองเดือนนับตั้งแต่จบการเดินทางท่องเที่ยวเมื่อคราวก่อน นอกเหนือจากนั้นแล้วเธอยังจำได้อีกด้วยว่าหญิงสาวผู้งามสง่าที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอผู้นี้กับชายหนุ่มนามภูวิชนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไร แม้ว่ารายละเอียดหรือเรื่องราวของคนทั้งสองจะยังไม่ถึงกับกระจ่างชัดไปเสียทั้งหมดก็ตามที่ แต่การได้มาเห็นเธอเดินเคียงคู่กันออกงานสังคมกับชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งซึ่งวรรณรสารู้จักมักคุ้นในฐานะของคนในแวดวงสังคมเดียวกัน กลับทำให้ความสงสัยของเธอยิ่งเพิ่มพูน ด้วยรู้ดีว่าภูมินทร์นั้นเกี่ยวข้องอย่างไรกับภูวิช

“สวัสดีค่ะคุณแพร ไม่เจอกันเสียนานนะคะ” วรรณรสารอจนสบโอกาสแล้วจึงเดินตรงเข้าไปทักทายณิชญาฎาอย่างจงใจ หลังจากที่คอยเวลาและจับตามองเธอมาได้พักใหญ่นับจากที่หญิงสาวก้าวเข้ามาภายในงานเลี้ยงของสมาคมในค่ำคืนนี้

“อ้าว! คุณรสา มางานนี้ด้วยเหรอคะ ดีใจจังค่ะ ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอคนรู้จักที่นี่” ณิชญาฎาหันไปตามเสียงเรียกแล้วตอบกลับด้วยสีหน้าประหลาดใจ ไม่เพียงแต่วรรณรสาเท่านั้นที่จำเธอได้ เธอเองก็จำอีกฝ่ายได้เช่นกัน

“เหมือนกันเลยค่ะ รสาก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมาเจอคุณแพรที่นี่ ว่าแต่ไปไงมาไงกันคะ คุณถึงได้มางานนี้กับคุณภูมินทร์เธอได้” จิตแพทย์สาวยิ้มกว้าง ถามพร้อมกับชายตามองเลยไปยังชายหนุ่มที่กำลังยืนพูดคุยกับแขกคนอื่นๆ อย่างออกรส

“คุณรสารู้จักกับคุณภูมินทร์ด้วยหรือคะ?” เมื่อวรรณรสาเอ่ยถามถึงภูมินทร์ ณิชญาฎาก็ทำหน้าประหลาดใจขึ้นมาอีกครั้ง

“แหม... ก็ต้องรู้จักสิคะ ก็คุณใหญ่เธอออกจะดังและเนื้อหอมในหมู่สาวๆ ขนาดนั้น” วรรณรสาไขข้อข้องใจ

“ตายจริง นี่แพรไม่เคยรู้เลยนะคะว่าคุณภูมินทร์เธอจะป๊อปปูล่าขนาดที่ใครๆ ก็รู้จักแบบนี้ เฟอะฟะจริงๆ ที่เผลอไปถามคุณรสาแบบนั้น จริงสิการที่คุณรสามางานนี้ก็ย่อมหมายความว่าคุณกับคุณภูมินทร์เป็นคนในแวดวงเดียวกัน” ณิชญาฎาสรุปไปตามความเข้าใจของตน

“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ รสารู้จักกับคุณภูมินทร์ก็แค่ผิวเผินเท่านั้น แล้วคุณแพรล่ะคะ มาออกงานพร้อมกับชายหนุ่มรูปงามแบบนี้ ไม่กลัวว่าจะตกเป็นข่าวหรือคะ”

“แพรไม่สนใจพวกเรื่องข่าวลือหรือความคิดความเห็นของคนอื่นมากนักหรอกค่ะ ตราบใดที่มันจะไม่กระทบกับคนในครอบครัวของแพร... แพรหมายถึงพวกเด็กๆ น่ะค่ะ“

“งั้นก็หมายความว่า คุณไม่ได้....”

“ไม่ใช่อย่างที่ใครๆ เขาเข้าใจกันหรอกค่ะ คือพอดีว่าก่อนหน้านี้แพรได้มีโอกาสรู้จักกับคุณภูมินทร์ แล้วบังเอิญว่าเราคุยกันถูกคอ เธอเล่าว่าไปเรียนที่เมืองนอกมาตั้งแต่เด็กๆ เลยไม่ค่อยจะมีเพื่อน พอออกงานทีไรเป็นต้องเหงาทุกที ก็เลยชวนแพรมาเป็นเพื่อนแค่นั้นเองค่ะ”

“อ้อ..แบบนี้นี่เอง ไม่เห็นเหมือนที่หนังสือพิมพ์ประโคมข่าวกันเลยนะคะ”

“คุณรสาสนใจข่าวพวกนั้นด้วยเหรอคะ” ณิชญาฎาถามยิ้มๆ เข้าใจว่าเรื่องแบบนี้น่าจะเป็นสิ่งๆ ที่สาวๆ ชาวสังคมให้ความสนใจอยู่พอประมาณ

“ปกติก็ไม่ค่อยสนใจหรอกค่ะ เพียงแต่ว่าทั้งคุณแพรแล้วก็คุณภูมินทร์ ต่างก็เป็นคนรู้จักของรสา ครั้งนี้ก็เลยสนใจนิดหน่อย” คุณหมอสาวร่างเล็กยกมือยกไม้ทำท่าประกอบให้เห็นว่าเธอนั้นสนใจแต่เพียงเล็กน้อยจริงๆ

“แพรเข้าใจค่ะ แต่ระหว่างแพรกับคุณภูมินทร์ เราเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ”

“ฟังแบบนี้รสาก็พอจะเข้าใจนะคะ แต่คนอื่นนี่สิ จะเข้าใจกันไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้”

“คนอื่นที่ว่า หมายถึงใครเหรอคะ” ไม่ใช่แกล้งถาม แต่ณิชญาฎาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคนอื่นที่วรรณรสาพูดถึงนั้นหมายถึงใคร

“อ๊ะ! เปล่าหรอกค่ะ ไม่ได้เจาะจงถึงใคร ก็อย่างที่คุณแพรบอกล่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นข่าว หรือความคิดของคนอื่น สนใจมากไปก็เท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นสักหน่อย จริงไหมคะ” ณิชญาฎาฟังแล้วยิ้มรับแทนคำตอบ วรรณรสาจึงถามต่ออย่างไม่ยอมเสียจังหวะ “แล้วนี่เจ้าสองแสบของรสาเป็นอย่างไรบ้างคะ ไม่เจอกันนานชักคิดถึง”

“สบายดีค่ะ ยังถามหาคุณรสาอยู่บ่อยๆ เลยว่าเมื่อไหร่จะได้เจอคุณอาคนสวยอีก โดยเฉพาะตาใบหม่อนนะคะ รายนั้นท่าทางจะถูกใจเพื่อนเล่นคนใหม่อย่างคุณรสาเอามากๆ วันก่อนยังมา ตะแง๊วๆ ทำท่าจะขอเบอร์โทรคุณรสาให้ได้ บอกว่าจะโทรชวนไปเที่ยวบ้านน่ะค่ะ” ณิชญาฎาเล่าแล้วก็ให้นึกขำยามรำลึกถึงหน้าตาท่าทางของบุตรชาย

“เหรอคะ ตายจริง ตัวแค่นี้รู้จักถามหาเบอร์โทรสาวๆ เสียแล้ว น่ารักจริง โตขึ้นท่าทางจะเอาเรื่องนะคะคุณแพร”

“ไม่ท่าทางล่ะค่ะ เอาเรื่องเลยเชียวล่ะ เอาไว้ถ้าคุณรสาว่าง แล้วอยากไปเยี่ยมพวกแก ก็เชิญนะคะ บ้านแพรยินดีต้อนรับคุณเสมอค่ะ” หญิงสาวออกปากเชื้อเชิญด้วยความเต็มใจ รู้สึกเป็นมิตรและถูกชะตากับหญิงสาวผู้เป็นเพื่อนใหม่คนนี้ขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ

“ไม่พลาดแน่นอนค่ะ คุณแพรออกปากเชิญทั้งที รสาต้องหาโอกาสไปเยี่ยมพวกเด็กๆ ให้ตื่นเต้นเล่นแน่ๆ เผลอๆ จะเร็วๆ นี้ด้วยซ้ำ” วรรณรสาตกปากรับคำอย่างร่าเริง

สองสาวพูดคุยกันอย่างสนิทสนม กระทั่งภูมินทร์เสร็จสิ้นการพูดคุยจากกลุ่มสนทนาและมุ่งหน้าเดินกลับมาร่วมวงสนทนาของณิชญาฎากับวรรณรสาในทันที

“กำลังคุยอะไรกันอยู่หรือครับ ดูท่าทางน่าสนุกจัง ขอผมร่วมวงด้วยคนได้หรือเปล่า สวัสดีครับคุณวรรณรสา” ภูมินทร์เอ่ยถามแล้วจึงหันไปทักทายหญิงสาวที่เขาเองก็พอจะรู้จักหน้าค่าตาอยู่บ้าง

“คุยธุระเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือคะ”

“เรียบร้อยแล้วครับ มางานแบบนี้ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยจะมีเรื่องอะไรให้คุยกันมากนักหรอก นอกจากถามไถ่กันเรื่องธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น”

“เราสองคนก็คุยกันเรื่องทั่วๆ ไปล่ะค่ะ ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะคะคุณภูมินทร์” วรรณรสาถือโอกาสตอบคำถามของภูมินทร์พร้อมกับเอ่ยทักทายกลับ

“แล้วเมื่อกี้คุยเรื่องอะไรกันเหรอครับ เห็นหัวเราะกันด้วย”

“อ๋อ...ก็เรื่องเจ้าสองแสบ เอ๊ย... เรื่องของพวกเด็กๆ ลูกแฝดของคุณแพรเธอน่ะค่ะ บังเอิญว่าคราวก่อนเรามีโอกาสได้ไปเที่ยวด้วยกัน รสาเลยติดใจพวกแก น่ารักนะคะ ฉลาดเป็นกรดเลยทีเดียว คุณแพรก็เลยชวนรสาไปเที่ยวบ้าน นี่เราก็กำลังนัดแนะกันอยู่น่ะค่ะ” วรรณรสาไม่ถึงกับออกปากชวน ทว่าก็จงใจเปิดช่องให้กับภูมินทร์ เพื่อที่ว่าเขาจะได้ขออนุญาตกับหญิงสาวเจ้าของบ้านเอาเอง ส่วนตัวเธอก็แค่รอดูเหตุการณ์เท่านั้น

“เหรอครับ เอ... แล้วถ้าผมจะขอพ่วงไปด้วยคน ไม่รู้ว่าคุณแพรจะอนุญาตหรือเปล่า” และก็เป็นดังคาดเมื่อภูมินทร์รับฟังแล้วหันกลับไปขอกับเจ้าตัวโดยตรง

“เอ่อ... คือ...” ณิชญาฎาอึกอัก

“ถ้าคุณแพรลำบากใจ ก็ไม่เป็นไรนะครับ”

“ก็... ก็ไม่หรอกค่ะ ถ้าคุณใหญ่อยากมาก็มาได้” เธออนุญาตกรายๆ ทั้งที่ในใจเริ่มจะอึดอัด

“ดีเลยค่ะ ถ้าอย่างนั้นอาทิตย์นี้เลยดีไหมคะ รสาไม่ได้มีนัดที่ไหนพอดี ว่าแต่คุณแพรเถอะค่ะ สะดวกหรือเปล่า”

“ได้ค่ะ อาทิตย์นี้แพรก็ว่างเหมือนกัน”

“เอาเป็นวันเสาร์นะคะ เผื่อว่าวันอาทิตย์คุณแพรจะได้พักผ่อน เอ... แต่ว่ารสายังไม่รู้จักบ้านคุณแพรเลยนะคะ”

“เดี๋ยวแพรวาดแผนที่ให้ก็ได้ค่ะ รับรองว่าไปง่าย ไม่หลงแน่”

“ดีค่ะ แต่อันที่จริงเราไปกันแค่สองสามคน มันออกจะดูเงียบเหงาไปนิดนะคะ ถ้ารสาจะชวนคุณหมอนัทไปด้วยอีกสักคนคุณแพรคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมคะ”

“ก็...ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มาหลายๆ คนก็สนุกดีเหมือนกัน” ณิชญาฎาอึกอักเพียงเล็กน้อย แต่ครั้นมาคิดว่าไหนๆ ก็ไหน มีนัทธีธรเพิ่มมาอีกสักคนก็คงไม่กระไรนัก ดังนั้นหญิงสาวจึงตอบตกลงไปพร้อมกับรอยยิ้ม

“เป็นอันว่าตกลงตามนี้ บ่ายวันเสาร์เราเจอกัน” ภูมินทร์สรุป

“รับรองว่ารสาไม่เบี้ยวแน่นอน” คุณหมอสาวยืนยันเป็นมั่นเหมาะ กิริยาท่าทางยังคงร่าเริงทว่าแววตากลับแฝงไว้ด้วยแววบางอย่าง ที่มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร

การนัดหมายครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะวรรณรสามีความคิดที่จะพิสูจน์อะไรบางอย่าง เธอเองก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน ว่าทำไมครั้งนี้ถึงอยากพาตัวเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวปัญหาระหว่างณิชญาฎากับภูวิชนัก รู้แต่เพียงว่าเธอรู้ถูกชะตากับณิชญาฎา และความรู้สึกบางอย่างก็กำลังร้องบอกกับเธอว่าหญิงสาวกำลังทำในสิ่งที่ตรงข้ามใจตัวเอง ความคิดนี้ก่อกวนจิตใจ และความรู้สึกของเธอจนห้ามตัวเองไม่อยู่ ต้องหาทางทำความเข้าใจในให้ถึงรากแก่นของปัญหาระหว่างบุคคลทั้งสอง ก็ไม่แน่เหมือนกันว่า วันหนึ่งข้างหน้าเธออาจพบกุญแจดอกสำคัญที่จะมาช่วยแก้ไขหรือปลดล็อก เรื่องราวของคนทั้งคู่ก็เป็นได้

-----------------------



นิลวนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ธ.ค. 2559, 13:09:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ธ.ค. 2559, 13:11:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 687





<< ตอนที่ 13 : เพราะรักหรือเสน่หา (1)   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account