ด้วยรัก ฝากฝัน นิรันดร
ด้วยเหตุแห่งความรักที่ผิดหวังพลั้งพลาดของคนในรุ่นบิดามารดา นำมาซึ่งความฝัน ฝากความหวังเอาไว้กับคนรุ่นลูก เพื่อให้พวกเขาสานต่อความรักความผูกพันที่มีต่อกัน และเก็บรักษาความดีงามแห่งรักนั้นไว้ ให้คงอยู่เป็นความรักที่มั่นคง

“ด้วยรัก ฝากฝัน นิรันดร”


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 9 : ตกกระไดพลอยกระโจน

เสียงสะอื้นเบาๆ กับแรงสั่นสะเทือนน้อยๆ ของคนข้างกายปลุกให้พีรพัฒน์ตื่นจากภวังค์ เขายอมรับว่าตัวเองห่างหายจากเรื่องราวความรักความใคร่ในแบบหนุ่มสาวมานานหลายปี จนเกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าความรักมันหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วจู่ๆ ความห่วงหาอาทรก็ไหลย้อนคืนกลับมาสู่ใจเขาอีกครั้งแบบนี้ ความประหลาดใจและตกใจจึงประดังประเดเข้ามาจนเขาตั้งรับแทบไม่ถูก

พีรพัฒน์เอื้อมมือไปแตะไหล่มนหวังจะปลอบใจหญิงสาว ทว่าปฏิกิริยาที่ได้รับกลับมากลับกลายเป็นการเขยิบกายหนีราวกับว่าเขาเป็นตัวเชื้อโรคอะไรสักอย่างที่น่าขยะแขยงเสียเต็มประดา

ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีสักครั้งที่คนอย่างนายพีรพัฒน์จะต้องมานั่งงอนง้อใคร นับแต่จำความได้รอบๆ กายก็มักจะมีแต่คนมาคอยพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจ หญิงสาวมากหน้าหลายตาต่างวนเวียนกันเข้ามารุมล้อม ใฝ่ฝันที่จะได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับชายหนุ่มผู้เพียบพร้อมสมบูรณ์ไปด้วยรูปสมบัติทรัพย์สมบัติเยี่ยงเขา แม้จะเป็นได้เพียงคู่นอนชั่วคราวก็ยินดี มาคราวนี้กลับไม่ใช่ เพราะไม่ว่าเขาจะเฝ้างอนง้อขอโทษเธออย่างไร คนที่นอนหันหลังให้ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมหันหน้ามาพูดจากันดีๆ

พีรพัฒน์ถอนหายใจหนัก ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินเลี่ยงเข้าห้องน้ำไปก่อนจะออกมาอีกครั้งในสภาพที่สดชื่นกว่าเก่า หยดน้ำที่เกาะพราวอยู่บนแผงอกหนาล่ำสัน กระทบกับแสงตะวันยามบ่ายเป็นประกาย กระทบเข้าตาของคนที่นั่งทำหน้าบูดบึ้งอยู่ตรงปลายเตียง ส่งให้หญิงสาวถึงกับหน้าแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

การะเกดได้แต่เบือนหน้าหนีจากภาพตรงหน้า เมื่อร่างหนาของบุรุษที่เธออิงแอบแนบชิดอยู่เมื่อหลายชั่วโมงก่อน ยังคงอยู่ในสภาพเกือบเปลือย มีเพียงผ้าขนหนูชิ้นเดียวปกปิดร่างกายท่อนล่าง พีรพัฒน์เหลือบมาเห็นสีหน้าพิพักพิพ่วนของหญิงสาวแล้วอมยิ้ม พลางส่ายหน้าด้วยความอิดหนาระอาใจในความเจ้าแง่แสนงอนของเจ้าหล่อน

ร่างสูงเดินมาทรุดกายนั่งลงยังด้านข้าง มือหนาเอื้อมไปโอบไหล่พยายามจะง้องอนอีกครั้ง แม้ว่าผลที่ได้จะยังคงเดิม คืออาการสะบัดกายหนี มิหนำซ้ำยังสรรหาคำพูดเจ็บๆ แสบๆ มาตอกย้ำให้เขาต้องเจ็บลึก แต่นั้นก็มิอาจบั่นทอนให้เขาลดความพยายามลงไปได้ ถึงอย่างไรพีรพัฒน์ก็ยังอยากจะตอแยเธออยู่ดี

“เอามือสกปรกของนายออกไปจากตัวฉันเดี๋ยวนี้” คนตัวเล็กสะบัดกายหนี ลุกขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบจนคนฟังเกิดอาการสะท้านใจ

“ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ ไม่เอาน่า...นะ! คนดี๊ คนดี เรามาดีกันนะครับ ที่รัก” พีรพัฒน์ทั้งออดอ้อน ทั้งงอนง้อ ไขว่คว้าข้อมือบางรั้งตัวเธอเข้ามาใกล้

“ฉันจะกลับบ้าน ประตูมันล็อค ออกไม่ได้” การะเกดเหลือบตามองประตูเสียงสาวบอกอย่างสั่นเครือ ทว่าห้วนจนคนฟังนึกน้อยใจ หน้าจืดเจื่อนด้วยอุตส่าห์ตามง้ออยู่เป็นนานสองนาน เธอก็ยังคงร่ำร้องอยากจะกลับบ้านอยู่แบบเดิม

“เฮ้อ! แต่ผมว่าเรายังมีเรื่องต้องคุยกันนะ” คนงอนง้อออกอาการถอนหายใจหนัก พยายามยื้อเวลาเพื่อปรับความเข้าใจระหว่างกัน อย่างน้อยก็ควรจะได้พูดจากันดีๆ ก่อนที่เขาจะพาเธอกลับไปส่งบ้าน

“แต่ฉันไม่มี” การะเกดกดสียงหนักยืนกรานปฏิเสธ

“ทำไมจะไม่มี คุณคิดว่าผมจะยอมปล่อยคุณไปง่ายๆ งั้นเหรอ ฟังให้ดีนะการะเกด ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว ไม่มีวันที่คุณจะกลับไปเหมือนเดิมได้อีกแล้ว”

“พอสักทีเถอะ นายไม่ต้องพูดอะไรอีก เท่าที่นายทำมาทั้งหมดมันก็มากมายเสียจนฉันแทบจะรับไม่ไหวอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นฉันขอให้เรายุติเรื่องทั้งหมดเพียงแค่นี้ พอกันทีกับการเอาคืนบ้าๆ ของนาย”

“เอาคืนเหรอ... นี่คุณคิดว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันเป็นแค่การเอาคืนงั้นเหรอ ฟังให้ดีนะการะเกด คนอย่างผม ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมาเอาคืนกับการกระทำงี่เง่าของเด็กบ้าๆ แค่คนหนึ่งหรอก” พีรพัฒน์เอ่ยเสียงขมๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะหยันในลำคอ

“ถ้างั้นนายทำไปทำไมล่ะ บอกฉันมาสิ ว่านายทำมันไปทำไม นายทำลายฉันทำไม”

ความอัดอั้นตันใจทะลักทลายออกมาเป็นคำพูดแสดงให้เห็นถึงความเจ็บช้ำที่อัดแน่นอยู่ในอก หมดแล้วซึ่งความอดทน การะเกดตะโกนลั่นอย่างเจ็บช้ำ น้ำตารินอาบสองแก้มราวกับทำนบกั้นน้ำแตก ให้อย่างไรเธอก็ไม่อาจทำความเข้าใจกับการกระทำอันเลวร้ายของคนตรงหน้าได้เลย

“ผะ...ผม...” คนถูกถามเกิดอาการตะกุกตะกักขึ้นมาในบัดดล จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อตอนนี้เขาก็ยังไม่มีคำตอบ แม้แต่หาเหตุผลให้กับตนเองเขายังทำไม่ได้เลยแล้วจะตอบเธอได้อย่างไร

“ตอบไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ดี! ถ้างั้นฉันตอบแทนนายให้ได้ เพราะคนอย่างนายมันบ้า! ไม่มีหัวใจ! ไร้คุณธรรม! ไม่มีความปราณีแม้แต่นิดเดียว คอยแต่แต่จะเหยียบย่ำซ้ำเติม ฉกฉวยโอกาสเอากับคนที่อ่อนแอกว่า เป็นไงล่ะ! ชัดไหม? สะใจพอใจหรือยังล่ะ กับสิ่งที่นายทำกับฉัน?” น้ำตาร่วงพรู ทุกถ้อยคำล้วนบาดลึก ยิ่งพูดก็ยิ่งให้เจ็บใจตนเองที่ต้องมาเสียรู้คนตรงหน้า ถึงสองครั้งสองคราติดๆ

“ก็แล้วยังไง ผมมันเลวแล้วทำไม ยังไงคุณก็เป็นเมียคนเลวๆ อย่างผมไปแล้ว หรือว่าจะเถียง ว่าเราไม่ได้มีอะไรกัน”

“อ๊าย... ไอ้คนเลว ไอ้บ้า หุบปากไปเลย ไม่ต้องมาย้ำเลยนะ”

“ทำไมจะพูดไม่ได้ ในเมื่อมันเป็นเรื่องจริง แล้วก็อย่าบอกนะว่าคุณไม่ถือ เพราะถ้าพูดอีกคราวนี้ผมซัดคุณไม่เลี้ยงแน่” พีรพัฒน์ข่มขู่เสียงรอดไรฟัน เหลืออดกับกิริยาอันดื้อดึงอย่างถึงที่สุดของหญิงสาว

การะเกดหันไปสบสายตากับร่างสูงแล้วจ้องมองนิ่ง ปราศจากคำพูดใดๆ บอกกับตัวเองว่าพูดไปก็เสียเวลาเปล่า ลองว่าเธอตกเป็นเบี้ยล่างเขาแบบนี้ ต่อให้ร่ำร้อง กร่นด่าอย่างไร ก็คงไม่เป็นผล ดวงตาคู่สวยบวมช้ำเจิ่งนองไปด้วยหยดน้ำที่รินหยาดลงมาเป็นสาย ปล่อยให้มันไหลไปเรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

พีรพัฒน์มองนิ่งไม่นึกว่าสิ่งที่เขาทำจะเป็นการทำร้ายจิตใจของหญิงสาวจนถึงขนาดต้องร้องไห้ฟูมฟายมากมายแบบนี้ แม้จะตระหนักดีว่านี่เป็นครั้งแรกของเธอ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะทอดทิ้งไม่ดูดำดูดีเธอเสียเมื่อไหร่ เขาเองก็ประกาศอยู่ป่าวๆ ว่า จะรับผิดชอบและดูแลเธอ รับประกันเลยว่าระหว่างเธอกับเขาย่อมต้องมีครั้งต่อๆ ไปอย่างแน่นอน ในเมื่อเขาคือคนแรก คือเจ้าของตัวเธอ เขายิ่งต้องดูแล สัมผัสของความเป็นคนแรกสร้างความอิ่มเอมใจให้กับเขาได้อย่างน่าประหลาด ท่าทีที่ตอบสนองอย่างไม่ประสากลายเป็นความประทับใจอย่างยากจะลืม

เกินครึ่งของหัวใจพีรพัฒน์เอนเอียงไปหาหญิงสาวอย่างเต็มที่ เขาจึงพยายามจะงอนง้อเธอมาเป็นนานสองแต่กลับยังไม่มีทีท่าว่าเจ้าตัวจะยอมใจอ่อน เพราะเหตุนั้นพีรพัฒน์จึงเริ่มระแวงว่านี่อาจเป็นเพียงแค่บทบาทการแสดงของเธอ จริงสินะ! ในเมื่อหล่อนเป็นนางละคร ก็ย่อมจะต้องชินกับการแสดงอยู่แล้ว เธออาจะกำลังเสแสร้งแกล้งงอน เพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขาก็เป็นได้ บรรดาหญิงสาวเขาเคยผ่าน หลายๆ คนก็เคยใช้มุกนี้มาแล้ว พีรพัฒน์คิดอย่างพาลๆ ทั้งที่ลึกๆ แล้วก็กลัวว่าความคิดแบบนั้นจะเป็นจริงขึ้นมา เขาไม่อยากให้ตัวเองมองเธอคนนี้ผิดไปเลยจริงๆ

----------------------------------------------------------

ร่างบางก้าวลงมาจากรถสีดำคันงามแล้วเดินตรงเข้าไปยังบ้านเช่าอันเป็นที่พำนักเพื่อนสาว ซึ่งมีร่างของหญิงวัยกลางคนนั่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ร่องรอยความวิตกกังวลฉายชัดอยู่เต็มใบหน้าอิดโรย

“คุณป้ามานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้คะ” ลักษิณาศรเข้าไปนั่งข้างๆ คว้ามือของหญิงสูงวัยมากุมลูบหลังมือนางอย่างปลุกปลอบให้กำลังใจ

“ป้ามานั่งรอยายเกดน่ะลูก ป่านนี้แล้วยังไม่ยอมโทรกลับมาเลย ไม่รู้ว่าหายไปไหน” คุณกิ่งกาญจน์บอกน้ำตาคลอขึ้นมาเต็มสองหน่วยตา

“อย่าเพิ่งคิดมากสิคะคุณป้า ไปเถอะค่ะ ไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้า เสร็จแล้วเดี๋ยวเราจะออกไปแจ้งความกัน หลังจากนั้นเราค่อยไปตามหาตามบ้านเพื่อนดูอีกที มาค่ะ... เดี๋ยวลูกศรพาไป” ลักษิณาศรประคองนางให้ลุกขึ้นแล้ว พาเดินเข้าบ้านไป

ตลิตที่เดินตามเข้ามา เห็นสภาพมารดาเพื่อนของหญิงสาวแล้วให้สงสารนัก หัวอกคนเป็นแม่ คงทั้งรักทั้งหวงบุตรสาว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงได้แต่นั่งรออยู่อย่างนั้น

หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ลักษิณาศรพร้อมด้วยคุณกิ่งกาญจน์จึงพากันมายืนอยู่ตรงหน้าร้อยเวรผู้รับแจ้งความ ณ สถานีตำรวจนครบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ลักษิณาศรแจ้งรายละระเอียดพร้อมส่งรูปถ่ายของเพื่อนสาวให้กับนายตำรวจหนุ่มผู้ที่นั่งประจำการรอรับเรื่องราวร้องทุกข์จากประชาชน

“หมายความว่ายังไงไม่ทราบ คุณตำรวจ” หญิงสาวหน้าหวานเริ่มจะออกอาการวีนลั่นเมื่อได้คำตอบที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน

“คือกรณีคนหาย เราต้องรอให้ครบ 24 ชั่วโมงก่อน จากนั้นจึงค่อยลงบันทึกประจำวัน เพื่อดำเนินการค้นหา กรณีนี้ผมคงทำได้เพียงแค่รับเรื่องไว้ก่อน รอจนครบ 24 ชั่วโมง ถ้าเพื่อนคุณยังไม่กลับมา เราค่อยเริ่มดำเนินการตามขั้นตอน”

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรไม่ทราบ คนหายไปทั้งคนแต่ต้องรอให้ครบ 24 ชั่วโมง”

“ใจเย็นๆ ก่อนสิครับคุณ ผมก็แค่ทำไปตามหน้าที่เท่านั้น” ร้อยเวรหนุ่มพยายามอธิบายอย่างใจเย็น

“ใจเย็น ลองมาเป็นเราบ้างไหมล่ะ ลองญาติคุณหายไป จะยังนั่งใจเย็นอยู่ได้ไหม” ลักษิณาศรโวยวายขณะที่นางกิ่งกาญจน์น้ำตารินอย่างใจเสีย

“ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ แต่ว่ามันเป็นกฎ ตอนผมยังทำอะไรไม่ได้ นอกจากรับเรื่องไว้ก่อน”

“หน้าที่ของคุณก็คือเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ไม่ใช่มานั่งอธิบายกฎบ้าบอคอแตกอะไรนี่ให้ฉันฟัง หรือว่าจะต้องรอให้เรื่องมันบานปลายเสียก่อน พวกคุณถึงจะยอมดูแล” หญิงสาวยังไม่เลิกต่อว่าต่อขาน ขัดใจนักกับขั้นตอนการทำงานของทางราชการ

“ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณนะครับ แต่ตอนนี้ลำพังผมคงยังทำอะไรไม่ได้” ตรีวิกรพยายามพูดกับเธออย่างใจเย็น

“นี่น่ะหรือเข้าใจ ฉันว่าพวกคุณไม่สนใจเสียละมากกว่า”

“อย่าเพิ่งโวยวายสิครับคุณ ใจเย็นแล้วฟังผมก่อน”

“ไม่รู้ล่ะถ้าคุณไม่ยอมรับแจ้งความ ฉันก็จะไปรองเรียนกับเจ้านายคุณ”

“เอะอะ อะไรกันน่ะหมวด เสียงดังลั่นโรงพักไปหมด”

เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังเรียกให้ลักษิณาศรหันหลังกลับไปมอง

“ไม่มีอะไรครับท่าน พอดีคุณผู้หญิงคนนี้เธอมาแจ้งความคนหาย แต่ยังไม่ครบ 24 ชั่วโมงผมกำลังอธิบายให้เธอเข้าใจถึงระเบียบวิธีการอยู่ครับท่าน” หมวดหนุ่ม ลุกขึ้นยืนทำความเคารพผู้บังคับบัญชา แล้วรายงานอย่างแข็งขัน นายตำรวจใหญ่ฟังแล้วจึงเดินตรงมายังเจ้าทุกข์

“อ๊ะ! หนู...ยายศร นี่ใช่หลานหรือเปล่าลูก” ผู้เป็นนายสูงสุดถึงกับเบิกตากว้างทันทีที่รู้ว่าหญิงสาวที่ส่งเสียงโหวกเหวกเมื่อครู่ ที่แท้แล้วคือหลานสาวของเขาเอง

ทศเทพอายุห่างจากกฤษธีบิดาของลักษิณาศร 8 ปี ตลอดช่วงต้นของชีวิตเขาอยู่แต่ที่โรงเรียนประจำ พอเรียนจบทำงานก็ย้ายไปประจำการตามที่ต่างๆ นานครั้งจึงจะมีโอกาสได้กลับมาบ้าน ซึ่งก็คราวละไม่นาน ทำให้ได้ไม่มีโอกาสเห็นหน้าค่าตาหลานสาวคนนี้บ่อยนัก ยิ่งมาระยะหลัง ที่เลิศลักษณ์ตัดขาดและห่างหายไปจากการไปมาหาสู่กับครอบครัวทางสามีก็ยิ่งทำให้สายสัมพันธ์บางๆ ระหว่างผู้เป็นอากับหลานสาวเพียงคนเดียวยิ่งห่างเหินกันยิ่งขึ้นไปอีก ภาพของเด็กสาววัยแรกรุ่น ตัวเล็กๆ ผูกสองเปียยาว เดินตามมารดาเข้ามานบไหว้เขาผู้มีศักดิ์เป็นอา เขายังคงจำได้ติดตา แม้ว่าต่อมาจะแทบไม่เคยมีโอกาสได้เจอกันเลยก็ตามที

“คุณอา!”

“ไปไงมาไง ถึงได้มาที่นี่ได้ล่ะลูก”

“ค...คือลูกศร....” ลักษิณาศรเองก็จำผู้เป็นอาได้ ความตกใจทำให้อ้าปากค้างพูดติดอ่างไปเลยเหมือนกัน

“อ้าวเกิดจะติดอ่างขึ้นมาเสียแล้วหลานฉัน เมื่อกี้เห็นยังโหวกเหวกโวยวายเสียงดังลั่นโรงพักอยู่เลย อาว่าเราอย่าไปตั้งป้อมโกรธผู้หมวดเขาเลย เขาก็แค่ทำไปตามกฎ มาเถอะลูก มากับอา ไปนั่งคุยกันที่ห้องทำงานอาดีกว่า แล้วค่อยๆ ให้อาฟัง ว่ามันเกิดอะไรกันขึ้นกันแน่”

ถ้าเป็นยามปกติหญิงสาวคงรีบเผ่นออกจากโรงพักไปแล้ว เพราะความฝังใจในอดีต ทำให้เธอไม่คิดจะเสวนากับบรรดาญาติข้างบิดาเลย แต่ตอนนี้เธอกำลังต้องการความช่วยเหลือ ครั้งนี้จึงจำต้องยอมแหกกฎของตนเองรับคำแล้วเดินตามอย่างว่าง่าย

“หมวดก็ด้วย ตามมาคุยกับผมที่ห้องหน่อย” ผู้กำกับหันมาออกคำสั่งแล้วเดินนำลิ่ว

ร้อยตำรวจตรี ตรีวิกร กิจจาธร รับคำสั่งแล้วปฏิบัติตาม ไม่วายมองตามร่างหญิงสาวยังเบื้องหน้า นึกแปลกใจที่จู่ๆ ที่ตัวเขาก็เกิดความรู้สึกถูกชะตากับหญิงสาวขึ้นมา ทั้งที่เจ้าตัวออกจะโวยวายเสียปานนั้น

“เรื่องทั้งหมดก็มีแค่นี้ล่ะค่ะคุณอา” ลักษิณาศรเล่าเรื่องทั้งหมดไปตามที่ตนรู้

“เป็นไปได้ว่าอาจมีอุบัติเหตุ นะครับท่าน”

“ถ้าเป็นอุบัติเหตุ แล้วทำไมไม่มีใครโทรแจ้งเลย”

“บางทีคนเจ็บอาจไม่มีหลักฐานแสดงตนอยู่ในตัว เหตุการณ์แบบนี้ก็มีอยู่บ่อยๆ นะครับ”

“ถ้างั้นเราควรทำไงดีคะ”

“เดี๋ยวหมวดลองเช็คไปตามโรงพยาบาลตาม ตำรวจทางหลวง แล้วก็พวกมูลนิธิต่างๆ ให้หน่อย ว่าเมื่อคืนที่ผ่านมามีอุบัติเหตุที่ไหนบ้าง”

“ครับท่าน”

“ลูกศรแน่ใจนะลูกว่าเมื่อคืนไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่โรงแรม”

“ไม่มีค่ะ ปกติพวกเราจะระวังตัวกันอยู่แล้ว เลิกงานเราก็กลับบ้าน โดยเฉพาะยายเกด รายนั้นไม่เคยเถลไถลออกนอกทางไปไหนเลย”

“นามสกุลของคุณการะเกด นี่ผมออกจะคุ้นๆ อยู่นะครับ” ตรีวิกรสะดุดเข้ากับนามสกุลอันใหญ่โตของหญิงสาว

“เอ่อ... คือ” มารดาของการะเกดเกิดอาการอ้ำอึ้ง

“จริงด้วย นามสกุลนี้นี่มันนามสกุลเดียวกับท่านรัฐมนตรีธีระนี่นา”

“คือ...ยายเกดเป็นลูกสาวของท่านค่ะ” ลักษิณาศรตัดสินใจบอก ทั้งที่รู้ว่าสองแม่ลูกไม่เคยปรารถนาจะบอกเรื่องนี้กับใคร

“เอ... ถ้างั้น จะเป็นไปได้ไหมว่ามีคนอื่นรู้ว่าจริงๆ แล้วเธอเกี่ยวข้องกับท่านรัฐมนตรี แล้วคิดจะจับตัวเธอไปเรียกค่าไถ่

“เรียกค่าไถ่”

“อย่าเพิ่งตกใจไป อาแค่ลองตั้งสันนิษฐาน เวลานี้อะไรๆ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น เรายิ่งรู้ข้อมูล ก็ยิ่งวิเคราะห์ได้ใกล้เคียงมากขึ้น ซึ่งเรื่องมันอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้”

“ท่านคะ!” นางกิ่งกาญจน์ที่เอาแต่นิ่งอยู่นาน จู่ๆ ก็ตัดสินใจพูดขึ้นมา “อันที่จริงมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ อิฉันยังไม่ได้บอก เพราะไม่คิดว่าเรื่องมันจะลุกลามแบบนี้ คือเมื่อช่วงก่อนนี้มีพวกนักเลงบุกมาที่บ้าน มาข่มขู่อิฉันกับลูกสาว ว่าให้หาเงินไปใช้หนี้พวกมัน เป็นหนี้พนันบอล อิฉันกลัว เลยส่งลูกไปอยู่กับเพื่อนที่ต่างจังหวัด แต่ก็ไม่คิดว่าพวกมันจะกล้าลงมือกับคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”

“ที่แท้ก็ยังมีเรื่องนี้ แล้วคุณพอจะรู้ไหมว่าไอ้พวกนั้นมันคือพวกไหน”

“อิฉันก็ไม่แน่ใจค่ะ พวกมันมาหาเราที่บ้าน แล้วก็พูดจาข่มขู่ บอกว่าถ้าครบกำหนดแล้วจะมารับเงิน ให้อิฉันกับลูกสาวเตรียมไว้”

“อ้อ...” นายตำรวจอาวุโสนิ่งคิด “หมวดลองเช็คให้ผมหน่อย ว่าโต๊ะบอลแถวๆ นั้นมันมีใคร อยู่ที่ไหนกันบ้าง แล้วลองสืบจากตรงนั้นดู”

“ครับท่าน” ก่อนออกไปพ้นประตูห้อง ตรีวิกรหันไปมองดวงหน้าสวยหวานของหลานสาวผู้เป็นนาย ส่งยิ้มกว้างให้อย่างผูกไมตรี

“งั้นเดี๋ยวเราค่อยรอฟังข่าวจากผู้หมวดเขาอีกทีแล้วกัน แล้วนี่หนูจะไปไหนกันต่อ” นายตำรวจใหญ่สรุปแล้วหันมาคุยอย่างไม่เป็นทางการกับหลานสาวตน

“ว่าจะไปตระเวนหาตามบ้านเพื่อนอีกทีน่ะค่ะ” ลัษิณาศรหยุดคิดนิดหนึ่งก่อนจะตอบออกไป

“แล้วคุณแม่หนูเป็นอย่างไรบ้าง อาไม่ได้เจอหนูกับแม่มานานมากแล้ว ท่านสบายใช่ไหมลูก”

“คุณแม่... เสียแล้วค่ะ” เธอตอบเบาๆ คล้ายไม่เต็มใจตอบ

“อะไรนะ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แล้วทำไมเงียบเชียบแบบนี้ หนูไม่เห็นส่งข่าวให้ใครรู้บ้างเลยลูก”

“สักพักแล้วล่ะค่ะ คุณแม่สั่งไว้ว่าไม่ต้องบอกใคร ท่านอยากไปแบบเงียบๆ น่ะค่ะ”

“แล้วตอนนี้หนูอยู่ที่ไหน อยู่กับใครลูก ยังอยู่ที่บ้านสวนหรือเปล่า”

“เปล่าค่ะ ลูกศรเพิ่งย้ายมาอยู่กับคุณลุงไตรวิน ส่วนบ้านสวนมีพวกคนเก่าแก่ของคุณตาดูแลอยู่ค่ะ”

“ไตรวิน? ใครกัน”

“คุณลุงเป็นพี่ชายที่คุณแม่นับถือค่ะ ท่านไปอยู่เมืองนอก แต่กลับมาก่อนที่คุณแม่จะเสีย คุณแม่เลยฝากลูกศรไว้กับท่าน ไม่ต้องห่วงนะคะ คุณลุงเมตตาลูกศรมาก ดูแลลูกศรเป็นอย่างดี” ลักษิณาศรพูดดักเมื่อทศเทพเริ่มจะมีคำถามมากมาย

จะโทษว่าเป็นความผิดของใครได้หากไม่ใช่ “กฤษธี” พี่ชายของเขาเองที่เวลานี้นอนป่วยรอความตายอยู่ที่บ้าน สิ่งที่พี่ชายของเขาทำไว้กับสองแม่ลูกนั้นสาหัสนัก และทั้งที่รู้แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เรื่องในครอบครัวของพี่ชาย แม้เขาจะเป็นน้องก็ใช่ว่าจะมีสิทธิ์ยื่นมือเข้าก้าวก่าย คงเพราะเวรเพราะกรรมนั้นล่ะ ที่ทำให้ พี่ชายของเขาต้องมาทนอยู่ในสภาพทนทุกข์ น่าสมเพชเวทนายิ่งแบบนั้น

“อย่างนั้นหรือ แล้วนี่ลูกศรรู้เรื่องคุณพ่อของหนูบ้างหรือเปล่า” ถามออกไปแล้วก็อยากจะตบปากตัวเองเสียจริงๆ เพราะคำตอบที่ชัดถ้อยชัดคำของหลานสาว ทำเอาเขาถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก

“ไม่ทราบค่ะ แล้วก็ไม่อยากจะทราบ ลูกศรขอตัวกลับก่อนนะคะคุณอา แล้วจะทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ หากได้ข่าวคราวอะไรรบกวนฝากให้คนของคุณอาช่วยโทรบอกลูกศรด้วยนะคะ สวัสดีค่ะ” ลักษิณาศรลาตัดบท ทศเทพได้แต่ยืนงงจนรับไหว้แทบไม่ทัน หลานสาวคนสวยก็หมุนกายออกจากห้องทำงานของเขาไปเสียแล้ว

----------------------------------------------------

การะเกดเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ คิดทบทวนถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เพิ่งจะเกิดขึ้นแล้วไม่อยากเชื่อเลยว่าภายในชั่วเวลาแค่ข้ามคืน จะสามารถเปลี่ยนชีวิตเธอไปได้ถึงขนาดนี้ น้ำใสๆ รินอาบเต็มสองข้างแก้มโดยที่ที่เจ้าตัวไม่คิดจะปาดจะเช็ด เพราะถึงจะเช็ดมันยังรินหลั่งอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

หญิงสาวออกมาจากเพนท์เฮ้าส์หรูเมื่อเวลาค่อนเย็นโดยมีบอดี้การ์ดหนึ่งในสองของพีรพัฒน์ตามมาส่งถึงปากซอยบ้าน หญิงสาวขอให้เขาปล่อยเธอลงแค่ตรงนั้น เพราะไม่อยากให้เป็นที่สังเกตุของใครๆ โดยรับปากกับเขาว่าเธอจะไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อนด้วยการหนีหายไปไหน แค่ขอเวลาทำใจและคิดทบทวนว่าเธอจะบอกกับมารดาอย่างไรดี กับเรื่องที่จะขอย้ายออกไปอยู่ข้างนอกนับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ตลอดทางหญิงสาวได้แต่ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมาย

“ผมอยากให้คุณย้ายมาอยู่กับผมที่นี่ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป” พีรพัฒน์บอกความประสงค์ หลังจากให้เวลาตัวเองได้ทบทวนเรื่องทั้งหมดอยู่พักใหญ่

“นายไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉัน ฉันไม่มา ต่อให้นายเอาช้างมาฉุด ฉันก็ไม่มีวันมา” การะเกดปฏิเสธเสียงแข็ง

“ทำไมถึงดื้ออย่างนี้นะ ผมบอกให้มาก็มาสิ คุณเป็นเมียผมก็ต้องอยู่กับผมสิมันถึงจะถูก” พีรพัฒน์สวนกลับ ตอกย้ำสิทธิ์จนการะเกดออกอาการเต้นเร่า

“อย่ามาพูดพล่อยๆ แบบนี้นะ นายจะไปตู่เอาอีบ้าอีบอที่ไหนมาเป็นเมียนายก็ตามใจ แต่ต้องไม่ใช่ฉัน” หญิงสาวพูดพลางร้องไห้ไปพลาง เสียใจจนบอกไม่ถูก

“อีบ้าอีบอที่ว่า มันจะเป็นใครได้ ถ้าไม่ใช่คุณ ไหนลองตอบมาให้ชื่นใจหน่อยสิจ๊ะเมียจ๋า” พีรพัฒน์ทั้งโกรธทั้งขัน ยังไงๆ เจ้าหล่อนก็ยังไม่ยอมรับสถานะใหม่ที่เขาจงใจยัดเยียดให้เธอ สร้างความโกลาหลให้เกิดขึ้นกับตนในบัดดล

“อ๊าย... ไอ้บ้า... ไอ้ทุเรศ... ไอ้คนสารเลว...นี่แน่ะ! นี่แน่ะ! ตายเสียเถอะ ปากชั่วดีนัก ต้องเอาเลือดออกเสียบ้าง” การะเกดบุกตะลุยทุบตีชายหนุ่มผู้ที่อ้างสิทธิ์ความเป็นสามีอย่างไม่กลัวตาย พีรพัฒน์ร้องลั่น หลบหลีพัลวัน แต่ก็ยังมีแก่ใจระวังมิให้การปัดป้องของเขาทำอันตรายกับเธอ

“โอ๊ย! หยุดนะ! คุณจะบ้าหรือไง ผมเจ็บนะ บอกว่าให้หยุดไงเล่า ประเดี๋ยวพ่อก็ปล้ำเสียให้อีกหรอก จะได้หายซ่าเสียที”

ได้ผล การะเกดชะงักมือที่กำลังเงื้อจะฟาดลงไปยังอกหนา หดมือกลับ แล้วค่อยๆ ถอยไปนั่งที่โซฟาตัวยาวอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง ตัดสินใจพูดดีๆ กับเขาเป็นครั้งแรก

“หยุดก็ได้ ฉันก็อยากจะกลับบ้านเหมือนกันแหละ ป่านนี้แม่คงเป็นห่วงแย่แล้ว”

ถ้อยคำและน้ำเสียงออกแนวประชดเล็กๆ ทว่าปะปนไปด้วยรอยเศร้าสร้อยผสานกับเสียงสะอื้น พีรพัฒน์ขยับกายเข้าใกล้ โอบบ่าเธอไว้แล้วลูบเบาๆ อย่างปลอบประโลม การะเกดไม่คิดจะขยับหนีอีกแล้ว จะหนีทำไมให้เหนื่อย ที่หนีมาทั้งวันก็ไม่เห็นว่าจะพ้นมือเขาสักครั้ง ไม่งั้นเธอคงไม่ต้องมานั่งอยู่แบบนี้หรอก

“เดี๋ยวผมจะให้คนไปส่ง แต่มีข้อแม้ว่าคุณต้องกลับมา ผมจะให้คนไปรับ เพราะฉะนั้นคืนนี้คุณต้องกลับไปเก็บของ แล้วย้ายมาอยู่กับผมที่นี่ พรุ่งนี้ ตกลงไหม” พีรพัฒน์เจรจาต่อรองอย่างจงใจเอาเปรียบ เพื่อให้ได้ตัวเธอมาอยู่กับเขาต่อให้ต้องทำมากกว่านี้เขาก็ยอม

พีรพัฒน์มองสบดวงตาที่มีน้ำใสเอ่อคลอแล้วให้ต้องใจหาย อะไรมันจะว่างเปล่าเดียวดายได้ขนาดนั้น ทว่าก็ต้องทำใจแข็งเดินหน้าต่อรองกับเธอ

“ว่าไง จะตกลงหรือเปล่า ไม่งั้นผมจะไม่อนุญาตให้คุณไปไหนทั้งนั้น” วาจายังบีบค้นจนการะเกดหมดทางเลือก

“นายจะให้ฉันมาอยู่กับนายที่นี่ แล้วก็ใช้วิธีบังคับขู่เข็ญเอาตัวฉันมา พูดง่ายดีนี่ งั้นนายช่วยตอบฉันหน่อย ว่าฉันควรจะไปบอกกับแม่ว่ายังไง เคยคิดบ้างไหมว่าแม่ฉันจะเสียใจสักแค่ไหน ที่ฉันต้องกลายมาเป็นผู้หญิงสำส่อนทำตัวเหลวแหลกหอบผ้าผ่อนมาอยู่กับนายง่ายๆ แบบนี้ นายเคยคิดถึงใจฉันบ้างไหม หา! เคยไหม” การะเกดตะเบ็งเสียง ร้องถาม ด้วยความอัดอั้นตันใจ น้ำตาไหลพราก

“ถ้างั้นผมจะไปบอกกับแม่คุณเอง ไปพร้อมๆ กับคุณนั่นแหละ ผมจะยอมร้บเองว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของผม คุณจะว่าไง” พีรพัฒน์ยื่นข้อเสนอแบบฉุนๆ ทั้งที่ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองจะทำได้

“ไม่ต้อง คนอย่างนายไม่มีวันจะเข้าใจความรู้สึกของฉันหรอก” เธอตัดพ้อเขาไปตามความคิดที่ฝังอยู่ในความรู้สึกลึกๆ ของตนเอง

“ก็แล้วคุณจะเอายังไง นั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ได้ ผมว่าเราพูดกันมานานพอแล้วล่ะการะเกด ผมจะเปิดโอกาสให้คุณเลือก ว่าคุณจะไปคุยกับแม่คุณเอง หรือว่าจะให้ผมไปคุยกับท่าน แต่บอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าไม่ว่าคุณจะเลือกข้อไหน ยังไง พรุ่งนี้คุณก็ต้องมาอยู่กับผม คุณไปเลือกเอาก็แล้วกัน”

พีรพัฒน์ลุกเดินกลับเข้าห้องไปในทันทีหลังจากพูดจบ ทิ้งให้การะเกดนั่งจมอยู่กับความคิด พินิจ และตรึกตรองอยู่เพียงลำพัง

-----------------------------------



นิลวนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ธ.ค. 2559, 12:35:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ธ.ค. 2559, 13:09:55 น.

จำนวนการเข้าชม : 710





<< 8 : ปั่นป่วน   10 : ข้อเสนอ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account