ด้วยรัก ฝากฝัน นิรันดร
ด้วยเหตุแห่งความรักที่ผิดหวังพลั้งพลาดของคนในรุ่นบิดามารดา นำมาซึ่งความฝัน ฝากความหวังเอาไว้กับคนรุ่นลูก เพื่อให้พวกเขาสานต่อความรักความผูกพันที่มีต่อกัน และเก็บรักษาความดีงามแห่งรักนั้นไว้ ให้คงอยู่เป็นความรักที่มั่นคง

“ด้วยรัก ฝากฝัน นิรันดร”


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 10 : ข้อเสนอ

ตลิตลงจากรถแล้วรีบเดินตรงไปยังโรงพัก นึกบ่นในใจอยู่ตลอดทางว่าไม่น่าปล่อยให้ลักษิณาศรกับนางกิ่งกาญจน์ผู้เป็นมารดาของเพื่อนสาว ต้องเข้ามาในสถานที่นี้ตามลำพังเลย สภาพแวดล้อมที่ปะปนไปด้วยผู้คนท่าทางแปลกๆ ดูแล้วไม่เหมาะสมจนพาให้เขาเป็นห่วง ครั้นเมื่อตามเข้าไปถึงด้านในสองคิ้วเข้มพลันขมวดเข้าหากันแน่น หงุดหงิดใจกับภาพตรงหน้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ยังพยายามเก็บอาการ และเดินเข้าไปสมทบกับลักษิณาศรที่กำลังยืนพูดคุยอยู่กับนายตำรวจหนุ่มด้วยท่าทางอันเป็นปกติ

ลักษิณาศรยื่นเศษกระดาษเล็กๆ ส่งให้กับคนตรงหน้า ตลิตมองตามมือแล้วอยากจะแล่นไปดึงกลับมาเสียให้รู้แล้วรู้รอด เหตุเพราะสายตาของนางตำรวจหนุ่มคนนั้น ผู้ชายด้วยกันไฉนจะดูไม่ออกว่าเจ้าหมอนั่นกำลังคิดอย่างไรกับแม่สาวหน้าหวานที่ยืนอยู่เบื้องหน้า

“แจ้งความเรียบร้อยแล้วหรือครับ ลูกศร” ตลิตเอ่ยทักเสียงเรียบอย่างเก็บอาการ ทั้งสองคนที่กำลังยืนคุยจึงหันไปมองตามเสียง

“อ้าว! พี่ตลิตมาพอดี ที่จอดรถหายากมากเลยใช่ไหมคะ”

“นิดหน่อยครับ แล้วนี่เรียบร้อยแล้วหรือยัง” ตลิตถามซ้ำ พลางชำเลืองมองนายตำรวจหนุ่มด้วยสายตาที่แสดงออกชัดว่าไม่ใคร่จักพอใจสักเท่าไหร่ ตรีวิกรสบตาอีกฝ่ายแล้วให้ฉุกใจ ทว่าก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ แล้วรอดูปฏิกิริยาท่าทีของฝ่ายหญิงอีกทีจะดีกว่า

“ยังไม่เรียบร้อยหรอกค่ะ ต้องรอก่อนแต่ทางตำรวจเขารับเรื่องเอาไว้แล้ว พี่ตลิตเป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ ทำไมท่าทางดูแปลกๆ”

“อ๋อ...เอ่อ...เปล่านี่ พี่ไม่ได้เป็นอะไร แล้วนี่เราจะกลับกับเลยหรือเปล่าครับ” ตลิตตัดบทเอาเสียดื้อๆ

“ค่ะ แต่รอเดี๋ยวนะคะ คุณป้าไปเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวคงมา โน่นแน่ะค่ะ คุณป้าออกมาพอดี อ้อ! จริงสิ ยังไม่ได้แนะนำเลย นี่หมวดตรีวิกรค่ะ” ลักษิณาศร เอ่ยแนะนำตามมารยาท

“ผมตลิตครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” หนุ่มรุ่นพี่หันไปมองพร้อมเอ่ยแนะนำตัวเองอย่างเสียมิได้

“ยินดีเช่นกันครับ” ตรีวิกรตอบคำพร้อมรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร

“ขอบคุณนะครับที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ สมแล้วที่เป็นที่พึ่งของประชาชน” ฟังดูเหมือนจะชม แต่ก็ติดประชดประชันอยู่ในที

“ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว” ตรีวิกรตอบ ทำไม่รู้ไม่ชี้กับท่าทีของอีกฝ่าย “เอาเป็นว่า ถ้าหากว่ามีความคืบหน้าอะไรผมจะติดต่อไปตามเบอร์ที่คุณให้ไว้ก็แล้วกันครับ”

“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะหมวด” หญิงสาวรับคำพร้อมกับขอบคุณไปในคราวเดียว

“งั้นเราก็...กลับกันได้แล้วสินะครับ ไปเถอะ รถจอดอยู่ด้านโน้น เดี๋ยวพี่พาไป”

“แล้วผมจะโทรหานะครับคุณลูกศร” ตรีวิกรทิ้งท้ายแล้วเดินกลับเข้าโรงพักไป โดยไม่สนใจสายตาขุ่นๆ ของหนุ่มรุนพี่

“มีอะไรรึเปล่าคะพี่ตลิต ลูกศรว่าพี่ดูแปลกๆ ไปนะคะ”

“เปล่านี่ ไม่ได้เป็นอะไร พี่ว่าเรารีบไปกันดีกว่า สถานที่แบบนี้ อยู่นานไม่ค่อยดีหรอก” ตลิตปฏิเสธแล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง

“ค่ะ แต่ว่าพี่ตลิตกลับบ้านไปก่อนเถอะนะคะ ลูกศรจะไปส่งคุณป้าแล้วว่าอยู่เป็นเพื่อนท่านสักพัก”

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อน เกิดดึกนักแล้วลูกศรจะกลับลำบาก”

“แต่ว่า...”

“ลูกศรอย่าคิดมากสิ เอาเป็นว่าพี่อยากช่วย ไปกันเถอะ มัวแต่ยืนเถียงกันอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวจะมืดค่ำไปเสียก่อน” ตลิตรีบสรุปแล้วเดินนำลักษิณาศรกับคุณกิ่งกาญจน์กลับไปที่รถ

-------------------

เวลาผ่านไปพร้อมๆ กับความมืดที่โรยตัวลงโอบล้อมไปทั่วบ้านหลังน้อยอย่างช้าๆ ความเงียบที่ปกคลุมบ้านทั้งหลังจนราวกับเป็นบ้านร้างพาให้จิตใจของคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความหม่นหมองยิ่งซึมเศร้าลงไปอีก นับแต่ที่ลืมตาตื่นและรับรู้ถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่ติดอยู่ในหัวของการะเกดและเฝ้าหวังอยู่ตลอดเวลาคือขออย่าให้มารดาซักไซ้ถามไถ่เอาความกับเธอให้มากมายนัก เพราะเธอคงไม่อาจฝืนความรู้สึก แสร้งทำตนเป็นปกติ ปกปิดเรื่องราวกับท่านไว้ได้นาน ต่อให้เป็นใครก็คงยากจะยอมรับและมองข้ามเรื่องแบบนี้ไปได้

เมื่อเธอกลับมาถึงแล้วพบกับบ้านที่เงียบเชียบไร้เงาร่างของมารดา ความโล่งใจพลันปรากฏขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ การะเกดเดาว่าท่านอาจจะออกไปที่ไหนสักแห่ง ทว่าก็คงจะกลับมาในไม่ช้า อย่างน้อยเธอก็ยังพอมีเวลาให้ได้คิดเตรียมตัวเตรียมใจเพิ่มขึ้นอีกนิด เธอจึงใช้ช่วงเวลานั้นในการคิดทบทวนหาคำพูดเตรียมไว้อธิบายกับท่าน การะเกดปล่อยความคิดล่องลอยไปไกล ทบทวนเรื่องราวซ้ำไปวนมาอย่างเศร้าสร้อยและนิ่งนาน กระทั่งผลอยหลับไปอย่างไม่ทันได้รู้ตัว

“ยายเกด!” เสียงหวานใสร้องทักขึ้นเป็นลำดับแรกบอกแสดงออกชัดแจ้งถึงความยินดีระคนโล่งอก เกือบจะทันทีที่กับแสงไฟภายในบ้านที่สว่างพรึ่บ ร่างเล็กที่กำลังขดตัวหลับอยู่บนเก้าอี้รับแขกมุมห้องพลันตื่นขึ้นพร้อมกับทำหน้างงๆ

“ศร! แม่! อ๊ะ! คุณ...พี่ตลิต ไปไงมาไงกันคะ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่กันหมด” การะเกดปรับสายตาเพ่งมองจนตระหนักชัดว่าใครเป็นใครแล้วเอ่ยถามออกไปรวมๆ ไม่เจาะจง

“ศรกับคุณป้าต่างหากที่ต้องถามเกด ว่าหายไปไหนมาทั้งคืน แล้วทำไมถึงได้มานอนหลับอยู่ตรงนี้ รู้ไหมว่าใครต่อใครเขาเที่ยวได้ตามหาตัวกันให้ควั่กน่ะ แต่เอ๊ะ! เกดเป็นอะไรไปหรือเปล่า ทำไมดูหน้าซีดๆ ไหนขอศรดูหน่อย” ลักษิณาศรเอื้อมมืไปแตะหน้าผากของเพื่อนแล้วพบว่าการะเกดออกจะตัวรุมๆ

“ไม่สบายนิดหน่อยน่ะ คือ... จริงๆ แล้วเมื่อวานเกดไม่ค่อยสบายอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็ฝืนรับงานแทนพี่ปิ่น พอแยกตัวจากศรมาแล้ว จู่ๆ อาการมันก็ทำท่าว่าจะหนัก ก็ตัดสินใจแวะไปหาหมอที่โรงพยาบาล ตั้งใจว่าจะเสร็จแล้วจะรีบกลับบ้านแต่ดันเผลอหลับไป ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เที่ยงกว่าแล้ว ขอโทษนะคะแม่ที่ทำให้เป็นห่วง”

“แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่า ทำไมไม่โทรบอกแม่ล่ะลูก ดูสิปล่อยให้แม่เป็นห่วงทั้งคืน” คุณกิ่งกาญจน์รีบเข้าไปจับเนื้อจับตัวสำรวจอาการไข้ด้วยความเป็นห่วงบุตรสาว

“นั่นสิ น่าจะโทรหา บอกกล่าวใครไว้สักคน” ลักษิณาศรเอ่ยสำทับ

“ก็คิดว่าแค่เป็นไข้นิดหน่อย คงไม่เป็นไร แค่ให้หมอฉีดยาก็น่าจะดีขึ้นแล้ว แต่ไม่นึกว่าจะผลอยหลับไป เกดขอโทษที่ทำให้ทุกคนต้องวุ่นวายกันขนาดนี้”

“เฮ้อ! ยายเกดเอ๊ย ไอ้เรารึเป็นห่วง โทรตามแทบจะทั้งวัน” ลักษิณาศรบ่นพึมพลางส่ายหน้าทว่าก็โล่งใจ

“แบตมันหมดน่ะ เพิ่งจะเห็นเมื่อตอนตื่นขึ้นมานี่เอง ขอโทษนะจ๊ะศร” สารพัดคำอ้างถูกสรรหาขึ้นมาอธิบายกลบเกลื่อน

“แล้วนี่กินยาหรือยัง ตัวรุมๆ นะ เดี๋ยวไข้กลับขึ้นมาอีกละจะแย่”

“เพิ่งจะกินไปน่ะ อีกเดี๋ยวคงดีขึ้น” การะเกดปด หลุบตาต่ำไม่อยากจะสบตากับเพื่อนหรือใครๆ ในตอนนี้

“เฮ้อ! กลับมาก็ดีแล้วล่ะลูก คราวหน้าคราวหลังก็โทรมาบอกกันก่อน อย่าหายไปเฉยๆ แบบนี้อีกถ้าหากเกิดอะไรขึ้นมาแม่จะทำอย่างไรล่ะ หนูลูกศรก็เลยต้องพลอยมาเดือดร้อนช่วยตามหา ขอบใจจริงๆ นะลูก” คุณกิ่งกาญจน์บอกอย่างโล่งอกโล่งใจ

การะเกดสวมกอดมารดาอย่างแสวงหาความอบอุ่นที่จู่ๆ ก็รู้สึกโหยหาขึ้นมาอย่างรุนแรง พร่ำบอกอยู่กับอกของนาง น้ำตาพลันเอ่อคลอขึ้นมาจนเต็มหน่วย “เกดสัญญาว่าว่าจะไม่ทำให้แม่ต้องเป็นห่วงอีก ขอบใจมากนะศร แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำให้ศรต้องมาเดือดร้อนตามหา”

“ไม่เป็นไรหรอก เราเป็นเพื่อนรักกันนี่นา ยังไงเพื่อนก็ต้องห่วงเพื่อนอยู่แล้ว จริงไหม”

ยิ่งคิดก็ยิ่งช้ำ การะเกดถึงกับสะอื้นฮั่กออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย น้ำตาที่เมื่อแรกเพียงแต่เอ่อคลอกลับทะลักออกมาราวกับทำนบกั้นน้ำแตก รู้สึกเสียใจจนบอกไม่ถูก นึกไม่ถึงว่าเรื่องเล็กๆ ที่เธอตัดสินใจกระทำลงไปจะบานปลายกลายเป็นเหตุให้เกิดเรื่องเลวร้ายกับตนเองแบบนี้ มิหนำซ้ำยังทำให้คนที่รักเธอต้องวุ่นวายกันไปหมดอีกต่างหาก

“เป็นอะไรไปเกด ทำไมร้องไห้ขนาดนี้” ลักษิณาศรถามอย่างตกใจไปกับอาการของเพื่อน

ตลิตยืนมองและสังเกตุการณ์ปฏิกิริยาของหญิงสาวอยู่เงียบๆ ตลอดเวลาที่ตอบคำถาม การะเกดเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น ไม่ยอมสบสายตาใคร หากแต่คอยชำเลืองมองดีสีหนาของทุกคนอยู่เนืองๆ อย่างคนมีพิรุธในใจ และจากสิ่งที่เห็น ชายหนุ่มจึงเชื่ออย่างสนิทใจว่า หญิงสาวต้องมีบางเรื่องที่ปิดบังเอาไว้อย่างแน่นอน

“เปล่าจ้ะ เปล่า ไม่มีอะไร เกดแค่ดีใจน่ะ ดีใจที่เกดมีเพื่อนดีๆ แบบศร” การะเกดปฏิเสธ ทั้งสะอื้นฮั่กๆ

“เพี้ยนแล้วยายเกด จู่ๆ ก็ร้องไห้ออกมาเสียขนาดนี้ สงสัยจะไข้ขึ้นจนต่อมน้ำตาแตก ไปนอนพักดีกว่าไหม” ลักษิณาศรบอก การะเกดจึงพยักหน้ารับเบาๆ “ค่ำแล้ว งั้นศรกลับก่อนดีกว่าเกดจะได้พักผ่อน” ลักษิณาศรตัดบทง่ายๆ

“อ้าว! ไม่อยู่ทานข้าวกันก่อนหรือลูก” คุณกิ่งกาญจน์ถามกับเพื่อนลูกอย่างอาทร

“ไม่ดีกว่าค่ะคุณป้า ศรว่ายายเกดคงอยากจะพักเต็มแก่แล้ว ศรกลับเลยดีกว่าค่ะ” เธอตอบแล้วหันไปพยักหน้าบอกกับชายหนุ่มยังข้างกาย

“แล้วเรื่องแจ้งความล่ะลูก!” คุณกิ่งกาญจน์นึกขึ้นมาได้แล้วร้องถามก่อนที่หญิงสาวจะก้าวพ้นออกไปจากตัวบ้าน

“เดี๋ยวศรโทรไปแจ้งกับผู้หมวดเองค่ะว่ายายเกดกลับมาแล้ว โชคดีที่ตำรวจยังไม่ได้ลงบันทึกประจำวัน คงไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ เรื่องนี้ศรจัดการเอง คุณป้าพักเถอะค่ะ ศรกลับแล้วนะคะ ไปนะเกด” ลักษิณาศรบอกแล้วหันหลังเดินตามชายหนุ่มที่ล่วงหน้าออกมาก่อนยืนเปิดประตูรถรออย่างเตรียมพร้อม

“แจ้งความอะไรกันจ๊ะแม่” การะเกดทำหน้าตื่นรีบถามกับมารดา

“เกดหายไปตั้งแต่เมื่อคืน แม่กับหนูลูกศรก็ร้อนใจ เลยไปแจ้งความที่โรงพัก จะให้ตำรวจช่วยตามหาน่ะลูก” คุณกิ่งกาญจน์ค่อยๆ เล่าให้ลูกสาวฟัง

“ถึงขนาดไปแจ้งความกันเลยเหรอ แล้วเรื่องมันมิบานปลายไปหมดแล้วหรือจ๊ะแม่” การะเกด ละล่ำละลักถาม ปากคอสั่น ใจเต้นไม่เป็นปกติ

“คงไม่หรอก เพราะตำรวจเขาแค่รับเรื่องไว้ ยังไม่ได้ทันทำอะไรหรอก เดี๋ยวพอหนูศรโทรไปบอกทางโรงพักว่าหนูกลับมาแล้ว เรื่องก็คงจะจบ ไม่มีอะไรแล้วล่ะ” คุณกิ่งกาญจน์บอกพลางลูบหลังลูบไหล่บุตรสาวช่วยคลายความกังวล

“เพราะเกดแท้ๆ ทำเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ ทำให้แม่ต้องเป็นห่วง เกดกราบขอโทษนะจ๊ะ” การะเกดก้มกราบลงกับอกของมารดา ใบหน้างามยังแฝงความกังวลใจไม่คลายเมื่อนึกถึงข้อแม้ของพีรพัฒน์ กับเวลาที่แสนกระชั้น บีบคั้นเสียเหลือเกิน

“แล้วนี่กินอะไรมาหรือยัง ไม่สบายอยู่แบบนี้ แม่ไปต้มข้าวให้ดีไหม” ผู้เป็นมารดาถามขึ้น ทันทีที่ที่คลายความวิตกกังวลความเป็นห่วงเป็นใยก็แล่นเข้ามาแทนที่ตามวิสัยของคนเป็นแม่

“อย่าลำบากไปเลยจ้ะแม่ เกดไม่ได้เป็นอะไรมาก เราออกไปหาอะไรกินกันข้างนอกดีกว่า” ความรู้สึกที่แทรกซ้อนขึ้นมาทำเอาการะเกดถึงกับยอกแสยงในอก อดคิดไม่ได้ว่าโอกาสที่เธอจะอยู่ใกล้ชิดกับมารดานั้นน้อยลงไปทุกนาที

“แต่ว่าเกดกำลังไม่สบายนะลูก” นางแย้งอย่างห่วงใย

“บอกแล้วไงคะว่าไม่เป็นไรมากแม่ละจ๊ะหิวหรือเปล่า” การะเกดบอกพลางส่งยิ้มอ่อนเป็นการยืนยัน

“นิดหน่อยลูก มัวแต่ห่วงเรานั่นล่ะ เลยยังไม่ได้กินอะไรเหมือนกัน เราออกไปกินบะหมี่อาโกปากซอยกันดีไหม เราไม่ได้ออกไปหาอะไรกินด้วยกันแบบนี้มานานแล้วนี่นะ” ผู้เป็นมารดารับคำพร้อมออกความเห็น มืออวบมีรอยกร้านเหี่ยวย่นไปตามวัย เอื้อมคว้ามือบางของลูกสาวมากุมแล้วลูบหลังมือเบาๆ อย่างรักใคร่

“งั้นเดี๋ยวเกดไปหยิบกระเป๋าสตางค์ก่อน รอแป๊บนะจ๊ะ” หญิงสาวรีบลุกแล้วเดินกลับเข้าไปยังห้องของตนก่อนจะกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับสิ่งของที่ต้องการในมือ ก่อนจะพากันเดินออกจากบ้านไป โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งคอยจับจ้องเฝ้าแอบเธออยู่ตลอดเวลา มานับตั้งแต่ช่วงเย็น ‘จิระ’ ทำทุกอย่างตามที่ผู้เป็นนายสั่ง รายงานทุกความเคลื่อนไหวของเธออย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง รวมถึงเรื่องที่เพื่อนรักของเจ้านายมาปรากฏตัวอยู่ ณ บ้านน้อยหลังนี้ด้วย

“เจ้าลิต! แล้วรู้หรือเปล่า ว่าเพื่อนฉันมันไปทำอะไรที่นั่น”

“เข้าใจว่าน่าจะพาคุณแม่ของคุณการะเกดมาส่ง มาพร้อมกับผู้หญิงสวยๆ ในชุดนักศึกษาอีกคนแล้วก็กลับออกไปพร้อมกันครับนาย”

“นักศึกษาเหรอ...หรือว่าจะเป็นลูกศร?” พีรพัฒน์พยายามทบทวน จริงสิ! ลักษิณาศรก็เรียนอยู่ที่เดียวกับการะเกด หรือว่าเด็กสาวสองคนนั่นจะรู้จักกัน อะไรมันจะจุดไต้ตำตอขนาดนั้น “เอาเถอะ...นายคอยจับตาดูเธอไว้ให้ดีก็แล้วกัน มีอะไรก็ให้รีบรายงาน ฉันต้องรู้ทุกเรื่องที่เธอทำ ทุกที่ที่เธอไป แล้วถ้าใครมันบังอาจเข้ามาเกาะแกะ นายก็จัดการเขี่ยมันออกไปได้เลย พรุ่งนี้นายไปรับเธอแล้วพามาส่งที่นี่ เสร็จงานแล้วฉันจะรีบมา”

พีรพัฒน์สั่งการไปเรื่อยๆ นึกถึงว่าวันพรุ่งนี้ว่าเขาจะต้องได้พบกับเธอ เพียงแค่นี้รอยยิ้มพลันจุดขึ้นตรงมุมปากอย่างช่วยไม่ได้

-----------------------------------------------

เป็นเวลาค่อนดึกจนใกล้จะเที่ยงคืนอยู่รอมล่อเมื่อการะเกดพาตัวเองมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้องนอนของมารดา หญิงสาวพยายามชั่งใจอยู่นานถึงสิ่งที่ตั้งใจจะมาบอกกับนาง ว่าตนควรจะเริ่มต้อนพูดอย่างไรดี ความไม่มั่นใจบวกลังเลประดังกันขึ้นมาจนแทบจะละทิ้งแล้วเดินกลับไปยังห้องของตัวเองเสียหลายหน กระทั่งเจ้าของห้องผู้เป็นมารดาเปิดประตูออกมาในตอนที่เธอตัดสินใจจะหันหลังกลับห้องพอดี การะเกดจึงตัดสินใจได้ว่า ช้าเร็วเธอก็ต้องบอก สู้ทำใจกล้าเดินเข้าไปคุยกับท่านเลยจะดีกว่า

“ยังไม่นอนหรือลูก มีอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงมายืนอยู่หน้าห้องแม่แบบนี้”

“แม่ยังไม่นอนหรือคะ”

“ยังหรอกลูก ว่าจะไปดื่มน้ำสักหน่อย”

“งั้นเดี๋ยวเกดไปหยิบให้นะจ๊ะ” บอกแล้วหญิงสาวก็ผละตรงไปหยิบน้ำจากตู้เย็นในครัวมาส่งให้กับมารดา

“ไหนมีอะไรจะคุยกับแม่หรือเปล่า” คุณกิ่งกาญจน์เอ่ยขึ้นหลังจากดื่มน้ำที่รับจากมือบุตรสาว

“เกดคิดถึงแม่จัง” สองมือเอื้อมโอบเอวหนาพร้อมกับกดศีรษะแนบลงบนบ่าบอกกับมารดาเสียงหวาน

“อะไรกันจู่ๆ ก็มาพูดแบบนี้” นางบอกอย่างนึกขันในกิริยาท่าทางออดอ้อนของบุตรสาว

“ไม่น่าเชื่อเลยนะจ๊ะ ว่าห่างกันแค่คืนเดียวจะทำให้คิดถึงแม่ได้ขนาดนี้”

“มาอ้อนแม่แบบนี้ แปลว่าเกดกำลังมีเรื่องในใจ มีอะไรหรือเปล่าลูก แล้วทำไมต้องทำหน้าเครียดแบบนั้น” กิริยาท่าและน้ำเสียงแบบนี้มีหรือที่นางจะดูไม่ออก

“เกด....มีเรื่องจะปรึกษาแม่น่ะค่ะ” การะเกดข่มความรู้สึก กดเสียงให้เรียบจนเกือบจะเป็นปกติ มืออวบเชยคางบุตรสาวขึ้นมองสบนัยน์ตาคมอย่างเพิ่งพิจารณา แล้วถามย้ำ

“ไหนลองบอกมาซิว่าเรื่องอะไร”

“เรื่องงานค่ะ พอดีเพื่อนของอาจารย์ที่มหาลัยท่านหนึ่งเขาต้องการคนไปดูแลแล้วก็สอนพิเศษให้ลูก ให้เงินดีด้วยนะคะ เกดเลยจะมาถามแม่ว่าถ้าเกดรับงานนี้ แม่จะว่าอะไรหรือเปล่า” การะเกดกุเรื่องงานขึ้นมาอ้าง มิหนำซ้ำยังยกเรื่องเงินขึ้นมาสำทับ ซึ่งก็น่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้มารดาของเธอเกิดความสงสัยน้อยที่สุด

“งานดูแลเด็กงั้นหรือ แต่ทุกวันนี้เกดก็รับงานแทบจะทุกวันอยู่แล้วนี่นา ไหนจะเรื่องเรียนอีก แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปทำงานให้เขากันล่ะลูก” คุณกิ่งกาญจน์ติงอย่างเป็นห่วง เพราะเท่าที่การะเกดทำอยู่ทุกวันนี้ ก็มากมายเสียจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนอยู่แล้ว

“หลังเลิกงานไงคะ เกดรับงานแสดงเฉพาะแค่วันจันทร์ อังคาร และก็ศุกร์เท่านั้น หลังเสร็จงานเขาจะส่งรถมารับ เอ่อ... คืองานนี้เกดจะต้องไปพักอยู่ที่บ้านเขาเลยน่ะจ้ะ เกดก็เลย...จะมาปรึกษาแม่ก่อน”

การะเกด พยายามให้เหตุผลว่าเป็นความประสงค์ของนายจ้าง ซึ่งก็สอดคล้องกับเงื่อนไขของพีรพัฒน์ ทุกประการ ทุกสิ่งที่เธอบอกกับมารดาไป ล้วนมาจากความคิดของชายหนุ่มทั้งสิ้น หากจะโทษว่าใครสักคนโกหก ก็คงจะเป็นเขานั่นแหละ ที่เป็นคนต้นคิดให้เธอต้องทำเรื่องเหล่านี้

“ไปอยู่บ้านเขา แล้วเป็นใครที่ไหนกัน ไว้ใจได้หรือเปล่า แม่ว่าอย่ารับเลยดีกว่า แม่ไม่เห็นด้วยเลย” สีหน้าของมารดาบอกชัดเจนถึงความกังวล และคิดเห็นต่างจากบุตรสาว การที่ต้องไปอยู่บ้านคนอื่นแม้ว่าจะเป็นเรื่องงาน ก็ใช่ว่าจะวางใจกันได้ง่ายๆ

“โธ่! แม่จ๋า เกดน่ะโตแล้วนะ ดูแลตัวเองได้สบายมาก แม่ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ อีกอย่างงานนี้เขาก็จ่ายดี เผลอๆ เราอาจมีเงินไปใช้หนี้แทนพี่กล้าเร็วกว่าที่คิดก็ได้ แม่ไม่อยากได้เงินเยอะๆ หรอกเหรอจ๊ะ” เธอพยายามโน้มน้าวจิตใจของมารดาโดยการยกเรื่องปัญหาของพี่ชายมาอ้าง

“แต่แม่ว่า...” คุณกิ่งกาญจน์คิดตามแล้วเริ่มจะอ่อนไปกับเหตุผลของการะเกด แต่ด้วยจิตวิญญาณของคนเป็นแม่ อย่างไรเสียก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงบุตรสาว

“ไม่มีอะไรหรอกแม่ เกดสอบถามมาหมดแล้วไม่มีอะไรน่ากลัวเลย อนุญาตให้เกดไปเถอะนะคะ เกดรับรองว่าจะดูแลตัวเองอย่างดีที่สุด จะไม่ทำให้แม่ต้องเป็นห่วงเลย เกดสัญญา” การะเกดจึงพยายามตื้อให้เหตุผลกับมารดา รู้ดีอยู่ว่าอีกเพียงนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้ว

“ถ้างั้นก็แล้วแต่เกดเถอะนะลูก แต่ว่าถ้ามีเรื่องอะไรหนักใจก็ให้กลับมาบ้านเรานะลูก ยังไงๆ เราก็มีกันอยู่แค่นี้ พี่กล้าเขาก็ไปอยู่ไกลบ้านเสียคนแล้ว จะไม่ให้แม่เป็นห่วงเกดได้ยังไง แล้วนี่จะไปเริ่มงานเมื่อไหร่กัน” ในที่สุดคุณกิ่งกาญจน์ก็ยอมจำนนความประสงค์ของบุตรสาว

“พรุ่งนี้ค่ะแม่ พรุ่งนี้เขาจะส่งคนมารับตอนเย็น” การะเกดอ้อมแอ้มตอบรู้อยู่แก่ใจว่าเวลาค่อนข้างกระชั้น แต่จะทำอย่างไรได้ จะช้าจะเร็วเธอก็ต้องไปอยู่ดี ขืนดึงเวลาออกไปให้เนิ่นช้ามีหวังความได้แตกตามคำขู่ของคนบ้าระห่ำบางคนอย่างแน่นอน

“ทำไมมันกระทันหันแบบนั้นล่ะลูก แม่ว่ามันแปลกๆ อยู่นะ” นางติงบุตรสาวพร้อมกับตะกอนความสงสัยที่เริ่มขุ่นกวนขึ้นมาอีกระลอก

“เอ่อ... คือ...ความจริงเขาติดต่อมานานแล้ว แต่เกดยังไม่ได้รับปาก เพราะคิดว่ายังไงก็ต้องมาถามแม่ก่อน นี่อาจารย์ที่คณะลงทุนมาขอร้องด้วยตัวเองเลยนะจ๊ะ เกดจะปฏิเสธก็เกรงใจแก นะแม่นะ แม่อนุญาตให้เกดไปเถอะนะจ๊ะ” การะเกดพยายามจะกลบความสงสัยของมารดาจึงยกเมฆเอาเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนรวมทั้งบุคคลที่คิดว่าน่าจะพอเรียกความเชื่อถือจากมารดาได้ขึ้นมาอ้าง

“เฮ้อ! เอาเถอะ ยังไงแม่ก็ต้องตามใจเกดอยู่แล้ว แล้วอย่าลืมแวะมาให้แม่เห็นหน้าค่าตาบ้างนะลูก จะได้รู้ว่าเราเป็นอยู่สุขสบายดี แม่จะได้ไม่กังวล” ในที่สุดนางก็ต้องยินยอมตามความต้องการของบุตรสาว เพราะรู้ดีว่าถกเถียงกันไปก็ไม่มีประโยชน์ ลองว่าการะเกดได้ตัดสินใจแล้ว ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็ยากที่จะเปลี่ยนใจ

“ขอบคุณค่ะแม่ งั้นเกดขอตัวไปเก็บข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นก่อนนะจ๊ะ เสร็จแล้วจะเข้านอนเลย แม่พักผ่อนเยอะๆ นะ พรุ่งนี้เช้าเจอกันจ้ะ” การะเกดบอกแล้วรีบออกไปจากห้องทันที เกรงเหลือเกินว่ามารดาจะตั้งคำถามอะไรขึ้นมา แล้วเธอก็คงจะต้องสร้างขึ้นมาเพื่อโกหกท่านอีก ความอดทนเธอคงมีอันได้สิ้นสุด จนต้องสารภาพออกไปอย่างหมดเปลือกเป็นแน่

ทั้งหมดนี้ การะเกดโทษว่าเป็นความผิดของพีรพัฒน์แต่เพียงผู้เดียว ถ้าหากว่าเขาไม่ได้เป็นคนบีบบังคับให้เธอต้องทำในสิ่งที่ไม่เต็มใจแบบนั้น มีหรือที่เธอจะต้อง มานั่งปั้นเรื่องปั้นราวต่างๆ เหมือนอย่างที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้

‘อย่าให้ถึงทีของฉันบ้างก็แล้วกัน ฉันจะเอาคืนนายให้เจ็บแสบแบบสุดๆ ไปเลย นายพีรพัฒน์”

--------------------------------------------------------------

บ่ายแก่ของวันถัดมา จิระพาการะเกดกลับมายังคอนโดหรูพร้อมด้วยกระเป๋าเสื้อผ้าเพียงสองใบ ที่ตอนนี้ถูกวางกองไว้ตรงมุมห้องอย่างไม่รู้ว่าควรจะเก็บไว้ตรงไหน ร่างบางนั่งกอดเข่าจมอยู่กับความคิดอยู่บนโซฟาตัวหนานิ่งนานอย่างไม่รับรู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด

“มานานแล้วหรือ เป็นยังไงบ้าง คุยกับแม่คุณเรียบร้อยแล้วเหรอ” เสียงที่ดังขึ้นทางเบื้องหลัง ทำเอาการะเกดถึงกับสะดุ้ง หากแต่ก็สะกดอาการหวั่นใจ ไม่ยอมเบือนหน้าหันกลับไปมองยังต้นเสียง

“ถามไม่ตอบ” พีรพัฒน์เอ่ยพร้อมกับสาวเท้าเข้ามาใกล้

“คุยแล้ว” การะเกดรีบบอกพลางขยับร่างหนี “แต่ว่าตอนนี้ฉันมีเรื่องจะตกลงกับคุณก่อน”

“ตกลง? ตกลงอะไร” ชายหนุ่มย้อนถามด้วยท่าทางสบายๆ ทิ้งร่างลงบนโซฟาถือวิสาสะวางมือลงบนไหล่ลาดมน ใบหน้าคมนิ่งเฉยจนการะเกดรู้สึกปั่นป่วน ด้วยไม่อาจคาดเดาความรู้สึกของคนตรงหน้าได้

“เรื่องระหว่างคุณกับฉัน” คำตอบห้วนๆ กับสรรพนามที่เธอเลือกมาใช้แทนตัวเขาฟังแล้วช่างระคายหูนัก

“ผมคิดว่าเมื่อวานเราคุยกันไปหมดแล้วเสียอีก” พีรพัฒน์เลิกคิ้วถาม ใจเย็นอย่างไม่น่าเชื่อ

“นั่นมันส่วนของคุณ แต่ฉันยังไม่ได้ตกลงอะไรกับคุณเลย” หางเสียงกระแทกกระทั้นบ่งบอกอารมณ์กรุ่นโกรธ

“แต่คุณก็ยอมเก็บข้าวเก็บของมาอยู่กับผมแล้ว” พีรพัฒน์พูดเรื่อยๆ ทว่าส่งผลให้ดวงหน้างามเริ่มจะซับสีเลือด

“ก็คุณบังคับฉัน” สองมือบางกำแน่น เค้นเสียงตอบอย่างเคืองใจเป็นที่สุด

“ผมก็ไม่ได้ให้คุณมาอยู่เปล่าๆ เสียหน่อย ค่าตอบที่เสนอให้มันก็น่าจะคุ้มดีอยู่นา แล้วการมาอยู่ที่นี่ในฐานะเมียผม มันเสียหายตรงไหนไม่ทราบ” หนุ่มเจ้าของห้องลอยหน้าลอยตาตอบ ย้ำถามจนร่างน้อยออกอาการเต้นเร่า

“หยุดคำพูดน่าสะอิดสะเอียนพวกนั้นเดี๋ยวนี้ ฟังนะนายพีรพัฒน์ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงขายตัว แล้วก็ไม่มีวันจะยอมรับสิ่งที่นายยัดเยียดให้กับฉันเป็นอันขาด”

“หรือว่าคุณอยากจะอยู่ในฐานะ ‘นางบำเรอ’ เอ้อ! แต่ก็ดีเหมือนกันนะ พอผมเบื่อจะได้เลิกใช้บริการกันไป ง่ายดีเหมือนกัน” ถ้อยคำหยาบหยามช่างกัดกร่อนใจจนการะเกดแทบจะทนต่อไปไม่ไหว สูดลมหายใจลึกๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า

“จะในฐานะไหนมันก็คงไม่ต่างกันนักหรอก” พูดแล้วก็ให้ยิ่งเจ็บใจไปกว่าเก่า หยาดน้ำใสเริ่มเอ่อท้นเกือบจะล้นขอบตา “ฉันแค่อยากให้คุณเก็บเรื่องระหว่างเราเอาไว้เป็นความลับ อย่าให้คนรอบๆ ตัวฉันต้องมารับรู้เรื่องทุเรศๆ แบบนี้ ส่วนทางคุณจะยังไงฉันไม่สน” หญิงสาวกลั้นใจบอกทั้งที่ใจจริงแล้วเธอไม่อยากแม้แต่จะคิดถึงมันเสียด้วยซ้ำ

“เหตุผลล่ะ” พีรพัฒน์ขมวดคิ้ว เอ่ยถามทำหน้ายียวน

“ก็... ฉันยังเรียนไม่จบ แล้วฉันก็ไม่อยากให้แม่ต้องมารับรู้เรื่องบ้าๆ พวกนี้ ฉันบอกกับแม่ไปแล้ว ว่ามารับงานสอนพิเศษ ฉันขอแค่นี้แหละ หวังว่าคุณคงจะเข้าใจ” การะเกดพูดพลางเบือนหน้าหลบ เมื่อจู่ๆ เขาก็ละสายตาจากเพดานหันมามามองหน้าเธอแทน

“แค่นั้น?” พีรพัฒน์หันมามองเธอตรงๆ อย่างเต็มตา เพิ่งจะสังเกตเห็นเหมือนกันว่าเจ้าตัวถอยห่างออกไปจนเกือบจะชิดขอบกำแพงอยู่แล้ว

“ยังไม่หมด” ร่างเล็กริมกำแพงเชิดหน้าตอบ

“งั้นก็ว่ามาเลยว่ายังมีอะไรอีก” พูดจบก็นิ่งรอฟังเงื่อนไขของหญิงสาว

“ฉันต้องการเงินก้อนหนึ่ง” บอกไปแล้วเธอเองก็แทบจะกลั้นใจตาย เพราะนั่นหมายความว่าเธอยินยอมที่จะอยู่กับเขาในฐานะของนางบำเรอไปโดยดุษณี

“หือ?” พีรพัฒน์ยอมรับในนาทีนั้นว่าเขาเองรู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่ได้ยินไม่น้อย สุดท้ายจึงตัดใจถามต่อ ”เท่าไหร่ล่ะ”

“สามแสน” การะเกดเน้นเสียงตอบอย่างชัดเจน ยังมาซึ่งใบหน้าหยามหยันของบุรุษหนุ่มที่ยังคงนั่งจ้องหน้าเธอนิ่งอย่างไม่ยอมละสายตา

“ได้สิ! ผมจะให้ แต่คุณต้องบอกมาก่อนว่าจะเอาเงินไปทำอะไร”

“จะเอาไปทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน คุณตอบมาดีกว่า ว่าจะตกลงหรือไม่ตกลง”

“อย่าบอกนะว่าจะเอาไปใช้หนี้พนันบอลแทนพี่ชายที่เอาแต่หลบหน้า ไม่กล้าเผชิญกับความจริงของคุณ” พีรพัฒน์เริ่มจะคาดเดา แอบหวังอยู่ลึกๆ ว่าทั้งหมดจะเป็นการกระทำเพื่อครอบครัวของเธอ

“คุณรู้...” การะเกดมีสีหน้าประหลาดใจ ทว่าก็พยายามกลบเกลื่อนด้วยคำพูดเชิงตำหนิ “แต่ก็ช่างเถอะ ถึงยังไงคุณก็ไม่มีสิทธิ์จะมาวิจารณ์คนในครอบครัวคนอื่นแบบนี้”

“ทำไมจะไม่ได้ วิจารณ์พี่เมียตัวเอง ไม่เห็นจะผิดตรงไหน” ท้ายประโยคยังไม่วายแกล้งยั่ว

“หุปปากโสโครกไปเลยนะ บอกแล้วไงว่าไม่ให้เรียกฉันแบบนี้” การะเกดแทบเต้นกับสรรพนามที่เขาใช้เรียกตัวเธอ

“โสโครกตรงไหน กับอีแค่เรียกว่าเมีย จะเดือดร้อนอะไรนักหนา” ทั้งที่รู้ว่าหญิงสาวเกลียดคำนี้ แต่ก็ยังไม่วายยั่ว

“อ๊าย... ไอ้บ้า ตกลงจะไม่ยอมพูดกันดีๆ ใช่ไหม”

“คุณต่างหากล่ะที่ไม่ยอมพูดดีๆ พูดคำ กรี๊ดคำแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่จะคุยกันรู้เรื่อง”

“ก็เลิกพูดจาบ้าๆ แบบนั้นสักทีสิ ฟังแล้วมันจะอ้วก”

“อ้าว! เพิ่งจะมีอะไรกันวันก่อน ท้องเสียแล้วหรือคุณ” พีรพัฒน์จงใจยั่วแหย่ จนการะเกดตั้งท่าว่าจะกรี๊ดขึ้นมาอีกครั้งนั่นล่ะ เขาจึงต้องรีบเปลี่ยนท่าที “อ้ะๆ ไม่แหย่แล้ว เฮ้อ! คุณนี่ขี้โวยวายเสียจริง อันที่จริงผมเองก็เพิ่งจะรู้เรื่องของพี่ชายคุณเหมือนกัน ไม่อยากเชื่อเลยนะว่าคุณจะยอมเสี่ยงตายแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการแบบนี้”

“ก็มันไม่รู้จะทำยังไงแล้วนี่นา เลิกถามโน่นถามนี่เสียที สรุปว่าคุณจะเอาไง ช่วยหรือไม่ช่วย” การะเกดย้ำถามอย่างอ่อนใจยิ่งพูดก็ดูเหมือนจะยิ่งเข้าเนื้อมากเข้าไปทุกที

“อันนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะทำตัวน่ารักแค่ไหน” ด้วยสถานะภาพที่เหนือกว่า พีรพัฒน์บรรจงส่งยิ้มพร้อมบอกข้อเสนออย่างอารมณ์ดี ตาคมมีแววเจ้าเล่ห์ วิบวับเสียจนการะเกดเธออยากจะถลันเข้าไปควักลูกตาคู่นั้นออกมาเสียนัก

“เท่าที่ได้ไปมันยังไม่พอหรือไง”

“ก็แล้วคุณคิดว่าไงล่ะ ชีวิตของพี่ชายคุณ แลกกับการที่คุณจะทำตัวดีๆ น่ารัก ว่าง่ายกับผม ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับคุณทั้งนั้น ไอ้ช่วยน่ะช่วยได้อยู่ แต่คุณต้องรับปากก่อนว่าจะตามใจผม ทุกเรื่อง”

“เชอะ! คนเห็นแก่ตัว ได้ทีละเอาใหญ่” ร่างน้อยฟังแล้วให้เกิดอาการหมั่นไส้ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ส่งค้อนวงโตกับแววตาขุ่นคลั่กไปยังร่างสูงเท่านั้น

“ว่ายังไงล่ะ ตกลงหรือเปล่า” เขาทวนถามอีกครั้งแล้วรอฟังคำตอบ ส่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดี

“ก็ได้ ตกลง ฉันสัญญาว่าจะทำดีกับคุณ” เธอรับคำง่ายๆ แค่นี้ก็ดีที่สุดแล้วสำหรับคนที่ไม่มีอะไรจะเสียอย่างเธอ

“เป็นอันว่าตกลง ผมรับปากว่าภายในสามวันเรื่องของพี่ชายคุณจะเรียบร้อย งั้นเรามาเริ่มกันตั้งแต่ตอนนี้เลยเป็นไง ไหนลองพูดกับผมเพราะๆ สิ”

“เขี้ยวเสียไม่มี... รับปากแล้วก็กรุณารักษาคำพูดด้วยล่ะ” คู่สัญญาบ่นกระปอดกระแปดไม่วายย้ำเพื่อความมั่นใจ

“หึ หึ... อย่าห่วงไปเลย ผมเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น เอาล่ะ คราวนี้ถึงตาผมบ้าง” พีรพัฒน์หัวเราะออกมาอย่างสุดจะขำกับท่าทางของหญิงสาว อดใจไว้ไม่ไหวลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้ รั้งโอบเอวบางเอาไว้มั่น แล้วพูดต่อ “นับแต่นี้ไป ทุกๆ วันที่ผมกลับมา ผมจะต้องเห็นคุณที่นี่ คุณจะต้องรอผมอยู่ในนี้ ห้ามออกไปไหน เวลาไปเรียนผมจะให้รถไปส่ง แล้วก็รอรับกลับ” มือหนายกขึ้นเชยคางมนให้ต้องแหงนเงยสบสายตากรุ้มกริ่มใกล้เสียจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนผะผ่าวที่กระทบผิวแก้มอ่อนบาง การะเกดไม่รู้จะถอยไปไหนเพราะเท่าที่ยืนอยู่ ก็ชิดจนติดกำแพงแล้ว

“นี่คุณ! ฉันไม่ใช่นักโทษนะ จะได้มากักขัง กะเกณฑ์กันแบบนี้ ฉันเคยทำอะไรฉันก็จะทำของฉันอย่างนั้นแหละ” หญิงสาวพยายามปัดป้องตนเองโดยการยกมือขึ้นมากันดันอกกว้างให้ออกห่าง ปากยังคงถกเถียงอย่างลืมตัว ทั้งที่เพิ่งจะรับปากกับเขาไปแหม่บๆ

“นี่ผมกำลังสั่งคุณอยู่นะ ไม่ได้ขอความคิดเห็น แล้วดูสิ พูดยังไม่ทันขาดคำ ก็แหวขึ้นมาอีกแล้ว” เขาท้วงพร้อมๆ กับโน้มใบหน้าคมลงต่ำ

“ก็...มันยังไม่ชินนี่” การะเกดตอบอึกๆ อักๆ พยายามเบนหน้าหนีแต่ติดอยู่ที่ตัวเธอยังอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง

“เรื่องงานแสดงตอนเย็นก็เหมือนกัน ต่อไปนี้ผมห้ามขาดไม่ให้คุณรับงานอีก เลิกเรียนก็กลับมาเตรียมอาหารเย็นไว้รอรับผมที่บ้าน อยากได้อะไรก็บอก จดใส่กระดาษไว้ก็ได้ ผมจะให้คนไปจัดเตรียมซื้อหามาให้” คนบ้าอำนาจยังไม่เลิกสั่ง

“ไร้สาระสิ้นดี” การะเกดฟังแล้วให้ต้องย่นจมูก ยืมคำพูดที่เคยได้ยินมาจากทีวีมาบ่นว่าเขาเสียอย่างนั้น

“ไร้สาระตรงไหน เป็นเมียก็ต้องดูแลผัวสิมันถึงจะถูก หรือว่าคุณทำกับข้าวไม่เป็น อย่าบอกนะว่าสวยแต่รูปน่ะ”

คนสั่งไม่สั่งเปล่า ริมฝีปากหยักบางเริ่มรุกไล่เลาะเล็มบนใบหน้างาม ยิ่งเธอปัดป้อง ก็ยิ่งกลายเป็นยั่วอารมณ์หนุ่มให้คุกรุ่นขึ้นมาอย่างง่ายดาย

“มันจะไม่มากไปหน่อยหรือคุณ เอาแต่สั่งๆๆ แบบนี้ ใครจะไปทำตามได้หมด แล้วก็ปล่อยฉันได้แล้ว ไม่อายผีสางเทวดาบ้างหรือไง ตะวันยังไม่ตกดินเลยแท้ๆ”

“จะอายอะไรนักหนา เราไม่ได้ออกไปทำประเจิดประเจ้อที่ไหนสักหน่อย” พีรพัฒน์ยังคงเถียงข้างๆ คูๆ

“คุณมันก็ดีแต่สั่ง ฉันยังมีเรื่องให้ต้องทำต้องรับผิดชอบอีกตั้งเยอะแยะ จู่ๆ มาบอกให้เลิกทำโน่นทำนี่ ฝันไปเถอะ ฉันทำตามที่คุณบอกไม่ได้หรอก”

การะเกดพูดพลางผลักไส มือน้อยทั้งหยิกทั้งแกะ พยายามปลดมือหนาออกจากร่าง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล คนตัวใหญ่ยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาซุกไซ้ไล่ดอมดมกลิ่นกรุ่นจากกายเธอไม่ลดละ จนพอใจแล้วนั่นล่ะ จึงยอมละออกจากซอกคอขาวผ่องกลับมาจ้องมองริมฝีปากบางสวยราวกลีบกุหลาบ แม้จะเสียดายแต่ก็ต้องห้ามใจไว้ก่อน ในเมื่อเขายังไม่หมดเรื่องที่จะต้องตกลงกับเธอ

“ฟังผมพูดให้จบก่อนสิ แล้วคุณค่อยมาตั้งป้อมเถียง ถ้าคุณห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย ต่อไปนี้ทุกเดือนผมจะโอนเงินเข้าบัญชีให้คุณเดือนละห้าหมื่น เอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว ถ้าเทียบกับปัจจุบันที่คุณทำได้ในแต่ละเดือนนับว่าแตกต่างกันไม่น้อย ส่วนเรื่องบ้านกับเรื่องแม่ของคุณ ผมรับปากว่าจะดูแลให้ รับรองว่าจะไม่มีการขาดตกบกพร่องเป็นอันขาด ได้ยินแบบนี้แล้ว ผมว่าคุณน่าจะสบายใจขึ้น เราจะได้อยู่กันอย่างไม่ลำบากใจ ผมเองไม่เคยคิดจะเอาเปรียบคุณอยู่แล้ว”

พีรพัฒน์ฉกริมฝีปากเรียวหยักลึกลงบนกลีบปากบางที่เขาเฝ้าจ้องมองอยู่ตลอดเวลาที่พูด รั้งร่างบางเข้าสู่อ้อมกอดอีกครา ทว่าคราวนี้กลับรัดเธอไว้จนแน่นหนาหนักกว่าเดิม

“เดี๋ยวก่อนสิคุณ หยุดก่อน นี่คุณเห็นฉันเป็นอะไร ถึงได้มาทำเป็นพ่อบุญทุ่ม เอาเงินมาฟาดหัวกันแบบนี้ ไม่ต้องมาทำเป็นใจกว้างเลย ฉันยังมีปัญญาทำงานหาเงินเองได้” การะเกดเบือนหน้าหนี ความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีเริ่มกลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง

“ไหนรับปากว่าจะทำตัวดีๆ ไงไม่ทันไรก็โวยเสียแล้ว คุณจะไม่เอาก็ได้นะ แต่บอกไว้ก่อนเลยว่า ให้ยังไงคุณก็จะไม่มีวันได้กลับไปทำงานนั่นอีก เลือกเอาแล้วกันว่าจะรับข้อเสนอของผมแต่โดยดี หรือจะต้องให้บังคับ แต่ว่าตอนนี้ผมชักจะไม่อยากคุยเรื่องพวกนี้เสียแล้วสิ ผมว่า...เราเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นที่สนุกกว่านี้น่าจะดีกว่านะ”

คนเจ้าชู้ปนเจ้าเล่ห์ กระชับร่างเล็กในอ้อมแขน ช้อนอุ้มจนตัวลอยไม่นำพากับแรงทุบตี รวมทั้งอาการดิ้นรนของร่างในวงแขน เดินเลี้ยวเข้าห้องนอนของตนแล้วปิดประตูลง เสียงต่างๆ ยังภายในพลันยุติ ไม่มีเล็ดลอดออกมาให้คนที่นั่งเฝ้าอยู่ด้านนอกได้ยินอีกเลย

-----------------------



นิลวนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ธ.ค. 2559, 12:37:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ธ.ค. 2559, 12:37:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 689





<< 9 : ตกกระไดพลอยกระโจน   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account