ร่ายรัก ลำนำเสน่หา
อดีตอันพลั้งพลาดได้ติดแน่นฝังตรึงจนกลายเป็นตราบาปที่ต่อให้ทั้งชาติไม่อาจไถ่ถอน มีเพียงประกายแห่งความหวังที่ผุดขึ้นที่กลางใจ สัมผัสลึกซึ้งของหัวใจดวงน้อยๆ ถึงสองดวงที่กำลังเต้นถี่ๆ อยู่ในกายเธอ

ภูวิช – มัณฑนากรหนุ่มหล่อ เลือดใหม่ ไฟแรง เจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างและออกแบบตกแต่งภายใน เป็นที่หมายปองของบรรดาหญิงสาวแทบจะทุกคนที่เฉียดเข้าใกล้ ทว่าหนุ่มโสดเนื้อหอมเช่นเขากลับครองตนเป็นโสด จนผู้คนรอบข้างเริ่มจะกังขาว่าแท้ที่จริงแล้ว เขาคือพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน แท้ที่จริงแล้ว ภาพเงาของเหตุการณ์ในอดีตนั่นต่างหากเล่า ที่ติดค้างฝังลึกอยู่ในจิตใจ ความไม่แน่ใจในสิ่งที่เคยทำผิดพลาดถูกซุกซ่อนเก็บไว้เนิ่นนาน คอยเป็นหอกทิ่มแทง จนไม่อาจเปิดรับใครใหม่เข้ามาในชีวิตอย่างสมบูรณ์ จวบจนวันเวลาผ่าน อาจเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิตชักนำให้เขามีโอกาสที่จะกลับไปแก้ไขความผิดพลาดในอดีตนั้นได้อีกครั้ง

ณิชญาฎา – สถาปนิกสาวสวย มาดมั่น เสน่ห์แรง ผู้มีสถานภาพคุณแม่ยังโสด ทว่าก็หาได้ลดทอนความสนใจของบรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่เฝ้าวนเวียนอยู่รอบกายเธอลงไปแม้แต่น้อย ผลพวงของความพลั้งพลาดในอดีตกลายกลับมาเป็นเงาดำทาบทับไม่อาจล้างจากกลางใจเธอ เพียงสิ่งเดียวที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว คอยฉุดรั้งเป็นกำลังใจให้ก้าวต่อ นั่นก็คือสองเด็กน้อยผู้เป็นยอดดวงใจแห่งเธอผู้เป็นมารดา นับแต่วันแรกที่ได้รู้ว่าชีวิตน้อย ๆ ได้ก่อกำเนิดขึ้นในกาย การตัดสินใจอันแน่วแน่ ของเธอได้ส่งผลให้วิถีชีวิตอันเป็นปกติต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล

ตัวไหม + ใบหม่อน เด็กคู่แฝด ชาย - หญิง วัยสี่ขวบครึ่ง ผู้เป็นห่วงโซ่คล้องชีวิตของมารดา ไม่ให้ต้องแตกหักพิณพัง ลงไปนับแต่วันแห่งความสูญเสีย ความน่ารักบริสุทธิ์สดใสของเด็กน้อย สัมผัสแห่งความรักแตะแต้มชีวิต เสมือนหนึ่งน้ำทิพย์ชโลมใจ เป็นที่หมายหลักและที่พึ่งสุดท้ายของการมีชีวิตอยู่เพื่อใครซักคน ก่อเกิดกำลังใจให้ลุกขึ้นและหันหน้ามาเผชิญกับความจริงอันปวดร้าว ผลลัพธ์สุดท้าย ที่สุดแห่งความอดทน นั้นคือความอิ่มเอม เปรมปรีอันหาที่สุดมิได้

พฤทธิ์ – บุรุษหนุ่มทายาทตระกูลดัง มหาเศรษฐีชื่อก้อง ที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็มักจะมีบรรดาหญิงสาวมาคอยห้อมล้อม คอยตามหว่านเสน่ห์ หวังพิชิตใจหนุ่มผู้มั่งคั่ง ทว่าชั่วชีวิตของเขา กลับเทใจวางไว้แทบเท้าเพียงหญิงสาวนางเดียว นับตั้งแต่วันแรกเจอ จวบจนเหตุการณ์พลิกผัน แม้หญิงสาวผู้เป็นที่รักจะไม่บริสุทธิ์ดุจดั่งน้ำค้างยามรุ่งอรุณอีกต่อไป แต่เขาก็ยังคงมั่นรัก เฝ้าติดตามดูแลเอาใจใส่ และหวังให้เป็นเช่นนั้นตลอดไป ขอเพียงแค่สักวัน “เธอ” ผู้นั้น จะหันมามอง และรับ “เขา” ไว้ในใจเธอบ้างก็พอ

รินรตี – เลขาสาว ผู้มีอดีตอันขมขื่นจากครอบครัวที่แตกแยกไม่มีชิ้นดีกับการทอดทิ้งของบุพการี กลับกลายเป็นหล่อหลอมให้เธอมีความเข้มแข็ง และแกร่งเกินที่ใครจะคาดคิด กับทางที่เธอเลือกเดิน บางครั้งหลายคนอาจมองว่ามันไม่ถูกไม่ควร แต่สำหรับชีวิตที่มีทางเลือกไม่มานัก เธอจึงจำเป็นต้องทำ เพื่อความอยู่รอดของตัวเธอเอง

ฤา ความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัยจะมีอำนาจเหนือความเจ็บช้ำของรอยแผลในอดีต

ฤา ความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ของผู้เป็นสายเลือด จะสามารถเป็นกาวใจ เอาชนะแรงทิฐิ ของผู้เป็นบิดา-มารดาลงได้

เรื่องราวทั้งหมดจะลงเอยอย่างไร ก็คง สุดแท้แต่การนำพาของโชคชะตาใน “ร่ายรัก ลำนำเสน่หา”

Tags: ซึ้งกินใจ

ตอน: ตอนที่ 13 : เพราะรักหรือเสน่หา (1)

เกือบจะทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ชั้นบนของโรงแรมตลอดจนลานจอดรถ ล้วนอยู่ในสายตาของอิงฟ้า และทั้งหมดก็เป็นไปตามแผนซึ่งเธอได้วางไว้ เพื่อสกัดกั้นแผนการในการจะครอบครองของเล่นมีชีวิตชิ้นใหม่ของนายพัฒนา เมื่อแรกหญิงสาวไม่เคยมีความคิดคิดที่จะดึงพฤทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ เพราะตระหนักได้ดีว่าหากความจริงรั่วไหลและรู้ไปถึงหูนายพัฒนาว่าเธอคือผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังนำพาความล้มเหลวมาสู่แผนการของเขาในครั้งนี้ ผลที่ตามมานั้นอาจถึงขั้นที่เรียกว่าเป็นหายนะของชีวิตเลยก็ว่าได้ ทว่าเพื่อไม่ให้แผนอุบาทว์ของเขาบรรลุผล และกระทบมาถึงสถานภาพความเป็นอยู่ของตัวเธอเอง อิงฟ้าจึงให้เหตุผลกันตนเองว่า เธอจำเป็นต้องทำ และต้องทำให้สำเร็จ

ในสถานการณ์และช่วงเวลาแบบนั้น เธอจะยังนึกถึงใครได้อีก นอกจากพฤทธิ์ คนอื่นๆ คงไม่มีใครกล้าเข้ามาขวางทางผู้มากไปด้วยเงินตราและบารมีอย่างนายพัฒนาแน่นอน ดังนั้นแม้ว่ากฏเหล็กของการอยู่ในตำแหน่งเด็กเลี้ยงของนายพัฒนาคือจะต้องอยู่แบบเงียบๆ และห้ามมิให้แพร่งพรายความลับนี้แก่ใครเป็นอันขาด โดยเฉพาะบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของเขา หญิงสาวจึงจำเป็นต้องเสี่ยง หาไม่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงทุนและอดทนมานานปีในการอยู่ร่วมกับนายพัฒนาอาจสูญเปล่า และนั่นก็เป็นสิ่งที่หัวเด็ดตีนขาด อิงฟ้าจะไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้น

หลังจากที่เฝ้าดูจนแน่ใจแล้วว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผน อิงฟ้าจึงกลับไปยังที่พักของตนด้วยอาการปลอดโปร่งโล่งใจที่หญิงสาวผู้ซึ่งอาจเข้ามาเป็นคู่แข่งในชีวิตของเธอถูกกำจัดออกไปได้อย่างหวุดหวิด โดยไม่มีใครสงสัยหรือเดือดร้อน เว้นแต่ตัวนายพัฒนาเองที่ต้องสูญเหยื่อชิ้นงามที่กำลังจะเข้าปากไปอย่างสุดแสนเสียดาย เหตุผลหนึ่งที่ต้องรีบกลับไปยังคอนโดฯ ก็เพื่อที่จะรอรับหน้านายพัฒนา หลายปีที่อยู่ร่วมกับเขามา ทำให้เธอได้เรียนรู้เกี่ยวความต้องการ และวิถีทางในการระบายอารมณ์ของชายสูงวัยผู้นี้เป็นอย่างดี ครั้งนี้ก็เช่นกัน คนเพียงคนเดียวที่จะช่วยดับอารมณ์อันพวยพุ่งของนายพัฒนาในยามนี้ได้ก็คือเธอ

อิงฟ้ากลับเข้าห้องและตรงไปจัดการเตรียมตัวไว้รอรับอย่างเต็มที่ โดยเริ่มจากการชำระล้างร่างกาย และปรุงแต่งแตะแต้มเครื่องประทินผิว กลิ่นหอมเย้ายวนอย่างที่นายพัฒนาชอบ จนเวลาผ่านไปร่วมชั่วโมง ทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างดังที่เธอคาดการณ์เอาไว้ไม่ผิด เริ่มจากเสียงโทรศัพท์ที่กรีดร้อง บอกเป็นการเฉพาะว่าใครคือผู้โทร หญิงสาวทิ้งช่วงปล่อยให้ดังอยู่สองสามครั้งแล้วจึงรับสายด้วยเสียงอันเป็นปกติ ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงหลังเสร็จสิ้นการสนทนาหรือจะเรียกว่าสั่งความจากปลายทางก็ไม่ผิด ใบหน้างามยามนี้จึงเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มสมใจ

เพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้น นายพัฒนาก็เดินทางมาถึง อย่างไม่รีรอและปราศจากคำพูดใดๆ คลื่นอารมณ์ซึ่งถาโถมราวพายุแรงร้ายหลายต่อหลายลูก ถูกปล่อยระบายลงยังเรือนร่างนวลผ่องเย้ายวนใจอย่างเต็มที่ ทุกสัมผัสเต็มไปด้วยการจาบจ้วงรุนแรงชนิดที่เรียกได้ว่าไร้ซึ่งความปราณี จนหลายต่อหลายครั้ง ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของร่างถึงกับต้องกัดฟัน สะกัดกั้นคลื่นเสียงแห่งความทรมาน มิให้เล็ดรอดออกมาจากลำคอ แม้ว่าร่างกายจะเจ็บปวดจนน้ำตาตก แต่ถึงกระนั้นอิงฟ้าก็ยอม เธอยินดีที่จะอดทนและพลีร่างเพื่อการนี้ด้วยความเต็มอกเต็มใจ

นานนับชั่วโมงกว่าที่คลื่นอารมณ์ร้ายเหล่านั้นจะผ่านพ้น เหมือนๆ กับทุกสรรพสิ่ง ทุกเหตุการณ์ในโลก เมื่อมีจุดเริ่มต้นก็ย่อมต้องมีจุดจบ และทุกอย่างก็ต้องกลับคืนสู่สภาวะปกติ สภาพภายในคอนโดฯ หรูยามนี้ออกจะดูรก ระเกะระกะตา แต่อีกไม่นานก็จะถูกจัดเก็บให้กลับคืนมาสวยงามดังเดิม ร่างแบบบางขาวโพลนนอนซุกกายนิ่งอยู่กับอกหนา หลายต่อหลายจุดบนเรือนกายเริ่มปรากฏเป็นรอยช้ำจ้ำจางๆ แบบที่เจ้าตัวรู้ดีว่าอีกไม่นานสีของมันจะค่อยๆ เข้มขึ้น ในจำนวนร่องรอยเหล่านั้น บางจุดแลดูหนักหนาสาหัสกว่าบริเวณอื่น มันเป็นรอยอันเกิดจากการถูกกัดหรือขบด้วยฟันจนเป็นห้อเลือด บางแห่งลึกจนถึงขนาดที่มีเลือดออกซิบๆ เสียด้วยซ้ำ

นายพัฒนาเป็นฝ่ายเริ่มต้นทำลายความเงียบด้วยการถามไถ่อาการหลังจากที่เหลือบตาไปเห็นร่องรอยบนเนื้อตัวขาวนวล รู้อยู่เต็มอกว่ารอยเหล่านั้นล้วนเกิดจากการกระทำและน้ำมือของเขาเอง

“เจ็บมากไหม”

“ไม่หรอกค่ะ อิงค์ทนได้ คุณอาล่ะคะ หายโกรธหรือยัง”

อิงฟ้าปฏิเสธด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ราวกับว่าสิ่งที่เพิ่งเผชิญมาเป็นเรื่องปกติ แม้ว่าภายในใจจะทุกข์ระทมถึงขั้นอกขมตรมไหม้ก็ตามที

“รู้ได้ยังไงว่าฉันกำลังโกรธ”

“แหม คุณอา อิงค์อยู่กับคุณอามานานแค่ไหนแล้วคะ เรื่องแค่นี้ถ้าเดาไม่ออกก็แย่แล้ว”

“เฮ้อ! เห็นจะมีแต่เธอนี่แหละ ที่เข้าใจฉันดีที่สุด ไหนหันมาให้ฉันดูชัดๆ หน่อย เผื่อว่าจะต้องพาไปโรงพยาบาล”

บุรุษสูงวัยมองสำรวจไปตามร่างของหญิงสาวที่อิงอยู่กับอก ทั้งแววตาและน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความห่วงใย ที่มาพร้อมกับร่องรอยของความสำนึกผิด

“ไม่ต้องหรอกค่ะ พักอยู่กับบ้านสักพัก เดี๋ยวก็หาย” เด็กสาวคราวลูกตอบอย่างยิ้มแย้มตามเคย

“แน่ใจนะ”

นายพัฒนาทู่ซี้ถาม ด้วยไม่อาจวางใจ ร่องรอยบนเนื้อตัวของหญิงสาวบอกให้เขารู้ว่า แรงอารมณ์ของตนในครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยผ่าน ยิ่งนึกก็ยิ่งทำให้เขาเห็นใจอิงฟ้า และรู้สึกผิดมากยิ่งขึ้นมานับเท่าทวีคูณ

“แน่ใจสิคะ”

“พรุ่งนี้ ฉันจะให้คนโอนเงินเข้าบัญชี เธอจะเอาไปซื้ออะไร หรือจะไปทำอะไรที่ไหนก็ตามใจ”

และก็เหมือนกับทุกครั้งที่นายพัฒนามักจะควักกระเป๋าจ่ายเงินก้อนโตให้กับหญิงสาวเพื่อเป็นค่าปลอบขวัญ แลกกับการรองรับอารมณ์ดิบเถื่อนของเขา และหญิงสาวก็ยินดีรับมันไว้ ดังปกติที่เคยเป็น

“ขอบคุณค่ะคุณอา ว่าแต่คุณอาจะบอกอิงค์ได้หรือยังคะ ว่าไปโมโหใครที่ไหนมา” อิงฟ้าวกกลับเข้ามาสู่หัวข้อสนทนาซึ่งรู้อยู่แก่ใจของตนดีถึงที่มาที่ไปทั้งหมด ทว่าต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“ก็... ไม่มีอะไรหรอก” นายพัฒนาหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนจะปฏิเสธด้วยน้ำเสียงที่ออกจะแปร่งอยู่สักหน่อย

“แปลว่าบอกไม่ได้” ร่างอวบอัดสรุปแบบงอนๆ แต่ก็ไม่มากถึงขนาดที่จะทำให้คนฟังรู้สึกรำคาญใจ

“ก็ไม่เชิง แต่รอให้ฉันอารมณ์ดีก่อนจะดีกว่า แล้วฉันค่อยเล่าให้เธอฟัง บอกไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร” นายพัฒนาตอบแบบเลี่ยงๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องอารมณ์ขุ่นมัวขึ้นมาอีกคำรบ

“แสดงว่า ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ ถ้างั้นก็ตามแต่เถอะค่ะ อิงค์แค่อยากให้คุณอารู้ ว่าอิงค์รัก และอยู่ข้างคุณอาเสมอ”

อิงค์ฟ้าแนบแก้มลงซบอกหนาพร้อมบอกอย่างเอาใจ แต่กลับเป็นการไปสะกิดต่อมระแวงของนายพัฒนาขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“จริงน่ะหรือ”

“จริงสิคะ”

“ฉันว่า... เธออย่าฝืนใจพูดในสิ่งที่ทำให้ตัวเองลำบากใจในภายหลังจะดีกว่า” บุรุษผู้มากวัยบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ที่เจ้าตัวพยายามใช้กลบเกลื่อนรอยขุ่นในใจ

“ทำไมคุณอาพูดอย่างนั้นล่ะคะ หรือว่าอิงค์เคยทำอะไรให้คุณอาไม่ไว้ใจ”

“เอาเป็นว่า เราอย่าคุณกันเรื่องนี้เลย ว่าแต่เธอเถอะ พักนี้ฉันไม่ค่อยมีเวลาได้แวะมาหาเธอสักเท่าไหร่ ไปไหนทำอะไรมาบ้าง ไหนลองเล่ามาให้ฟังหน่อยสิ”

“ก็... เรื่อยเปื่อยค่ะ ดูหนัง ฟังเพลง ช็อปปิ้ง แล้วก็กลับมารอคุณอาที่ห้อง เมื่อหัวค่ำ ก็ไปนั่งทานข้าวกับพวกเพื่อนๆ มา ทำไมคะ หรือว่าคุณอาระแวง สงสัยว่าอิงค์ไปทำอะไรกับใครที่ไหน แบบนั้นใช่หรือเปล่า”

“ฉันไม่ได้พูดอะไรแบบนั้นสักหน่อย เธอจะร้อนตัวไปทำไม อย่าคิดมากสิ”

“ไม่รู้ล่ะ คุณอาหายไปตั้งหลายวัน พอกลับมาก็มาพูดกับอิงค์แบบนี้ จะไม่ให้คิดมากได้ยังไง เผลอๆ ไปแอบมีอีหนูที่ไหนเพิ่มเสียก็ไม่รู้” อิงฟ้ากระเง้ากระงอดตัดพ้อต่อว่า

“พูดอย่างกับว่าเธอกำลังน้อยใจ แล้วไอ้ที่ฉันนอนกอดเธออยู่นี่ มันยังไม่พอจะเป็นข้อพิสูจน์อีกหรือ อย่าบอกนะว่าเธอเองก็คิดว่าฉันจะไปทำอะไรกับใครที่ไหนเหมือนกัน” ฉับพลันสถานการณ์กลับตาลปัตรจนอิงฟ้ากลายเป็นฝ่ายที่ต้องตั้งรับแทน

“อิงค์ไม่ได้คิดถึงขั้นนั้นสักหน่อย แหม... อย่างอิงค์จะไปกล้าระแวงคุณอาได้ยังไงกันละคะ อีกอย่างคืนนี้คุณอาก็ออกจะ..... แรงเสียขนาดนั้น”

“แล้วไม่ดีหรือไง ยิ่งแรงก็ยิ่งแปลว่าฉันยังไหว ยังไม่แก่เกินไปสำหรับเรื่องนั้น”

“รู้แล้วค่ะว่ายังไหว แต่ไหวแบบนี้บ่อยๆ มีหวังอิงค์ช้ำในตายกันพอดี”

“ขนาดนั้นเลยหรือ งั้นถ้าฉันจะต่ออีกสักรอบ เธอก็คงจะปฏิเสธสินะ”

“แหม... ใครจะกล้าล่ะคะ ถ้าคุณอาอยากจะต่อ อิงค์จะไปห้ามอะไรได้ ว่าแต่จะต่ออีกรอบจริงๆ น่ะหรือหรือคะอิงค์ว่า คืนนี้เราพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อนดีกว่าไหมคะ คือ... อิงค์คงรับไม่ไหวแล้ว ขืนต่อ มีหวังได้ตายกันจริงๆ พอดี”

“ถ้างั้นก็รีบๆ หลับเสีย นอนนิ่งๆ ด้วยล่ะ ไม่งั้นเกิดอะไรขึ้นอย่ามาหาว่าฉันไม่บอกก็แล้วกัน”

นายพัฒนาขยับกายรับกระชับร่างบางเข้ามาชิดอกจนแทบจะเป็นเนื้อเดียว หยุดความสับสน หยุดความคิด ความสงสัยเอาไว้แต่เพียงนั้น แล้วพากันเข้าสู่นิทรารมณ์ด้วยความอ่อนล้า

--------------------------------------

ร่างเปียกปอนและสั่นเทานั่งคุดคู้กอดเข่าตนเองแน่นตรงมุมห้องน้ำอยู่นานจนขาทั้งสองข้างใกล้จะเป็นตะคริวอยู่รอมล่อ รินรตีต้องใช้พยายามอย่างยิ่งในอันที่จะสะกดความทุรนทุรายเอาไว้ แม้ว่าความทรมานจะค่อยๆ ทุเลาเบาบางลงไปบ้างแล้ว แต่จากระดับของการเรียกร้องทางกายที่เธอรู้สึกก็ยังไม่อาจนับว่าจะวางใจได้ เพราะตราบใดที่ฤทธิ์ยายังไม่หมดก็ไม่แน่ว่าเธอจะสามารถควบคุมความทรมานยามนี้เอาไว้ได้จริงๆ รินรตีจึงต้องพยายามอดทนและกัดฟันเพื่อที่จะผ่านมันไปให้ได้

เหตุการณ์เมื่อราวๆ ชั่วโมงกว่าที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาที่ทำให้รินรตีต้องอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี หญิงสาวจำได้ว่าลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกอันแปลกยิ่ง ความต้องการประหลาดพวยพุ่งขึ้นมาจนไม่อาจรั้งร่างให้นอนนิ่งอยู่กับที่ ร่างบางบิดเป็นเกรียวด้วยแรงอัดภายในกายที่ร้อนลุ่มและพลุ่งพล่านจนแทบทะลุออกมานอกอก คันยุบยิบทั่วผิวกายราวกับถูกแมลงนับล้านไชชอนอยู่ทั่วทุกอณู เป็นความทรมานอันแปลกประหลาดชนิดที่ไม่เคยเจอะเจอมาก่อน เลยในชีวิต

พฤทธิ์หาผ้าขนหนูผืนเล็กมาชุบน้ำแล้วเช็ดลงบนเนื้อตัวของเธอ หวังว่ามันจะช่วยบรรเทาความทุรนทุรายเหล่านั้นให้ทุเลาลงไปบ้าง ทว่านอกจากมันจะไม่ช่วยอะไรแล้ว กลับยังเป็นการกระตุ้นความทรมานให้ประทุขึ้นมาอีกต่างหาก ทันทีที่มือหนาสัมผัสถูกผิวกายของหญิงสาว ลำแขนเรียวเสลาของเธอก็เอื้อมโอบคว้าคอของเขาและรั้งเข้ามากอด แน่นหนาเสียจนแทบจะขยับเขยื้อนไม่ได้ ริมฝีปากอิ่มก่ำแดงพรมจูบไปทั่วใบหน้าขาว ชนิดไม่ปล่อยให้ทันได้ตั้งตัว

แม้ว่าสติสัมปชัญญะจะกลับคืนมา แต่รินรตีกลับไม่อาจควบคุมความต้องการและกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของตนเองได้ หญิงสาวจึงมีอาการดังว่า ปากก็พร่ำร้องขอให้เขาช่วยเธอผ่อนคลายความต้องการให้เธอ ขณะที่สองมือคอยแต่จะไล่ไขว่คว้าร่างหนาให้เบียดเข้ามาแนบชิด พฤทธิ์ทำได้แค่เพียงปัดป้องและร้องบอกเตือนสติ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล เพราะไม่ว่าพฤทธิ์จะห้ามปรามหรือทำอย่างไร อาการของหญิงสาวก็ยังคงเดิม ที่แย่ยิ่งกว่าคือ รินรตีสามารถจดจำภาพทุกเหตุการณ์ได้ดี ชัดเจนราวกับกำลังนั่งชมภาพยนต์จากแผ่นฟิล์ม

มือบางไล่ตามพันพัวนัวเนียเปะปะไปทั่วเนื้อตัวของชายหนุ่ม ซึ่งเจ้าตัวพยายามปัดป้อง ผลักไสจนมือเป็นระวิง ท้ายที่สุดเมื่อคิดได้ว่าปล่อยทิ้งไว้คงมีแต่เหตุการณ์จะลุกลาม ตัวเขาเองไม่ใช่พระอิฐพระปูน จะทนทานต่อสัมผัสรุกเร้าขนาดนี้ไปได้นานแค่ไหน มีหวังคงได้พลั้งเผลอกันบ้างเป็นแน่ ชายหนุ่มตัดสินใจฉุดรั้งร่างของหญิงสาวให้ตามเข้าไปในห้องน้ำ แล้วเปิดฝักบัวใช้น้ำฉีดใส่จนเปียกปอนไปทั้งร่าง

แรกๆ ดูเหมือนจะไม่ได้ผล ทว่าความเย็นของน้ำที่กระทบผิวกาย ค่อยๆ ช่วยให้รินรตีสามารถควบคุมตัวเองได้มากขึ้นทีละน้อย กว่าจะยอมสงบลงได้ ทั้งสองร่างก็พากันเปียกปอนไปตามๆ กัน พฤทธิ์มองสำรวจไปตามเนื้อตัวของหญิงสาว ชุดราตรีสั้นสีฟ้าน้ำทะเลของเธอเปียกน้ำชุ่มโชกจนลู่ติดตัว ขับเน้นให้เห็นถึงทรวดทรงองเอวชัดเจน จนเขาอดไม่ได้ที่จะเผลอมอง และยอมรับกับตนเองว่าหญิงสาวมีเรือนร่างเย้ายวนสมส่วนชนิดที่หาตัวจับยาก

พฤทธิ์มัวแต่มองเพลินจนเกือบลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าตัวเขาเองก็อยู่ในสภาพเปียกโชกไม่แพ้กัน

“ผมว่าคุณอยู่ในนี้สักพักจะดีกว่า รอให้อาการทุเลาแล้วค่อยออกไป เดี๋ยวผมจะไปหาเสื้อผ้ามาให้”

ชายหนุ่มเอ่ยทิ้งท้ายแล้วรีบออกจากห้องน้ำไป จงใจเปิดน้ำทิ้งไว้ ปล่อยให้น้ำเย็นค่อยๆ ชะล้างความลุ่มร้อนในอารมณ์ของรินรตี จนกว่าจะซาและมอดดับลง พฤทธิ์ออกจากห้องน้ำไปนานเท่าไหร่นั้นรินรตีไม่ได้สนใจ ในสมองของเธอรับรู้แต่เพียงความทรมานที่คอยผุดขึ้นมาย้ำเตือนอยู่เป็นระลอกๆ แต่ก็สังเกตได้ถึงระดับความทรมานที่ค่อยๆ ลดลงไป แตกต่างจากเมื่อแรกอย่างเห็นได้ชัด

พฤทธิ์กลับมาที่ห้องน้ำอีกครั้งหลังที่เปลี่ยนเสื้อให้กับตนเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะเข้าไปข้างใน เขายังไม่ลืมที่จะเคาะประตูให้สัญญาณ จากนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“คุณเป็นอย่างไรบ้าง”

ชายหนุ่มไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมจู่ๆ เขาจึงเกิดความรู้สึกห่วงใยในตัวของหญิงสาวขึ้นมาอย่างมากมาย ทางด้านคนถูกถาม แม้จะเป็นเพียงคำถามสั้นๆ ทว่ากลับสร้างความรู้สึกอบอุ่นใจให้กับเธอได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่คงต้องอยู่ในนี้อีกสักพัก”

รินรตีสั่นทั้งเสียงทั้งปาก แต่ก็ยังพยายามแข็งใจตอบ เกรงว่าตนจะเป็นต้นเหตุให้เจ้านายหนุ่มต้องวิตกไปมากกว่าเดิม ซึ่งก็เป็นจริงดังนั้น พฤทธิ์สังเกตเห็นว่าริมฝีปากของหญิงสาวกลายเป็นสีม่วงเข้มไปแล้ว สาเหตุเพราะแช่อยู่ในน้ำเย็นเป็นเวลานาน ยิ่งทำให้เขาอดเป็นห่วงเธอขึ้นมาไม่ได้จริงๆ

“จะดีเหรอ คุณเปียกโชกจนสั่นขนาดนี้ ผมว่าไม่ทันไรคุณจะเป็นหวัด หรือไม่ก็ปอดบวมไปเสียก่อนน่ะสิ”

“ฉัน.... ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ” รินรตียืนยัน ทั้งที่หนาวสั่นจนพูดออกมาแล้วฟังแทบไม่เป็นศัพท์

“ผมว่าคุณอย่าแช่ต่อไปอีกเลย รีบอาบน้ำเสียจะดีกว่า ผมเตรียมอุปกรณ์กับเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนไว้ให้แล้ว เดี๋ยวอีกสักพักผมจะมาดูอีกทีถ้าคุณยังไม่ออกไป” พฤทธิ์วางเสื้อผ้าของตัวเองที่เตรียมมาให้รินรตีผลัดเปลี่ยนไว้บนชั้นวางของ ก่อนจะหันบอกกับหญิงสาวคล้ายออกคำสั่งอยู่ในที ทว่าทั้งหมดนั้นล้วนมาจากความห่วงใยเป็นที่ตั้ง และนั่นก็ยิ่งทำให้รินรตีรู้สึกซาบซึ้งใจจนแทบจะห้ามน้ำตาไว้ไม่อยู่

“คุณพฤทธิ์คะ”

“ครับ” พฤทธิ์ขานรับแล้วหยุดยืนรอฟัง แต่หญิงสาวกลับนิ่งไม่ยอมพูดต่อไปเสียอย่างนั้น จนเขาต้องทวนถาม “มีอะไรหรือเปล่า หรือว่าอยากได้อะไรเพิ่ม”

“ปละ... เปล่าค่ะ ฉันแค่... แค่อยากจะขอบคุณ”

“เรื่องแค่นี้เอง ไม่เป็นหรอก คุณอาบน้ำเถอะ เกิดปอดบวมขึ้นมาจริงๆ มันจะยุ่ง”

“ค่ะ”

พฤทธิ์ปิดประตูห้องน้ำกลับไปดังเดิมอย่างเบามือ รินรตีค่อยๆ ขยับร่าง แม้จะยังกะปลกกะเปลี้ย แต่ก็ยินยอมทำตามคำสั่งของเจ้านายหนุ่มแต่โดยดี กระแสความเย็นของน้ำที่กระทบผิวกายเป็นเวลานานช่วยลดอาการกำหนัดอันเกิดจากยาปลุกลงไปได้ค่อนข้างมากแล้ว รินรตีปลดชุดราตรีสั้นที่สวมใส่มาตั้งแต่ช่วงเย็นออกจากกาย และปล่อยให้สายน้ำกระทบร่างอีกพักใหญ่ แล้วจึงเริ่มอาบน้ำชำระร่างกายอย่างตั้งอกใจ เพียงไม่นานหลังจากนั้น ร่างบางสมส่วนในชุดนอนตัวโคร่งจึงปรากฏกายยังห้องเอนกประสงค์ที่รวมทุกอย่างไว้ด้วยกันตามสไตล์คอนโด ซึ่งก็อยู่ติดกับห้องน้ำนั่นเอง

“หิวหรือเปล่า ผมทำโจ๊กไว้ให้” พฤทธิ์บอกกับหญิงสาวแล้วอมยิ้มอย่างเดาความคิดของเธอออกเมื่อเห็นแววตาฉงนจากดวงหน้าสวยซึ่งยามนี้ปราศจากเครื่องสำอางต่างจากที่เคย “โจ๊กสำเร็จรูปน่ะ ผมชอบหิวตอนดึกๆ เลยต้องมีของพวกนี้ติดห้องไว้บ้าง อย่างว่าละนะ ชายโสดก็อย่างนี้แหละ” เขาบอกต่อยิ้มๆ

“รบกวนคุณ จริงๆ” รินรตีเอ่ยด้วยความเกรงใจ

“บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร คุณกินโจ๊กเสียก่อน แล้วเดี๋ยวจะได้กินยา กินเผื่อเอาไว้น่ะ จะได้ไม่เป็นไข้ทีหลัง”

ชายหนุ่มจัดเตรียมทุกอย่างและนำมามาวางเรียงไว้รอ รอบคอบเสียจนรินรตีนึกแปลกใจ หญิงสาวเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร แล้วค่อยๆ ตักโจ๊กใส่ปากอย่างว่าง่าย

“นี่ห้องของคุณหรือคะ” ทานไปได้สักพักจึงเอ่ยถาม จนคนที่กำลังมองเพลินๆ ถึงกับสะดุ้ง

“ครับ! ว่าไงนะ อ๋อ... ใช่ครับ แต่ตามปกติแล้วผมก็ไม่ค่อยได้มาเท่าไหร่หรอก ส่วนใหญ่จะนอนบ้านมากกว่า ที่นี่มีไว้เผื่อเวลาที่ฉุกเฉิน หรือทำงานดึกจนขับรถกลับบ้านไม่ไหว นั่นแหละผมถึงจะมาใช้ห้องนี้”

“น่ารักดีนะคะ กะทัดรัดดี” รินรตีบอกพร้อมกับจัดแจงรวบช้อน

“อิ่มแล้วหรือครับ ทำไมทานน้อยจัง หรือว่าไม่อร่อย”

“ไม่ใช่นะคะ โจ๊กอร่อยดี เพียงแต่ว่ามันดึกแล้ว ฉันทานไม่ค่อยลงน่ะค่ะ”

“ทานไม่ลงหรือว่ากลัวอ้วนกันแน่.... ผมว่าคนรูปร่างดีอย่างคุณ ไม่น่าจะกลัวอ้วนนะ” ฤทธิ์เอ่ยชมซึ่งๆ หน้า รินรตีเลือกที่จะไม่ตอบ แต่ส่งรอยยิ้มบางๆ มาแทน จะเป็นเชิงว่ารับรู้หรือตอบรับอันนี้ก็ไม่แน่ใจ

“ทานยาเสียก่อนครับเสร็จแล้วเดี๋ยวเราจะได้มาคุยกัน” พฤทธิ์ยอม

พฤทธิ์หยิบชามโจ๊กแล้วเดินผ่านร่างรินรตีไปยังอ่างล้างจน กลิ่นแป้งเย็นหอมระรื่นกรุ่นจากกายสาวโชยมากระทบจมูก น่าแปลกทั้งที่เป็นแป้งของเขาเอง มิหนำซ้ำยัวเป็นกลิ่นที่ใช้อยู่เป็นประจำ ไฉนยามอยู่บนร่างของหญิงสาว กลิ่นของมันจึงเปลี่ยนไป จากที่เคยหอมเย็นๆ สดชื่น กลายเป็นกลิ่นเย้ายวนชวนเชิญไปเสียอย่างนั้น ตาคมประดุจเหยี่ยวเหลียวกลับมามองด้วยแววตาฉงน ถ้าจะว่ากันตามหลักวิชาเคมีแล้ว ก็มีความเป็นไปได้สูง กลิ่นของน้ำหอมเมื่ออยู่บนผิวกายของแต่ละคน ย่อมให้กลิ่นที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาเคมีระหว่างน้ำหอมกับเหงื่อของคนแต่ละคน

รินรตีหันไปสบเข้ากับสายตาของชายหนุ่มอย่างจัง ใบหน้าสวยระเรื่อแดง เอ่ยถามด้วยอาการเก้อเขิน

“ม...มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“ครับ? อ๋อ... เปล่าครับเปล่า คุณไปนั่งรอที่โซฟาดีกว่า เก็บถ้วยชามเสร็จแล้วผมค่อยตามไปคุยด้วย” พฤทธิ์กลบเกลื่อน แล้วหันกลับไปใส่ใจกับชามตรงหน้า พยายามกดทับความรู้สึกประหลาดที่ผุดขึ้นมาอีกหนึ่งระลอก

หญิงสาวนั่งจ่อมรอพฤทธิ์อยู่ทีชุดเก้าอี้รับแขก สายตาจับจ้องไปที่รายการทีวีซึ่งพฤทธิ์เปิดทิ้งเอาไว้ตาไม่กระพริบราวกับว่ากำลังนำเสนอรายการอะไรที่น่าสนใจเป็นพิเศษ และแม้ว่าหญิงสาวจะเอาแต่นั่งจ้อง แต่หากถามว่าพิธีกรกำลังพูดถึงเรื่องอะไร เจ้าตัวย่อมต้องตอบไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะตลอดเวลาที่จ้องจอภาพอยู่นั้น สมองของรินรตี มิได้จดจ่ออยู่กับรายการที่ว่านั้นเลย

จนแม้กระทั่งเมื่อพฤทธิ์ทรุดกายนั่งลงบนโซฟาตัวถัดมา สายตาของรินรตีก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่ทีวี ไม่มีทีท่าว่าจะเบือนกลับมามองหรือรับรู้แม้แต่น้อย จนเมื่อชายหนุ่มกดรีโมทเพื่อปิดทีวีนั่นล่ะ เธอถึงได้รู้สึกตัว และหันมาถามด้วยสีหน้าที่ออกจะตกใจอยู่บ้าง

“ทำไมปิดเสียล่ะคะ”

“ทำอย่างกับว่า คุณดูรู้เรื่องอย่างนั้นล่ะ มันเปลี่ยนเป็นโฆษณาไปตั้งหลายรอบแล้ว แต่ผมก็เห็นคุณยังนั่งจ้องอยู่ท่าเดิม”

“อ้าว... เหรอคะ” รินรตีหัวเราะแหะๆ ออกอาการเขิน พฤทธิ์มองแล้วให้อมยิ้มอย่างนึกเอ็นดู

แต่จู่ๆ ชายหนุ่มก็เปลี่ยนโหมด เขาสูดลมหายใจลึกแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังมีเรื่องหนักใจ และในท้ายที่สุด ก็เริ่มเท้าความไปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทั้งที่ในใจลึกๆ แล้ว เขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด

“ผมว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน”

“ค่ะ”

“คุณรู้ใช่ไหมว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นฝีมือของใครใคร”

“คิดว่าทราบค่ะ” รินรตีตอบไปตามตรง เพราะรู้ดีว่าต่อให้เธอพยายามเลี่ยง อย่างไรเสียชายหนุ่มก็ต้องไล่ถามจนรู้ความตามจริงอยู่ดี

“ทราบ?” พฤทธิ์ทำหน้าประหลาดใจราวกับว่ากำลังเจอเข้ากับของแปลก “แปลว่าคุณรู้อยู่แล้วว่าคุณกำลังตกเป็นเป้า แล้วก็รู้ว่าพ่อผมคิดจะทำอะไรกับคุณ อย่างนั้นหรือ”

“ค่ะ และดิฉันก็กำลังพยายามจะหลีกเลี่ยง”

“หลีกเลี่ยง? หลีกเลี่ยงด้วยการมาทำงานอยู่ใกล้ๆ ท่านแบบนี้น่ะนะ? นี่... คุณยังสติดีอยู่หรือเปล่ารินรตี” พฤทธิ์ถามอย่างหัวเสีย เกิดการลังเลในพฤติกรรมของหญิงสาวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้หลังจากที่ได้ยินคำตอบ และยิ่งเธอเลือกที่จะนิ่ง นั่นยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดขึ้นมาอีกเป็นพะเรอเกวียน

“งั้น ผมเปลี่ยนคำถามใหม่ คุณคิดจะจัดการยังไงกับเรื่องนี้”

“ดิฉัน.....”

“บอกตามตรงว่าตอนแรกผมตกใจมาก”

คนใจร้อนกลับชิงบอกความรู้สึกของตนออกมาก่อนโดยไม่รอฟังคำตอบ พอได้ฟังรินรตีที่เอาแต่อ้ำอึ้ง อึกๆ อักๆ ไม่กล้าตอบ เพราะความที่จิตคิดระแวง ยิ่งเกิดอาการหวาดวิตกมากขึ้นไปกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว ละล่ำละลั่ก

“ตกใจ? ตกใจอะไรคะ หรือคุณคิดว่าฉัน....”

“ไม่ใช่คุณหรอก แต่เป็นคุณพ่อผมต่างหาก ที่ผ่านมาภาพของท่านในสายตาผม คือรักและมีแต่คุณแม่คนเดียวตลอดมา ผมเลยนึกไม่ถึงว่าท่านจะทำเรื่องแบบนั้นได้ ถามตรงๆ เถอะรินรตี คุณคิดยังไง ถึงได้เอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้”

“ฉัน....”

“แค่พูดความจริงออกมา มันยากนักหรือไง หรือว่าจริงๆ แล้วคุณเองก็จงใจจะหลอกล่อท่าน ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่น่าจะรอจนพ่อผมต้องมาวางแผนบ้าๆ แบบนี้เลยนี่นา”

พฤทธิ์ออกอาการพาลอย่างเห็นได้ชัด ความรู้สึกผิดหวังบีบคั้นจนเขาอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เหตุการณ์มันปัจจุบันทันด่วนเสียจน ไม่รู้จริงๆ ว่าจะหาทางระบายออกด้วยวิธีใด

“คุณพฤทธิ์!!!!”

“ก็หรือไม่จริง ถ้าหากว่าคุณไม่ได้คิดแบบนั้น ก็ปฏิเสธมา จะมัวอ้ำอึ้งให้มันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา”

“ถ้าคุณคิดจะพูดด้วยอารมณ์ ฉันว่าเราอย่าเพิ่งคุยกันตอนนี้จะดีกว่า” รินรตีจัดแจงจะลุกขึ้นแล้วเดินหนี

“ทำไมล่ะรินรตี ทำไมไม่ปฏิเสธ หรือจะยอมรับก็ได้ ขอแค่เป็นเรื่องจริง ไม่ว่ายังไงผมก็รับได้หมดแหละ” พฤทธิ์ไม่มีทางปล่อยให้หญิงสาวเดินหนีไปดื้อๆ แบบนั้นแน่ มือหนาจึงเอื้อมคว้าข้อมือของเธอและรั้งเอาไว้

“ฉันไม่มีอะไรจะบอกหรอกค่ะ เพราะถ้าคุณปักใจคิดว่าฉันเป็นแบบนั้น อธิบายอะไรไปมันก็คงจะไม่มีประโยชน์”

รินรตีบอกอย่างล้าๆ น้ำตาเริ่มจะคลอหน่วย เกิดอาการท้อแท้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หญิงสาวพยายามดึงมือของตนออกจากพันธนาการ แต่ดูเหมือนว่ายิ่งยื้อพฤทธิ์ก็ยิ่งกำข้อมือของเธอแน่นขึ้น

“คุณพฤทธิ์คะ ปล่อยมือฉันเถอะค่ะ ฉันเจ็บ”

“แล้วถ้าผมยื่นข้อเสนอให้คุณล่ะ คุณจะว่ายังไง”

“ข้อเสนอ? ขอเสนออะไร” รินรตีทั้งสงสัย และสับสน รู้สึกใจแป้วขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

“ถ้าเปลี่ยนจากพ่อผมมาเป็นผมแทน คุณจะยอมรับเงื่อนไขไหม?”

“อย่างบอกนะ ว่าคุณคิดว่าฉันจะยอมขายตัวให้คุณ” ดวงตากลมโตเบิกกว้างเพราะความที่ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งซึ่งตนเพิ่งจะได้ยิน

“ก็แล้วมันจะต่างอะไร ในเมื่อสุดท้ายคุณก็ได้เงินเหมือนกัน”

สิ้นสุดคำพูดเชือดเฉือน มือบางพลันตวัดลงบนใบหน้าขาวอย่างเต็มแรง พาให้ตื่นตะลึงกันไปทั้งคู่ ทั้งคนตบ และคนถูกตบ ต่างคนต่างพาก็นิ่งกันไปพักใหญ่ พฤทธิ์ตั้งสติ คืนอิสระให้มือบาง แล้วทรุดกลับลงไปนั่งบนโซฟาจ่อมจมอยู่กับความคิดอันสับสนของตน

“ฉัน...ขอโทษ”

“ไม่เป็นไรหรอก ผมผิดเอง ที่ใช้อารมณ์ แล้วก็รุนแรงกับคุณก่อน สมควรแล้วที่โดนตบ”

“ฉัน... ไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษจริงๆ ค่ะ”

“บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร เรื่องนั้นผมไม่โกรธคุณหรอก แต่ผมก็ยังสงสัย ว่าทำไมคุณถึงไม่คิดจะปฏิเสธ หรืออย่างน้อยก็น่าจะอธิบายอะไรให้ผมได้เข้าใจบ้าง”

รินรตี กุมมือตนเองไว้แน่น รู้สึกผิด ทรุดกายลงนั่งข้างๆ พยายามตั้งสติและเริ่มต้นเจรจากับเขาใหม่บนพื้นฐานของเหตุและผลตามความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง

“แล้วคุณอยากให้ฉันอธิบายอะไรล่ะคะ ในเมื่อท่านเป็นพ่อคุณ และเท่าที่สังเกตคุณเองก็ไม่เคยรับรู้เรื่องราวเบื้องลึกของท่านมาก่อน ฉันไม่อยากทำลายภาพ และความรู้สึกดีๆ ที่คุณมีต่อพ่อของคุณ จึงได้แต่พยายามหลีกเลี่ยง จนในที่สุดก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้”

“ยังมีเรื่องอะไรอีกเหรอที่ผมไม่รู้ หรือคุณจะบอกว่า พ่อผมท่านมีผู้หญิงอื่นซุกซ่อนเอาไว้”

“ฉันเองก็ไม่รู้แน่ชัดหรอกค่ะ ถ้าจะให้เดา มันก็น่าจะเป็นแบบนั้น”

“หรือว่าคนที่โทรบอกผมเรื่องแผนการในคืนนี้ จะเป็นหนึ่งในผู้หญิงพวกนั้น แต่ว่าเธอจะทำไปทำไ ยิ่งพูดผมก็ยิ่งงง ไม่อยากเชื่อเลยว่าทำไมท่านถึงเป็นไปได้ขนาดนั้น”

“อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยนี่คะ คนรวยส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น”

“แต่นั่นต้องไม่ใช่พ่อผม ผมไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมพ่อผมท่านถึงต้องทำอะไรแบบนั้น”

“ทำไมจะไม่ได้คะ ในเมื่อพ่อคุณท่านก็เป็นปุถุชนธรรมดา เหมือนกับคนอื่นๆ ฉันว่าคุณทำใจ เปิดใจยอมรับความเป็นจริงจะดีกว่า เพราะไม่ว่ายังไงท่านก็เป็นพ่อคุณ”

“ถ้าแม่ผมรู้เรื่องเข้า ท่านจะรู้สึกยังไง ผมไม่กล้าจะคิดเลย”

“ไม่แน่นะคะ บางทีท่านอาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้ อย่าลืมสิคะว่าท่านทั้งสองเป็นคู่ชีวิตกันมานาน นานกว่าอายุคุณเสียด้วยซ้ำ” หญิงสาววิเคราะห์เหตุการณ์โดยที่ไม่รู้เลยว่าสมมติฐานของเธอ เข้าใกล้ความเป็นจริงมากแค่ไหน

“ผมไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะทำยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วจะทำหน้ายังไงเวลาที่เจอท่าน”

“ก็ไม่เห็นว่าจะต้องทำยังไงนี่คะ ทำเฉยๆ ไว้ ให้เหมือนกับว่าคุณไม่รู้เรื่องอะไร แค่นั้นก็พอ”

“คุณไม่ใช่ผม คุณก็พูดได้สิ”

“ฉันอาจไม่ใช่ตัวคุณ แต่รับรองได้ว่าฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณดี สิ่งที่คุณเจอ มันไม่ได้ต่างอะไรกับสิ่งที่ฉันเคยเจอมาเลย”

“คุณหมายความว่าไง”

“ครอบครัวที่ฉันเคยคิดว่า อบอุ่นสมบูรณ์ กลับต้องมาพังลงไปเพียงชั่วเวลาแค่ข้ามคืน แม่ที่เคยอยู่เคียงข้างเราเสมอ ต้องกลายมาเป็นคนเสียสติเพราะรับไม่ได้ หลังจากที่รู้ว่าสามีที่รักและเป็นหลักของครอบครัว ทอดทิ้งเราไปมีครอบครัวใหม่ มิหนำซ้ำยังประกาศว่าจะไม่มีเราอยู่ในชีวิตของท่านอีก ฉันในฐานะพี่คนโตต้องมารับหน้าที่ดูแลทุกอย่าง และเป็นหัวหน้าครอบครัว ทั้งที่ตอนนั้น ฉันอายุแค่สิบหกเท่านั้นเอง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็ว และโหดร้ายราวกับฟ้าถล่มดินทลายอยู่ตรงหน้า”

“รินรตี”

“เป็นไงคะ ฟังแล้วยังคิดว่าปัญหาของคุณหนักหนาสาหัสอยู่ไหม” รินรตีเบือนหน้ากลับถามด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ

“นั่นสิ ปัญหาของผมกลายเป็นเรื่องจ้อยไปเลย ไม่นึกเลยนะครับ ว่าภายใต้รอยยิ้มสดใสของคุณ จะซ่อนภาระอันหนักอึ้งเอาไว้แบบนี้”

“แรกๆ ก็หนักหนาอยู่หรอกค่ะ แต่นานๆ ไปก็ค่อยๆ ชิน”

“คุณเข้มแข็งกว่าที่ผมคิดเอาไว้เยอะเลย” พฤทธิ์อึ้งไปหลังจากที่พูดจบ คล้ายกับกำลังชั่งใจในอะไรบางอย่าง

“ตกลงครับ ผมจะพยายามทำตามที่คุณบอก แล้วนี่คุณจะทำยังไงต่อไป พ่อผมท่านคงไม่เลิกล้มความตั้งใจง่ายๆ แน่”

“ก็ไม่เห็นต้องทำอะไรนี่คะ ฉันก็แค่พยายามระวังตัวให้มากขึ้น ก็เท่านั้น”

“พูดยากนะ คนคอยระวัง กับคนคอยหาโอกาส สักวันคุณอาจจะพลาดได้”

“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็คงต้องคิดว่าเป็นกรรม”

“ผมว่า...เราว่ามาลองวิธีนี้กันดูไหมครับ ไม่แน่นะบางที มันอาจจะได้ผลก็ได้”

“วิธีอะไรคะ”

ว่าแล้วพฤทธิ์ก็เริ่มสาธยายแผนการตั้งแต่ต้นจนจบ โดยมีรินรตีนั่งฟังไปพลางทำตาโตไปพลาง อย่างไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง

ไม่ว่าวิธีการของพฤทธิ์จะได้ผลหรือไม่ก็ตาม แต่ก็นับว่าเป็นโอกาสที่ทำให้หญิงสาวได้อยู่ใกล้กับชายหนุ่มที่พึงใจ และแม้มันว่าจะเพียงแค่เรื่องสมมติ รินรตีก็ยินดีและตั้งใจจะเก็บช่วงเวลาแห่งความทรงจำเหล่านี้เอาไว้ ต่อให้ต้องจากกันในวันหน้า หญิงสาวบอกกับตัวเองอย่างแน่วแน่ ว่าเธอจะไม่มีวันเสียใจ

---------------------------------------------

เสียงวิพากษ์วิจารณ์หนาหูที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาเกือบเดือนที่ผ่านมา ทำเอานายพัฒนานั่งอยู่กับที่แทบไม่ติด จำต้องเรียกบุตรชายมาสอบถามถึงที่มาที่ไปของข่าวลือทั้งหมดในท้ายที่สุด และคำตอบที่ได้รับก็ทำเอาเขาแทบคลั่ง แต่ก็จำต้องเก็บอารมณ์เอาไว้ ให้อย่างไรเขาก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ยามอยู่ต่อหน้าบุตรชายเอาไว้ สังหรณ์ใจบางอย่างบอกกับเขาว่าพฤทธิ์น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่รินรตีหายตัวไปอย่างปริศนาจากห้องพักของโรงแรมในคืนนั้น ดังนั้นหากยังดันทุรังถาม รังแต่จะทำให้สิ่งที่เขาซุกซ่อนเอาไว้ ต้องเปิดเผยออกมาเท่านั้น

“สรุปว่า แกกำลังคบหาดูใจอยู่กับ แม่หนูรินรตี เลขาของแกคนนั้นจริงๆ”

“ครับ และผมก็หวังว่าพ่อจะเข้าใจ ไม่ตั้งข้อรังเกียจเธอ”

ตามปกติแล้วนายพัฒนาไม่ใช่คนคิดมาก ทว่าวันนี้เขาอดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าทุกถ้อยคำของพฤทธิ์ดูเหมือนจะแฝงรอยกระแทกกระทั้นอยู่ในที เกือบจะตลอดเวลาที่สนทนากันเสียด้วยซ้ำ

“เอาเถอะ เรื่องนั้นไว้เราค่อยไปคุยพร้อมๆ กันกับแม่ของแก ว่าแต่ตัวแกเองเถอะ คิดดีแล้วหรือ ถึงได้ไปข้องเกี่ยวกับคนในปกครองแบบนั้น”

“ไม่เห็นมีอะไรให้ต้องคิดนี่ครับ รินรตีเธอเป็นคนน่ารัก ขยันขันแข็ง แล้วก็ฉลาด ถึงแม้ว่าพื้นฐานครอบครัวเธอจะแตกต่างจากเรา แต่ถ้าเทียบกับผู้หญิงคนอื่นๆ ในแวดวงที่ผมเคยรู้จัก เธอยังดีกว่าเป็นไหนๆ ดีเสียอีก ได้คนมาช่วยทำงาน แถมยังไว้ใจได้อีกต่างหาก”

“ดูแกจะเข้าข้างหล่อนเสียเหลือเกินนะ แล้วหนูแพรล่ะ เอาเธอไปไว้เสียที่ไหน”

นายพัฒนาห้ามใจไม่ให้หมั่นไส้บุตรชายเอาไว้ไม่อยู่ ตอบกลับด้วยถ้อยคำเหน็บแนมชนิดที่พฤทธิ์ไม่คิดมาก่อนว่าบิดาจะมีมุมเช่นนี้เหมือนกับคนอื่น แต่สิ่งที่ทำคือค่อยๆ ตอบท่านไปอย่างใจเย็น

“แพรกับผม เราเป็นเพื่อนกัน และก็จะเป็นตลอดไป เพราะฉะนั้น คุณพ่ออย่าเป็นห่วงไปเลยนะครับ” พฤทธิ์ไม่ได้ตอบคำถาม แต่บอกเป็นนัยซึ่งแฝงเอาไว้ด้วยความจริงที่ตัวเขายอมรับมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว

“เอ้อ! ดีนะ วันหนึ่งมาบอกรักหนูแพรจะเป็นจะตาย แต่จู่ๆ กลับมาบอกว่าเปลี่ยนคนไปเสียอย่างนั้น”

“ของแบบนี้มันเปลี่ยนใจกันได้นี่ครับ เวลาผ่านไป คนก็เปลี่ยนใจ” คำหลังของพฤทธิ์แม้จะฟังดูเรื่อยๆ ทว่านัยที่แท้จริงดูเหมือนจะอยากประชดใครบางคนเสียมากกว่า

“เฮ้อ! ถ้างั้นก็แล้วแต่แกเถอะ อย่าลืมที่พ่อเตือนก็แล้วกัน การยุ่งเกี่ยวกับคนในปกครอง ระวังจะเสียมากกว่าได้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับคุณพ่อ เอาเป็นว่าผมจะระวังเป็นพิเศษ หมดธุระแล้วงั้นผมขอตัวนะครับ เย็นนี้ผมมีนัดทานข้าวกับรตีเธอ คงไม่ได้กลับไปทานข้าวบ้าน ฝากเรียนคุณแม่ด้วยนะครับ”

พฤทธิ์เดินกลับไปยังห้องทำงานของตน ใบหน้าเปื้อนยิ้มแฝงไว้ด้วยรอยสะใจลึก แม้จะไม่อาจต่อว่าผู้เป็นบิดาได้ตรงๆ แต่อย่างน้อยการแอบจิกกัดทีละเล็กละน้อย ก็ช่วยให้เขาสามารถระบายความอัดอกอัดใจลงไปได้บ้าง

ด้านนายพัฒนานี่สิที่น่าเป็นห่วง ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยตลอดเวลาที่เจรจาความกับบุตรชาย ยามนี้กลับบูดเบี้ยวไปด้วยอาการโกรธ และขัดใจ เมื่อตระหนักชัดว่าได้สูญเสียสิ่งที่หมายปองไปซึ่งๆ หน้า โดยผู้ที่ฉวยหยิบของสิ่งนั้นไปก็มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นบุตรชายของเขาเอง และที่น่าแค้นยิ่งกว่าคือ เขาไม่สามารถตอบโต้ หรือทวงคืนของสิ่งนั้นได้ แล้วแบบนี้จะไม่ให้โกรธจนอกแทบระเบิดได้อย่างไร

โทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋วถูกยกขึ้นแล้วกดโทรออกด้วยอาการหงุดหงิด เพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้น นายเสมอคนขับรถคู่ใจของนายพัฒนาจึงเปิดประตูเข้ามาภายในห้อง ก่อนจะเดินเข้ามายืนสงบนิ่งตรงหน้าอย่างเตรียมพร้อมรอรับคำสั่ง

“สั่งให้คนคอยตามดู ฉันอยากรู้ว่าความสัมพันธ์ของสองคนนั่นไปถึงไหนกันแล้ว สืบให้รู้แน่ชัดว่าตอนนี้รินรตีพักอยู่กับใคร ที่ไหน แล้วรีบมารายงานฉัน”

“ครับท่าน”

“วันนี้แกไม่ต้องขับรถให้ฉันหรอก ฉันจะไปค้างที่คอนโดฯ ไปได้แล้ว”

นายเสมอรับคำสั้นๆ แล้วก้าวเดินกลับออกไปตามทางเดิม และเริ่มปฏิบัติตามคำสั่งของผู้เป็นนาย อย่างไม่ให้มีขาดตกบกพร่อง เพราะความชะล่าใจ ทำให้เขาไม่ทันได้สังเกต ว่าตนกำลังตกอยู่ภายใต้การจับตามองของบุตรชายผู้เป็นเจ้านาย และทุกถ้อยคำที่นายเสมอสั่งการไปยังคนของเขา พฤทธิ์ล้วนแต่ได้ยินจนหมดสิ้น

“รินรตีเหรอ เดี๋ยวเลิกงานแล้วคุณอย่าเพิ่งกลับนะครับ เราคงต้องไปทานเข้าด้วยกันก่อน เสร็จแล้วผมจะไปส่งคุณที่คลับเอง แค่นี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวเจอกัน”พฤทธิ์กะเกณฑ์เอาเองเสร็จสรรพแล้ววางสายโดย ไม่รอแม้แต่เสียงตอบรับหรือปฏิเสธ

เวลาห้าโมงครึ่งโดยประมาณ รถยุโรปคันหรูอันมีสารถีหนุ่มรูปงาม ถูกขับมาจอดรอรินรตีอยู่ที่ด้านหน้าบริษัท โดยมีสายตาของเหล่าพนักงานจับจ้อง ด้วยความรู้สึกนานา แตกต่างกันไปตามลักษณะและความคิดของแต่ละคน

“ฉันว่าคราวหลังคุณไปจอดรอฉันที่ด้านหลังจะดีกว่า”

“ผมว่าแบบนี้แหละดีแล้ว จะได้มีคนรู้เห็นเยอะๆ มันเด่นแล้วก็สะดุดตาดี”

“อ้อ! ค่ะ ฉันว่าเรารีบไปกันเถอะค่ะ ช้านักรถจะติดเสียก่อน”

“ครับคุณผู้หญิง”

เจ้านายหนุ่มบอกพลางส่งสายตาล้อเลียนไปยังลูกน้องสาว ประกายตาวิบวับที่ส่งมายังเธอนั้นไม่ต่างจากเด็กหนุ่มที่กำลังริรักเลย หากว่าไม่มีเรื่องแผนการและข้อตกลงที่ว่าเข้ามาแทรกกลางระหว่างเธอกับเขาแล้ว รินรตีอาจจะไพล่นึกไปว่าเขากำลังตกหลุมรักเธอเข้าให้จริงๆ ก็เป็นได้

รถเก๋งคันโก้ออกจากลานจอดรถด้านหน้าตึกและมุ่งตรงไปยังร้านอาหารที่ตั้งอยู่บริเวณนอกเมืองในทันที พฤทธิ์เองคุ้นเคยกับเส้นทางที่จะไปยังร้านอาหารร้านนี้เป็นอย่างดี เพราะเหตุที่เป็นร้านประจำของเขาและณิชญาฎา ชายหนุ่มจึงสามารถใช้เส้นทางลัด หลบเลี่ยงการจราจรอันติดขัด ได้ดั่งคนที่เจนเส้นทางดี

ภายในร้านอาหารตกแต่งแบบเรียบง่าย สบายตา เน้นบรรยากาศของความเป็นกันเองเป็นหลัก เจ้าของร้านเลือกใช้เพลง บรรเลงที่ฟังแล้วคล้ายกับเสียงของธรรมชาติมาเปิดให้คนฟังเกิดการผ่อนคลายจากการงานอันเหนื่อยล้า อีกทั่งยังสามารถให้ความรู้สึกโรแมนติคได้อย่างน่าประหลาดใจ

อาหารหลายอย่างถูกยกมาวางเรียง ทั้งที่รินรตียังไม่ทันได้สั่งอะไรเลยด้วยซ้ำ หญิงสาวได้แต่มองหน้าเขาสลับไปมากับจานอาหารตรงหน้า ไม่รู้จริงๆ ว่าตนควรจะพูด หรือออกความเห็นอะไร

“ทำไมทำหน้างงอย่างนั้นล่ะ ผมก็แค่สั่งอาหารไว้รอล่วงหน้าเท่านั้นเอง”

“ท่าทางคุณพฤทธิ์จะชินกับร้านนี้มากนะคะ”

“ครับ ที่นี่เป็นร้านโปรดของแพรเขาน่ะครับ เราเลยมาด้วยกันเป็นประจำ”

“อ้อ... อย่างนี้นี่เอง” รินรตีก้มหน้าตอบ ซ่อนรอยจืดเจื่อนบนใบหน้าเพราะเกรงว่าชายหนุ่มจะจับสังเกตถึงความน้อยใจที่แอบมีขึ้นมาแต่เพียงเล็กน้อยนั้นได้

“อาหารที่นี่เขาอร่อยนะครับ ไม่เชื่อคุณลองทานดูสิ ช่วงค่ำๆ คนจะแน่นมาก ผมถึงต้องโทรจองและสั่งอาหารเอาไว้ก่อน”

“คุณพฤทธิ์นี่ รอบคอบดีจริงๆ เลยนะคะ”

“ก็ไม่เชิงหรอก คงเพราะชินมากกว่า อย่างที่บอกล่ะครับ ผมกับแพร เรามาที่นี่กันบ่อย”

“ค่ะ”

เสียงหวานรับคำสั้นๆ ติดจะสั่นเครือเล็กน้อย รินรตีตระหนักดีว่าถึงอย่างไรตนก็ไม่มีสิทธิ์จะมาคิดน้อยใจ สิ่งเดียวที่ทำได้คือพยายามกดความรู้สึกนั้นเอาไว้ ไม่แสดงออกให้พฤทธิ์ได้สังเกตเห็น

มือบางเขี่ยอาหารในจานไปมา ใช่ว่ารสชาติของอาหารจะไม่ถูกปาก ตรงกันข้าม มันอร่อยมากๆ ไม่ผิดคำที่พฤทธิ์ได้บอกเอาไว้ แต่สาเหตุที่ทำให้หญิงสาวรับประทานไม่ลง ก็เพราะรู้สึกแค้นคอ และไม่อาจฝืนใจกลืนอะไรได้เท่านั้น

“คุณเป็นอะไรไปหรือเปล่า”

“คะ? อ๋อ... ป...เปล่าค่ะ”

“เปล่าแล้วทำไมไม่ทาน หรือว่ากับข้าวไม่อร่อย”

“อร่อยค่ะ เพียงแต่ว่าฉันยังไม่ค่อยหิว”

“เหรอครับ แหม! น่าเสียดายจริง แต่ก็อย่างว่า คุณอาจจะไม่ชินกับการทานมื้อเย็นเร็วแบบนี้ ไม่เป็นไรครับ ทานไม่หมดก็ห่อกลับ แต่เท่าที่สังเกตดู ผมว่าคุณทานน้อยไปนิดนะ”

“ฉันต้องทำงานนี่คะ จะทานอะไรก็ต้องระวัง ขืนตามใจปาก ปล่อยตัวจนอ้วน มีหวังได้ร้องเพลงต่อไม่ได้ เพราะไม่มีคนฟังกันพอดี”

“นักร้องนะครับคุณ ไม่ใช่นางเอกหนัง ทฤษฎีที่ว่านั่นมันคงใช้ได้ไม่เสมอไปหรอก นักร้องดังๆ อวบๆ สมัยนี้มีออกถมไป ผมเห็นตั้งเยอะแยะ”

“ไม่เหมือนกันหรอกค่ะ ฉันไม่ได้ดังอย่างพวกเขานี่นา”

“นี่ขนาดไม่ดัง คนยังตามมาฟังคุณร้องเพลงเสียขนาดนี้ ถ้าคุณดังจริงๆ คลับพี่พีแกมิพังหมดหรอกเหรอครับ?”

“แหม! คุณก็พูดเกินไป มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ”

“โอ.เค. ครับ ไม่ถึงก็ไม่ถึง ผมว่าไหนๆ คุณก็ไม่ยอมทานข้าวแล้ว ถ้างั้นลองทานของหวานหน่อยนะครับ สละลอยแก้วที่นี่เขาขึ้นชื่อ รสชาติดี ไม่หวานมาก ลองดูนะครับ”

“ก็ได้ค่ะ”

พฤทธิ์จัดการตามที่บอกทุกอย่าง เริ่มจากสั่งขนมหวานให้หญิงสาว จากนั้นจึงสั่งให้บริการห่ออาหารที่แทบไม่ได้แตะเลยกลับบ้านแทน

“จริงๆ แล้วผมยังมีเรื่องที่จำเป็นจะต้องคุยกับคุณ”

“เรื่องอะไรคะ”

“ช่วงนี้ ผมคงต้องอยู่ใกล้คุณมากกว่าเดิม เพราะดูเหมือนว่าพ่อผมท่านจะไม่เชื่อ ว่าผมกับคุณกำลังคบหาดูใจกันจริง เลยส่งคนมาคอยเฝ้าตามดู อย่างวันนี้ก็เหมือนกัน”

“อะไรนะคะ” รินรตีอุทานเสียงสูง แล้วเหลียวมองรอบด้าน พยายามหาผู้ต้องสงสัย

“อย่าหันไปมองสิครับ เดี๋ยวเจ้านั่นก็รู้ตัวกันพอดี”

“ค่ะๆ ขอโทษค่ะ”

“คุณต้องพยายามทำตัวให้เป็นปกติ ให้เหมือนกับว่าคุณไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ที่สำคัญคือ ผมอยากให้คุณย้ายเข้าไปอยู่ที่คอนโดฯ ของผม”

“ว่าไงนะคะ!” รินรตีร้องเสียงหลง จนพฤทธิ์ต้องขึงตาใส่ เป็นนัยว่าให้เบาเสียงลง

“ไหนๆ เราก็แสดงกันมาจนถึงป่านนี้แล้ว ยังไงก็ต้องเล่นให้จบ”

“มันจะดีเหรอคะ”

“ผมรู้ว่ามันออกจะประหลาดอยู่สักหน่อย อีกอย่างคุณเองก็เป็นผู้หญิง อาจมีใครคิดหรือพูดไม่ดีเกี่ยวกับคุณก็ได้ แต่ผมยังยืนยันคำเดิม ว่ามันจำเป็นจริงๆ ”

“แต่ฉันว่าเรื่องมันจะยิ่งไปกันใหญ่นะคะ ถ้าเกิดว่าคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณท่าน...”

“หรือว่าคุณกลัวเสียชื่อเสียง”

“ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นหรอกค่ะ เพียงแต่...”

“ผมรับรองด้วยเกียรติ ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นอันขาด ขอให้คุณเชื่อใจ”

“เรื่องนั้นฉันไม่ห่วงหรอกค่ะ ฉันห่วงก็แต่พี่แพรเท่านั้น เธออาจจะเข้าใจคุณผิดก็ได้นะคะ”

“นึกว่าเรื่องอะไร อย่าห่วงไปเลยครับ ผมกับแพรเราสนิทกันมานาน เรื่องแค่นี้ อธิบายนิดเดียวเดี๋ยวก็เข้าใจ”

“เหรอคะ” ดวงหน้าสวยปรากฏรอยเจื่อนเพียงชั่ววูบก่อนจะจางหายไป และก็เหมือนทุกครั้งที่พฤทธิ์ไม่ทันได้สังเกต

“เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะครับ รอจนกว่าพ่อผมท่านจะเชื่อ หลังจากนั้นเราค่อยมาประเมินสถานการณ์กันอีกที”

“ค่ะ ว่าไงว่าตามกัน ไหนๆ เราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่ จริงไหมคะ”

“ดีครับ ถ้างั้น เสาร์-อาทิตย์นี้ ผมจะไปรับคุณที่บ้าน คุณก็เก็บของรอไว้เลยละกัน”

พฤทธิ์บอกแผนการพร้อมกับนัดหมายเสร็จสรรพ ขั้นต่อไปก็เหลือแค่ดำเนินการตามแผนเท่านั้น รินรตีแอบถอนหายใจเบาๆ สังหรณ์ใจบางอย่างกำลังร่ำร้องบอกกับเธอว่า แผนการครั้งนี้ อาจส่งผลกระทบจนทำให้ชีวิตเธอต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล แต่ในเมื่อเธอตัดสินใจร่วมมือกับเขามาตั้งแต่แรกแล้ว ไหนเลยจะละทิ้งมันไปได้กลางคัน เธอจึงได้แต่ภาวนา มาดแม้นว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นจริง ก็ขอให้เธอได้มีโอกาสเก็บช่วงเวลาดีๆ นี้เอาไว้ เพื่อใช้ระลึกเขา ผู้ซึ่งเธอปักใจ แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาของความสัมพันธ์แบบปลอมๆ ก็ตาม

-------------------------------------------



นิลวนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 เม.ย. 2555, 23:34:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 เม.ย. 2555, 23:43:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 1950





<< ตอนที่ 12 เล่ห์มนุษย์   ตอนที่ 14 : เพราะรัก หรือเสน่หา (2) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account